ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรือนไม้สีคราม

    ลำดับตอนที่ #2 : กล่องแพนโดรา~

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 53


    ตำนานของกล่องแพนโดรา (Pandora box) นั้นเป็นตำนานที่มีความเกี่ยวเนื่องกับตำนานการสร้างโลกของกรีกโบราณ   โดยมีเรื่องเล่าว่า   ในสมัยที่โลกเพิ่งถือกำเนิดมาใหม่ๆ นั้น   สิ่งมีชีวิตทุกอย่างยังคงอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตร   จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งเทพเอรอส (Eros)  เห็นว่าควรมอบสิ่งที่เรียกว่าสัญชาติญาณและลักษณะเฉพาะพิเศษให้แก่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเพื่อยังชีพและอยู่อย่างมีความสุข    จากนั้นเทพเอรอสก็เรียกตัว โพรมิเทียส (Prometheus) กับ เอพิเทียส (Epitheus) สองพี่น้องมาช่วยงานในโครงการมอบจิตสำนึกและคุณลักษณะเฉพาะให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย   และวางแผนจะสร้างสิ่งมีชีวิตที่พิเศษที่สุดนั่นก็คือ “มนุษย์” ขึ้นมา  เพื่อควบคุมสิ่งมีชีวิตอื่นๆ


        โพรมิเทียสและเอพิเทียสได้เตรียมการทุกอย่างไว้อย่างพร้อมสรรพ   แต่ด้วยความสะเพร่าทั้งสองพี่น้องเผลอมอบสิ่งดีๆ ที่เตรียมเอาไว้ให้แก่สัตว์อื่นๆ จนหมด  โดยไม่หลงเหลือให้กับมนุษย์   ดังนั้นโพรมิเทียสและเอพิเทียสจึงปั้นมนุษย์ขึ้นมาจากดินเหนียวเพื่อเป็นการแก้ปัญหา   โดยใช้ลักษณะของเทพเจ้าเป็นแบบ    จากนั้นเทพเอรอสก็ได้ประทานลมหายใจแห่งการมีชีวิตให้กับมนุษย์ไว้ที่จมูก   เทพมิเนอร์วา หรือ พัลลาส์ (Minerva -  Pallas หรืออีกชื่อที่รู้จักกันดีคือ เอเธน่า Athena) ได้ประทานสิ่งที่เรียกว่าดวงวิญญาณ   มนุษย์จึงสามารถเคลื่อนไหวและมีชีวิตได้    


        โพรมิเทียสรู้สึกภูมิใจในผลงานชิ้นนี้มาก   เขาคอยเฝ้าติดตามดูผลงานชิ้นนี้จนกระทั่งเขาได้มอบพลังอันยิ่งใหญ่บางส่วนของเขาให้แก่มนุษย์โดยไม่สนใจสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลก  การกระทำนี้ทำให้มนุษย์มีอายุขัยมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ


        เท่านั้นยังไม่พอโพรมิเทียสยังคิดที่จะมอบไฟให้แก่มนุษย์อีกด้วย   แต่ไฟเป็นสมบัติแห่งเทพ  มนุษย์ไม่มีสิทธ์ได้ไว้ในครอบครอง  และตัวโพรมีเทียสเองก็รู้ว่าเทพทั้งหลายก็คงจะไม่ยินยอมมอบไฟให้แก่มนุษย์เป็นแน่   เขาจึงตัดสินใจขโมยไฟลงจากสวรรค์เพื่อนำไปมอบให้กับมนุษย์    ซึ่งตัวโพรมิเทียสเองก็ใคร่ครวญแล้วว่าการกระทำเช่นนี้คงจะสร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าทวยเทพอย่างแน่นอนและนั่นยังอาจหมายถึงชีวิตของเขาอีกด้วย   แต่เขาก็ยังดึงดันจะทำ   โดยในคืนหนึ่ง  โพรมีเทียสก็ได้เริ่มแผนการที่วางเอาไว้   เขาแอบขึ้นไปที่เขาโอลิมปัสแล้วลอบเข้าไปในที่พักอาศัยของเหล่าเทพ  จากนั้นก็ฉวยเอาคบเพลิงซ่อนเอาไว้ในอกเสื้อ  แล้วก็ลอบลงมาที่โลกมนุษย์แล้วก็มอบไฟที่ขโมยมาให้กับมนุษย์ที่เขาสร้างขึ้นเองกับมือ  ซึ่งไฟนั้นต่อมาก็สร้างคุณประโยชน์มากมายให้แก่มนุษย์


        ต่อมาเมื่อเทพซุส หรือ ซีอุส (Zeus)  ผู้เป็นประธานใหญ่ของเหล่าทวยเทพสังเกตเห็นแสงไฟที่ไม่ควรจะมีในโลกมนุษย์จากบัลลังก์บนยอดเขาโอลิมปัสก็ให้นึกสงสัย   จึงเร่งสืบให้รู้ถึงที่มาของแสงไฟนั้น   แล้วก็พบว่าเป็นไฟที่ถูกขโมยลงไปจากสวรรค์  ก็ทำให้พิโรธอย่างหนัก  แม้แต่เทพองค์อื่นๆ ก็พากันหวาดกลัวไปด้วย   เทพซุสตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องจับตัวโพรมิเทียสมาลงโทษให้สาสม   โดยโพรมิเทียสถูกเทพซุสจับตัวไปทรมานที่แถบเทือกเขาคอเคเซียน (Caucasian)  จากนั้นก็ล่ามตัวโพรมิเทียสที่โขดหินสูงแห่งหนึ่ง  แล้วให้อดข้าวอดน้ำ   แถมด้วยการใช้ให้นกแร้งมาคอยฉีกทึ้งตับของโพรมีเทียสให้ได้รับทุกขเวทนาอย่างสาหัส   พอตกค่ำเมื่อนกแร้งหลับแล้ว   แผลของโพรมิเทียสก็จะบรรเทาจากอาการเจ็บปวด  และรุ่งเช้าของวันใหม่จึงเริ่มต้นการทรมานอันแสนทารุณไปเรื่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้โดยไม่มีวันจบสิ้น     แม้มนุษย์จะตายไปรุ่นแล้วรุ่นเล่าก็ยังคงสรรเสริญคุณความดีของโพรมิเทียสตลอดมา  จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายศตวรรษ  เฮอร์คิวลีส ผู้ซึ่งเป็นบุตรของเทพซุสก็ผ่านมาที่เกาะนี้และช่วยปลดปล่อยให้โพรมิเทียสเป็นอิสระในเวลาต่อมา


        ซึ่งถ้าใครเคยอ่านหนังสือตำนานกรีก-โรมัน ฉบับสมบูรณ์ของคุณมาลัยแล้วจะพบว่าตำนานที่ la plume นำมาเล่าสู่กันฟังนั้นจะมีความแตกต่างกันตรงที่สาเหตุที่ทำให้มหาเทพซุสโกรธนั้นก็เป็นเพราะว่ามนุษย์มีความเหิมเกริมและท้าทายต่ออำนาจของเทพมากขึ้น  ซึ่งทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างเทพและมนุษย์ในเรื่องการเซ่นสังเวยต่อเทพเจ้า   โดยโพมิเทียสเลือกที่จะเข้าข้างมนุษย์โดยทำกลอุบายลวงตาของมหาเทพซะ    โดยแบ่งวัวเครื่องเส้นออกเป็น 2 ส่วน   เอาส่วนที่กินได้คือเนื้อและเครื่องในซ่อนไว้ในห่อหนังแล้วก็เอาพังผืดเส้นเอ็นคลุมทับเอาไว้   ส่วนอีกส่วนหนึ่งเอากระดูกมากองรวมกันแล้วก็คลุมทับด้วยส่วนที่คล้ายมันเพื่อให้สวยงาม   แล้วมหาเทพก็เลือกส่วนที่ดูสวยงาม  แต่พอทรงเปิดออกมาพบกองกระดูกก็พิโรธหนักจึงได้ริบเอาไฟของมนุษย์ไป  ซึ่งต่อมาภายหลังโพรมิเทียสก็ลักลอบนำไฟลงไปให้มนุษย์อีก  จึงทำให้มหาเทพยิ่งเดือดสุดๆ  และจับโพรมิเทียสมาทรมานอย่างที่กล่าวไปแล้ว


        ด้านเทพซุสแม้จะได้กระทำการลงโทษโพรมิเซียสแล้วก็ยังไม่พอใจ   ความโกรธแค้นที่มีต่อมนุษย์ยังครุกรุ่นอยู่   มหาเทพจึงเรียกประชุมสภาเทพเพื่อสร้างมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาหวังจะแก้เผ็ดพวกมนุษย์   มนุษย์สาวที่บรรดาเทพช่วยกันสร้างขึ้นนั้นมีลักษณะที่งดงามตรึงตาตรึงใจ  เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันเย้ายวนของหญิงสาว  อีกทั้งยังมีเสียงที่หวานไพเราะจับใจ   และตั้งชื่อให้เธอว่า “แพนโดรา” (Pandora) ที่แปลว่าของขวัญจากทวยเทพ   จากนั้นก็ส่งให้เทพเมอร์คิวรี่นำเธอไปส่งให้โพรมิเทียสโดยบอกว่าเป็นของกำนัลจากเทพทั้งหลาย   ซึ่งโพรมิเทียสก็พอจะเดาอะไรๆ ได้  จึงปฏิเสธที่จะรับของขวัญพิเศษชิ้นนี้ไว้   และยังกำชับเตือนเอพิเทียสผู้น้องให้อย่ารับแพนโดราอีกด้วย   แต่ก็ไม่เป็นผล  เพราะเอพิเทียสเกิดรักแรกพบทันทีที่ได้เห็นแพนโดรา  และไม่เชื่อว่าสาวงามขนาดนี้จะนำความไม่ดีมาสู่ตนได้   จึงรับแพนโดราไว้เป็นภรรยาของตน


        ซึ่งในตอนที่แพนโดราลงมาจากสวรรค์นั้นมหาเทพก็ประทานกล่องที่สวยงามวิจิตรมาใบหนึ่งโดยทรงกำชับเธอว่าห้ามเปิดดูโดยเด็ดขาด  โดยเทพีเฮรา (Hera-เป็นมเหสีเอก หรือ ภรรยาหลวงของเทพซุสนั่นเอง) ก็ได้แอบแกล้งมากระซิบถามแพนโดราให้เธอนึกสงสัยซะอย่างนั้น   วันเวลาผ่านไปแพนโดราก็ยังไม่คลายจากความสงสัยในกล่องใบนั้นและพยายามรบเร้าให้เอพิเทียสเปิดกล่องซึ่งแน่นอนว่าเอพิเทียสไม่เห็นด้วย   จนกระทั่งวันหนึ่งเอมิเทียสไม่อยู่บ้านเธอจึงจ้องมองที่กล่องใบนั้นด้วยความกระสับกระส่าย   ในใจว้าวุ่นด้วยความลังเลว่าจะเปิดกล่องดีไม่เปิดกล่องดี   แต่แล้วความสงสัยก็เป็นฝ่ายชนะเมื่อมือของเธอเริ่มปลดสลักที่กล่องออก  แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความลังเล   จนกระทั่งสลักชิ้นสุดท้ายได้เลื่อนออกจากกล่อง   ฝาก็เปิดออกพร้อมลมและควันสีดำก็โพยพุ่งออกมาจากกล่อง   ด้วยความแรงของระเบิดทำให้เธอลงไปนอนกองอยู่บนพื้น   แล้วควันเหล่านั้นก็ทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้ม  อุณหภูมิเริ่มเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที  ซึ่งสิ่งที่หลุดออกมาจากกล่องนั้นก็คือความทุกข์   โรคภัยไข้เจ็บ  ความอดอยาก  ความผิดหวัง  ความชั่วร้ายและปีศาจต่างๆ นั่นเอง   เมื่อเอพิเทียสกลับมาถึงบ้านก็พบว่าแพนโดรากำลังนั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่หน้ากล่องหายนะใบนั้นก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวทันที   แต่เขาก็เหลือบไปเห็นสิ่งสุดท้ายที่ถูกเก็บไว้ในกล่อง  มันมีลักษณะเหมือนภูตที่มีลักษณะสว่าง  ซึ่งเรียกว่า “ความหวัง” (Hope) ได้อ้อนวอนขอให้แพนโดราช่วยปลดปล่อยให้มันเป็นอิสระ   แต่เธอก็ปฏิเสธเนื่องจากเธอไม่อยากจะทำผิดซ้ำสอง  แต่ “ความหวัง” ก็ยังอ้อนวอนขอให้ปล่อยเธอออกมาจนได้   ซึ่งเจ้าความหวังนี้ก็คือความเวทนาที่เทพมีต่อมนุษย์โดยเหลือทิ้งไว้ให้ก้นกล่องใบนั้นนั่นเอง


    แต่บางตำนานก็เล่าว่ากล่องแห่งความหายนะนั่นแพนโดราไม่ใช่คนถือลงมา  แต่เป็นเทพแห่งการสื่อสาร  เมอร์คิวรี่แกล้งทำทีแบกกล่องใบใหญ่มาฝากไว้ที่บ้านของเอพิเทียส  โดยกำชับว่าห้ามเปิดดูโดยเด็ดขาด   ฝ่ายแพนโดราเมื่อเห็นกล่องก็อยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในจึงอ้อนวอนให้เอพิเทียสช่วยเปิดกล่องออกดูของข้างใน   แต่เขาก็ปฏิเสธ   จนกระทั่งวันหนึ่งเอพิเทียสออกไปพบเพื่อนทิ้งให้แพนโดราอยู่บ้านคนเดียว    จึงเป็นโอกาสของแพนโดราที่จะได้ทำสิ่งที่อยากจะทำ   เธอเข้ามาใกล้กล่องใบนั้นและสังเกตว่าตัวกล่องทำจากไม้เนื้อสีดำ   ฝามีการแกะสลักอย่างประณีต  รอบๆ กล่องประดับด้วยขดด้ายสีทองที่ส่องประกายเรืองรอง    เมื่อความอยากรู้มันมีมากขึ้นๆ เรื่อยๆ เธอจึงแอบเปิดกล่องออกดู   ซึ่งในระหว่างที่เธอกำลังทำการปลดล็อคเธอก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระซิบอะไรบางอย่างออกมาจากกล่อง   เสียงนั้นเรียกร้องขอความเป็นอิสระ  ซึ่งทำให้เธอลังเลว่าเธอควรจะเปิดออกดูดีมั้ย   แต่สุดท้ายแพนโดราก็แพ้ใจตัวเอง   เมื่อฝากล่องถูกเปิดออก   โรคภัยไข้เจ็บ  ความทุกข์  ความเศร้า  สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ก็ตรงเข้าเล่นงานมนุษย์   มีฝูงแมลงที่มีปีกสีน้ำตาลคล้ายฝูงผีเสื้อราตรีตรงเข้าโจมตีแพนโดราและเอพิเทียสที่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน   จากนั้นพวกแมลงก็บินหนีออกไปทางประตูและหน้าต่าง


        เอพิเทียสกับแพนโดราไม่เคยเจอกับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน    ทั้งเจ็บปวด   โกรธเกรี้ยวและสิ้นหวัง   มันทำให้ทั้งเอพิเทียสและแพนโดราต่างคร่ำครวญร้องไห้เป็นครั้งแรกในชีวิต   เอพิเทียสรู้สึกโกรธเคืองในความโง่เขลาของภรรยาของตนมาก   แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงดังออกมาจากกล่องเจ้ากรรม    เสียงนั้นขอให้ช่วยปลดปล่อยมันออกไปโดยมันสัญญาว่าจะรักษาแผลตามตัวคนทั้งสองให้โดยแลกกับความเป็นอิสระของมัน   แพนโดราจึงตัดสินใจเปิดกล่องนี้ออกมาอีกครั้งหนึ่งและก็ได้พบกับสิ่งที่เหลืออยู่ก้นกล่อง  นั่นก็คือ “ความหวัง” ( ในบ้างที่กล่าวว่ามันคือ"คำพยากรณ์" Omen ที่ทำให้เกิด"ความหวัง") จากนั้นความหวังก็รักษาแผลให้แพนโดราและเอพิเทียส  แล้วก็รีบบินออกไปเพื่อต่อสู้กับความชั่วร้ายพร้อมทั้งช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×