ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ambition | Shawn Mendes FanFiction [END]

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 574
      23
      12 เม.ย. 65


     
      
                ฉันกลายเป็นอีกคนที่มีเหงื่อซึมเต็มหลังในฤดูหนาว หลังจากเห็นภาพที่ไม่คาดฝันในบ้านพักของชอว์น มือถือเป็นสิ่งแรกที่ควักออกจากกระเป๋า  แอนดรูว์มีน้ำเสียงตื่นตกใจเมื่อฉันเล่าภาพที่เห็นให้ฟัง แต่เขาไม่ต้องการให้โทรเรียกรถพยาบาล เพราะมันอาจเรียกร้องความสนใจจากผู้คนเกินความจำเป็น และแอนดรูว์เชื่อว่าชอว์นไม่ได้พยายามฆ่าตัวตายหรืออะไรในแบบที่ฉันคิด 
     
                ถ้าโลกนี้มีรางวัล ชายผู้ใจเย็นที่สุดในโลก ฉันมั่นใจว่าแอนดรูว์ เกิร์ทเลอร์จะได้รับรางวัลอย่างไม่ต้องสงสัย เขาบอกว่าจะรีบมาภายในห้านาที ให้ฉันรออยู่หน้าบ้านของชอว์น และห้ามบอกเรื่องนี้กับใครจนกว่าเขาจะมาถึง
     
               มันเป็นครั้งแรกที่ทำให้เข้าใจว่าการเป็นคนดังนั้นแสนจะยากลำบากเหลือเกิน
     
               การนั่งรอใครก็ตามที่มีสภาพนอนแผ่อยู่บนพื้นและมีเพียงแค่กำแพงกั้นไว้ทำให้รู้สึกใจคอไม่ดี มันคล้ายกับการนั่งปิกนิกโดยมีศพคนตายนอนห่างไปไม่ไกล  ฉันรู้ว่าควรทำอะไรสักอย่าง อาจหากิ่งไม้แหลมๆมาลองไขที่ลูกบิดประตูเพื่อเปิดเข้าไป หรือใช้หินก้อนยักษ์เพื่อทุบกระจกหน้าต่างให้แตก แต่แน่นอนว่าสัญญาณเตือนภัยจะดัง และความกลลาหลจะเกิดขึ้น
     
               ทั้งหมดที่ทำในตอนนี้คือเดินไปมาในพื้นที่แคบๆหน้าบ้าน ต้นไม้สภาพเหี่ยวเฉาตั้งอยู่ห่างไปไม่ไกล  ตั้งแต่โทรหาแอนดรูว์ฉันยังไม่ได้ปีนข้ามรั้วกลับไปด้านนอก แต่ยืนเอนหลังพิงกำแพงที่ด้านบนเป็นกระจกหน้าต่างบานใหญ่ คิดว่าบางทีถ้าหากหน้าต่างไม่ได้ล็อค...
     
               และนั่นทำให้ฉันขยับตัวอีกครั้ง หมุนตัวและเอื้อมมือไปดันกระจกหน้าต่างตรงกลางให้เปิดออก  แต่ไม่เป็นผล มันถูกล็อคไว้ จึงเดินไปที่อีกบาน  ลักษณะของกำแพงเป็นครึ่งวงกลม ดังนั้นจึงมีหน้าต่างสามบานให้ลองเสี่ยง และหวังว่าสักบานจะเปิดออกได้
     
               หน้าต่างบานสุดท้ายฝืดเล็กน้อย แต่ข้อดีคือเปิดได้และไม่ถูกล็อค ฉันรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มี ดันหน้าต่างบ้านใหญ่ยักษ์ให้เปิดออก ใจเต้นระทึกในระหว่างนั้น อาจเพราะตื่นตระหนกเรื่องที่หน้าต่างไม่ได้ล็อค หรือไม่ก็กลัวว่าจะมีคนเดินผ่านมาเห็นพอดี และมันจะกลายเป็นการปล้นบ้านไปโดยปริยาย
     
               การออกกำลังกายทุกเย็นไม่เคยแสดงผลบนร่างกายของฉันอย่างชัดเจนจนกระทั่งวันนี้ หลังจากผลักหน้าต่างเปิดออกได้ก็รู้สึกถึงกล้ามเนื้อแขนที่ปวดตุบๆเหมือนมีหัวใจร้อยดวงเต้นอยู่  ขายาวๆเป็นข้อดีอีกข้อ  หลังจากปีนป่ายด้วยความหวาดระแวง สุดท้ายก็เข้ามาอยู่ภายในบ้านสำเร็จ
     
              กลิ่นบ้านใหม่เป็นสิ่งแรกที่เข้าจมูกเมื่อเข้ามาถึง มีกลิ่นแอลกอฮอล์อบอวลอยู่ในอากาศเล็กน้อย ฉันลุกขึ้นจากพื้นพรม วิ่งไปที่ร่างนิ่งสนิทของชอว์น เมนเดสจนเกือบจะลื่นล้มเพราะพรมขนาดเล็กใกล้โซฟาข้างหน้าต่าง
     
              "มิสเตอร์เมนเดส" ฉันเขย่าร่างใหญ่ของคนบนพื้นแรงๆ 
     
              เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจึงเริ่มตบแก้มเขาเบาๆ  ชีพจรตรงคอยังเต้นอยู่ เขายังไม่ตาย ภายในปากไม่มีเม็ดยาสักเม็ด กลิ่นแอลกอฮอล์ตีขึ้นหน้าฉันจนแทบสำลัก นึกขอบคุณที่ตัวเองไม่ได้ปิดหน้าต่างตอนที่เข้ามา
     
              ฉันก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ มันเลยห้านาทีมาแล้ว ทำไมแอนดรูว์ถึงยังไม่มา  ถ้าในสถานการณ์ปกติอาจไม่ร้อนใจ เพราะรู้ดีว่าการจราจรในนิวยอร์กเป็นเช่นไร แต่เพราะสภาพคนที่นอนอยู่บนพื้นข้างฉันดูไม่น่าให้รู้สึกใจเย็นได้
     
              จู่ๆชายหนุ่มผมสีน้ำตาลก็ขยับตัวอย่างกระทันหัน มันทำให้ฉันสะดุ้งและถอยไปด้านหลัง เปลือกตาเขาค่อยๆเปิดขึ้นทีละนิดเหมือนคนที่นอนหลับฝันดีและเต็มอิ่มจนไม่รู้สึกแสบตาเมื่อเห็นแสงแดดอ่อนๆ
     
              "มิสเตอร์เมนเดส" ฉันเรียกชื่ออีกครั้ง คลานกลับไปหาอีกฝ่ายช้าๆและก้มลงมองหน้า
     
              ร่างสูงทำตาโตก่อนจะสปริงตัวลุกขึ้นฉับพลัน  ผลจึงทำให้หน้าผากของเราชนกันเต็มแรง เสียงเหมือนหินแข็งๆกระทบกันดังอยู่ในโสตประสาทของฉัน   ชอว์นร้องลั่น แต่สู้ฉันที่กรีดร้องเสียงดังกว่าไม่ได้  รองเท้าส้นสูงที่ใส่อยู่ทำให้ยากในการทรงตัวเมื่อนั่งย่อเข่า สุดท้ายฉันก็เอนตัวนั่งลงบนพื้นเหมือนคนหมดแรง
     
              "คราวหน้าถ้าจะลุกก็ใจเย็นๆหน่อยได้มั้ยคะ" ฉันพึมพำ ลูบๆคลำๆหน้าผากที่คาดว่าตอนนี้คงกำลังแดงเถือก
     
              "เดี๋ยว" 
     
              ชอว์นเริ่มพูดขึ้นทันที  เขาอ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ สายตามองรอบๆเหมือนกำลังประเมินสภาพแวดล้อมว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและปลอดภัยดีหรือไม่  ครู่หนึ่งเขาทำท่าทางสบายใจ แต่ก็ทำตาโตและหันมามองฉันอีกครั้ง
     
              "คุณมาทำบ้าอะไรในบ้านผม"
     
              "มาดูคุณเล่นกีตาร์เปิดหมวกมั้งคะ" ฉันพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นระหว่างพูดไปพลางๆ คำพูดประชดทำให้ชอว์นทำหน้าบูดบึ้งกว่าเก่า "แอนดรูว์ให้ฉันมาหาคุณ แต่ฉันเห็นว่าคุณนอนเหมือนกวางตายอยู่ในบ้าน ก็เลยเข้ามาดู"
     
              "เข้ามาได้ยังไง" เขาถามเสียงห้วน สายตามองไปที่หน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ฉันจึงไม่ต้องเสียเวลาตอบ "คุณบุกรุกบ้านผม"
     
              "อย่าบอกว่าเมื่อคืนนี้คุณไม่ได้ทำแบบเดียวกันที่ร้านหนังสือ" ฉันทำหน้าบึ้งคืนเด็กหนุ่มตรงหน้า นึกสะใจเมื่อเขาหลบสายตาหนีและนิ่งไป
     
              ต่อจากนี้การใส่ส้นสูงไปทำงานจะเป็นอะไรที่ต้องคิดหนักก่อนออกบ้านอีกเรื่อง อย่างน้อยก็เผื่อว่าจะต้องนั่งบนพื้นแบบครั้งนี้ เพราะมันลุกยากกว่าที่คาดไว้หลายเท่าตัว  เมื่อทรงตัวได้กลางทาง ก็เซล้มลงไปอีกครั้ง และครั้งนี้ก้นฉันกระแทกเข้ากับมนุษย์ที่นั่งอยู่บนพื้น
     
              "โอ้ย ให้ตายเถอะมิส" ชอว์นร้องเสียงหลง เขาจับแขนฉันไว้แน่น "คุณจะทำให้ผมตายจริงๆถ้ามาล้มทับใส่แบบนี้"
     
              "ฉันไม่ได้ตัวหนักเป็นพันๆปอนด์นะคะ" ฉันตอกกลับ
     
              กลิ่นแอลกอฮอล์เข้าจมูกอีกครั้ง ลมหายใจอุ่นๆของชอว์นรดใบหน้า ท่าล้มของฉันอาจเรียกได้ว่าเพอร์เฟ็คสำหรับหญิงสาวที่หลงรักชอว์น เมนเดส แต่มันเป็นอะไรที่พิลึกพิลั่นยิ่งกว่าหมาผสมพันธุ์กับแมวในความคิดของฉัน
     
              เรารีบผละออกจากกันในวินาทีต่อมา  ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่ครู่หนึ่ง  ฉันได้ยินเสียงเสื้อผ้าดังสวบสาบ ถึงแม้ภายในบ้านจะมืด แต่ก็มองออกว่าชอว์นทำหน้าไม่ถูก  สิ่งของภายในกระเป๋าเสื้อโค้ตตกระเกะระกะอยู่บนพื้นเพราะการล้มเมื่อครู่
     
              "ผมไม่เป็นไร ยังไงก็ขอบคุณที่อุส่าห์มาดู"
     
              "นี่เป็นคำขอบคุณแรกที่ฉันคิดว่าคุณเต็มใจพูดกับฉัน" ฉันเหลือบตามองคนข้างๆระหว่างเก็บของใส่กระเป๋าตามเดิม
     
              "หมายความว่ายังไง"
     
              "เมื่อวานตอนที่ฉันให้ค่าแท็กซี่กับคุณ คุณพูดคำว่าขอบคุณเบาแบบที่ว่าผึ้งบินผ่านมาก็อาจจะไม่ได้ยิน"
     
              "คุณนี่ชอบประชดประชันจังนะมิสลินเดน"
     
              "สเตฟานี่" ฉันตอบทันควัน "เรียกฉันว่าสเตฟานี่ นั่นเป็นชื่อที่คนส่วนใหญ่เรียกฉัน"
     
              "มิสลินเดนสั้นกว่า แค่สามประโยค ชื่อคุณ..." ชอว์นนับนิ้วมือ "ตั้งสี่ประโยค เสียเวลาเรียก"
     
              ฉันกลอกตา ถอนหายใจและนั่งลงบนพื้นอีกครั้ง "งั้นก็เรียกสั้นๆว่าสเตฟ"
     
              "สเตฟเหรอ" ชอว์นขมวดคิ้ว "ย่อชื่อได้แปลกพิลึก"
     
              วินาทีต่อมาฉันกระแทกกระเป๋าลงบนพื้นข้างตัว  ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เขามองหน้าฉัน "ช่างเรื่องฉันเถอะค่ะ ตกลงว่าคุณสบายดีและไม่ได้กินยาฆ่าตัวตายใช่มั้ย"
     
              "ฆ่าตัวตาย?" ชอว์นเสียงหลง  ฉันไม่คิดว่านักร้องจะพูดเสียงหลงได้ แต่อาจคิดผิด "ผมเนี่ยนะ - บ้ารึเปล่า ไม่ได้สิ้นคิดหมดหนทางขนาดนั้น"
     
              "ก็ฉันเห็นยาบนโต๊ะกับบนพื้นข้างตัวคุณ" ฉันชี้ไปที่เม็ดยาสีขาวที่กระจัดกระจายตามพื้นและโต๊ะกินข้าว
     
              ชอว์นมองตาม เขาดูเหมือนกำลังจะหัวเราะ "ไม่ นั่นยาแก้ปวดหัว" เขาว่า "เมื่อคืนผมดื่มหนัก น่าจะหมดไปหลายขวด ตื่นมาก็เลยปวดหัวเหมือนหัวจะระเบิด   ตอนผมเดินมาหยิบยาในครัวก็รู้สึกว่าเริ่มหมดแรง หน้ามืด ปวดหัวหนักกว่าเดิม พอรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คุณนั่งอยู่นี่"
     
              "งั้นคุณคงพักผ่อนน้อย"
     
              "คงงั้น" ชอว์นยักไหล่ พอดีกับที่ใบหน้าของใครสักคนโผล่มาตรงหน้าต่างที่ฉันเปิดไว้แต่แรก
     
              "เฮ้ เป็นไงบ้าง ไม่เป็นไรใช่มั้ย" แอนดรูว์ เกิร์ทเลอร์ถาม  สีหน้าคลายความกังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นชอว์นนั่งกะพริบตาปริบๆอยู่บนพื้นข้างฉัน
     
     

     
     
               หลังจากแอนดรูว์มาถึง ฉันก็อาสาว่าจะทำอาหารเล็กๆน้อยๆให้ทั้งสอง  อย่างน้อยก็ดีกว่าการกลับไปที่สำนักข่าวโดยที่ไม่รู้ว่าควรจะทำงานอะไร  ดัสตินดูจะเต็มใจให้ทำสารคดีนักร้องวัยรุ่น เพราะเขาถ่ายโอนงานทั้งหมดของฉันไปให้นักข่าวคนอื่นทำแทนหมด ฉันจึงอดไปวอชิงตันดีซี อดทำข่าวที่ถนัด
     
               เจย์ทยอยเอางานบางส่วนมาให้ฉันทำฆ่าเวลา แต่มันไม่ได้มีมากมายเหมือนงานประจำของฉัน ทุกอย่างจึงเสร็จรวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมง เขาคิดจะให้ฉันช่วยทำงานของตัวเองให้เสียด้วยซ้ำ
     
               และดูเหมือนการทำอาหารตามวิธีในยูทูปจะยากกว่าที่คิดไว้ สุดท้ายสองหนุ่มก็ต้องหยิบนมในตู้เย็นมาดื่มรองท้องแทน  แอนดรูว์พยายามไม่ทำหน้าบิดเบี้ยวเมื่อลองชิมซุปข้าวโพดของฉัน ส่วนชอว์นคายมันทิ้งและบ่นตามประสาชอว์น เมนเดส
     
              อย่างน้อยก็คิดว่าความสัมพันธ์ของฉันกับคนเหล่านี้กำลังพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ไม่อย่างนั้นชอว์นคงไม่ให้ยืมครัวเพื่อใช้ทำอาหารตั้งแต่แรก เขาอาจออกปากไล่ตั้งแต่ที่ได้สติเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
     
              เราสามคนคุยเรื่องงานที่จะเกิดขึ้นตลอดสามเดือนข้างหน้ากันพักใหญ่ ชอว์นมีทัวร์ยุโรป เขาจะเดินทางในวันพรุ่งนี้พร้อมๆกับเหล่าทีมงาน และเป็นการเริ่มถ่ายทำสารคดีจริงจังครั้งแรก นั่นหมายความว่าฉันจะต้องไปกับเขาด้วย พวกเราจะเริ่มถ่ายทำตั้งแต่ที่ชอว์นกับทีมไปที่สนามบิน จนถึงเข้าห้องพักของโรงแรม
     
              แอนดรูว์เรียกทีมงานจำนวนหนึ่งมาที่บ้าน รวมถึงทีมงานจากสำนักข่าวฉันประมาณสามถึงสี่คน  อาจเพราะเรื่องความไว้ใจที่มีให้เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น และบ้านที่เราอยู่ตอนนี้เป็นบ้านพักส่วนตัวของชอว์น
     
              ผ้าม่านในบ้านถูกเปิดออกรับแสงแดดเข้ามา ภายในบ้านชอว์นเป็นสีขาวออกแนวสมัยใหม่ เป็นทาวน์เฮาส์ที่หลายๆคนในนิวยอร์กคงอยากอาศัยอยู่   ฉันคิดว่าชอว์นมีรสนิยมในการตกแต่งบ้าน  เขารีบปิดประตูห้องทำงานเมื่อมีคนเข้ามามากขึ้น และฉันพอจะมองเห็นว่าภายในห้องทำงานรกมากกว่าห้องอื่นๆ
     
              เพื่อนสำนักข่าวหลายคนเดินเข้ามากอดทักทาย  เจย์ อัลวาโรพาตัวเองมาถึงที่นี่ เขาบอกว่าบก.ดัสตินตัดสินใจให้เจย์มาช่วยงานด้วย อาจเพราะเขาถนัดทำข่าวสายบันเทิง และบก.อาจไม่ไว้ใจในฝีมือของฉันขึ้นมา
     
              "ฉันเกลียดแมว" ชอว์นพึมพำอยู่ที่ประตูห้องครัว สายตาจ้องมองไปที่แมวในอ้อมแขนของทีมงานคนหนึ่ง
     
              "มันก็คงไม่ชอบคุณเหมือนกัน" เจย์พูดขึ้นมา  ออกจะดูสอดรู้สอดเห็น แต่เรื่องยั้งปากไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัด
     
              ฉันไม่ได้ยินเสียงทั้งคู่เถียงกันต่ออย่างที่คิด มีเพียงแค่ความเงียบ และฉันยุ่งเกินกว่าจะหันหลังไปมองภาพเหตุการณ์  ตัดสินใจว่าการนั่งจัดการกับเอกสารในห้องครัว ซึ่งถือว่าเป็นห้องที่เงียบสงบที่สุดในบ้านตอนนี้จะทำให้งานเสร็จเร็วกว่านั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น
     
              "พระเจ้า ฉันกำลังตกใจคิดว่าเธอเข้าครัวมาทำอาหาร" เจย์เดินมาลากเก้าอี้นั่งลงตรงข้ามกับฉัน
     
              "ก็ทำไปแล้ว" ฉันตอบกลับ มือยังคงจดยิกๆ รับรู้ได้ว่าเจย์กำลังมองหน้า แต่ไม่มีเวลาเงยหน้าถามเขาว่ามองหาอะไรอยู่
     
              "เธอเคยพักบ้างมั้ยถามจริง" เขาถาม
     
              "ทุกเย็นหลังเลิกงาน"
     
              "แต่เธอก็กลับไปทำงานที่บ้านอยู่ดี นั่นไม่เรียกว่าพัก"
     
              "เวลาฉันหลับก็เรียกว่าพักไม่ใช่หรือไง" ฉันขมวดคิ้ว
     
              "แล้วตอนเธอตื่นล่ะ"
     
              "ก็...."  ทำงาน  ฉันตั้งใจจะตอบแบบนั้น แต่เพราะคำตอบดูเหมือนจะเถียงในสิ่งที่อีกฝ่ายคิดไม่ได้ จึงยักไหล่และเงยหน้ามองเขา "ช่างฉันเถอะ นายแน่ใจเหรอว่าจะมาทำงานนี้ด้วย งานที่สำนักข่าวเคลียร์หมดแล้วเหรอ"
     
              "เสร็จหมดแล้ว ส่วนหนึ่งก็ได้เธอช่วยนั่นแหละ" เจย์มองรอบๆห้องครัว "น่าจะดีถ้าเจ้าของบ้านทำกาแฟเสิร์ฟสักแก้ว"
     
              "ผมไม่ใช่คนรับใช้" เสียงบุคคลที่สามดังตอบคำพูดของเจย์ 
     
              ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยืนพิงกรอบประตูอยู่ทางมุมห้อง ชอว์นกอดอกมองเราที่นั่งอยู่บนเคาน์เตอร์กลางห้องครัว
     
              "แล้วก็ ไม่ยักรู้ว่าคุณเป็นหนึ่งในทีมงานทำสารคดีของผม"
     
              "บก.ให้ผมมาช่วยสเตฟานี่" เจย์ตอบเสียงเรียบ
     
              "แต่ดูเหมือนคุณกำลังจะรบกวนการทำงานของเธอมากกว่า" ชอว์นเดินเข้ามา เหลือบตามองฉันที่คลายปากกาในมือเล็กน้อยและมองหน้าเขา "แอนดรูว์อยากพบคุณ มิสเตอร์อะไรก็แล้วแต่ คุณน่าจะกลับไปที่ห้องนั่งเล่น"
     
              เจย์ถอนหายใจดังหลังจากได้ยินคำพูดของชอว์น เขาทำหน้าบึ้งเล็กน้อย คล้ายกับตอนที่แบรดอารมณ์เสียแต่พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไว้  เสียงเก้าอี้ลากกับพื้นดังลั่นเมื่อเขาลุกขึ้น สักพักจึงหายออกไปจากครัว   และทันทีที่ชายหนุ่มอีกคนนั่งลงตรงข้ามกับฉัน ความอึดอัดก็ก่อตัวขึ้น คล้ายกับว่ามันลอยเข้ามาในบ้านจากทางหน้าต่างบานใหญ่หลังเคาน์เตอร์
     
              "เพื่อนคุณเหมือนมินเนี่ยน"
     
              "ยังไงคะ"
     
              "ตามเจ้านายไปทุกที่ ทำตัวเหมือนเด็กห้าขวบ"
     
              "เจย์อายุมากกว่าคุณนะคะ เผื่อคุณไม่รู้" ฉันก้มลงมองเอกสารบนโต๊ะและลงมือเขียนต่อ "และเขาแค่ทำตามคำสั่ง"
     
              "นิสัยเขาเหมือนเด็กเอาแต่ใจที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ" ชอว์นตอบในประโยคแรกของฉัน จากหางตาฉันคิดว่าเขากำลังยักไหล่ "ส่วนคุณ เห็นได้ชัดว่าวันๆทำแต่งานจนไม่สนใจอะไรเลยนะ"
     
              "ก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจหนิคะ" ฉันตอบกลับ
     
              ชอว์นเงียบไปพักหนึ่ง  จู่ๆก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังทำลายช่วงเวลาดีๆลง  มันเป็นครั้งแรกที่ชอว์นพาตัวเองมานั่งตรงข้ามกับฉันและออกปากชวนคุย   ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร แต่ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี  บางทีเด็กหนุ่มที่คิดมาตลอดเวลาว่าไม่ชอบขี้หน้าฉัน จริงๆแล้วเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น ฉันอาจคิดมากไปตั้งแต่แรก
     
              "คุณอยากถามอะไรฉันรึเปล่าคะ" ในที่สุดฉันก็วางปากกาลง สบตาสีน้ำตาลของคนตรงหน้า
     
              "เปล่า" เขาตอบสั้นๆ น้ำเสียงดูผ่อนคลาย "ก็แค่ที่นี่เป็นที่ที่สงบที่สุดในบ้านเวลานี้"
     
              "ห้องครัวคุณดูโล่งนะคะ คุณไม่ทำอาหารเหรอ" ฉันมองไปรอบๆ  สะกดกลั้นความผิดหวังเมื่อได้ยินคำตอบของชอว์น
     
              เขาไม่ได้มาเพื่อชวนคุย เขามาแค่เพราะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายก็เท่านั้น
     
              "ไม่ครับ ผมไม่ค่อยมีเวลา ส่วนใหญ่จะออกไปกินข้างนอกไม่ก็สั่งมาที่บ้าน" เขาตอบ ก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือ "ตอนนี้รู้สึกอยากกินคริสปีครีม"
     
              "ก็ออกไปซื้อสิคะ"
     
              "แล้วคุณไม่หิวเหรอ" เขาค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้ เหลียวมองเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่ตรงหน้าฉัน "หรือคุณกินกระดาษเป็นอาหารมื้อหลัก"
     
              "ไม่มีใครกินกระดาษหรอกค่ะมิสเตอร์เมนเดส"
     
              "ชอว์น" เขายกนิ้วชี้ขึ้นมาข้างหนึ่ง "ถ้าคุณอยากให้ผมเรียกคุณว่าสเตฟานี่ คุณก็ควรเลิกเรียกผมว่ามิสเตอร์เมนเดสด้วย นั่นออกจะดูแก่ไปหน่อย"
     
              ฉันเริ่มกดปากกาเล่น จ้องสีหน้าของชายหนุ่มที่ยืนค้ำหัวอยู่   ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอ่านใจชายคนนี้ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังมองปริศนาชิ้นใหญ่ยักษ์   ชอว์นไม่มีอะไรเหมือนที่คิดไว้สักนิด เขาไม่ได้ยิ้มง่ายเหมือนเวลาที่เจอแฟนคลับหรือขณะอัดวิดีโอลงสแนปแชท ดูออกจะยากในการเข้าถึง
     
               "ค่ะ ตกลง" ฉันตอบกลับ เห็นสีหน้าพึงพอใจของชอว์นครู่หนึ่ง
     
               "ไปซื้อคริสปีครีมกัน"
     
               "คะ?"
     
               "ผมคิดว่าผมพูดภาษาอังกฤษนะ นอกเสียจากว่าคุณจะฟังไม่ออกหรือหูตึงไปหน่อย"
     
               "แล้วทำไมคุณต้องมาบอกฉันล่ะคะว่าอยากกินอะไร"
     
               "ก็เพราะผมจะให้คุณไปด้วยน่ะสิ สเตฟฟี่" ชอว์นมองหน้าฉัน  คล้ายกับว่าฉันกำลังถามคำถามสิ้นคิดที่สุดในโลก และเขาเบื่อหน่ายที่จะตอบมัน
     
               ฉันนั่งค้างอยู่บนเก้าอี้ได้พักใหญ่ ลมเย็นพัดเข้ามาจากทางหน้าต่างในครัวที่ถูกเปิดทิ้งไว้   ชอว์น เมนเดสเรียกฉันว่าสเตฟฟี่  นั่นเป็นชื่อที่ไม่ได้ยินมานานแสนนาน มันเป็นชื่อที่ครอบครัวมักเรียกฉันตอนเด็ก
     
               และฉันพึ่งตระหนักได้ว่าคิดถึงชื่อนี้มากเหลือเกิน
     
       
     
     
     
               ฉันเดินออกจากบ้านของชอว์นด้วยใบหน้าที่ยังคงค้างคาความงุนงงและเครื่องหมายคำถาม ผู้คนภายในบ้านไม่ได้ว่าอะไรกับการที่ฉันและชอว์นจะออกไปด้วยกัน มีเพียงแค่เจย์เท่านั้นที่ขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนจะค้าน แต่เพราะติดคุยงานกับแอนดรูว์และคนอื่นๆอยู่
     
               เราเดินไปตามซอยในบรู้คลิน สองข้างถนนมีคลังสินค้าเตี้ยๆซึ่งถูกดัดแปลงเป็นที่พักอาศัย และสตูติโอสำหรับผู้พักอาศัยที่เป็นศิลปินมั่งคั่ง รถยนต์ส่วนมากจอดชิดขอบทางเท้าแคบราคาแพง
     
              เสียงการจราจรนิวยอร์กดังแว่วมาจากถนนใหญ่ มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ได้ยินในตอนนี้ ชอว์นไม่ได้เอ่ยปากชวนคุยในขณะที่เดินไปตามทาง  เราไม่ได้เดินเคียงคู่กัน ชอว์นเดินนำหน้าเล็กน้อย  ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดี มันคลายความน่าอึดอัดลงไปได้บ้าง
     
              "คุณรู้ใช่มั้ยว่าถ้าทำงานกับเรา คุณอาจมีเวลาพักผ่อนไม่มาก อาจไม่ได้อยู่นิวยอร์กบ่อยเหมือนที่ผ่านมา" ในที่สุดชอว์นก็พูด เขาชะลอฝีเท้า รอให้ฉันเดินไปอยู่ข้างๆ
     
              "ค่ะ ฉันทราบดี ฉันไม่ยึดติดกับสถานที่อยู่แล้ว"
     
              "และบางทีอาจเจ็ทแล็คจนกินไม่ได้นอนไม่หลับขั้นรุนแรง"
     
              "ฉันไม่ใช่คนที่ไม่เคยบินข้ามประเทศนะคะ" ฉันว่า "การเดินทางข้ามประเทศไม่ใช่ปัญหาของฉัน"
     
              "แอนดรูว์บอกว่าคุณจะบรรยายเสียงสารคดีของผม" ชอว์นพูดต่อ เหมือนเขาไม่ได้ยินคำตอบเมื่อครู่ "และคุณจะเป็นคนสัมภาษณ์ผมระหว่างถ่ายทำ"
     
              "คุณเข้าใจถูกต้องแล้วค่ะ"
     
              "คิดว่าเราจะไปกันได้ดีมั้ย" เขาหยุดเดินและมองหน้าฉัน "ผมกับคุณ ผมอายุสิบแปด ส่วนคุณ" ชอว์นเริ่มไล่มองฉันหัวจรดเท้า เม้มริมฝีปากและทำท่าครุ่นคิด "ดูแก่กว่าผมหลายปี"
     
              "มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้ากันไม่ได้หนิคะ" ฉันกอดอก ไม่ใช่เพราะอยากทำท่าท้าทาย แต่เพราะไม่ได้หยิบเสื้อโค้ตมาด้วยตอนออกจากบ้านชอว์น "เหมือนคุณกับแอนดรูว์ไง"
     
              "แอนดรูว์เป็นผู้จัดการส่วนตัวผมมานาน มันไม่เหมือนกัน"
     
              "ต้องมีครั้งแรกเสมอค่ะ" ฉันบอก  หยุดกระทันหันและถอนหายใจ เห็นควันสีขาวลอยพวยพุ่งอยู่ตรงหน้า "ฉันรู้ค่ะว่าคุณไม่ชอบฉัน จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง แต่ฉันมั่นใจว่าจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อนหรือสร้างความรำคาญ เราต่างคนต่างมีงานต้องทำ ฉันไม่ก้าวก่ายคุณ คุณไม่ก้าวก่ายฉัน งานก็จะผ่านไปด้วยดี"
     
              "มันไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น" ชอว์นพูดเสียงเบาลงอีกระดับ เขาเหม่อมองไปที่ทางเท้าด้านหลังฉัน เป็นทางที่เราพึ่งเดินจากมา แต่สักพักก็ยักไหล่ หมุนตัวและออกเดินไปตามทางอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรอีก
     
     

     
     
              ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นต่อในระหว่างที่เราเดินไปตามทางเท้าคึกคักในนิวยอร์ก ฉันเห็นชอว์นหยิบหมวกขึ้นมาสวมตั้งแต่เดินออกจากซอยและเข้าสู่ย่านที่ผู้คนเดินกันคลาคล่ำ สองข้างทางแน่นเอี้ยดไปด้วยกลุ่มคนที่เดินอย่างรวดเร็ว แท็กซี่ที่ถนนชะลอรถลงเมื่อมีคนเดินไปโบกเรียก
     
              เมื่อเริ่มใกล้โรงเรียนเซนต์เซเวียร์ฉันก็คิดถึงเบคก้า ป่านนี้เธอคงสอนศิลปะให้เด็กไฮสคูลอยู่ อาจนั่งลำบากนิดหน่อยเพราะขาข้างหนึ่งเข้าเฝือก และอาจเรียกเสียงหัวเราะให้เด็กๆเมื่อเผลอทำอะไรซุ่มซ่าม  แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อพักกลางวันจะมีครูหนุ่มกี่คนที่เดินไปหาเธอ
     
              "เอาด้วยมั้ย" เสียงชอว์นแทรกขึ้นมาในความคิด ฉันหันกลับมามองภาพตรงหน้าหลังจากเหม่อมองไปที่ถนนฝั่งตรงข้ามได้สักพัก
     
              ร่างสูงของชอว์น เมนเดสอยู่ห่างไปไม่กี่ฟุต ฉันได้กลิ่นหอมของสบู่อ่อนๆมาจากตัวเขา
     
              "ไม่ค่ะ" ฉันรีบตอบ ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวและเหลียวมองร้านคริสปีครีมข้างตัว
     
              ชอว์นเบ้หน้าและยักไหล่อีกครั้ง เขาเดินเข้าไปในร้านโดยมีฉันเดินตามไปติดๆ  กลุ่มวัยรุ่นตรงโต๊ะริมร้านกำลังกระซิบกระซาบกันและพยายามจ้องมองใบหน้าชอว์น  ถ้าพวกเธอรู้ว่าเขาเป็นใคร ร้านโดนัทอาจแตกกระเจิงและเต็มไปด้วยผู้คนมากขึ้นเป็นสองเท่า
     
              "คุณไม่ควรจะหันไปทางขวาในเวลานี้ มีวัยรุ่นกำลังมองคุณอยู่" ฉันกระซิบ เดินเข้าไปใกล้ชอว์นที่ยืนรอสั่งโดนัทตรงเคาน์เตอร์กลางร้าน
     
              "โอเค" ชายหนุ่มดึงหมวกตัวเองให้ปิดหน้ากว่าเก่า
     
              "ก่อนกลับเราน่าจะซื้ออะไรไปฝากคนที่บ้านหน่อย" ฉันบอก "พวกเขาอาจหิว"
     
              "พิซซ่าสักถาดสองถาดละกัน" ชอว์นว่า  เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าเขาเห็นด้วยในคำพูดของฉัน "ถ้าเป็นไปได้คุณน่าจะบอกให้แอนดรูว์พาทุกคนไปคุยกันที่อื่น  ผมไม่ชอบให้ใครเข้ามาอยู่ในบ้านเท่าไหร่"
     
              "แอนดรูว์คงจะไม่พามาถ้าไม่ไว้ใจพวกเขาจริงๆ"
     
              "จะอะไรก็ตาม ผมไม่ชอบให้ใครเข้ามารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว รวมถึงแอนดรูว์ด้วยในบางครั้ง"
     
              "ฉันถามได้มั้ยคะว่าทำไม"
     
              "ก็แค่เขาชอบเก็บข้าวของของผมไม่หยุด พยายามทำความสะอาด ตอนนี้ผมหาอะไรไม่เจอสักอย่าง เขาหมกมุ่น"
     
              "เขาคงชอบความเรียบร้อย" ฉันยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกจินตนาการถึงตอนที่แอนดรูว์ไล่หยิบจับสิ่งของภายในบ้านชอว์น โดยมีเจ้าของบ้านยืนกอดอกมองด้วยสีหน้าหงุดหงิดอยู่ทางริมห้อง
     
              "แต่ผมไม่ชอบ" ชอว์นโบกมือปัด  เราเงียบกันไปพักหนึ่ง
     
              "คุณจะกลับบ้านก่อนก็ได้นะคะ พอดีฉันคิดว่าจะไปเบอร์เกอร์คิงที่ถนนฝั่งตรงข้าม" ฉันเริ่มออกเดิน เอามือล้วงกระเป๋าเสื้อ หันหน้าสู่ประตูทางเข้าออก พอดีกับที่มือหนาของชอว์นมาจับแขนไว้
     
              "เดี๋ยว คุณจะไปตอนนี้เหรอ" สีหน้าไม่มั่นใจของชอว์นปรากฎขึ้น
     
              ฉันไม่นึกว่าชาตินี้จะได้เห็นสีหน้าแบบนี้จากเขา  นี่ก็เป็นเรื่องใหม่อีกเรื่องของวันนี้
     
              "ใช่ค่ะ" ฉันพยักหน้ารับ "ดับเบิ้ลชีสเบอร์เกอร์ที่นั่นลดราคาพอดี"
     
              "คุณกินดับเบิ้ลชีสเบอร์เกอร์?" เขาขมวดคิ้ว
     
              "ฉันไม่ใช่พวกกินมังสวิรัตนะคะ" ฉันตอบ "ไว้เจอกันที่บ้านคุณค่ะ"
     
              "เดี๋ยว อย่าพึ่งไป ห้ามไปไหนทั้งนั้น"
     
              "นี่คุณคิดว่า--"
     
              "ใช่ ผมกำลังสั่งคุณ ห้ามไปไหนจนกว่าผมจะออกไปด้วย"
     
              "คุณเกิดอยากได้พี่เลี้ยงเด็กเหรอ  ถ้าอยากได้ ฉันจะติดต่อเพื่อนสักคนให้"
     
              "แค่อย่าพึ่งไป ร้านเบอร์เกอร์คิงไม่บินหนีคุณไปไหนหรอก จริงมั้ย" เขาเลิกคิ้ว ทำสีหน้ารื่นเริงชั่วขณะ  ฉันพึ่งตระหนักได้ว่าเขากำลังเลียนแบบคำพูดของฉันเมื่อคืนนี้ ตอนที่เรายืนอยู่หน้าร้านหนังสือเกรย์ในวิลเลี่ยมส์เบิร์ก
     
              'ร้านหนังสือมันไม่บินหนีคุณไปไหนหรอก'
     
              ชอว์นไม่ได้อยู่รอฟังคำตอบ เขาเดินไปหาพนักงานที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ ครู่หนึ่งฉันคิดจะเดินออกไปจากร้าน แต่เป็นอีกครั้งที่ร่างกายไม่ทำตามคำสั่ง  ชอว์นอาจเจอกับความชุลมุนวุ่นวายหากอยู่คนเดียว เขาไม่ได้มาพร้อมบอดี้การ์ดหรือเพื่อนฝูง มีแค่ฉันเท่านั้น นั่นอาจเป็นเหตุผลที่เขารั้งไม่ให้ฉันไปไหน  และถ้าชอว์นเกิดเป็นอะไรขึ้นมา หรือถูกลักพาตัวไป ความผิดก็คงมาลงที่สเตฟานี่ ลินเดนอย่างไม่ต้องสงสัย
     
              ใช้เวลาเกือบหกนาทีกว่าที่เราสองคนจะได้เดินออกจากร้านโดนัท  ติดเป็นนิสัยที่ต้องคำนวณเวลาทุกครั้งเมื่อเดินออกจากสถานที่สักแห่ง ดูว่าเวลาน้อยกว่าหรือมากกว่าเวลาที่กะไว้ในตอนแรก
     
              ชอว์นเดินตามหลังฉันข้ามถนนไปที่ร้านเบอร์เกอร์คิง เราเดินขึ้นบันไดสิบกว่าขั้นเพื่อไปที่ประตูทางเข้าร้าน ป้ายรูปแฮมเบอร์เกอร์โชว์เด่นหราอยู่หน้าทางเข้า มันสูงเกือบถึงชั้นสองของตึกแถว
     
              อาจเพราะป้ายลดราคาของชีสเบอร์เกอร์หน้าร้านล่อหน้าล่อตาคนนิวยอร์กและเด็กวัยรุ่นในโรงเรียนเซนต์เซเวียร์ ภายในร้านเบอร์เกอร์คิงยามเที่ยงวันจึงมีคนเยอะกว่าปกติ สุดท้ายเราสองคนจึงต้องมานั่งที่โต๊ะเล็กริมหน้าต่างร้านเพื่อรอเบอร์เกอร์ที่สั่งไป 
     
              แสงแดดยามเที่ยงสาดส่องพอให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว ท้องฟ้าปลอดปล่อง ไร้วี่แววของหิมะหรือฝนตก  คู่หนุ่มสาวคู่หนึ่งที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไปกำลังเถียงกันว่าใครจะชนะการต่อสู้ ระหว่างดัมเบิลดอร์จากเรื่องแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ หรือแม็กนัส เบนจากเรื่อง The mortal instrument
     
              "คุณคิดว่าใครจะชนะ" ฉันพูดขึ้นทำลายความเงียบ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้และมองชายหนุ่มผมสีน้ำตาล   แสงแดดจากด้านนอกส่องสีผมของขาให้ดูออกน้ำตาลเหมือนมิลค์ช็อกโกแลต 
     
              "หมายถึงอะไร"
     
              "ดัมเบิลดอร์หรือแม็กนัส เบน"
     
              "รู้มั้ยว่าการแอบฟังคนอื่นมันหยาบคาย" ชอว์นบอก สายตาก้มลงมองจอมือถือ นิ้วโป้งเลื่อนขึ้นลงบนจอ เปิดโอกาสให้ฉันได้แอบพิจารณาเขา
     
              ชอว์นเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี เรื่องนั้นฉันไม่ปฏิเสธ เขามีเค้าโครงหน้าสมบูรณ์แบบ ผิวเนียนละเอียดอมชมพู ฉันนึกอยากรู้ว่าเขาจะเป็นเช่นไรเมื่อมีผิวสีแทน
     
              "คุณกำลังจ้องผม" เขาพูดโดยไม่เงยหน้าจากจอมือถือ "มีอะไรผิดปกติรึเปล่า"
     
              "ฉันเปล่าจ้องคุณค่ะ" ฉันปฏิเสธ คราวนี้ชอว์นเลื่อนสายตามามอง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อ "ฉันมองเด็กที่นั่งอยู่ริมร้านข้างหลังคุณต่างหาก"
     
              "ถ้าถามถึงดัมเบิลดอร์กับแม็กนัส เบน" ชอว์นว่าต่อ "ผมว่าแม็กนัส  แม็กนัสไม่จำเป็นต้องมีไม้กายสิทธิ์ เขาดีดนิ้วก็สร้างเวทมนต์ได้ ดัมเบิลดอร์ถ้าไม่มีไม้กายสิทธิ์ก็ไม่ต่างอะไรกับสามัญชนธรรมดา"
     
              "คุณก็แอบฟังนั่นแหละ" ฉันบอก "ไม่งั้นคุณคงไม่พูดเรื่องการแอบฟังตั้งแต่แรก เพราะคุณรู้ว่าฉันได้ยินจากโต๊ะข้างๆ"
     
              "อะไร ผมไม่--" ชอว์นอ้ำอึ้ง เขาอ้าปากค้าง แต่ถอนหายใจและยักไหล่ในเวลาต่อมา "ก็ใช่ ผมแค่บังเอิญได้ยิน"
     
              "นั่นเป็นคำพูดที่ฉันคิดจะใช้เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว" ฉันหัวเราะ  แอบเห็นรอยยิ้มจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม แต่พนักงานเดินมาถึงโต๊ะพอดีจึงรีบลุกจากเก้าอี้เตรียมออกจากร้าน
     
              เราเดินออกจากเบอร์เกอร์คิงแล้วลมเย็นก็ตีเข้าหน้าเหมือนมันกำลังจะบอกว่า ยินดีต้อนรับสู่ที่โล่งอีกครั้ง  ชอว์นสูดหายใจแรง เขาเอาถุงโดนัทคล้องแขน มือสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงระหว่างที่เราเดินข้ามถนนอีกครั้ง
     
              "ฉันซื้อเผื่อคุณ" ฉันหยิบเบอร์เกอร์ห่อด้วยกระดาษยื่นให้คนข้างตัว "อย่าบอกว่าคุณไม่ชอบเบอร์เกอร์ ไม่งั้นเราคงคบกันไม่ได้"
     
              "ใครไม่ชอบเบอร์เกอร์บ้างล่ะ" ชอว์นเอามือข้างหนึ่งออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วรับเบอร์เกอร์ไป "ขอบคุณ"
     
              อีกหนึ่งเรื่องที่น่าประหลาดใจ ชอว์นพูดขอบคุณกับฉันเป็นรอบที่สองของวันนี้
     
              "และ..." เขาลากเสียงยาว พ่นลมหายใจออกจากปาก "ผมซื้อโดนัทเผื่อคุณมาชิ้นสองชิ้น"
     
              "โอ้..." ฉันชะงักกกลางคัน เกือบจะเซและหยุดเดินเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ "ฉัน - ขอบคุณค่ะ"
     
              "เราต้องทำงานกันอีกสักพักใหญ่หนิจริงมั้ย ต้องไปยุโรปด้วยกันวันพรุ่งนี้อีก ผมไม่อยากเห็นคุณทำหน้าบึ้งใส่ตลอดเวลา" ชอว์นไหวไหล่เบาๆ 
     
              "ฉันไม่ได้ทำหน้าบึ้งนะคะ"
     
              "คุณทำ" ชอว์นรีบย้อน "บ่อยด้วย ทุกครั้งที่เราเจอกัน"
     
              "อย่างกับตอนที่ฉันเจอคุณครั้งแรกคุณยิ้มให้ฉันแหละ" ฉันย้อนกลับ  รับรู้ว่ากำลังยิ้ม การเก็บอาการกลายเป็นเรื่องยากในเมื่อคนที่อยากเข้าถึงทำตัวเหมือนกำลังเปิดรับครั้งแรก  ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นจิตแพทย์ที่ดีใจออกนอกหน้าเมื่อรู้ว่าผู้ป่วยวัยสิบแปดปียอมเปิดอกเล่าปัญหาส่วนตัวให้ฟัง
     
              "โทษที" ชอว์นว่าต่อ  เขาเงียบไปนานจนฉันเกือบจะลืมว่าเขาขอโทษเรื่องอะไร "พอดีช่วงนี้ผมเครียดหลายๆเรื่อง นอนก็ไม่ค่อยพอ"
     
              "ฉันเข้าใจค่ะ" ฉันพยักหน้า "เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น" 
      
              "อืม พูดอีกทีสิ"
     
              ฉันหันมองคนข้างตัว "ทำไมคะ คุณอยากได้กำลังใจเหรอ"
     
              ชอว์นมีท่าทางลังเล เราหยุดที่ริมทางเท้ารอข้ามทางม้าลาย เขาจึงเริ่มพูดอีกครั้ง "ผมชอบน้ำเสียงคุณ"
          
     
     
    Ellie goulding - Anything could happen
    Since we've found out that anything could happen
     
     
     
    Talk :
    ภายในบ้านชอว์นที่บรู้คลินค่ะ เทาน์เฮาส์แถวบรู้คลินข้างในบ้านสวยมากกกๆ
       
     
     
     

     
    (c) Chess theme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×