ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ambition | Shawn Mendes FanFiction [END]

    ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 15

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 375
      19
      5 ธ.ค. 63

     

     
    Late December 2014
     
             ชอว์น เมนเดสสั่งกาแฟเข้มๆในร้าน The capital grille ใจกลางกรุงนิวยอร์ก แอนดรูว์ เกิร์ทเลอร์นั่งอยู่ข้างเขา กำลังคุยเรื่องการออกอัลบัมใหม่และอัลบัมแรกในชีวิตของเขา  ชายหนุ่มชำเลืองมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรในวงสนทนา เพราะแอนดรูว์พูดแทนทุกอย่างแล้ว
     
             ร้านอาหารที่นั่งอยู่ค่าอาหารสูงเกินกว่าที่เงินในกระเป๋าของเขาจะจ่ายไหว ทั้งหมดที่สั่งจึงมีแค่กาแฟ แม้จะรู้ว่าอาจไม่ได้จ่ายค่าอาหารเอง แต่กันไว้ก่อนอาจดีกว่า เขาเป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งจากแอพลิเคชั่น Vine และหนึ่งในกลุ่มแมคคอนเท่านั้น ไม่มีเงินเก็บมากมายพอที่จะจ่ายค่าอาหารในร้านหรูที่ตั้งอยู่ใกล้ตึกไครส์เลอร์ได้
     
            เช้าวันนี้อากาศในนิวยอร์กสดชื่นแจ่มใส ท้องฟ้าสว่างแต่ผู้คนดูหนาวเหน็บในวันที่ยี่สิบห้าธันวาคม เขาเห็นขบวนฝูงชนที่แต่งตัวเป็นซานตาคลอสกำลังรวมกลุ่มอยู่ที่ถนนอีกฟาก อาจมีการเดินขบวนฉลองวันคริสต์มาสเกิดขึ้นในเร็วๆนี้
     
            ทว่าระหว่างที่นั่งรอกาแฟเขาไม่รู้เลยว่าชีวิตอาจนำพาบางอย่างมาให้เขา หากเขาไม่หันไปมองนอกหน้าต่างด้านล่างอีกครั้ง หากเขาไม่มองข้ามถนนอีกฝั่งไป ทุกอย่างอาจไม่เกิดขึ้น เขาคิดว่าพนักงานทำกาแฟเร็วกว่าปกติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นข้างนอกต่างหากที่ไวมากสำหรับเขา ก็แค่ผู้หญิงผมสีทองยาวในชุดเดรสสีขาวที่ตัวสูงมากกว่าหญิงสาวรอบกาย ส้นสูงทำให้เธอสูงเกือบถึงศีรษะของชายที่พึ่งเดินผ่านไป
     
            ชอว์นขยับตัวบนเก้าอี้ใกล้กระจกหน้าต่างบานใหญ่นั้น จ้องมองเธอท่ามกลางฝูงชนในเช้าวันใหม่ของนิวยอร์กและขบวนซานตาคลอสที่เริ่มรวมตัวกันมากขึ้น แม้จะในระยะห่างที่ไกลเกินเอื้อม แต่เขาเห็นดวงตาของเธอชัดเจน สีฟ้าเป็นประกาย เส้นผมปลิวสไวตามแรงลมอ่อนๆ แล้วเธอก็ยิ้มเมื่อเห็นเพื่อนตัวเล็กอีกคนกำลังเดินเข้ามาหา
     
            "ชอว์น ชอว์น"
     
            แอนดรูว์ ผู้จัดการส่วนตัวจับแขนของเขาเขย่าเบาๆ เสียงกระแอมไอนั้นทำให้เขาได้สติและหันกลับมามองใบหน้าเคร่งขรึมของหนึ่งในหัวหน้าแอนดรูว์จากค่าย Island record
     
            "ครับ" เขารีบฉีกยิ้มแล้วมองชายอายุเยอะกว่าทั้งสามที่จ้องมองมา "ขอโทษครับ พอดีว่าวิวในนิวยอร์กช่วงเช้าน่าประทับใจ"
     
            "ฉันเองก็เคยตื่นตาตื่นใจมันแบบเธอเมื่อสิบปีก่อน" คนตรงข้ามโต๊ะพูด จากนั้นจึงสูดหายใจเบาๆ บ่งบอกว่ากำลังจะวกกลับเข้าเรื่องเดิม "ยังไงก็ตาม พวกคุณคิดว่าอัลบัมแรกจะให้มีเพลงทั้งหมดเท่าไหร่"
     
            "ชอว์นแต่งไว้สิบเอ็ดเพลงครับ" แอนดรูว์รีบตอบ
     
            "ผมคิดว่าอยากจะเพิ่มอีกสักเพลงหนึ่ง" คนอายุน้อยที่สุดในกลุ่มพูดทันควัน เขาพูดในสิ่งที่คิด แม้แอนดรูว์จะแนะนำว่าสิบเอ็ดเพลงก็มากเพียงพอแล้ว เพราะศิลปินบางส่วนมีเพลงในอัลบัมไม่ถึงสิบเพลงด้วยซ้ำ
     
            สำหรับชอว์น เมนเดส เขาคิดว่าเลขสิบเอ็ดยังไม่พอสำหรับอัลบัมแรก
     
            "งั้นหมายความว่าคุณยังแต่งเพลงและอัดเพลงไม่เสร็จ" นักธุรกิจสองคนตรงข้ามโต๊ะสรุป และความเงียบก็ก่อตัวขึ้นครู่หนึ่ง จนกระทั่งอีกฝ่ายเริ่มพูดต่อด้วยท่าทางที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น "อย่ากังวลไป เราแค่สงสัย ชอว์น เมนเดส มีความสามารถอย่างที่คุณบอก มิสเตอร์เกิร์ทเลอร์ คุณมองถูกคนจริงๆ ยังไงก็ตาม..."
     
            แล้วก็วกกลับเข้าสู่เรื่องธุรกิจที่ชอว์นไม่เข้าใจอีกครั้ง เขาพยายามตั้งใจฟังในช่วงแรก ออกความเห็นในเรื่องที่คิดว่ามีส่วนร่วม จนกระทั่งทั้งหมดตัดเขาออกจากวงสนทนาอีกครั้ง นี่คือสิ่งที่ชอว์นกังวล ถ้าหากผ่านไปสักปีหนึ่ง เขาจะได้มีอิสระกับสิ่งที่ตัวเองทำหรือไม่ ค่ายเพลงจะวางกรอบและสร้างจุดลิมิตให้เขามั้ย
     
            แต่นี่ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี โดยเฉพาะการที่มีแอนดรูว์เป็นผู้จัดการส่วนตัว เขาคิดว่าการเริ่มต้นที่ค่าย Island คงไม่ต้องลำบากสร้างภาพพจน์เหมือนค่ายดีสนีย์เท่าไหร่นัก
     
            ชอว์นหันมองไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง จุดสีแดงของกลุ่มซานต้าตรงหัวมุมถนนเริ่มเพิ่มมากขึ้น ทว่าหญิงสาวที่เขามองแต่แรกยังคงยืนอยู่ เธอยืนชิดกำแพงใกล้ตู้กดเอทีเอ็มและกอดอกชะเง้อคอมองหาใครสักคน เขาเดาว่าอาจเป็นคนพิเศษ เธอแต่งตัวดีจนคนริมทางเท้าหันมองเธอจนคอเมื่อย ชอว์นคิดเล่นๆว่าถ้าหากเขาเป็นคนคนนั้นที่เธอกำลังรออยู่...
     
            "ขอบคุณมากครับ" เสียงแอนดรูว์ดึงสติ เขาเห็นสีหน้าสดชื่นไร้ความกังวลของแอนดรูว์ ทั้งหมดเริ่มลุกขึ้น จับมือบอกลากันด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะลากเก้าอี้ชิดกับขอบโต๊ะและแยกย้ายกันไปพร้อมแก้วกาแฟกระดาษในมือ
     
            ชอว์นเดินด้วยการก้าวฝีเท้ายาวๆออกจากร้าน มุ่งตรงไปที่ริมทางเท้าบริเวณหน้าทางเข้าร้านอาหาร เวลานี้เป็นเวลาสิบโมงสามสิบสี่นาทีในนิวยอร์ก ช่วงวันคริสต์มาสครึกครื้นเหมือนกำลังจะมีประท้วง
     
            เขารู้ดีว่าตนกำลังมองหาอะไร เขามองหา 'เธอ' หญิงสาวตัวสูงในเดรสสีขาว เจ้าของเรือนผมสีทองและดวงตาสีฟ้า ขบวนกลุ่มซานตาคลอสกำลังจะผ่านมา เสียงเพลงวันคริสต์มาสดังลั่นรอบกาย ผู้คนเริ่มหยุดดูขบวนซานตาคลอส
     
            ลมในฤดูหนาวพัดมาอีกครั้งเมื่อเขาเดินฝ่าหมู่คนไปยืนอยู่ชิดขอบริมทางเท้า ยืดตัวสุดความสามารถเพื่อมองหาหญิงสาวผู้นั้น ทว่าเธอไม่อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว กำแพงใกล้ตู้เอทีเอ็มว่างเปล่า ผู้คนฝั่งนั้นเดินผ่านไปมาวุ่นวายพอๆกับฝั่งที่เขายืนอยู่ ขบวนซานต้าเดินเต็มถนน เธอหายไปอย่างไร้ร่องรอย คล้ายกับว่าไม่เคยอยู่ตรงนั้น และทั้งหมดคือสิ่งที่เขานึกจินตนาการขึ้นเอง
     
            "รีบขึ้นรถแล้วออกจากถนนนี้เถอะ" แอนดรูว์จับไหล่ข้างหนึ่งของเขา ลากเขาขึ้นรถที่จอดรออยู่แล้ว "ตกลงว่าจะไม่เอาแค่สิบเอ็ดเพลงใช่มั้ย"
     
            ชอว์นนั่งเงียบในรถอยู่สักพักใหญ่หลังจากที่แอนดรูว์ถามคำถามนั้น เขายังคงมองออกไปนอกหน้าต่างรถ หวังว่าจะบังเอิญพบหญิงแปลกหน้าอีกครั้งที่อีกฝั่งของถนน แต่รู้ว่าโอกาสเป็นไปได้มีไม่ถึงศูนย์จุดหนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ
     
            ชายหนุ่มกลับมามองผู้จัดการตัวเองอีกครั้ง และไอเดียมากมายก็เริ่มพรั่งพรูในหัว "ผมจะแต่งเพลงอีกเพลง ขอสมุดกับปากกาหน่อยได้มั้ยครับ"
     
            และตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในรถสามสิบนาทีของวันคริสต์มาสในนิวยอร์ก ชอว์น เมนเดสใช้มันไปกับการเขียนเพลงใหม่จนเสร็จ ท้ายที่สุดอัลบัม Handwritten อัลบัมแรกในชีวิตของเขาลงตัวที่สิบสองเพลง และเพลงสุดท้ายที่เขาแต่งมีชื่อในภายหลังว่า I don't even know your name
     
     
    .............................
       
     
     
     
    Present
     
            ฉันเคยมาแคนาดาครั้งหนึ่งเมื่อตอนอายุยี่สิบเอ็ดปี ฝึกหัดทำงานเป็นนักข่าวครั้งแรก เคยไปที่แวนคูเวอร์เพียงที่เดียวแล้วบินกลับในเช้าวันถัดมา ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ไปเมืองโตรอนโต้ จนกระทั่งครั้งนี้ ฉันมองนอกหน้าต่างแท็กซี่ตอนออกจากสนามบิน เห็นเมืองที่ปกคลุมไปด้วยหิมะในฤดูหนาว ชั่ววินาทีแรกรู้สึกว่าหายใจไม่ออกเพราะอากาศที่เย็นเฉียบจนน่าตกใจในแคนาดา
     
            "...แล้วคริสต์มาสนี้คุณจะทำอะไร"
     
           เสียงฝีเท้าย้ำลงบนพื้นหิมะดังเป็นจังหวะการเดินช้าๆ ชอว์นอยู่ในเสื้อผ้าต้อนรับอากาศหนาว สองมือล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ตหน้า เขาเอียงตัวหันมามองหน้าฉันระหว่างที่เราเดินไปตามทาง
     
           "ฉันคงไม่ทำอะไร"
     
           "หมายความว่ายังไง" เขาขมวดคิ้ว "อย่าบอกเชียวว่าคุณไม่ชอบคริสต์มาส หรือเป็นพวกบ้างานจนไม่คิดจะกลับไปฉลองวันคริสต์มาสกับครอบครัว"
     
           "ฉันคิดว่าตอนนี้กลับบ้านคงไม่ดีเท่าไหร่" ฉันเม้มปาก พยายามเก็บเรื่องราวที่คิดเข้าลิ้นชักในสมอง "และตอนนี้พ่ออาจกลับแอฟริกาใต้"
     
           "หมายความยังไงที่ว่า กลับ " ชอว์นถามแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นซด
     
           ฉันนึกอยากจะดื่มกาแฟบ้างแต่มือทั้งสองข้างถือถาดกาแฟไว้ ตรงหน้าเราห่างออกไปมีบัสและรถเทรลเลอร์ของทีมงานทั้งหมดจอดอยู่ พวกเขาดูมีความสุขเมื่อได้กลับบ้าน ทีมงานส่วนใหญ่ของชอว์นเป็นคนแคนาดา และพวกเขาวิ่งหน้าตั้งมาหาเราเมื่อเห็นถาดแก้วกาแฟอุ่นๆในมือฉัน
     
           "หมายความว่า" ฉันว่าต่อขณะที่ยื่นถาดกาแฟให้กลุ่มทีมงาน เห็นเจย์มองมาจากประตูทางเข้ารถเทรลเลอร์แต่ไม่ได้ทักทายเพราะสีหน้าไร้อารมณ์ของเขา "พ่อฉันเป็นคนแอฟริกาใต้"
     
           "ซึ่งหมายความว่า--"
     
           "ฉันมีเชื้อสายแอฟริกัน" ฉันพูดตัดบทแล้วยิ้ม ใช้ฝ่ามืออุ่นๆของตัวเองจับแก้มเพื่อคลายความหนาว "ฉันพูดภาษาอังกฤษ โปรตุเกส แอฟริกันได้ แต่ไม่เชี่ยวชาญ ดังนั้นฉันจะไม่พูดให้คุณฟังจนกว่าจะมั่นใจว่าเปิดตำราทบทวนอีกรอบ"
     
           ชายตรงหน้าดวงตาดูเป็นประกายลุกวาว "ทำไมคุณไม่เคยบอกผม"
     
           "จำเป็นต้องบอกเหรอคะ"
     
           "จำเป็นสิ ก็อยากรู้" เขารีบตอบ "ผมคิดว่าเราแทบไม่รู้เรื่องของกันและกันเท่าไหร่ - หมายถึง ตอนนี้เรา..."
     
           แล้วเขาก็เงียบไปกะทันหัน คล้ายกับว่าอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ยั้งไว้ ใบหน้านิ่งเฉยนั้นเหมือนกับกำลังครุ่นคิดบางอย่างในสมอง
     
           "ฉันต้องไปแล้วค่ะ เพื่อนฉันรออยู่ และฉันต้องจัดเรียงคำถามทั้งหมดในบทสัมภาษณ์ต่อ"
     
           "ผมช่วยคุณทำก็ได้"
     
           "คุณควรได้พักผ่อน ไหนๆก็อุส่าห์มีวันหยุดพักผ่อนช่วงคริสต์มาส ใช้ให้เต็มที่เถอะค่ะ" ฉันตบไหล่เขา ท่าทางเหมือนครูในไฮสคูลที่ตบไหล่นักกีฬาตัวสูงมากกว่าจะเป็นคู่รัก
     
           "โอเค งั้นเจอกัน" เขาตอบหลังจากที่จ้องมองฉันเกือบห้าวินาทีเต็ม ชายหนุ่มโน้มตัวเข้ามาสัมผัสริมฝีปากเบาๆ จากนั้นจึงเดินแยกตัวออกไป
     
           ฉันกลับเข้ารถเทรลเลอร์รวมตัวของเพื่อนนักข่าว พวกเขากำลังตั้งวงดื่มเบียร์ดู Game of thrones ตอนสุดท้าย ตั้งใจยิ่งกว่าตอนทำงานหรือนั่งแปลข่าวเป็นภาษาอังกฤษ ความอบอุ่นในรถทำให้ฉันสบายตัวมากขึ้น ตัดสินใจถอดโค้ตแขวนไว้ที่เสาใกล้ประตูและเดินไปหยิบขวดกาแฟขนาดเล็ก
     
           "เฮ้" เจย์เดินเข้ามาทัก ในมือมีแก้วกาแฟดำ "แน่ใจว่าจะกินคาเฟอีนตอนนี้"
     
           "ฉันง่วง" ฉันตอบ พอดีกับที่เห็นมือข้างหนึ่งของเจย์มีผ้าพันแผลพันไว้ "แล้วนั่นมือไปโดนอะไรมา"
     
           "เล่นโยนขวดแล้วแก้วบาดมือนิดหน่อย" เขายกฝ่ามือข้างซ้ายพร้อมเบ้หน้า
     
           "เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่รู้"
     
           "เมื่อเช้านี้ ตอนที่เธอเดินไปซื้อกาแฟกับชอว์น" เจย์ตอบเสียงเรียบ เขาไม่ได้มองฉันอย่างที่ทำทุกครั้ง ออกจะไม่พอใจบางอย่างในสิ่งที่ตัวเองพึ่งพูดออกมา หรืออาจจะกำลังโทษฉัน
     
           "เป็นบ้าอะไรถึงได้ไปเล่นโยนขวด" ฉันดื่มกาแฟแล้วเดินอ้อมโต๊ะไปหาเขา "ขอดูหน่อย"
     
           เจย์ยื่นมือข้างที่เป็นแผลให้ ผ้าสีขาวพันรอบฝ่ามือปูดขึ้นในบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นแผลใหญ่ มีเลือดซึมเล็กน้อยตรงฝ่ามือใกล้กับนิ้วโป้ง
     
           "ฉันเอามือลงต่ำไปหน่อย ตอนมันแตกลงพื้น เศษก็เลยกระเด็นบาด" เขาว่า "เจ็บเป็นบ้า อากาศก็หนาว ปวดฝ่ามือตุบๆจะแย่อยู่แล้ว"
     
           "ใครใช้ให้โยนขวดเล่นล่ะ" ฉันหัวเราะพลางส่ายหัว "นี่หมายความว่าฉันต้องทำงานเพิ่มอีกใช่มั้ย"
     
           "มันเกี่ยวตรงไหน"
     
           "นายควรหยิบจับอะไรน้อยลงหน่อย มือแบบนี้ควรจะดูแลให้ดีๆ" ฉันเงยหน้ามองเขา แล้วลมหายใจอุ่นๆของเจย์ก็ทำให้เส้นผมพัดบริเวณหลังหู
     
           "ถ้านั่นเรียกว่าเป็นห่วงก็ขอบคุณ" เขาบอก
     
           ฉันคิดว่านี่อาจเป็นข้อเสียของผู้หญิงตัวสูง ฉันไม่เคยได้ทันคิดว่าใบหน้าฉันอาจจะอยู่ในระดับเดียวกันกับผู้ชาย บัดนี้ใบหน้าของเราชิดกันจนแทบจะแบ่งอากาศกันหายใจ ฉันรีบถอยหนีเพราะเห็นดวงตาสีเข้มคู่นั้น เจย์หลบสายตา ท่าทางดูทำอะไรไม่ถูกในขณะที่รีบก้มลงมองพื้น
     
           ฉันมันโง่ที่คิดอยากดูแผลแล้วเผลอเดินเข้าไปใกล้ขนาดนั้น
     
           คนตรงหน้าเริ่มกระแอมไอเบาๆ "ฉันไม่เป็นไร ก็แค่แผลเล็กๆน้อยๆ"
     
           "เฮ้ ทำอะไรกันอยู่น่ะ" เสียงแคลร์ หนึ่งในเพื่อนทีมงานดังขึ้น เธอไม่หันกลับมามองเราที่อยู่อีกฟากของรถ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ เพราะตอนนี้เดเนริส ทาเกเรียนกับมังกรของเธอกำลังโลดเล่นอยู่ในทีวี "มาดูเร็วเข้า เดี๋ยวก็พลาดตอนจบหรอก ทั้งสเตฟทั้งเจย์เลย"
     
           "มีแต่พวกเธอต่างหากที่ติดซีรี่ย์ ไม่ใช่ฉัน" น้ำเสียงของเจย์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แววตาสดใสฉายวาบขึ้นก่อนที่เขาจะเดินผ่านฉันไปหาเพื่อนที่นั่งๆนอนๆอยู่บนโซฟาแหงนหน้ามองดูทีวีจอแบนติดผนังรถ
     
           เจย์อาจทะเลาะกับจาวิส แฟนเก่าของเขา และจาวิสยังคงส่งข้อความมาถามฉันเรื่องเจย์อยู่บ่อยครั้ง แต่ทั้งคู่ปฏิเสธที่จะไม่เล่าสาเหตุของการแยกทางกัน แน่นอนว่าความอยากรู้อยากเห็นของสัญชาตญาณการเป็นนักข่าวทำให้ข้องใจ แต่สุดท้ายฉันก็เลือกที่จะไม่ถาม และถ้าหากเขาอยากเปิดใจเมื่อไหร่ ฉันก็ยินดีจะเป็นที่ปรึกษาให้
     
     

     
     
            ค่ำวันนั้นฉันยืนมองตัวเองหน้ากระจกในห้องนอนของรถ เดรสสีขาวสำหรับไปงานแต่งงานคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหากไม่ได้สวมกระโปรงยาวลากพื้นแบบเจ้าสาว และตราบใดที่มันไม่ได้เป็นกระโปรงบาน ก็คงจะไปรอด  ฉันคว้าเสื้อโค้ตยาวสีครีมมาสวมทับ มองตัวเองภายในกระจกอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะความวุ่นวายในชีวิต
     
           ชอว์น เมนเดสพึ่งลงจากบัสเมื่อฉันเดินมาถึง ค่ำนี้เขาอยู่ในชุดสูทสีดำเรียบกริบ เป็นชุดทั่วไปสำหรับออกงานของผู้ชาย ฉันเห็นเขากวาดสายตามองชุดที่ฉันสวมอยู่ ก่อนจะยิ้มแล้วเดินเข้ามาหา ท่าทางดูประหม่า
     
           "คุณพร้อมแล้วใช่มั้ยคะ" ฉันควงแขนเขาเพื่อให้กำลังใจในขณะที่เรากับคนอื่นๆเดินไปขึ้นรถ
     
           "ก็มาถึงขั้นนี้แล้วนี่" เขาเบ้หน้า
     
           หิมะหยุดตกไปตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นแล้ว แต่พื้นยังเต็มไปด้วยสีขาวโพลน คนขับรถขับในความเร็วปานกลาง ดูระมัดระวังเพราะกลัวถนนลื่น เราใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่หมาย รถแต่ละคันทยอยจอดเพื่อส่งผู้โดยสาร ทางเดินทอดยาวทางด้านซ้ายเป็นต้นไม้ ทางฝั่งขวาเป็นเนินเผยให้เห็นเมืองโตรอนโต้ยามค่ำคืน
     
           "หายใจเข้าลึกๆค่ะ คุณผ่านมันมาแล้วครั้งหนึ่ง จำได้มั้ย" ฉันดึงมือเขาข้างที่กำลังกัดเล็บออก "อย่ากัดเล็บด้วยค่ะ เล็บเสียหมด"
     
           ชอว์นก้มลงมองฉันด้วยรอยยิ้มที่ดูเป็นกังวล "ขอบคุณ" เขาว่า "และขอบคุณที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ"
     
           "ยังไงคะ"
      
           "เรากำลังจะไปงานแต่งงานของแฟนเก่าผม และผมทำตัวประหม่าขนาดนี้ บางทีผมคิดว่าคุณอาจจะไม่พอใจ"
     
           "ฉันไม่ใช่เด็กๆค่ะ และคุณก็ควรเลิกประหม่าได้แล้ว ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี"
      
           "อาลีย่าห์ก็จะไปที่นั่น" เขาเสริม "เธอบอกว่ารอไม่ไหวที่จะได้พบคุณ"
     
           "ค่ะ ฉันก็เหมือนกัน"
     
     

     
     
             งานแต่งงานถูกจัดในสวนกว้างใกล้ทะเลสาบ รอบตัวมีซุ้มผ้าใบใหญ่ ภายในมีโต๊ะกลมและแจกันดอกไม้สีชมพูอ่อน เสียงเพลงรักหวานชื่นดังคลอเบาๆ ขัดกับอารมณ์ของฉันและคนที่ยืนอยู่ข้างๆเหมือนตลกร้าย เราสองคนเดินเข้างานเช่นเดียวกับแขกคนอื่นๆ ทว่ามันเริ่มจะไม่ปกติเมื่อคนในงานเริ่มจำชอว์นได้และเข้ามาขอถ่ายรูป
     
            "ฉันจะเอาของขวัญไปให้พวกเขานะคะ" ฉันบอก เห็นชอว์นมีท่าทีลังเลแต่ถูกแขกในงานจ่อมือถือเข้าที่ใบหน้าเสียก่อน
     
            ริมทะเลสาบตอนนี้กลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมด มีไอเย็นลอยเหนือผืนน้ำแข็งเล็กน้อย เด็กตัวเล็กๆในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนกำลังไถลตัวบนพื้นน้ำแข็งกับผู้เป็นพ่อ  ฉันเห็นเจ้าบ่าวเป็นคนแรก จำได้เพราะรูปร่างของโคลสูงผอมพอๆกับแบรด
     
            อลิซกำลังถือแก้วแชมเปญคุยกับสาวๆอยู่ในซุ้ม เค้กจำนวนหนึ่งถูกตัดออกไปแล้วหลังพิธีจบลง ท้องเธอป่องเล็กน้อยในชุดเจ้าสาว แต่ยังคงน่ารักเหมือนครั้งแรกที่เราพบกัน
     
            เพลงบรรเลงที่คลอเบาๆเริ่มดังขึ้น ต่อมาคนรอบตัวก็เดินเข้าไปในซุ้มใหญ่ บริเวณกว้างขวางสำหรับใช้เต้นรำมีประกาศออกไมโครโฟนเล็กๆน้อยๆ จากนั้นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็เริ่มเต้นรำเปิดฟลอร์  ชอว์นไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ แต่เขายืนอยู่ปลายซุ้ม กอดอกมองคู่รักกลางฟลอร์เต้นรำด้วยรอยยิ้มหลังจากที่ร้องเพลงให้พวกเขาจบไปเพลงหนึ่ง
     
            "ไม่ยากอย่างที่คิดใช่มั้ยคะ" ฉันถามเขา
            
            ชายหนุ่มส่ายหัวตอบเล็กน้อย "ไม่" เขาตอบด้วยท่าทางประหม่า ขัดกับคำพูดที่พึ่งออกจากปากอย่างสิ้นเชิง
     
            ฉันเหลือบตามองและพบว่าเขาพยายามมองหาบางอย่างเพื่อทำฆ่าเวลา แต่รอบตัวเราไม่มีอะไรไปมากกว่าแขกในงานกับอาหารเพียงไม่กี่อย่าง สำหรับฉันหรือชอว์น นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เราจะสนุกกับมันได้
     
            "คุณลองจินตนาการว่าคนรอบตัวเราไม่ได้ใส่เสื้อผ้าดูสิคะ"
     
            ชอว์นเอนตัวแล้วเลิกคิ้วใส่ฉัน "คุณบ้ารึเปล่า"
     
            "เปล่าค่ะ" ฉันหัวเราะ ปล่อยมือจากแขนเขาแล้วเดินไปตามทาง อาจจะเพราะดื่มแชมเปญมากไปตั้งแต่อยู่ในงานมาครึ่งชั่วโมง ตอนนี้จึงคิดอยากทำอะไรแปลกพิกล "เฮ้ เสื้อสูทคุณดูดีจัง ใช่ของอาร์มานี่รึเปล่า หรือคาลวิน ไคลน์ มันคงจะดูดีกว่านี้ถ้าถอดกองไว้ข้างเตียง"
       
            "โทษทีครับ" มือหนาของชอว์นเข้ามาจับแขนไว้แล้วลากฉันออกจากชายวัยกลางคนเมื่อครู่ "เมื่อกี้กำลังจะทำอะไรน่ะ"
     
            "ศึกษาผู้คนไงคะ" ฉันหันหลังไปมองเขา "ฉันคงจะทนไม่ไหวถ้าอยู่ในงานต่ออีกชั่วโมง คนพวกนี้เหลือจะทน"
     
            "แล้วคุณจะทำยังไง"
     
            "อย่างที่ฉันพึ่งทำไป คุณลองดูบ้างสิ ผู้หญิงข้างโต๊ะวางเค้กกำลังมองคุณอยู่" ฉันสุ่มชี้ไปที่หญิงสาวในเดรสสีเหลืองอ่อน ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาใครสักคนที่กำลังมองชอว์น เมนเดส
     
            "แต่--"
     
            "แค่เล่นขำๆเอง ลองสิคะ อย่าคิดมาก"
     
            ชอว์นอยากจะขัด แต่ฉันผลักเขาให้เดินมาในจุดที่ช้าเกินกว่าจะถอยหลัง หญิงสาวผู้นั้นเริ่มหัวเราะคิกคักเบาๆกับเพื่อน เป็นผู้หญิงที่ดูแก่เกินวัยจะหัวเราะคิกคัก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ชอว์นกำลังเดินไปหาเธอ "คุณ...แต่งตัวดีนะครับ - ผมเป็นใครรู้มั้ย"
     
           ผู้หญิงตรงหน้าของเขานิ่งไปขณะที่มือกำลังถือแก้วแชมเปญ ชอว์นยืดอกด้วยท่าทางมั่นใจขึ้นอีกนิดเมื่อเห็นฉันโบกมือให้กำลังใจ เขาเริ่มขยิบตาให้เธอทีหนึ่ง
     
           "ชายในฝันไงล่ะ"
     
           เราสองคนจบลงด้วยการเดินวนไปทั่วงาน สร้างความวุ่นวายเหมือนเด็กวัยรุ่นในไฮสคูล ฉันเห็นชอว์นพุ่งไปหาหญิงชราเกือบตลอดเวลาที่เราแข่งกัน และมันจะจบลงด้วยใบหน้าของพวกเธองุนงงคล้ายกับคนหลุดโลก
      
           ฉันเดินกลับไปหาชอว์นหลังจากที่หว่านสเน่ห์ชายคนสุดท้าย เห็นเขากำลังยืนคุยกับหญิงชราอีกคนที่อายุราวห้าสิบปี มือเธอเริ่มขยับเข้ามาแล้วลูบไล้ไปที่หน้าอกของเขา  ฉันรีบวางแก้วแชมเปญลงบนโต๊ะ วิ่งเข้าไปช่วยชอว์นที่เหมือนคนถูกลวนลามแต่ทำอะไรไม่ถูกให้เดินจากมาโดยการควงแขนและดึง
      
           "โทษครับ โทษที" เขาพูดทั้งที่เริ่มหัวเราะ เมื่อหญิงสาวผมสีน้ำตาลอายุราวๆสิบสี่ถึงสิบหกปีเดินเข้ามาหาเรา ชอว์นจึงเริ่มพูดอีกครั้ง "โอ้ ในที่สุดเธอก็มา"
     
           "อย่างน้อยก็มาทันเห็นพี่จีบหญิงแก่อายุหกสิบ" เธอล้อเลียน แล้วจึงเลื่อนสายตามามองฉันต่อ "อาลีย่าห์ เมนเดสค่ะ"
     
           เด็กวัยรุ่นตรงหน้าส่งยิ้มให้ฉัน เธอดูเก้ๆกังๆระหว่างจะยื่นมือขอจับเช็คแฮนด์หรือกอด ฉันจึงตัดสินใจเข้าไปสวมกอดเธอเมื่อเห็นว่าเธออ้าแขนออกอย่างลังเล ความมั่นใจดูเพิ่มขึ้นเมื่อมือนั้นสัมผัสแผ่นหลังฉัน
     
           "ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันสเตฟานี่" ฉันแนะนำตัว "กระเป๋าน่ารักดีนะคะ"
     
           "ขอบคุณค่ะ ของคุณเช่นกัน และฉันอยากได้กระเป๋าคุณมากกว่า" อาลีย่าห์ยิ้มกว้างขณะมองมาที่กระเป๋าสีน้ำตาลใบจืดชืดไร้สีสันในมือฉัน
     
           ชอว์นเริ่มจะพูดบางอย่างโดยการกระซิบที่ข้างหู ฉันฉีกยิ้ม คิดว่าบรรยากาศกำลังจะดีขึ้น จนกระทั่งสายตาหันไปเห็นบุคคลที่ไม่คาดฝันว่าจะปรากฎตัวที่นี่ หรือประเทศนี้  เขายืนอยู่หน้าทางเข้าซุ้มกับเพื่อนสี่คนในชุดสูทที่ดูดี พวกเขายิ้มทักทายชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว และครู่ต่อมาโคลก็รีบวิ่งไปกอดทักทาย
     
           "สเตฟฟี่ สเตฟานี่" เสียงดีดนิ้วดึงสติของฉัน ชอว์นชะโงกหน้ามามองด้วยความสงสัย "มีอะไรเหรอ" เขาถาม ก่อนที่จะหันหัวไปมองภาพที่ฉันกำลังมองอยู่ และมันก็ทำให้เราทั้งคู่เงียบสนิท
     
           แบรด เฮอร์นานเดซเลื่อนสายตาจากใบหน้าของโคลมามองที่เรา คล้ายกับรู้สึกตัวว่ามีคนกำลังจ้องมองอยู่ ฉันเห็นว่าเขามีท่าทีแปลกใจ ใบหน้าหุบยิ้มลงเล็กน้อยแต่ไม่ได้ซีดเหมือนชอว์นที่ยืนอยู่ข้างๆ  ฉันคิดว่าอยากจะหนี อาจออกจากงานนี้แล้วขับรถไปให้ไกลๆ หนีพ้นจากเหตุการณ์นี้ ทว่าแบรดกำลังเดินเข้ามาหาเรา
     
           แม้จะในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน แต่แบรดแตกต่างจากเดิมจนน่าใจหาย เขาผอมลง ผมยาวขึ้น แต่ผิวดูขาวกว่าเก่า ขอบตาคล้ำเช่นทุกครั้ง ตัวสูงเท่าชอว์น เมนเดสแต่ผอมกว่า เขาส่งยิ้มสุภาพให้ชอว์นก่อนที่จะเข้ามากอดทักฉัน
     
           "สเตฟ ไม่คิดว่าเธอจะอยู่ที่นี่" เขาเริ่มพูด
     
           ฉันนึกอยากจะถามว่าเขามาทำอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าก็เหมือนแขกคนอื่นๆ มาแสดงความยินดีกับเพื่อน ตอนนี้ฉันพูดอะไรไม่ออก รู้สึกเหมือนถูกมีดเล่มใหญ่ทิ่มที่หน้าอก พยายามที่จะไม่นึกภาพความทรงจำครั้งสุดท้ายที่เราเจอหน้ากัน แต่กลับจำได้ชัดเจนกว่าเก่า
     
           "ผมขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวหน่อยได้มั้ย" แบรดหันไปมองชอว์นที่ยืนจับมือฉันอยู่ เขาถามอย่างสุภาพ แตกต่างจากครั้งแรกที่เขาพบชอว์นในนิวยอร์ก
     
           เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกือบทำให้ฉันลืมว่าอาลีย่าห์ เมนเดสก็อยู่ข้างๆเรา เธอดึงแขนชอว์นเพื่อเตือนให้เขารีบเดินตามเธอไป ทว่าชอว์นยังอยู่ที่เดิม
     
           "ผมไม่คิดว่า--"
     
           "ฉันต้องการคุยกับเขาค่ะ" ฉันพูดตัดบท หน้าของเขานิ่งไป คำถามต่างๆแสดงให้เห็นผ่านแววตาสับสน แต่เขาไม่พูด แค่ดึงมือออกแล้วเดินจากไปพร้อมน้องสาว
     
           ฉันหันกลับมามองแบรดอีกครั้ง ฝืนกลั้นซ่อนทุกสีหน้าไว้ภายใต้รอยยิ้มเล็กๆที่สร้างขึ้น รู้ดีว่าถึงเวลาที่ต้องเคลียร์เรื่องทุกอย่าง มันถึงเวลาแล้ว และพระเจ้าคงเบื่อเต็มทนกับการที่ฉันคอยแต่จะวิ่งหนีกับเรื่องนี้
      
      
     
     
     
            เวลาที่เหลือของคืนนี้เราเช่าโรงแรมพัก เพราะภายในรถมีเตียงไม่สะดวกสบายและไม่มีรูมเซอร์วิส  ชอว์นไม่ได้เข้ามาคุยกับฉันตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เราเจอแบรด แต่แอนดรูว์ให้เราสองคนนอนห้องเดียวกัน เมื่อจะปฏิเสธ ทุกคนก็คิดว่ามันกลายเป็นเรื่องเหลวไหลหลังจากวันนั้นในออสเตรีย
     
            ฉันนอนเงียบๆอยู่บนเตียงโดยมีหมอนกั้นตรงกลางระหว่างฉันกับเขา เหตุการณ์คล้ายกับย้อนไปในช่วงแรกที่เราพบกัน เงียบและไม่ปริปากพูดอะไรทั้งนั้น
     
            เบคก้าเคยบอกว่าฉันควรเปิดใจกับใครสักคนหลังจากเรื่องทั้งหมด เธอรู้ดีว่าความเชื่อใจของฉันที่มีให้เธอลดลง แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะแนะนำชอว์น ปัญหาใหญ่ของเรื่องทั้งหมดคือฉันไม่เคยชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง แม้กระทั่งครอบครัว
     
            ทุกคนโกหก มันคือส่วนหนึ่งของสังคม ไม่มีใครกล้าพูดว่าคุณอ้วน เตี้ย หรือตัวเหม็น วิธีการพูดแบบนั้นใช้ไม่ได้ในสังคมนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงโกหกตลอดเวลาแม้จะในเรื่องเล็กๆ พวกเขาอาจเล่าเรื่องราวในชีวิตให้ฟัง แต่ฉันได้เรียนรู้ทั้งจากตัวเองและจากผู้คนว่ามันมักจะมีเรื่องหนึ่งที่เราต่างละเลยที่จะพูดถึง และส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องสำคัญทั้งนั้น ผู้คนปกปิดความจริงเพราะพวกเขากลัว
      
            'เธอควรเปิดใจ'
     
            ประโยคสุดท้ายที่เบคก้าส่งข้อความมาทำให้นอนมองเพดานอยู่ครู่ใหญ่ ฉันจินตนาการได้แม้กระทั่งเสียงของเธอยามที่พูดประโยคนั้น
     
            "คุณช่วยขยับหมอนไปทางคุณอีกหน่อยได้มั้ย" ชอว์นพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ มันทำให้ฉันสะดุ้งเล็กๆก่อนจะทำตามที่เขาบอก
     
            ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่สุดท้ายฉันก็เริ่มจะออกปากชวนคุยต่อ "ฉันเห็นคุณใส่แหวนบ่อยๆ" ฉันกลืนน้ำลาย พยายามรวบรวมคำถามในหัว "มันคือแหวนอะไรคะ"
     
            "โทษที เรื่องนั้นผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณ"
     
            ฉันเบ้หน้าใส่เพดานเมื่อได้ยินคำตอบ "ฉันแค่คิดว่าเราน่าจะรู้เรื่องของกันและกัน--"
     
            "แต่เรื่องนี้ไม่ต้อง และคุณไม่เคยคิดจะบอกเรื่องของคุณ มาพูดตอนนี้ทำไม" เขาย้อนถาม ฉันจึงเงียบไปเพราะรู้ว่าเขาพูดถูกทั้งหมด "คุณควรหลับ" เขาต่อประโยค
     
            แต่ถึงแม้เขาจะพูดแบบนั้น ฉันกลับรู้สึกได้ว่าเราทั้งคู่ไม่ได้พยายามจะหลับ พนันได้ว่าตอนนี้ชอว์นกำลังลืมตาและทำอย่างเดียวกันคือมองเพดานห้อง ถ้าฉันอายุน้อยกว่านี้สักนิดอาจถามว่าเขาหึงหลังจากเหตุการณ์ของแบรดหรือไม่ แต่เพราะฉันไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้น
     
            "ฉันชอบดูเรียลลิตี้ของครอบครัวคาร์ดาเชี่ยน" ฉันทำลายความเงียบอีกครั้ง "ไม่ได้ชอบพวกเขาหรือเป็นแฟนคลับ แค่ดูเพราะชีวิตพวกเขาดูมีความสุขดี"
     
            ชอว์นยังเงียบกริบ แต่ฉันได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของเขาเบาๆ เมื่อจะเหลือบตามองก็พบว่าหมอนบังทุกอย่างมิด
     
            "ฉันเคยไปสมัครเป็นแอร์โฮสเตส ทำงานอยู่ปีหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทางเลยลาออก ฉันเคยตกหลุมรักนักบิน แต่มารู้ทีหลังว่าเขามีครอบครัว แถมยังมีลูกตั้งห้าคน ฉันไม่ได้นอนกับใครมาปีกว่าแล้ว" ฉันสำลักน้ำลายเมื่อพูดจบ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดประโยคสุดท้ายแต่ไหลออกมาเพราะพูดเร็วเกินทันคิด
     
            คนข้างตัวฉันยังเงียบ แต่เพราะฉันไม่อยากให้เช้าวันพรุ่งนี้กระอักกระอ่วนและอึดอัดไปมากกว่าคืนนี้ จึงตัดสินใจไม่ยอมแพ้และพูดต่อไป
     
           "ฉันชอบเล่นวิดีโอเกมกับเพื่อน....ฉันเคยไปร้องไห้ในห้องน้ำตอนที่เพื่อนร่วมงานตะโกนด่าฉันว่าปีศาจร้าย ตอนที่พวกเขาเริ่มจะนินทาว่าฉันไปนอนกับนักการเมืองเพราะเงินกับอาชีพ  ฉันเคยตั้งใจจะสัก หลังจากที่แม่เสีย แต่แพ้หมึก ก็เลยไม่ได้สัก"
     
           เขายังเงียบอยู่ เงียบจนไม่แน่ใจว่ามีเพียงฉันคนเดียวหรือไม่ที่ยังตื่นในห้องนี้  มันเป็นเวลาครู่หนึ่งที่ฟังเสียงลมหายใจของเขา สุดท้ายจึงถามเบาๆ
     
           "คุณยังตื่นอยู่มั้ยคะ"
     
           ไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมา แต่แล้วเตียงที่นอนอยู่ก็เริ่มขยับเล็กน้อย "ตื่นอยู่" เขาตอบ เสียงดูแหบเพราะเงียบไปนาน "คุณไม่ได้นอนกับใครมาปีกว่าแล้วจริงๆเหรอ"
     
           "ฉันพูดตั้งเยอะ คุณจำได้แค่เรื่องนั้นเหรอคะ"
     
           "ปีกว่าเชียวนะ"
     
           "ก็มีงานให้ทำเยอะหนิคะ" ฉันเถียง แล้วเราก็เงียบกันไปอีกครั้ง "ฉันรู้ว่าฉันบอกคุณช้าไป แต่ฉันไม่ถนัดเล่าเรื่องแบบนี้ให้ใครฟัง"
     
           "ผมรู้" เขาตอบสั้นๆ "ผมจะนอนแล้ว ฝันดี"
     
           เตียงเคลื่อนไหวอีกครั้งเมื่อชอว์นพลิกตัว ฉันเดาว่าเขาคงจะพลิกไปอีกด้าน หันหน้าเขาสู่หน้าต่างที่มีผ้าม่านผืนใหญ่ปิดบังแสงในเมืองยามค่ำคืนไว้ เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งนาที สุดท้ายฉันจึงตัดสินใจพูดต่อ ตั้งใจว่าจะพูดเป็นประโยคสุดท้าย
     
           "มีอีกอย่างหนึ่ง ฉันเลิกกับแบรดแล้ว"
     
           เมื่อพูดจบก็เริ่มพลิกตัวหันไปทางหมอนใบใหญ่ที่กั้นเราไว้ คิดว่าชอว์นไม่มีทางได้ยินประโยคนั้น เพราะเว้นระยะนานเกินกว่าที่คนทำงานหนักอย่างเขาจะยังตื่นรอฟัง  ฉันพยายามจะข่มตาหลับในห้องเย็นๆที่ผ้าห่มไม่ได้ช่วยคลายความหนาว แสร้งว่าไม่ได้ยินเสียงแตรรถที่ดังมาจากถนนเบื้องล่าง
     
           จนกระทั่งหมอนตรงหน้าถูกขยับและยกออกไปในเวลาต่อมา
     
           ใบหน้าของชอว์น เมนเดสเห็นชัดท่ามกลางสายตาที่ปรับรับกับความมืด เขาเอาหมอนใบใหญ่ที่กั้นเราไว้ออกโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนที่จะรีบหลับตาลงเมื่อเห็นว่าฉันจ้องมองอยู่
     
           และท่ามกลางความมืดนั้น ฉันเริ่มเห็นรอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
     
     
     
    Jacob lee - Secrets
    All we have is all we'll ever need
     
     
    Talk
     
    - เคลียร์แล้วนะจ้ะะ สเตฟานี่เลิกกับแฟนแล้วว เบื้องหลังจะมีบรรยายในตอนอื่นค่ะ เราอยากให้ตอนนี้รีดเดอร์เห็นความพยายามที่จะลืมคนรักเก่าของทั้งคู่ เรื่องแฟนเก่าเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนนะ55
     
     
    - ตอนนี้มีเล่าเรื่องในอดีตเพื่อใช้โยงสำหรับตอนต่อๆไปค่ะ เราแต่งๆลบๆหลายครั้งมาก รู้สึกว่ายังไม่ลงตัว เลยใช้เวลานานนิดนึง ขอโทษที่ทำให้รีดเดอร์รอนะคะ5555
     
     
    - เราดีใจมากที่มีคนอ่านฟิคนี้ ฮือออออเห็นยอดวิวขึ้นก็ดีใจแล้วค่ะ ขอบคุณรีดเดอร์ที่ติดตามม เราสอบผ่านแล้วจ้าาาา หลังจากที่เครียดมาเป็นแรมปี55555555 โล่งมากกกกก อยากแชร์ความโล่งนี้ให้รีดเดอร์55 จะพยายามมาอัพบ่อยๆนะคะ รีดเดอร์อย่าทิ้งเราไปไหนนะ ชอบอย่าลืมให้กำลังใจด้วยย ทุกกำลังใจสำคัญกับเราค่ะ ว่างๆก็แชร์ฟิคเราให้เพื่อนๆสไตล์เดียวกันอ่านได้นะ55555 ♥ Thanks for your support
     
     

    (c) Chess theme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×