ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ambition | Shawn Mendes FanFiction [END]

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 6

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 462
      20
      13 เม.ย. 65


     
     
             "ช่วยเงียบเสียงลงหน่อยได้มั้ยคะ"
     
             ฉันอ้าปากพูดประโยคเดิมเป็นรอบที่สิบภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง เสียงเคาะปากกากับโต๊ะช่างน่ารำคาญใจในช่วงเวลาที่กำลังพยายามนั่งทำงานอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นของชอว์น เมนเดส
     
             พายุหิมะหยุดลงแล้ว นั่นเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ขนาดของกองหิมะด้านนอกดูไม่มีแววว่าจะรีบละลายลงในเร็วๆนี้ และฉันไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ที่บ้านของเด็กอายุสิบแปดไปอีกนานแค่ไหน   เราไม่ได้คุยกัน ปล่อยให้เสียงของพิธิกรในทีวีพูดไปเรื่อยๆ ที่จริงเราไม่ได้ใส่ใจจะดูอะไรในจอด้วยซ้ำ และเราต่างรู้ดีว่าความเงียบนี้มันช่างน่าอึดอัด
     
             ชอว์น เมนเดสหยุดเคาะปากกา แม้ดูเหมือนจะพยายามเขียนบางอย่างลงบนสมุดโน้ตมาครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่กระดาษก็มีการเขียนไปแค่บรรทัดครึ่ง
     
            มันน่าอึดอัดกว่าเก่าเมื่อเขาเริ่มจ้องมองมาที่ฉันแทน
     
            ความอึดอัดกำลังกัดกินเรา ดังนั้นฉันควรจะหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลาที่เดินเหมือนหอยทากไม่มีเมือก
     
            "อยากดื่มชามั้ยคะ"
     
            "ไม่ ขอบคุณ" ชอว์นปฏิเสธ "ที่จริงผมน่าจะถามคุณมากกว่าเพราะผมเป็นเจ้าของบ้าน" เขากระแอมไอ "คุณอยากได้สักถ้วยมั้ยล่ะ"
     
            "ก็ดีค่ะ ขอบคุณ" ฉันปิดจอแล็ปท็อป นิ้วเคาะที่เครื่องหมายแอปเปิ้ลกัดครึ่งลูกตรงกลางจอก่อนจะลุกขึ้นและตามชอว์นไปที่ห้องครัว
     
            หน้าต่างบานใหญ่ยังถูกเปิดไว้ กลิ่นไหม้จากปลาแซลม่อนค้างคาอยู่เลือนลาง  ความหนาวเย็นด้านนอกพัดเข้าห้องครัว ฉันลากเก้าอี้บาร์ที่ตอนนี้เย็นเฉียบออกและหย่อนตัวลงนั่ง ในขณะที่ชอว์นเปิดตู้บนกำแพงด้านบนออก  เขาใช้มือควานหาสิ่งของรกๆในนั้นไปมาเหมือนกับว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้พบบางอย่างที่ต้องการ
     
            "กาแฟก็ได้นะคะถ้าบ้านคุณไม่มีชา" ฉันบอก
     
            "โทษที ปกติผมดื่มแค่กาแฟ" ชอว์นปิดตู้ลงในที่สุด เขาหันมายิ้มแห้งๆให้พลางเอื้อมมือไปหยิบขวดโหลใส่ผงกาแฟ
     
            "คุณโอเคมั้ยคะ ฉันคิดว่ามือคุณสั่น" ฉันขยับตัวจากเก้าอี้  ตั้งท่าจะลุกขึ้นเมื่อเห็นชอว์นยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าเคาน์เตอร์ แต่เพราะเจ้าตัวบอกปัดและยกมือห้ามไม่ให้ฉันเข้าไปช่วย ทั้งหมดที่ทำจึงมีเพียงแค่นั่งมอง
     
            หลังจากที่มือใหญ่ของชอว์นหมุนฝาเปิดขวดโหลออก หายนะก็บังเกิดเมื่อเขาทำโหลหลุดจากมือ  มันกลิ้งไปมาอยู่บนเคาน์เตอร์พร้อมกับผงกาแฟสีน้ำตาลเข้มเกือบครึ่งที่หกออกมาเลอะเทอะและกระจัดกระจายตกลงพื้น
     
            ฉันรีบลุกขึ้นไปช่วยชายหนุ่มตรงหน้า หยิบแก้วกาแฟออกจากชั้นวางสองถ้วยและผลักให้ชอว์นออกห่างจากความเลอะเทอะตรงหน้า  "ฉันทำเองค่ะ คุณควรไปหาเสื้อผ้าอุ่นๆมาใส่แล้วนั่งรอ"
     
            "แต่นี่บ้านผม"
     
            "คุณคิดว่าฉันจะขโมยของบ้านคุณเหรอคะ" ฉันเลิกคิ้วขึ้น มือข้างหนึ่งใช้ช้อนตักผงกาแฟ "จะบอกให้ บ้านคุณไม่มีอะไรน่าขโมยสักอย่างค่ะ"
     
            "ก็ว่าไป" ชอว์นพ่นลมออกจมูก ฉันคิดว่าเขาอาจกำลังหัวเราะ - จะอะไรก็แล้วแต่  สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ยอมถอยห่างออกไป
     
            หลังจากที่รอให้น้ำในกาเดือด ฉันเดินกลับไปหลบลมเย็นตรงหน้าต่างบนเก้าอี้ตัวเดิม  เพราะกลิ่นไหม้ยังไม่จางหายไปจึงต้องเปิดหน้าต่างแง้มทิ้งไว้  มือถือบนโต๊ะเริ่มสั่นทำเอาสะดุ้งเฮือกในเวลาต่อมา ใบหน้ายิ้มแย้มร่าเริงของเบคก้าวาบขึ้นในจอมือถือ
     
            และมันเป็นอีกครั้งที่ฉันกดทิ้ง  การแจ้งเตือนโชว์มิสคอลมากกว่ายี่สิบสาย ข้อความที่แบรดและเบคก้าส่งมามีอีกเกือบยี่สิบห้าข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน   ฉันแทบจะโยนมือถือทิ้งบนเคาน์เตอร์เมื่อเห็นตัวเลขเหล่านั้น และเมื่อรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มันสไลด์ไปตามพื้นโต๊ะเคาน์เตอร์จนเลยไปถึงขอบโต๊ะและกำลังจะหล่นหลงพื้น
     
            "อย่าทำลายมือถือ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่คุณจะเสียใจทีหลัง" ชอว์นใช้มือข้างหนึ่งรับมือถือไว้ เขาแกว่งมันไปมาในมือและยื่นมันคืนให้ฉัน  ชอว์นกลับมาในห้องครัวอีกครั้งพร้อมเสื้อกันหนาวสีดำสวมทับสเวตเตอร์ตัวเก่า
     
            "ขอบคุณค่ะ" ฉันเท้าคาง นวดขมับเพื่อพยายามผ่อนคลายให้ได้มากที่สุด
     
            "ถามได้มั้ยว่าคุณโอเครึเปล่า" เขาพูด "คุณดูอารมณ์ไม่ดีนะ"
     
            "เปล่าค่ะ ฉันสบายดี" ฉันส่ายหัวตอบ พอดีกับที่กาต้มน้ำได้ที่จึงลุกไปจัดการเทน้ำใส่แก้ว
     
            ชอว์นเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เขารับแก้วตัวเองไปและปีนขึ้นนั่งบนโต๊ะเคาน์เตอร์มองหน้าฉัน  มันเป็นเวลาสักพักใหญ่ที่ฉันพยายามจะไม่ใส่ใจมันและเดินกลับไปนั่งดื่มกาแฟที่เก้าอี้ตัวเดิม จนกระทั่งความอึดอัดมีมากเกินต้านทาน
     
            "มองอะไรคะ" 
     
            "รู้มั้ย เวลาคนเราเครียดก็ควรระบายออกมาให้ใครสักคนฟัง" เขาพูดพลางยกกาแฟขึ้นซด
     
            "ฉันไม่ได้เครียดค่ะ"
     
            "โถ่คุณเห็นผมเป็นเด็กห้าขวบหรือไงกัน" ชอว์นแบมือข้างหนึ่งออก "ผมดูออก ดังนั้นอย่าปฏิเสธ"
     
            ฉันเม้มปาก ถอนหายใจพลางเท้าคางกับโต๊ะ "ก็ใช่ ฉันเครียดนิดหน่อย ไม่มีอะไรมากค่ะ"
     
            "พูดออกมาได้นะ" ชายบนเคาน์เตอร์ยักไหล่ "เล่าเรื่องส่วนตัวให้คนแปลกหน้าฟังปลอดภัยกว่าคนที่ใกล้ชิดอีก เคยได้ยินแอนดรูว์พูดรึเปล่า"
     
            "แต่คงใช้ไม่ได้สำหรับคนอย่างคุณ"
     
            "ประมาณนั้น  แต่ผมไม่ได้เป็นคนเครียด คุณต่างหาก" เขาย้อน
     
            เราเงียบกันอยู่ครู่หนึ่งเมื่อชอว์นพูดจบ   ฉันก้มลงมองควันที่ลอยอยู่เหนือแก้วกาแฟ  มองของเหลวสีน้ำตาลเข้มในนั้นอย่างลำบากใจเมื่อคิดเรื่องที่เป็นกังวลมาทั้งวัน  ความโกรธ หงุดหงิด โมโห ทุกอย่างรวมกันอยู่ในหัว และฉันไม่รู้ว่ามันจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่  แต่การเล่าให้ชอว์น เมนเดสฟังนั้นไม่ได้อยู่ในรายการสิ่งที่ต้องทำ
     
            ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้บาร์ ยกแก้วกาแฟออกไปจากห้องพร้อมด้วยโทรศัพท์มือถือ  ตอนนี้แค่อยากจะนั่งดื่มกาแฟอุ่นๆฆ่าเวลาและความรู้สึกหดหู่เท่านั้น  เมื่อเดินมาถึงห้องนั่งเล่น หน้าต่างด้านนอกก็เต็มไปด้วยน้ำแข็งเกือบครึ่งบานแล้ว
     
            "คุณคงไม่คิดจะปีนหน้าต่างออกไปในเวลานี้นะ" ชอว์นถาม  เขาเดินมายืนพิงกรอบประตู ยกกาแฟขึ้นซด สีหน้าเปลี่ยนมานิ่งเฉยอีกครั้ง  แต่นั่นก็ยังดีกว่าทำหน้าบึ้งแบบที่ชอบทำ
     
            "ก็กำลังคิดค่ะ" ฉันเดินไปหยิบเหล็กท่อนยาวผอมบางข้างเตาผิง  หางตาเห็นชอว์นสะดุ้งขณะที่ฉันเดินไปตรงกระจกหน้าต่างบานใหญ่
     
            "เดี๋ยวๆ จะทำอะไรน่ะ" ชายหนุ่มรีบวิ่งตามมา "คุณคงไม่คิดว่าการใช้เหล็กนี่แงะแล้วจะทำให้เปิดหน้าต่างออกได้หรอกใช่มั้ย"
     
            "มันก็ยังดีกว่านั่งรออยู่แบบนี้ไม่ใช่เหรอคะ"
     
            "นี่มิส--"
     
            "สเตฟานี่ค่ะ" ฉันย้อนกลับพลางหันไปมองคนข้างตัว  มือข้างหนึ่งใช้เหล็กค้ำอยู่ตรงขอบหน้าต่าง
     
            "สเตฟานี่" ชอว์นรีบแก้ประโยค "ผมรู้ว่าคุณเก่ง แต่คุณคงไม่คิดจะเดินฝ่าหิมะกองสูงเท่าหลังคารถยนต์ออกไปใช่มั้ย  เพราะถ้าคุณทำ  ผมคงคิดผิดไปที่มองว่าคุณฉลาด"
     
            "ฉันแค่อยากจะออกไปจากที่นี่  - ฉันหมายถึง ฉันไม่อยากอยู่รบกวนคุณ"
     
            "โอเค ฟังนะ" ชอว์นยกมือสองข้างขึ้นมา ทำท่าเหมือนอยากให้ฉันใจเย็นลง "ผมไม่ปฏิเสธในทีแรกว่าผมไม่ชอบคุณ  แต่ผมไม่ได้เกลียดคุณขนาดที่ว่าจะไม่ยอมให้คุณอยู่ในบ้านได้ในสถานการณ์แบบนี้" เขาบอก "ผมเป็นคนมีเหตุผลกว่านั้น"
     
            "แต่คุณก็ยอมรับว่าคุณไม่ชอบหน้าฉัน" ฉันกอดอก กระชับเสื้อโค้ตที่สวมอยู่ให้คลุมหน้าอกป้องกันความหนาว "คุณมีเหตุผลสำหรับเรื่องนั้นรึเปล่า"
     
            "ก็คุณเป็นนักข่าว" คนตรงหน้าตอบทันทีที่ถูกถาม  เขาใช้ไหล่พิงกำแพงข้างหน้าต่างและจ้องหน้าฉัน "นั่นมันไร้สาระ  แต่คุณไม่คิดเหรอว่าทุกครั้งที่ผมเจอคุณ  ผมก็คิดเหมือนกับคุณ"
     
            "คิดอะไรคะ"
     
            "คิดว่าคุณก็ไม่ชอบผมไง"
     
           ฉันพูดไม่ออกเมื่อชอว์นตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแบบนั้น  สายตาแน่วแน่ที่จ้องใบหน้าชอว์นถูกทำลายลงทันที  ฉันก้มมองพื้นเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของเขา  ความเงียบเริ่มคืบคลานวนเวียนอยู่รอบตัวเราอีกเป็นรอบที่ล้าน ฉันได้ยินชอว์นถอนหายใจแผ่วเบา
     
           ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันมั่นใจว่าพยายามเป็นกลางกับงานนี้มากที่สุดแล้ว  ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพลาดเรื่องนั้นตอนไหนหรือเมื่อไหร่กัน
     
           "ผมไม่สนว่าเพราะอะไร นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ  แค่อยากบอกให้รู้ไว้ว่าผมไม่ใช่คนเดียวที่ทำตัวไม่มีเหตุผลในเรื่องนี้  และอย่าเอาผมไปเหมารวมกับเรื่องที่คุณเจอในอดีต  แค่นั้นที่ผมต้องการ"
     
           ฉันสูดหายใจแรง หลบสายตาคนตรงหน้าและหันไปมองนอกหน้าต่างที่ตอนนี้หิมะสีขาวโพลนปกคลุมทั่วบริเวณด้านนอก   แม้กระทั่งถังขยะก็ถูกหิมะบังทับจนมิด  เกล็ดหิมะเล็กๆตกลงจากฟ้าอีกครั้ง ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตด้านนอก
     
           "ฉันขอโทษค่ะ" ฉันพูดในเวลาต่อมา สุดท้ายก็กล้ามองคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ "ฉันมัวแต่คิดว่าตัวเองควรจะไปทำงานอย่างอื่น"
     
           ชอว์นจ้องหน้ากลับอยู่พักใหญ่  วินาทีแรกฉันคิดว่าเขาอาจไม่ยินดีรับคำขอโทษเพราะสีหน้านิ่งสนิทแบบนั้น แต่เมื่อเขาคลายคิ้วที่ขมวดเข้าหากันออก มันก็ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาได้บ้าง
     
           "ช่างเถอะ ผมก็ผิด" เขาเสมองไปทางอื่น  สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินจากไป หย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวที่อยู่กลางห้องนั่งเล่น
     
           บัดนี้ความรู้สึกผิดเริ่มท่วมท้นอย่างไม่มีสาเหตุ  ฉันก้มลงมองมือสองข้างที่อยู่บนตัก เหลือบมองเหล็กแท่งยาวข้างตัวและหิมะจำนวนหนึ่งที่เกาะอยู่อีกด้านของหน้าต่าง   มันเป็นเวลาพักใหญ่ที่เหม่อมองออกไปด้านนอก แสร้งไม่สนใจกับโทรศัพท์มือถือที่สั่นอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ต
     
           ที่ผ่านมาชอว์นไม่ใช่คนที่ผิดอยู่ฝ่ายเดียว  มีอีกเรื่องเช่นกันที่ฉันคิดอคติเกินไปจากสาเหตุในอดีตที่ไม่ได้บอกให้ใครฟัง
     
           และเพราะคิดได้อย่างนั้น  ฉันจึงลุกขึ้นจากขอบหน้าต่าง เดินไปนั่งลงบนโซฟาข้างชอว์น เมนเดสเงียบๆ
     
       
     
      
             ไม่เคยคิดว่าการที่เรานั่งอยู่กันคนละฟากของโซฟาที่ห่างกันแค่ไม่กี่นิ้วจะทำให้รู้สึกเหมือนห่างกันเป็นกิโลได้ จนกระทั่งตอนนี้   ชอว์นนั่งๆนอนๆดูทีวีอยู่พักใหญ่แล้ว เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดและเลื่อนนิ้วไปมาบนจอ ฉันยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานในแล็ปท็อปที่วางบนตัก
     
            ข้อความแม้กระทั่งในอีเมลมีชื่อแบรดโชว์เด่นหราอยู่ด้านบนสุด  เขาพยายามทำทุกวิถีทางให้ฉันตอบรับการโทรหรือการส่งข้อความของเขา  และทุกครั้งที่สไกป์เด้งขึ้นมาในจอพร้อมกับเสียงเรียกเข้า ฉันจะรีบกดทิ้งตั้งแต่วินาทีแรก   แต่เพราะมันไม่ได้มีแค่ครั้งสองครั้ง คนที่อยู่อีกฟากของโซฟาจึงเริ่มจะหมดความอดทน
     
            "ผมหวังว่าคุณจะปิดเสียงการโทรเข้านั่น" ชอว์นเอ่ยปากพูด  เสียงเขาดูแหบทุ้ม อาจเพราะไม่ได้เปล่งเสียงพูดมาได้สักพักใหญ่
     
            "ขอโทษค่ะ" ฉันกระแอมไอก่อนตอบ  แต่เพราะการโทรที่ไม่หยุดหย่อนเสียที บวกกับความรำคาญที่เริ่มทวีคูณเพิ่มขึ้น ฉันจึงตัดสินใจใช้มือปิดจอและดับเครื่องลงให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไป
     
            เสียงหน้าจอแล็ปท็อปกระทบกันทำให้ชอว์นสะดุ้ง เขาเหลือบตามามองฉันเป็นครั้งแรกตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมา "ผมไม่ได้บอกให้คุณปิดแล็ปท็อป"
     
            "ฉันแค่อยากปิดค่ะ" ฉันนวดขมับตัวเองพลางหลับตาสนิทเพื่อพยายามคลายอาการมึนหัว  นึกขอบคุณที่สภาพแวดล้อมในบ้านนี้ไม่ได้มืดทึบและดูน่าอึดอัด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นการอยู่ที่นี่ต่อคงเป็นไปอย่างยากลำบาก
      
            ชอว์นไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามองจอทีวีอย่างเบื่อหน่าย  เสียงไม้แตกเป็นจังหวะดังอยู่ที่เตาผิงใต้ทีวีจอแบนติดผนัง เสียงพูดของเอมิลี่ แวนแคมป์ในซีรี่ย์ดังกลบเกลื่อนความเงียบ  คนข้างตัวสูดหายใจแรงและลุกขึ้นจากโซฟา  เขาเดินออกไปจากซุ้มไม่มีประตูริมห้อง  มันจึงเปิดโอกาสให้ฉันได้ถอนหายใจออกมา
     
            ครู่หนึ่งมือเผลอควักโทรศัพท์มือถือออกมาดู   ไม่มีอะไรน่าสนใจในข่าวสารรายวันนอกเสียจากข่าวพายุหิมะและกองหิมะหนาเกือบหกฟุตในบางแห่งของนิวยอร์ก
     
            ไม่รู้ว่ามันมีกี่ข้อความจากเบคก้าที่เขียนว่า 'ฉันขอโทษ' กับ 'โทรกลับมาถ้าเธอว่างหรือเห็นข้อความนี้'  ไม่ได้ใส่ใจคิดจะเปิดอ่านมัน   อาจเรียกว่าใจร้ายใจดำกับคนอ่อนโยนแบบเบคก้า แต่เพราะรู้ดีว่าการยอมปล่อยเธอให้เข้ามาในเวลานี้มีแต่จะทำให้เรื่องแย่กว่าเก่า
      
            ฉันต้องหาหนังสืออ่านสักเล่ม เพราะมันเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้จิตใจผ่อนคลายและจิตใจสงบ หนังสืออะไรก็ได้  อาจเป็นนิยายฆาตกรรมเลือดสาดหรือสืบสวนสอบสวน แต่ฉันไม่คิดว่าชอว์นจะเป็นคนอ่านหนังสือประเภทนั้น
     
            วินาทีต่อมาฉันตัดสินใจถดตัวขึ้นจากโซฟา มองไปรอบๆเพื่อหาชั้นวางหนังสือที่น่าจะมีในห้องนั่งเล่น แต่เพราะมันไม่มีวี่แววของหนังสือหรือแม้แต่กระดาษ จึงเริ่มเดินออกจากห้อง เดินไปตามโถงทางเดินแคบๆที่ผนังสองข้างเป็นสีขาวสะอาดตา  ครู่หนึ่งแว่วเสียงแผ่วเบาไกลๆ ฟังคล้ายเสียงกระดิ่งลมที่โดนพายุพัด
     
            การออกเดินช้าๆในบ้านของคนไม่สนิทใจทำให้รู้สึกอึดอัด กลัวว่าอาจเผลอเข้าห้องหรือเดินผ่านห้องที่ไม่ควรเห็น หรือเผลอสังเกตุเห็นบางสิ่งที่เจ้าของบ้านไม่ได้ตั้งใจให้เห็น   เสียงที่ได้ยินดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อเดินลึกไปตามทาง ตอนนี้ระบุได้ว่าเป็นเสียงเปียโน  แม้ไม่รู้ชื่อเพลง แต่ก็รู้ว่าเป็นเพลงที่เล่นตามอารมณ์ด้วยความชำนาญ
     
            ประตูบานหนึ่งเปิดกว้างอยู่ทางมุมซ้ายใกล้หน้าต่างบานใหญ่ที่ด้านนอกทอดยาวไปเป็นสวนหลังบ้าน  ฉันชะโงกหน้ามองภายในห้อง เห็นชั้นหนังสือเรียงรายขนาบผนังสองฟากของห้องโถงใหญ่ เปียโนสีดำตั้งอยู่มุมหนึ่งใกล้หน้าต่างยาวถึงพื้น
     
            ชอว์นนั่งอยู่บนเก้าอี้เปียโน มือเรียวสองข้างพลิ้วไหวบนแป้น  เขาสวมกางเกงยีนส์ขาดๆตัวเดิมแต่ตอนนี้มีแค่เสื้อยืดแขนสั้นสีเทา เท้าเปล่า ผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิงเหมือนพึ่งตื่นนอน  มือที่เคลื่อนไหวรวดเร็วของเขาดูมั่นใจ แล้วก็จำได้ว่าแอนดรูว์เคยบอกว่าชอว์นไม่ได้แตะเครื่องดนตรีมาสักพักใหญ่ด้วยสาเหตุบางอย่าง
     
            และฉันอาจเผลอทำเสียงกุกกักที่หน้าประตูห้อง เพราะเสียงเปียโนหยุดลงกะทันหัน ชอว์นหันมามองที่ประตู
     
            "ฉันอยากได้หนังสือสักเล่มอ่าน" ฉันเลิกพิงกรอบประตูและยืดตัวตรงเดินเข้าไปภายใน
     
            "ฟากนี้เป็นหนังสือดนตรี ผมคงไม่คิดว่าคุณจะอ่านมัน" ชอว์นใช้นิ้วเรียวชี้ไปที่ชั้นวางหนังสือชิดติดผนังขนาดใหญ่ทางฝั่งซ้าย  มืออีกข้างชี้ไปที่ชั้นวางทางด้านขวามือ "คุณน่าจะหาอะไรดีๆอ่านได้ทางนี้"
     
            "ขอบคุณค่ะ"
     
            แป้นเปียโนส่งเสียงประหลาดเมื่อชอว์นเท้ามือและลุกขึ้นยืน "มีหนังสือทำอาหารอยู่ที่ไหนสักแห่งในชั้น บางทีถ้าคุณอยากทำอาหารก็น่าจะลองเอาไปอ่าน"
     
            ฉันพยักหน้ารับพลางไล่นิ้วไปตามสันหนังสือ  เมื่อเห็นคำว่า Cooking กับตัวหนังสือสีแดงตัวหนาจึงหยิบออกจากชั้น  มันยังถูกเคลือบด้วยพลาสติกที่ยังไม่ได้แกะ หน้าปกเป็นรูปนางแบบภรรยาของ John Legend ที่ชื่อว่า Chrissy Teigen นางแบบลูกครึ่งไทยนอร์เวย์
     
            "ฉันอยากได้เล่มนี้ของคริสซี่มานานแล้ว"
     
            "เอาไปสิ" ชายหนุ่มที่ยืนเลือกหนังสืออยู่อีกฟากของชั้นวางบอก  เมื่อฉันเงยหน้าไปจึงเห็นมือข้างหนึ่งของเขารองหนังสือขนาดใหญ่ที่เปิดอ้าไว้
     
            ชั่ววินาทีนั้นคิดได้ว่าเขาเซ็กซี่อย่างที่ไม่เคยสังเกตุเห็น
     
            "มีคนซื้อมาให้ช่วงวันปีใหม่ เขาคงคิดว่าผมจะเป็นคนทำอาหารเป็น" ชอว์นหัวเราะแผ่วเบา เขาปิดหนังสือในมือและเก็บเข้าชั้นวาง จากนั้นจึงกอดอกพิงชั้นหนังสือมองหน้าฉัน "เอาไปเถอะ ผมคงไม่ได้ใช้"
     
            "ฉันไม่เกรงใจนะคะ" ฉันยิ้มพลางกอดหนังสือไว้ในอ้อมแขน
     
            คนตรงข้ามพยักหน้ารับ "บางทีมันอาจสอนให้คุณทำอาหารที่กินได้เหมือนคนทั่วไปบ้าง"
     
            "คุณนี่ช่างแดกดัน" ฉันเบ้หน้า หันหลังเงยหน้ามองหนังสือบนชั้นวางต่ออย่างไม่ใส่ใจ "คุณไม่เลี้ยงสุนัขหรือแมวที่บ้านเหรอคะ"
     
            "ไม่" ชอว์นตอบเสียงแน่วแน่   เขาเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ นั่งย่อเข่าและมองหาหนังสือต่อ "อย่างที่บอก ผมไม่ได้อยู่ที่นี่เป็นประจำ และการแบกสัตว์เลี้ยงขึ้นลงเครื่องบินค่อนข้างลำบากและเสียเวลา"
     
            "งั้นคุณก็อยู่คนเดียวเหรอ" ฉันก้มลงมองชอว์น
     
            "ตามหลักการก็ใช่ นอกจากว่าจะกลับแคนาดาและไปหาครอบครัวในวันพิเศษ" เขาอธิบาย "ผมมีบ้านพักส่วนตัวที่แคนาดา ส่วนใหญ่ถ้ามีเวลาว่างก็พักอยู่ที่นั่น"
     
            "นั่นออกจะเหงา"
     
            "ผมมีทุกอย่างที่ต้องการ" ชอว์นลุกขึ้นยืน "กีตาร์ เปียโน บ้านพัก อาหาร"
     
            "แล้วช่วงนี้คุณเล่นดนตรีบ่อยมั้ยคะ" ฉันถามต่อ เป็นคำถามทางอ้อมที่อาจให้คำตอบกระจ่างได้ และบางทีแอนดรูว์อาจอยากรู้ความเป็นไปของชอว์นกับเครื่องดนตรีใจจะขาด  ระหว่างถามฉันก็เริ่มเดินไปที่เปียโนหลังใหญ่
     
            "ไม่เท่าไหร่" ชอว์นถอนหายใจแรงขณะเดินตามมา "พอดีช่วงนี้...." เขาพูด แต่เงียบไป  ชอว์นใช้แขนข้างหนึ่งเท้ากับเปียโน ต่อมาจึงเริ่มยักไหล่และเบ้หน้า "ช่างมันเถอะ - แล้วคุณเล่นเปียโนเป็นมั้ย"
     
            "ไม่ค่ะ" ฉันตอบ "ฉันไม่ถนัดเรื่องดนตรี"
     
            "สาวทำงาน" ชอว์นพึมพำ  ฉันตั้งท่าจะค้านแต่เพราะเขาเดินอ้อมหลังและผลักฉันให้นั่งลงบนเก้าอี้หน้าเปียโน "รู้มั้ย การเล่นดนตรีช่วยให้ผ่อนคลายพอๆกับการอ่านหนังสือหรือทำอาหาร"
     
            "คงไม่สำหรับคนที่เล่นไม่เป็นมั้งคะ" ฉันเลิกคิ้วขึ้น มองแป้นสีขาวดำตรงหน้าอย่างคนไม่รู้วิธีจัดการกับมัน
     
            "มันไม่ยากขนาดนั้น" อีกฝ่ายตอบพลางเดินมาหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ เขาทำท่าให้ฉันเขยิบตัวเพื่อเหลือที่นั่งให้เขา
     
            นี่เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าเราใกล้กันมากเกินความจำเป็น  และเป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกแบบนั้นอยู่คนเดียวในขณะที่คนข้างๆดูจะไม่ได้ใส่ใจหรือสังเกตุมันด้วยซ้ำ
     
            "เอามือข้างขวาวางตรงนี้" เขาบอกพลางแตะที่ข้อมือฉันเบาๆ "นิ้วหัวแม่มือเป็นหนึ่ง สอง สาม สี่ ไล่ไปเรื่อยๆถึงนิ้วก้อย ส่วนมือซ้ายนับกลับ--"
     
            เสียงมือถือที่วางอยู่บนบริเวณที่ตั้งหนังสือบนเปียโนดังครืดขัดคำพูด  ชอว์นผงะ เขาเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาเร็วเกินความจำเป็น  คล้ายกับกลัวว่าฉันจะเห็นรายชื่อที่สว่างวาบขึ้นบนหน้าจอ  ชายหนุ่มก้มลงมองมือถือ เขาขมวดคิ้วและหันมองฉัน
     
            "เดี๋ยวผมมา"
     
            "ตามสบายค่ะ" ฉันยักไหล่และผายมือข้างหนึ่ง
     
            ท่าทางของชอว์นดูรีบร้อนเมื่อเดินไปที่ประตู เขารีบปิดประตูห้องลงเมื่อเดินจากไป   ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการให้ฉันรับรู้  ถึงแม้การสอดรู้สอดเห็นของฉันจะไม่มีเลยแม้กระทั่งหนึ่งเปอร์เซ็นต์
      
            ซองกระดาษสีน้ำตาลอ่อนที่เสียบอยู่กับชั้นวางหนังสือโผล่พ้นดูสะดุดตา  ภาพความทรงจำที่ชอว์นถือซองกระดาษหลังออกจากร้านหนังสือเกรย์สะกิดใจ   ฉันไม่ควรไปยุ่งกับของของเขา  นั่นคือสิ่งที่คิด แต่อีกส่วนในใจกำลังหาข้อแก้ตัวให้กับความคิดนั้นอย่างน่าประหลาด
      
            เสียงชอว์นคุยโทรศัพท์ยังดังอยู่เรื่อยๆทางด้านนอก ฉันจับใจความไม่ออกและไม่ได้ใส่ใจจะแอบฟัง  ขาทั้งสองก้าวไปข้างหน้าทีละนิดสู่ชั้นหนังสือ มือเอื้อมจับซองกระดาษและเปิดออก  สัมผัสได้ว่ามือถูกกับรูปภาพปึกหนึ่งที่น่าจะมีมากกว่าสิบใบ
     
            บางอย่างในภาพทำให้ความประหลาดใจถาโถมเข้าใส่  แต่ยังไม่ทันที่จะได้เพ่งมองดีๆ เสียงลูกบิดประตูถูกหมุนก็ดังขึ้นฉับพลัน  ฉันรีบยัดรูปภาพกลับเข้าซองตามเดิม  ไม่ได้ดึงเชือกผูกติดเพื่อปิดผนึกซองเพราะเห็นชายคนเดิมกำลังเดินเข้ามาในห้อง มือรีบยัดซองเข้าชั้นวางตามเดิมอย่างลวกๆและเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
     
            "เฮ้" เจ้าของบ้านชะโงกหน้ามาตรงประตู  เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นฉันยืนพิงกระจกหน้าต่างอยู่ "คุณน่าจะมาดูพยากรณ์อากาศหน่อยนะ"
     
     
     

     
     
             พยากรณ์อากาศทำให้เราสองคนนั่งห่อเหี่ยวใจอยู่ที่โซฟาเป็นรอบที่ล้านของวัน   ตอนนี้หกโมงเย็น ฟ้าด้านนอกมืดสนิท  มีเพียงไฟสีส้มลางๆจากเสาไฟตามริมถนน ความว่างเปล่าด้านนอกทำให้นึกถึงหนังสยองขวัญ
     
             ชอว์นถอนหายใจ เขานั่งซดนมในถ้วยซีเรียลดังจนฉันเริ่มรู้สึกท้องร้อง ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะไม่กินมื้อเย็นที่นี่เพราะหิมะอาจละลายทันเวลา แต่ดูเหมือนสิ่งที่คิดไว้จะห่างไกลความเป็นจริง
     
             "บางทีคุณอาจต้องค้างที่นี่" ชอว์นวางถ้วยซีเรียลว่างเปล่าลงบนโต๊ะ "โซฟานี่น่าจะพอสำหรับคุณ ผมยกให้"
     
             ฉันเหลือบตามองชอว์นที่นั่งห่อตัวอยู่ในผ้าห่มผืนใหญ่เหมือนเด็กขี้กลัวยามค่ำคืน สีหน้านั้นดูสบายใจเหมือนไม่ได้พูดอะไรที่ทำให้ตะหงิดใจแม้แต่น้อย
     
             "รู้มั้ยคะ ในหนังผู้ชายจะอาสานอนบนโซฟาและจะยกที่นอนให้ผู้หญิง"
     
             "แต่นี่ไม่ใช่หนัง และนี่เป็นบ้านผม"
     
             "โอเคค่ะ ไม่เถียง" ฉันเสริม ไม่ได้คิดจริงจัง และบางอย่างบนใบหน้าของชอว์นทำให้รู้ว่าเขาเข้าใจความหมายนั้นดี
     
             "น่าจะมีแปรงฟันที่ยังไม่ได้ใช้อยู่ที่ไหนสักที่" เขาบอกพลางลุกขึ้นจากโซฟา ไม่ลืมที่จะยกถ้วยซีเรียลไปไว้ที่ห้องครัวด้วย
     
             อย่างน้อยชอว์นก็ยังอุส่าห์ใจดีหาแปรงฟันให้ นั่นอาจเป็นเรื่องดีที่สุดแล้วในค่ำคืนที่จะถึงนี้
     
             สี่ชั่วโมงต่อมาช่างน่าอึดอัด ฉันนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นมืดทึบของชอว์น ขาเกือบครึ่งลอยค้างเติ่งอยู่บนที่วางเท้าแขนโซฟา  ไม่รู้ว่าเพราะโซฟาเล็กเกินไปหรือเป็นฉันที่ขายาวกว่าปกติกันแน่  แต่ที่รู้ในตอนนี้ก็คือนอนไม่หลับเพราะไม่สบายตัว  มือทั้งสองยังเย็นเฉียบตั้งแต่ที่อาบน้ำเสร็จ
     
            นาฬิกาในมือถือบอกเวลาสี่ทุ่มสิบนาที ยังไม่ดึกเกินไป บางทีการหาของกินอาจช่วยทำให้นอนหลับ
     
            "โอ้ย พระเจ้า!" เสียงร้องอุทานของชอว์นดังลั่นเมื่อฉันกดเปิดไฟในห้องครัว  ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงผ้าฝ้ายสีเทาสะดุ้งเฮือกอยู่หน้าตู้เย็น  เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นฉัน "มิส จะเข้ามาก็ช่วยส่งเสียงหน่อยได้มั้ย"
     
            "ขอโทษทีค่ะ ไม่รู้ว่าคุณลงมาข้างล่าง" ฉันเดินไปที่ตู้เย็น สายตาไล่มองหาขวดนมขนาดใหญ่
     
            "ผมนอนไม่หลับ" เขาหลีกทางให้ มือข้างหนึ่งเปิดฝากล่องพลาสติกออก ก้มลงมองสปาเก็ตตี้ภายในเหมือนกำลังระลึกถึงอดีต ครู่ต่อมาจึงยักไหล่และเดินไปนั่งลงตรงเก้าอี้บาร์
     
            "เหมือนกันค่ะ" ฉันเดินไปแหวกผ้าม่านในครัวเปิดออกเพื่อมองดูอากาศ  ด้านนอกมีแต่ความมืดและกองหิมะที่ดูเหมือนจะสูงเท่าเดิม
     
            ชอว์นหยิบส้อมในลิ้นชักและหันมาหาฉัน "กินมั้ย"
     
            ครู่หนึ่งฉันประหลาดใจกับคำชวนแต่ก็ส่ายหัวปฏิเสธ "ไม่ค่ะ ขอบคุณ"
     
            "แหงล่ะ คุณคงตั้งใจจะผลาญนมในตู้เย็นผมจนหมด" เขาพูดทั้งที่สปาเก็ตตี้เต็มปาก
     
            "ผ่านวันนี้ไปฉันจะซื้อมาใช้คุณ"
     
            และเราก็จบประโยคกันแค่นั้นระหว่างที่นั่งอยู่ใกล้กันบนเก้าอี้   ชอว์นจัดการกับสปาเก็ตตี้ในกล่อง ฉันยกนมขึ้นซดและมองออกไปนอกหน้าต่าง  พยายามสุดความสามารถที่จะไม่เผลอส่งเสียงแปลกประหลาดออกมายามที่ทุกอย่างรอบตัวเงียบสนิท
     
           มันไม่ได้อึดอัดเหมือนชั่วโมงแรกที่เราอยู่ด้วยกันในบ้านหลังนี้  มีบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างน่าแปลก
     
           "มีอะไรที่ผมจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับคุณมั้ย" ชอว์นถามในที่สุด
     
           "เรื่องอะไรคะ"
     
           "แบบว่า...เรื่องอะไรก็ได้" เขายักไหล่ "อย่างเช่น หนังสือโปรดของคุณคืออะไร"
     
           ฉันหัวเราะ "คุณอยากรู้จริงๆเหรอ"
     
           "เราเป็นพวกที่ชอบอ่านหนังสือหนิ ใช่มั้ย" เขาถาม "ถ้าคุณไม่ชอบคงไม่เดินหาห้องสมุดในบ้านผมเมื่อกลางวันนี้ เราอาจเป็นเพื่อนแชร์หนังสือที่ชอบด้วยกันได้"
     
           "แต่ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณ" ฉันตอบตามตรง "ไม่ได้จะหยาบคายนะคะ แต่คุณน่าจะรู้ว่าเราเจอกันไม่นาน คุณไม่จำเป็นต้องทำให้ฉันรู้สึกดีโดยการพูดคำว่าเพื่อนทั้งๆที่คุณเองก็ลำบากใจอยู่ลึกๆ"
     
           "ไม่ สเตฟฟี่ ผมไม่ได้คิดแบบนั้น" ชอว์นรีบย้อน
     
           "โอเคค่ะ" ฉันเท้าคางมองคนข้างๆ "แล้วหนังสือโปรดของคุณคืออะไรล่ะคะ"
     
           "ผมถามคุณก่อนนะ"
     
           "แต่ฉันอยากรู้ของคุณก่อน" ฉันบอก "มีหลายคนที่ถามฉัน และเมื่อฉันตอบ พวกเขาก็จะยิ้มพร้อมกับทำสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นจึงบอกว่านั่นก็เป็นหนังสือโปรดของเขาเหมือนกัน  ทั้งๆที่มันอาจไม่ใช่ หรือบางทีเขาอาจไม่อ่านหนังสือด้วยซ้ำ"
     
           "คุณคิดว่าคนอย่างผมไม่อ่านหนังสือเหรอ" เขาเลิกคิ้ว ใช้นิ้วชี้ชี้เข้าหาตัวเอง
     
           "ฉันเปล่าค่ะ" ฉันปฏิเสธ ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปล้างแก้วตรงอ่างล้างจาน
     
           "ผมตอบก่อนก็ได้" ชอว์นถอนหายใจ  เขาทำหน้าครุ่นคิดเมื่อฉันหันกลับไปมอง "อันที่จริงผมไม่เชิงอ่านหนังสือแบบว่า...หนังสือนิยาย ผมอ่านแต่ประเภทการฝึกเล่นดนตรีขั้นพื้นฐาน หรืออะไรประมาณ--"
     
           ฉันแกล้งเงยหน้ากลอกตามองเพดาน "อย่าบอกฉันว่าหนังสือที่มีแต่ตัวโน้ตเป็นหนังสือโปรดของคุณ - ถึงแม้ฉันจะไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ฉันอยากรู้หนังสือโปรดจริงๆของคุณค่ะ ไม่ใช่หนังสือแบบนั้น" ฉันว่า "บอกมาสักอันค่ะ อะไรก็ได้ที่โผล่ขึ้นมาในหัวสมองของคุณตอนนี้"
     
           "Beach road ของ James Patterson" ชอว์นว่า "มันเป็นหนังสือโปรดของผมและมันบรรยายบรรยากาศของเมืองแฮมป์ตันได้ดี"
     
           ฉันลดมือที่กอดอกอยู่ลงเมื่อได้ยินคำตอบ รีบเดินมุ่งตรงไปที่ซุ้มประตูห้องครัว
     
           "เดี๋ยว - มีอะไร คุณจะไปไหน"
     
           "ฉันง่วงแล้วค่ะ"
     
           "ว่าไงนะ อยู่ดีๆก็จะไปนอนง่ายๆงี้เลยเหรอ"
     
           "คุณมีปัญหากับการอยากนอนของฉันเหรอคะ" ฉันถาม กระโดดลงบนโซฟาและกางผ้าห่มออก
     
           ชอว์น เมนเดสจ้องหน้าฉันอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่ใหญ่  "เดี๋ยว - Beach road ก็เป็นเรื่องโปรดของคุณเหรอ"
     
           "คุณก็ควรไปนอนนะคะ"
     
           "นี่คุณไม่อยากยอมรับความจริงที่ว่าเราชอบหนังสือเหมือนกันเหรอ" ชอว์นถามต่อด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
     
           "มันไม่ใช่แบบนั้นค่ะ"
     
           "คุณรู้ว่าเราชอบอะไรเหมือนกัน และคุณไม่อยากยอมรับเรื่องที่ว่าเราเป็นเพื่อนกันได้--"
     
           "ไม่ค่ะ" ฉันพูดตัดบท "คำว่าเพื่อนใช้ไม่ได้กับเรา  ฉันเป็นนักข่าว คุณคือชอว์น เมนเดส เห็นความแตกต่างมั้ยคะ"
     
           "หมายถึงอะไร"
     
           "ผู้คนรู้จักฉันด้วยคำว่านักข่าว เขาเรียกฉันว่านักข่าว ไม่ได้พูดชื่อฉัน   แต่เมื่อคนเห็นคุณ เขาจะไม่ได้นึกถึงคำว่านักร้องเป็นอันดับแรก เขาจะนึกถึงชื่อของคุณ นั่นคือความแตกต่างค่ะ  ชีวิตเราไม่เหมือนกัน และฉันไม่อยากคบกับคนที่ชีวิตไม่เหมือนฉัน"
     
           ชอว์นแค่นหัวเราะเสียงแหบแห้ง ใบหน้าดูเหลืออดกับคำพูดเหล่านั้นของฉัน  แต่นั่นเป็นทฤษฎีความคิดที่ฉันใช้มันมาตลอด และยังคงยืนหยัดจะใช้ต่อไป
     
           "คุณนี่มันเหลือเชื่อ" เขาพูด มองหน้าฉันด้วยสีหน้านิ่งเสียจนฉันผงะและรู้สึกตัวแข็ง  ชอว์นหมุนตัวเดินออกจากห้องนั่งเล่น   เสียงกล่องพลาสติกกระทบกับเครื่องล้างจานในครัวดังลั่นท่ามกลางความมืด ตามมาด้วยเสียงเท้ากระทบกับพื้นบันไดบ้าน
     
           ฉันเขวี้ยงหมอนใบเล็กที่เกะกะอยู่บนโซฟาลงบนพื้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด  ฉันอาจเครียดเกินไป  ไม่มีอะไรจำเป็นต้องหงุดหงิดหรือจริงจังกับคำพูดที่ตัวเองใช้พูดไปเมื่อครู่ หรือแม้แต่กระทั่งท่าทางไม่พอใจของชอว์น  ฉันควรดีใจที่พูดออกไปแบบนั้น ควรดีใจที่ป้องกันคนชั่วคราวในชีวิตให้ออกไปได้ทันเวลา
     
           และอาจเรียกว่าฉันเป็นพวกอารมณ์แปรปรวนหรือคนมีสองบุคลิค  เพราะตอนนี้ลุกจากโซฟาอีกเป็นรอบที่สองหลังจากนอนคิดมานาน ฉันเริ่มเดินไปตามทาง ขึ้นบันได และเคาะที่ประตูสีขาวบานหนึ่ง จนกระทั่งคนข้างในตัดสินใจเปิดประตูออกมามองฉันอย่างหมดอารมณ์
     
           "คุณพูดถูก" ฉันบอก  รู้ตัวดีว่าตอนนี้ตัวเองมีท่าทางไม่มั่นใจแค่ไหน "และฉันขอโทษ ฉันรู้ว่าไม่ควรพูด - อันที่จริงฉันไม่ควรคิดแบบนั้น มัน--"
      
           "ช่างเถอะ" ชอว์นยกมือขึ้นห้าม  ฉันจึงสูดเอาอากาศเข้าปากไปก่อนที่จะได้ต่อประโยคให้จบ  ความมืดรอบตัวทำให้เห็นหน้าของชอว์นเลือนลางจนเดาไม่ถูกว่าอีกฝ่ายกำลังมีสีหน้าแบบไหน
     
           "ค่ะ" ฉันพยักหน้าช้าๆ สองมือพันกันไปมาอย่างคนทำอะไรไม่ถูก "งั้น...ฝันดีนะคะ"
     
           "นี่ - คุณรู้ใช่มั้ยว่าผมไม่เหมือนพระเอกในหนัง"  ชอว์นรั้งไว้ เขาเงียบไปครู่หนึ่งและถอนหายใจเบาๆ  "คุณมานอนเตียงในห้องได้  แต่ผมจะไม่ยอมนอนบนพื้นนะ...บางทีเราอาจแชร์ที่นอนกัน"
     
           "คุณแน่ใจเหรอคะ" ฉันถามเมื่อชอว์นหลบสายตา เขาอาจคิดว่าฉันไม่เห็นท่าทางนั้น แต่ฉันมองออกตั้งแต่ตอนที่เขาก้มลงมองพื้นเพื่อกลบเกลื่อนใบหน้าระหว่างพูดประโยคเมื่อครู่
     
           "ตราบใดที่คุณไม่ล้ำเส้น" เขาเสริม "และเผื่อคุณไม่รู้  ผมยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่บ้าง" ชอว์นเงยหน้ามาสบตา เขาเริ่มส่งยิ้มให้
     
           และทันใดนั้นความคิดที่ว่าเราไม่ควรเป็นเพื่อนกันก็ถูกทำลายลง
     
     
     
    Drowners - Luv, hold me down
    I don't live my life like you do
     
     
     
     
    (c) Chess theme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×