ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ambition | Shawn Mendes FanFiction [END]

    ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 13

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 404
      15
      24 ม.ค. 63


     
     
              มีหนทางตั้งมากมายที่เรื่องราวทั้งหมดนี้จะออกมาในรูปแบบอื่นไปเลย  ลองคิดดูว่า ถ้าฉันไม่ไปที่บรูคลินและมุ่งหน้าไปเคาะประตูบ้านของชอว์น ฉันก็อาจจะไม่ต้องนั่งแท็กซี่ไปกับเขาในคืนนั้น ซื้อฮอตด็อกให้ พาเขาไปที่ร้านหนังสือเพื่อขโมยรูปภาพแห่งความลับที่ดูยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าการปล่อยมลพิษสู่อากาศ
     
              หรืออาจจะเรื่องหลังจากนั้นด้วย ลองนึกดูสิว่า ถ้าฉันไม่มัวแต่ตั้งใจอยากเอาชนะเด็กอายุสิบแปด ทำงานเหมือนพวกผู้หญิงออฟฟิศไปวันๆโดยที่ไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับเขา เรื่องมันอาจจะไปในทิศทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้
     
              แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องเหล่านั้นอาจไม่สำคัญอีกต่อไป  ชอว์น เมนเดสยังคงจ้องฉันด้วยสีหน้ายากจะเดา เขาไม่ได้ทำสีหน้าคาดหวังรอคำตอบเหมือนผู้ชายห่วยๆที่แสดงอาการเกินหน้าเกินตาชวนให้ตอบปฏิเสธ  นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่หัวใจเต้นถี่รัวคล้ายกับกำลังจะโดดลงจากหน้าผา
     
              "Oh f*ck! not again!"
     
              เสียงสบถดังลั่นออกจากปากของคนขับบัสที่เรานั่งอยู่ ดังพอที่จะทะลุกำแพงแผ่นไม้หนาๆที่กั้นเอาไว้ได้สบายๆ สายตาของชอว์นดูไม่เต็มใจลากไปมองที่ต้นเสียง เขายังอยากได้คำตอบที่ฉันยังไม่แน่ใจว่าควรจะตอบว่าอะไร
     
              และอีกครั้ง มันเป็นอีกครั้งที่ฉันลังเลในเรื่องการตอบปฏิเสธกับชอว์น
     
              แอนดรูว์กับเพื่อนสองคนของชอว์นลุกขึ้นแล้วเดินไปคุยกับคนขับ พอดีกับที่รถจอดลงตรงริมถนนอีกครั้ง มันเลยทางซุปเปอร์ไฮเวย์มาเล็กน้อย ท่ามกลางความมืดไกลออกไปฉันมองเห็นย่านชุมชนส่องแสงลางๆ
     
              คนส่วนใหญ่ยังหลับอยู่ในตู้นอนเมื่อเราเดินลงจากรถ  ในเวลานี้เราจึงมีกันแค่หกคน ฉัน ชอว์น แอนดรูว์ เจฟ เอียน ซึ่งเป็นเพื่อนของชอว์น และคนขับรถ เรากางแผนที่ดูโดยใช้แค่ไฟริมถนนด้านบนส่อง แสงสีส้มอ่อนสะท้อนกระดาษเบาบางจนแทบมองไม่เห็น
     
              "บางทีอาจมีร้านซ่อมรถอยู่แถวๆนั้น" ฉันออกความเห็นแล้วชี้ไปที่ย่านชุมชน "หรืออาจมีรถให้เช่า"
     
              "ต้องเช่ารถสักกี่คันกันเราถึงจะไปกันครบ" คนขับรถถาม ไม่ได้ออกจะแดกดัน แต่คล้ายกับกำลังครุ่นคิด "พวกคุณต้องไปก่อนเวลากี่โมง ช่วยบอกอีกรอบจะได้มั้ย"
     
              "ก่อนแปดโมงเช้า" แอนดรูว์ตอบเสียงเครียด "ชอว์นมีสัมภาษณ์กับรายการวิทยุตอนแปดโมงครึ่ง"
     
              "เราไม่มีทางซ่อมทันก่อนแปดโมง นี่มันจะตีห้าแล้วนะ" เจฟ วาเบอร์ตันพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดพอกัน เขาดูนาฬิกาข้อมือตัวเองแล้วถอนหายใจ ในขณะที่คนที่กำลังถูกพูดถึงยืนกอดอกเงียบๆมองดูแผนที่บนพื้น
     
              "ผมจะไปย่านชุมชนที่สเตฟานี่บอก" ชอว์นออกปากพูดในที่สุด "จะไปหาอู่ซ่อมรถ จากนั้นเราอาจเช่ารถสักคันแล้วขับไปต่อได้ น่าจะใช้เวลาไม่นาน และคงจะถึงก่อนแปดโมง"
     
              "นายจะไปเหรอ" เจฟชี้ไปที่เพื่อนตัวเอง "นายจะไป..."
     
              "ฉันจะไปกับสเตฟานี่"
     
              ฉันหันขวับมองชอว์นจนหัวแทบหลุดออกจากบ่าเมื่อเขาพูดชื่อฉัน  ความเงียบก่อตัวขึ้น คล้ายกับว่าพวกเขารู้บางอย่าง แต่ไม่ได้ปริปากพูด ทำเพียงแค่พยักหน้ารับอย่างเห็นพ้องต้องกัน
     
              "เลือกได้ดี อย่างน้อยถ้าไปสาย สเตฟานี่จะช่วยแก้ตัวให้" แอนดรูว์มองมาที่ฉัน "คงไม่มีใครกล้าต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงที่มีชื่อในฟอบส์อย่างคุณ"
     
              "แน่ใจเหรอคะ" ฉันกวาดสายตามองชายหนุ่มรอบตัวที่กำลังมองมา "ให้ฉันไปเหรอ"
     
              "เช้ามืดไม่มีคนมากหรอก จะไม่มีใครจำชอว์นได้ โดยเฉพาะที่ชุมชนเล็กๆเวลาตีสี่ครึ่ง" เอียนอธิบายด้วยท่าทางสบายใจขณะที่ยิ้มให้ฉัน
     
              "โอเค ถ้างั้นเจออู่แล้วโทรมาแล้วกัน" แอนดรูว์สรุปพร้อมกับทำท่ายกมือถือแนบหูแล้วมองไปที่ชอว์น เจฟและเอียนตบไหล่เขาเชิงให้กำลังใจ จากนั้นชายร่างสูงตรงหน้าก็รีบหันหลังออกเดินเพื่อรอเวลาข้ามถนน
     
              "เอ้า ไปสิสเตฟานี่ เร็วเข้า" เจฟยกนิ้วโป้งชี้ไปทางชอว์น "ระวังตัวกันด้วยล่ะ"
     
              เพราะสายตาแปดคู่ที่จ้องมองมาที่ฉันอย่างกดดัน นั่นจึงทำให้ฉันต้องจำใจยิ้มแห้งๆตอบแล้วเดินตามชอว์น เมนเดสไป  และแน่นอน ฉันถอนหายใจเบาๆในระหว่างนั้น
     
     

     
     
              กินเวลาเกือบทั้งชาติได้ ถ้านับจากการเดินเท้าเข้าสู่ย่านชุมชนสักแห่งในออสเตรีย ชอว์นเดินนำหน้าไปเงียบๆ เราไม่ได้พูดอะไรกันตลอดทาง เหมือนในช่วงสองวันแรกที่เราพึ่งพบกัน เงียบและน่าอึดอัด แต่บางอย่างทำให้รู้สึกว่ามันดีกว่าในช่วงแรกๆ และไม่จำเป็นต้องบังคับทุกฝีก้าวของตัวเอง
     
              "แล้วเรื่องคุณเป็นไงบ้าง" ในที่สุดคนตรงหน้าก็ทำลายความเงียบลง ชอว์นชะลอฝีเท้าแล้วรอให้ฉันเดินตามเขาทัน "คุณกับเพื่อนของคุณ"
     
              เอาอีกแล้ว ฉันคิดในใจ พยายามข่มความรู้สึกผิดหวังและถูกทรยศให้หายไปกับสายลมที่เริ่มพัดมา เขาไม่ได้พูดเรื่องที่ถามก่อนหน้านี้ในบัส และฉันนึกขอบคุณที่เขาไม่ถาม "รู้มั้ย ฉันเกือบจะลืมเรื่องเพื่อนไปแล้วถ้าคุณไม่พูดถึงมัน"
     
              "โทษที" เขายักไหล่ "แค่อยากรู้ว่าคุณจะทำยังไงต่อไป"
     
              "ฉันยังไม่รู้ค่ะ" ฉันตอบตามตรง ปล่อยให้ความเงียบมาแทนที่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
     
              "คุณคิดอะไรอยู่" เขาถาม
     
              ฉันก้มลงมองพื้น "ฉันอยากต่อยเขา - ไม่ใช่แค่แบรด แต่อาจเป็นเบคก้าด้วย"
     
              "ดี สมควรแล้ว" ชอว์นตอบเสียงเบาแล้วเสริมต่อ "แต่คุณก็รักพวกเขา"
     
              "แต่ฉันรักพวกเขา" ฉันทวนคำพูดแล้วหันมองคนข้างๆ "ฉันมักเป็นพวกขี้อิจฉา"
     
              "ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ"
     
              "ฉันอิจฉาเบคก้า อิจฉาเธอในหลายๆเรื่อง  ผู้หญิงร่างเล็ก หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ไม่ใช่กล้าได้กล้าเสียและสูงโย่งกว่าผู้ชายเกือบทุกคนที่พบ" ฉันอธิบาย "แต่ก็นั่นแหละ เธอทำให้ฉันเข้าใจว่าผู้หญิงน่ารักไม่ได้มีไว้แค่ให้อิจฉา หลบเลี่ยง หรือไม่ชอบหน้า"
     
               "คนตัวเล็กก็อยากสูงนะ" ชอว์นมองหน้าฉัน "ผมเข้าใจ เพราะผมสูงกว่าคุณอีก" เขาหัวเราะร่า "คุณดูดีในแบบของคุณ ความมั่นใจและกล้าได้กล้าเสียทำให้คุณประสบความสำเร็จ และถ้าไม่เคยมีใครบอกคุณว่าคุณสวย ผมจะบอกให้ - คุณสวย เวลาที่คุณเดินและดูมุ่งมั่นมองทางข้างหน้า ตอนที่เส้นผมคุณปลิวพัดตามแรงลมอ่อนๆ เวลาที่คุณยิ้ม หรือแม้กระทั่งตอนที่คุณตั้งหน้าตั้งตาทำงาน"
     
              "ถ้าคุณคิดว่าการชมจะทำให้ฉัน--"
     
              "ผมพูดความจริงต่างหากล่ะ" เขารีบพูดขัด "คนเราไม่เคยพอใจในตัวเองหรอก และคุณไม่ได้มีดีแค่ภายนอก คุณเป็นผู้หญิงที่ผู้ชายหลายคนคงพาไปรู้จักพ่อแม่ของเขาในวันพิเศษของครอบครัว ไม่ใช่ผู้หญิงที่นัดเจอตอนเที่ยงคืน"
     
              "Well" ฉันยิ้ม เว้นระยะในคำพูดตัวเองเล็กน้อย "Thank you mr.Mendes"
     
              เขาหัวเราะ พอดีกับที่เราผ่านร้านอู่ซ่อมรถที่กำลังเลื่อนประตูเหล็กเปิดจากด้านล่างขึ้นด้านบนพอดี
     
     
     
     
     
     
              "...คุณไม่รู้งั้นเหรอ" ชอว์นถามย้ำเสียงดังฟังชัดอยู่บนเบาะข้างๆในรถออดี้สองประตูสีดำที่พึ่งเช่ามา
     
              และถึงแม้จะโต้เถียงเรื่องการกินน้ำมันอย่างสิ้นเปลืองไปแล้ว แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ยืนยันว่าจะเอารถคันนี้ตั้งแต่เห็นร้านเช่ารถ
     
              "รู้อะไรคะ" ฉันย้อนถาม
     
              "ว่าเราจะไปถึงทันแปดโมงมั้ย"
     
              ฉันส่ายหน้าตอบช้าๆ "ไม่ค่ะ แต่อาจเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับว่ารถจะติดระหว่างเข้าเมืองมั้ย"
     
              "แต่เราควรไปให้ตรงเวลา มันเป็นถ่ายทอดสด"
     
              "อย่างน้อยตอนนี้เราก็อยู่ในรถระหว่างการเดินทางแล้ว ใจเย็นๆเถอะค่ะ ฉันก็ไม่ใช่คนที่ชอบสายหรอก" ฉันเริ่มหันมองหน้าชอว์น "คุณอยากให้ฉันขับแทนมั้ยคะ"
     
              "ทำไม ผมดูแย่มากรึไง"
     
              "คุณดูเหนื่อย"
     
              ชอว์นส่ายหน้า คราวนี้ปิดปากหาวไปด้วย "แค่เพลียนิดหน่อย คืนนี้ยังไม่ได้นอน"
     
              "ดูแลตัวเองบ้างนะคะ" ฉันขยับตัวแล้วหันหน้ามองถนนผ่านกระจกหน้ารถอีกครั้ง
     
              หางตาเริ่มเห็นคนหลังพวงมาลัยหันมา "เป็นห่วงผมเหรอ"
     
              "เปล่าค่ะ ฉันห่วงตัวเองต่างหาก เกิดคุณหลับในรถจนบังคับรถไม่อยู่"
     
              "ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนั้น" ชอว์นยืนยันแต่หาวอีกรอบ "ผมไม่เป็นไร อย่าห่วงเลย"
     
              ฉันพยักหน้า แอบเบ้ปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงมั่นอกมั่นใจจากเขา จากนั้นจึงเอื้อมมือไปเปิดวิทยุหาช่องที่มีเพลงดีๆสักเพลง บางทีอาจทำให้ชอว์นกระปรี้กระเปร่าขึ้น  มีวิทยุช่องหนึ่งกำลังเปิดเพลงของคนที่นั่งอยู่ข้างฉัน ฉันรีบกดเปลี่ยน พอดีกับที่เขาส่งเสียงคัดค้าน
     
              "เฮ้ๆ นั่นเพลงผมนะ กล้าดียังไงถึงได้เปลี่ยนช่อง" เขาโวยวายพลางใช้นิ้วกดกลับไปที่ช่องเดิม
     
              "คุณชอบฟังเพลงของตัวเองระหว่างขับรถเหรอคะ"
     
              "ไม่ แต่ก็ไม่เสียหายอะไรนี่" เขาบอก จากนั้นจึงเริ่มกระแอมไอคล้ายกับกำลังเคลียร์เสียง แต่แล้วก็เงียบไป "Please have mercy on me!"
     
              "จีซัส!" ฉันสะดุ้งพร้อมกับเอาตัวแนบประตูด้านข้างตามสัญชาติญาณ "ตกใจหมด ไม่ต้องตะโกนขนาดนั้นก็ได้มั้งคะ"
     
              "เอ้า อะไรกัน ออกจะเพราะ" เขาหันมามอง "Take it easy on my heart even -- เฮ้ อย่าเปลี่ยนเชียวนะ" มือหนาเข้ามาตีข้อมือฉันแรงๆทีหนึ่งเมื่อเห็นว่าฉันตั้งท่าจะกดเปลี่ยนช่องอีกครั้ง "ฟังๆไป คุณต้องได้ฟังมันอีกยาว ยังไม่ชินอีกรึไง"
     
              "ไม่ค่ะ โดยเฉพาะเสียงคุณตอนที่คุณกำลังง่วงนอนอยู่แบบนี้"
     
              "ผมคิดว่าอยากงีบ" เขาพูดขึ้นฉับพลัน จากนั้นแกล้งทำท่าหลับคาพวงมาลัยแล้วหัวเราะเมื่อฉันเริ่มโวยวาย
     
              เราเปลี่ยนที่นั่งกันริมถนน โดยคราวนี้ชอว์นไปนั่งแทนที่ฉัน และฉันมาอยู่หลังพวงมาลัยออดี้สองประตู - ที่ชาตินี้ยังไม่เคยขับ และไม่แน่ใจว่าต้องบังคับรถในความเร็วระดับที่เท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ไปได้สวย
     
              ชอว์นจ้องฉันอยู่นานระหว่างรถเคลื่อนไปตามทาง คล้ายกับว่าไม่แน่ใจในการขับขี่ของฉัน จนกระทั่งเขาพูดว่า "ของีบสักชั่วโมง พยายามอย่าฆ่าผมหรือขับรถไปชนเสาไฟแล้วกัน"
     
     

     
      
              ในรถเงียบตลอดเส้นทางอีกหลายกิโล  ชอว์นยังหลับอยู่ข้างๆ เขาดูหลับสนิทไปแล้วหลังจากที่ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที ฉันตระหนักได้ว่าตัวเองจับพวงมาลัยแน่นจนเอ็นข้อมือโปนออกมา ถนนม้วนหายผ่านไปเรื่อยๆ หันไปทางซ้ายพบปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีร้านอาหารมากกว่าสองร้านตั้งรวมอยู่
     
              ตอนนี้หกโมง ถือว่าทำเวลาได้ดีทีเดียวสำหรับการเดินทางไปเวียนนาในออสเตรีย ฉันดับเครื่องและจอดเข้าซองเมื่อเข้ามาถึง ตรงหน้าเราเป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดธรรมดาทั่วไปที่พบเห็นได้ทั่วโลก ฉันดึงเบรกมือรถก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มที่นอนซุกตัวอยู่ใต้แจ็ตเก็ตตัวใหญ่
     
              นี่เกินกว่าที่คาด   ชอว์น เมนเดสนั่งอยู่ในรถกับฉัน ฉันเคยแม้แต่กระทั่งไปอยู่ในบ้านเขา   ในคราวแรกคิดว่ามันเป็นเพราะโชคไม่เข้าข้าง และเพราะดวงซวยที่มักเกิดขึ้นในระยะหลังๆมานี้ แต่ปีที่แย่ที่สุดกลับกลายเป็นปีที่มีความทรงจำดีๆมากกว่าที่คิดไว้ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
     
              "คุณยังไม่ได้รับอนุญาตให้แอบมองผมระหว่างหลับ" เสียงคนที่นอนอยู่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
     
              ฉันรีบถอยห่างจากคนข้างๆที่เริ่มพลิกตัวและบิดขี้เกียจ "ฉันแค่จะบอกว่าเราจะหยุดพักหาอะไรกิน"
     
              "มื้อเช้าผมเริ่มสายกว่านี้" ชอว์นมองออกไปนอกรถ เขาหยีตาเมื่อแสงไฟภายในร้านอาหารส่องเข้ามาท่ามกลางความมืด
     
              "ไม่ต้องอวดเก่งกับฉันหรอกค่ะ สภาพคุณน่าจะกรอกกาแฟเข้มๆลงคอสักครึ่งลิตร"
     
              ชอว์นตั้งท่าจะโต้กลับ แต่เปลี่ยนใจยอมแพ้ เขาหยิบแจ็คเก็ตที่คลุมตัวอยู่ขึ้นมาสวม จากนั้นเราจึงออกจากรถคันเตี้ยๆนี้สู่อากาศบริสุทธิ์ด้านนอก  เราสองคนเดินไปตามทางในปั๊มน้ำมัน  ฉันตัดสินใจเดินเข้าร้านสะดวกซื้อมองหาขวดน้ำเปล่าสักสองสามขวด จากนั้นตามด้วยของใช้จำเป็นของผู้หญิง พอไปจ่ายเงินจึงรู้ว่าคนที่มาด้วยไม่ได้อยู่ในนี้
     
              เมื่อเดินออกจากประตูเลื่อนอัตโนมัตบานใหญ่ เห็นเป้าหมายยืนสั่งเบอร์เกอร์อยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ในร้านอาหารข้างๆ ฉันจึงรีบพุ่งเข้าไปหา
     
              "คุณไม่ควรทำแบบนั้น" ฉันพูดเมื่อเดินเข้ามาใกล้เขาในร้าน
     
              ชอว์นมองด้วยสีหน้างุนงง "ทำอะไร"
     
              "เดินฉายเดี่ยว อาจมีคนจำคุณได้ คุณอยากให้ปั๊มน้ำมันกลายเป็นจุดนัดพบขนาดย่อมของตัวเองเหรอคะ"
     
              "โอเค" เขายักไหล่ "คราวหน้าถ้าผมเข้าห้องน้ำจะเชิญคุณด้วย"
     
              "แค่บอกฉัน ฉันจะได้รู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน" ฉันรีบหันหน้าหนี พยายามบังคับน้ำเสียงให้จริงจังและกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้หลุดยิ้มในคำพูดประชดประชันนั้น  แต่สุดท้ายหลุดหัวเราะจนชอว์นขำตาม
     
              การต่อคิวนี้ยาวนานกว่าที่คาดไว้ เรายืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เห็นพนักงานกำลังจุ่มเฟรนช์ฟรายส์ลงบ่อลึกที่มีน้ำมันเดือดปุดๆ กลิ่นเนื้อหอมกรุ่น และเสียงของผู้คนที่พูดคุยในร้านเบาๆ ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว มากันเป็นครอบครัวไม่ก็เป็นคู่ พบเห็นเด็กเล่นรถยนต์พลาสติกเล็กๆได้ไม่ยากในร้าน
     
              เมื่อหันกลับมาจดจ่อกับสิ่งที่กำลังรอ ก็ตระหนักได้ว่าชอว์นกำลังกอดอกและก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อจ้องมองฉัน รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าฉันชะงัก - และฉันรู้สึกว่ามันน่าเขินอายอย่างที่ไม่ควรจะรู้สึก
     
             "มีอะไรติดหน้าฉันคะ"
     
             "คุณติดค้างกับคำถามผม" ในที่สุดเขาก็ถาม "เรื่องในบัส เรื่องที่ผมถามคุณ"
     
             "ไม่ค่ะ" ฉันส่ายหัวพร้อมคำตอบ แต่กลับไม่กล้าสู้หน้าเขาเท่าไหร่นัก
     
             แต่คำตอบฉันกลับทำให้ชอว์นยิ้ม คราวนี้ยิ้มกว้างกว่าเก่า เขาเงยหน้ามองทางตรงหน้าต่อ "เดี๋ยวคุณก็เปลี่ยนใจเองนั่นแหละ"
     
     
     
     
             ผ่านไปประมาณสิบนาทีเบอร์เกอร์ของเราก็หมดลง เศษขนมปังเกลื่อนกลาดอยู่ตรงเบาะรถและพรมด้านล่าง ชอว์นอาสาขับรถต่ออีกครั้ง  เรามีเวลาเหลือเฟือกว่าที่คาดไว้ แอนดรูว์โทรมาบอกว่ารถใกล้จะซ่อมเสร็จเต็มที และเขาจะพบเราที่หน้าอาคารจัดแสดงคอนเสิร์ตของชอว์นในช่วงเที่ยง 
     
             อีกไม่กี่กิโลก็จะถึงเวียนนา ฉันมองป้ายบอกระยะทางที่ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่   ตอนนี้เริ่มหายใจทั่วท้องจึงเอนหัวกับเบาะรถ ตั้งใจว่าจะงีบหลับสักนิด แต่เพราะคนที่ขับรถอยู่เลี้ยวพวงมาลัยฉับพลันจึงทำให้ต้องสปริงตัวลุกอีกรอบ
     
             "คุณจะไปไหนคะ นี่ไม่ใช่ทางไปเวียนนา"
     
             "มีที่ให้พายเรือแถวนี้" เขาพูดพลางผิวปาก "ผมเคยมาที่นี่กับครอบครัวช่วงวันหยุดยาว พายเรือไปตามแม่น้ำเงียบๆ"
     
             "ให้ตายเถอะ เราต้องรีบไปให้ถึงเวียนนาแต่คุณเกิดอยากจะพายเรือตอนนี้เนี่ยนะ"
     
             "อ้าวทำไมล่ะ เรามีเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมงนะ"
     
             "แต่เราไม่ควรไปพายเรือ ฉันไม่อยากพายเรือ"
     
             "ผมก็ไม่ได้บอกให้คุณไปด้วย ถ้าไม่อยากก็นั่งรออยู่ในรถสิ"
     
             "โอ้ย พระเจ้า" ฉันนวดขมับแรงๆแล้วหลับตาปี๋ "คุณนี่มันเหลือเชื่อเลย"
     
             "เล็กน้อย ผมเคยจ่ายแปดหมื่นดอลลาร์เพื่อเชิญ Blackbear ให้ไปร้องเพลงในงานวันเกิดของอาลีย่าห์"
     
             "แหม" ฉันเผลอทำหน้าทึ่ง "ฉันอิจฉาน้องคุณจัง"
     
             "ชอบเหมือนกันเหรอ ผมจ้างอีกรอบได้นะ"
     
             "ไม่ค่ะ ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ"
       
             ชอว์นจอดรถใกล้กับสะพานไม้เล็กๆตรงหน้า มันเป็นย่านชุมชนอีกแห่งที่ใหญ่กว่าครั้งก่อนที่เราเจอ ธรรมชาติรอบตัวคลายความหงุดหงิดลงได้เล็กน้อย แต่อาการร้อนรนของฉันยังคงอยู่
     
             ชายผมน้ำตาลชะเง้อกลับเข้ามาในรถเมื่อเห็นฉันยังนั่งอยู่ที่เดิม "จะมามั้ย" เขาถาม เมื่อเห็นฉันส่ายหัวด้วยสีหน้าอาฆาตจึงเบ้ปากใส่ "งั้นก็ตามใจ" จากนั้นจึงปิดประตูใส่หน้าฉัน
     
            "คุณจะไปไกลมั้ยคะ" ฉันพุ่งพรวดออกจากรถแล้วตะโกนถามคนที่กำลังออกเดิน
     
             "อยากรู้ก็ตามมาสิ" เขาพูดทั้งที่ยังเดินไปตามทางข้างหน้า ท่าทางสบายใจนั้นทำให้ฉันนึกอยากปาก้อนหินบนพื้นใส่  เมื่อก้มลงมองภายในรถอีกครั้งมองเห็นกระเป๋าสะพายที่พกมาด้วย  แฟ้มปึกหนาเลยพ้นกระเป๋าออกมาเล็กน้อย และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้จำใจวิ่งตามชอว์นไป
     
             "รอฉันด้วย"
     
             แจ็คเก็ตของคนที่เดินนำอยู่เริ่มลอยหลุดจากมือเขา มันผ่านศีรษะของชอว์นแล้วพุ่งมาหาฉัน "เอาแจ็คเก็ตไปใส่ อากาศมันหนาว"
     
             "ฉันไม่เป็นไรค่ะ" ฉันมองแจ็คเก็ตในมือที่พึ่งรับได้ พยายามไม่สูดกลิ่นหอมของเจ้าของที่ติดมาด้วย
     
             ชอว์นไม่ได้พูดอะไรต่ออย่างที่คิดไว้ เราเดินไปตามทางจนเริ่มมองเห็นอาคารบ้านเรือนเล็กๆในชุมชน แม่น้ำกว้างใหญ่ที่บรรยากาศชวนให้นึกถึงเซาธ์พอร์ตในนอร์ทแคโรไลน่าของอเมริกา มีเรือลำเล็กหลายลำจอดเทียบท่า ร้านสะดวกซื้อที่พึ่งเปิดไฟและหมุนป้ายหน้าร้านเป็น 'เปิดให้บริการ'
     
             "ขอบคุณครับ" ชอว์นตะโกนพูดกับชายวัยกลางคนที่พึ่งโยนไม้พายเรือมาให้ "นั่นคือลุงแจสเปอร์ เขารู้จักพ่อกับแม่ผม" ชายหนุ่มพูดเหมือนอ่านใจออก
     
             "คุณเคยมาที่นี่เหรอคะ" ฉันถามระหว่างเดินตามไปที่ทางเดินไม้ใกล้ท่าเรือ มีเรือลำเล็กแสนธรรมดากระจัดกระจายตามพื้นผิวน้ำ ชอว์นเลือกลำที่ใหญ่และดูมั่นคงที่สุด เขาจับเสาไม้พยุงตัวแล้วค่อยๆหย่อนขาลงไป
     
             "ใช่ ปีที่ผ่านมาก็มีคอนเสิร์ตที่ออสเตรีย แต่ไม่ใช่คอนเสิร์ตใหญ่อะไรนะ" เขาอธิบายพร้อมกับยื่นมือมาให้ฉันจับพยุง "ตอนนั้นผมพาครอบครัวมาด้วย น้องสาวก็มา เราพายเรือเล่นกันที่นี่ มันสงบ และอากาศดี"
     
             ฉันยื่นขาเหยียบบนพื้นเรือ มันโคลงเคลงเล็กน้อยแต่สุดท้ายเราก็เริ่มทรงตัวและนั่งลงอย่างปลอดภัยได้  ชอว์นใช้ไม้พายพายเรือไปตามน้ำ เขาตั้งใจมุ่งหน้าหลบย่านชุมชนที่อยู่ทางฝั่งขวามือ
     
             "คุณดูสนิทกับครอบครัวดีนะคะ"
     
             "ที่จริงพวกเขาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้ด้วย แต่พวกเขาร้องเพลงไม่ได้ เล่นดนตรีไม่ได้ ผมเลยคิดว่ามันตลกดีที่ผมสนใจด้านดนตรี" เขาบอก กล้ามเนื้อแขนเผยให้เห็นเด่นชัดเมื่อเขาออกแรงพายเรือ
     
             "คุณฝึกเล่นกีตาร์เองเหรอคะ ฉันเห็นในข้อมูลเล็กๆน้อยๆของคุณ" ฉันถามต่อ
     
             "ใช่ ผมพิมพ์ในยูทูปประมาณว่า 'เล่นกีตาร์ให้เป็นเพลงยังไงสำหรับผู้ฝึกเล่นใหม่' และเพลงแรกที่ผมเรียนคือ Hey, soul sister ของ Train" เขาบอก "ตอนนั้นผมหมกมุ่นกับเรื่องพวกนี้มาก ทุกวันผมจะเล่นกีตาร์และคิดว่า ผมไม่เก่งมากพอ ดังนั้นผมต้องฝึกให้ดีขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็จบลงที่เล่นเป็นชั่วโมงๆ"
     
             "คุณมีความตั้งใจดี และมีพรสวรรค์"
     
             ชอว์นยิ้มแล้วส่ายหน้า "อันที่จริงตอนแรกผมคิดว่าตัวเองร้องเพลงไม่ได้เรื่อง อาจจะค่อนข้างแย่เลย" เขายักไหล่ เมื่อเห็นฉันเลิกคิ้วทำสีหน้าไม่เชื่อจึงรีบพูดต่อ "จริงๆนะ ลองไปดูในยูทูปได้ เพลงแรกๆที่ผมเริ่มร้องโคฟเวอร์คุณจะรู้ว่าเสียงผมไม่ได้ดีเลย แต่ก็อย่างที่บอก ผมหมกมุ่นเรื่องดนตรีและอยากจะเก่ง ผมเลยพยายามคิดว่าเพลงแบบไหนเหมาะกับเสียงผม และแบบไหนที่ไม่เหมาะ"
     
             "คุณสมควรประสบความสำเร็จ ฉันยินดีกับคุณด้วย"
     
             ชอว์นเหลือบตามองคล้ายจับผิด "แหน่ะ รู้นะว่าอัดเสียงอยู่"
     
             ฉันรีบเงยหน้าจากกระเป๋าสะพายแล้วมองคนที่กำลังจ้องมอง "เอ่อ ฉัน..... - โอเค ก็ใช่ค่ะ" ชอว์นถอนหายใจ เขาเริ่มหัวเราะเบาๆแล้วแหงนมองท้องฟ้า "แต่ที่จริงฉันก็อยากรู้ด้วย และมันเป็นประโยชน์ต่อสารคดีไงคะ"
     
             "ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย" เขายิ้ม "อัดไปเถอะ แค่เราอยู่ด้วยกันก็พอ"
     
             "ตอนนี้คุณอยู่แพทเทิร์นไหนคะ" ฉันหรี่ตามองชายหนุ่มตรงหน้า
     
             "แพนเทิร์นอะไร" เขาถามเสียงสูง ท่าทางดูงุนงง
     
             "ฉันคิดว่าคุณมีสามแพทเทิร์นโดยหลักๆ" ฉันชูนิ้วขึ้นมา "แพทเทิร์นแรกคือขี้หงุดหงิดอารมณ์เสียเอาแต่ใจเหมือนวัยรุ่นทั่วไป สองคืออารมณ์ศิลปิน คุณจะเงียบ ตั้งใจเล่นดนตรีและฝึกร้องเพลง สามคือตอนที่คุณพูดอะไรแปลกๆ อย่างเช่นตอนนี้"
     
             "ไม่แปลก" เขารีบตอบ จู่ๆก็หยุดพายเรือและเท้าแขนสองข้างกับตัก ชอว์นนั่งเท้าค้างจ้องฉัน "ให้ตายสิ ไม่อยากจะเชื่อ คุณมันแม่มด"
     
             "อะไรอีกคะ" ฉันเท้าคางจ้องหน้าอีกฝ่ายกลับ
     
             "ตามหลอกหลอนไปทุกที่ ตอนที่คุณเอาน้ำมาให้ผม คุณแอบใส่ยาอะไรลงไปใช่มั้ยถึงได้ทำให้ผมคิดถึงแต่คุณ ใส่ยาสเน่ห์ใช่รึเปล่า ใครๆก็อยากใช้วิธีไสยศาสตร์กับผม"
     
             ฉันกลอกตา "คุณหลงตัวเอง"
     
             "พูดความจริงต่างหากล่ะ" เขายิ้ม
     
             "งั้นบอกฉันสิคะว่าคุณรู้สึกกับฉันยังไง"
     
             "ผมพูดไปแล้ว"
     
             "แต่ฉันอยากได้ยินอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจ"
     
             ชอว์นไม่ตอบ แต่ยังจ้องหน้า
     
             "พูดอีกครั้งสิคะ"
     
             "พอแล้ว ผมพูดไปแล้ว" เขาเริ่มยืดตัวตรงและเมินสายตามองผืนน้ำ เรือเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้งเมื่อคนตรงหน้าจัดการพายมันต่อ ใบหูและแก้มเขาออกแดงอมชมพู
     
             ฉันยักไหล่ "โอเค ช่างมันเถอะ" และเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้น
     
     
     
     
     
             ฝนเทลงมาอย่างกับฟ้ารั่วเมื่อเราเดินออกจากท่าเรือ ฉันคิดว่าเราอาจหลบฝนทันตอนที่พายกลับมาถึงฝั่ง แต่เมื่อมาได้ครึ่งทางฝนก็เริ่มตกโปรยปรายก่อนที่จะกลายเป็นห่าฝน เสื้อผ้าฉันเปียกชุ่มและตัวเหนียวเหนอะ ชอว์นพยุงให้ออกจากเรือและวิ่งไปตามทาง
     
             "ไม่ๆ ไม่ใช่ร้านนี้" ชายหนุ่มดึงฉันไว้เมื่อเห็นว่าฉันกำลังจะมุ่งหน้าไปที่ร้านสะดวกซื้อริมท่าเรือ "ร้านนั้นคนขายปากมาก พวกเขาได้รู้กันพอดีว่าเราแวะมาที่นี่"
     
             "งั้นเราควรรีบกลับไปที่รถ" ฉันบอกเขา แจ็คเก็ตที่คลุมศีรษะเปียกชุ่ม น้ำฝนตกลงมาโดนขนตาขณะที่เงยหน้าจ้องมองคนตัวสูงกว่า
     
             ชอว์นมีท่าทีลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าและจับมือฉันให้รีบวิ่งไปตามทาง  จนถึงตอนนี้ทฤษฎีที่ว่าการเดินหรือวิ่งอันไหนเปียกฝนกว่ากัน ก็ยังจะดูไม่ลงตัวนัก ฉันไม่รู้ว่าควรจะเดินด้วยความเร็วระดับไหน แต่คิดว่าวิ่งก็คงจะถึงรถเร็วกว่า
      
             เราออกจากย่านชุมชนอีกครั้ง พื้นข้างล่างกลายเป็นดินร่วน ชอว์นหยุดวิ่งกระทันหันแล้วหมุนตัว เขายกฉันขึ้นอุ้มแล้วหัวเราะร่า
     
             ซึ่งมันน่าแปลกที่ฉันปล่อยให้เขาทำแบบนั้น หัวเราะไปกับเขา ในระหว่างที่ตัวถูกยกลอยขึ้นเหนือพื้น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปียกชื้น เสียงฝนที่ตกกระทบสู่พื้นดิน ความชุ่มชื้นของธรรมชาติรอบตัว และเสียงหัวเราะของชอว์น เมนเดสที่ฟังแล้วช่างรู้สึกสบายใจ
     
             "โอเค!" ฉันตะโกน เส้นผมเริ่มเปียกเมื่อหมวกที่บังศีรษะตกลง
     
             คนที่อุ้มฉันอยู่พยายามเงยหน้ามาถาม เขาวิ่งฝ่าพื้นดินเปียกแฉะไปที่รถ "โอเคอะไร"
     
             "ฉันโอเคไงคะ"
     
             "โอเคอะไรล่ะ" ชอว์นตะโกนถามท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง เขาเปิดประตูรถและวางฉันลงบนเบาะที่นั่ง ดูไม่ใส่ใจกับความเปียกอีกต่อไป
     
             "เราอาจไปดินเนอร์กัน....สักครั้ง" ฉันพูด "ตามที่คุณขอ"
     
             เสียงน้ำฝนดังอื้ออึง ชอว์นเงียบไปพักใหญ่ เหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่ฉันพูด เขานั่งย่อเข่าและจ้องมองฉันที่นั่งอยู่บนเบาะในรถ
     
             "มองอะไรนักคะ คุณชอบตากฝนใช่มั้ย" ฉันหลบสายตาหนี มือดันหน้าอกคนตรงหน้าให้ออกห่าง "หรือถ้าคุณเปลี่ยนใจเรื่องนั้น--"
     
             "ไม่ๆ ผมไม่ได้เปลี่ยนใจ" เขารีบพูด รอยยิ้มประดับบนใบหน้าระหว่างที่มองฉัน "ไม่มีทางเปลี่ยนใจ"
     
             ฉันกัดฟันฝืนไม่ยิ้มอีกครั้ง แต่เมื่อตั้งท่าจะพูดให้คนตรงหน้ารีบเข้ามานั่งในรถ เขาก็โน้มตัวเข้ามาประทับริมฝีปาก  ความเย็นจากน้ำฝนทำให้รู้สึกเย็นวาบ ฉันเอนตัวไปด้านหลัง และชอว์นก็เข้ามาอยู่ในรถ มือไล้เส้นผมเปียกชุ่มของเขา เสื้อผ้าเปียกชื้นทำให้การสัมผัสดูลึกซึ้งกว่าเก่า
     
             "ชอว์น!"
     
             ทว่าเสียงทักของบุคคลที่สามดังขัดขึ้น ตามมาด้วยเสียงของบุคคลที่สี่ ห้า และหก มันดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฉันมองทะลุผ่านกระจกรถด้านหลังเห็นถนนใหญ่ที่รถรากำลังเคลื่อนที่ไปมา บัดนี้รอบตัวเริ่มสว่างขึ้น จึงทำให้รู้ว่าบริเวณที่เราอยู่ไม่ได้เงียบสงบอย่างที่คิดเลยสักนิด
     
             มันใกล้ตัวเมืองเวียนนา และปาปารัสซี่กำลังยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปของเรา
     
     
     

    KINGDM - Superman
    Anytime you need protection, I'll take care of you
     
     
    Talk
     
    เพลง Superman ของ Kingdm มีใครชอบกันบ้างง เรารู้สึกว่าเหมาะกับตอนนี้และบรรยากาศของฟิคมาก มันเย็นๆสบายๆดี555
     
    เพราะความอยากเขียนต่อ เลย can't keep my hands to myself 55555 มาอัพให้อีกตอนนน เราไม่ถนัดเขียนอะไรที่ฟินๆน่ารักใสๆมากนะคะ ไม่รู้ว่าควรจะเขียนแบบไหน ถนัดอย่างที่รีดเดอร์อ่านมาทั้งหมด หวังว่าจะชอบแนวนี้และหลากหลายแนวในฟิคเรื่องอื่นของเรานะคะ55 คิดเห็นยังไงมาบอกกันได้ค่า
     
     
    (c) Chess theme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×