ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ambition | Shawn Mendes FanFiction [END]

    ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 12

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 347
      24
      24 ม.ค. 63


      
     
              "...ขอบคุณ ขอบคุณมากครับ"
     
              ชอว์น เมนเดสโค้งหัวมากกว่าสามครั้งอยู่บนเวทีเมื่อร้องเพลงสุดท้ายในคอนเสิร์ตจบลง เสียงกรีดร้องของผู้ชมในคอนเสิร์ตดังกังวาลทั่วฮอล  ชายหนุ่มคนเดียวบนเวทีเริ่มหันหลังและวิ่งกลับไปที่หลังเวที แสงสปอร์ตไลต์ค่อยๆมืดและดับลงในที่สุด
     
              ฉันละสายตาจากภาพเวทีด้านล่างก่อนจะเดินออกจากตัวฮอล  ท่ามกลางความเงียบกับเสียงรองเท้าที่กระทบอยู่บนพื้นระหว่างที่เดินไปตามทาง ฉันรับรู้ได้ว่าสมองกำลังคิดฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านมากเสียจนกลายเป็นคนเหม่อลอย ยังคงรู้สึกถึงริมฝีปากที่สัมผัสกับนักร้องบนเวทีเมื่อครู่  ความรู้สึกที่ไม่อยากจะผละออก และความรู้สึกผิดที่คล้ายก้อนหินขนาดมหึมาหล่นลงทับร่างฉันไว้
     
              ฉันควรจะบอกกับตัวเองว่านี่อาจไม่ผิด ในเมื่อแบรดทำกับฉันมากกว่านี้  แต่เพราะฉันรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ตัวตนจริงๆของฉัน  ฉันไม่ใช่คนที่อยากนอกใจแฟนตัวเองแค่เพราะรู้สึกอยาก หรือแม้กระทั่งจะเอาคืนแบรดแค่เพราะว่าเขานอกใจก่อน
      
              แต่ไม่เคยมีใครบอกว่าเราควรจัดการกับความรู้สึก 'ดี' ที่เกิดขึ้นกับชายอื่น ชายที่ไม่ใช่แฟนของเราได้อย่างไร และฉันไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับมัน  บางทีอาจแสร้งทำเหมือนว่าเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้น ก็แค่ต้องทำงานต่อไป ฉันอาจออกห่างจากเขา ไม่ควรคุยให้มันมากเหมือนที่ผ่านมา
     
              "เฮ้ คุณจะไปไหน"
     
              ซึ่งมันก็คงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เมื่อฉันหันหลังไปเห็นชายหนุ่มที่กำลังนึกถึงในเสื้อฮู้ดกำลังเดินตามมาบริเวณฟุตบาทหลังสเตเดียม
     
              "คุณไม่ควรจะอยู่ที่นี่ คุณ--"
     
              "ผมถามคุณก่อน คุณจะไปไหน" ชอว์น เมนเดสพูดขัด  เขาเดินเข้าใกล้ฉันช้าๆ และทุกย่างก้าวนั้นทำให้ใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆจนฉันต้องถอยหนี
     
              คนตรงหน้ามีสีหน้าระคนผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนั้น "ฉันแค่จะกลับไปนอน" ฉันตอบโดยที่พยายามไม่มองใบหน้าภายใต้หมวกของเสื้อกันหนาวสีดำ
     
              "ผมขอโทษ" เขาพูดขึ้น "เรื่องนั้น มัน--"
     
              "ช่างเถอะค่ะ ฉันไม่คิดมาก" ฉันขัด "เราแค่แกล้งทำว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน"
     
              ช่วงเวลาแห่งความเงียบที่ก่อตัวขึ้นทำให้ฉันไม่แน่ใจว่าเราจบบทสนทนากันแล้วหรือยัง แต่เพราะชอว์นยังจ้องมองมา ฉันจึงยังยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้หันหลังเดินต่อแม้ใจนึกอยากทำ
     
              "ก็ได้" เขาว่า "ถ้าคุณต้องการแบบนั้น"
     
              "ฉันมีแฟนแล้วค่ะ ชอว์น และ - ฉัน" ฉันถอนหายใจติดขัด มือข้างหนึ่งยกขึ้นปิดครึ่งหน้าด้านล่าง "ฉันไม่คิดว่าสิ่งที่เราทำมันถูก ถึงแม้เราจะไม่ได้ตั้งใจ มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง"
     
              "การที่แฟนคุณไปนอนกับเพื่อนของคุณก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเหมือนกัน" เขาย้อนกลับ น้ำเสียงเรียบเฉยจนน่าตกใจ  ถ้าในเหตุการณ์อื่นหรือเรื่องอื่น ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าเขาจะขึ้นเสียง หรือไม่ก็อาจทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ
     
              "นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันควรทำแบบนั้นด้วย  มันจะไปมีประโยชน์อะไรที่ฉันกับเขาจะคบกันถ้าต่างคนต่างนอกใจ"
     
              "คุณถึงควรจะเลิกคบกับเขาไง"
     
              "เพราะอะไรคะ เพราะฉันจะได้เป็นนักข่าวหญิงแรดร่านออกข่าวหน้าหนึ่งกับคุณงั้นเหรอ" ฉันเผลอขึ้นเสียง ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปหรือไม่
     
              ชอว์นขมวดคิ้ว มันไม่ได้เป็นสีหน้าสงสัย แต่กำลังดูคัดค้าน "คุณไม่ได้เป็นแบบนั้น"
     
              "แต่คนอื่นจะคิดว่าฉันเป็น ชอว์น คุณกับฉันไม่เหมือนกัน"
     
              "มันไม่ได้หมายความว่าเราจะ...."
     
              คนตรงหน้าหยุดคำพูดตัวเองไว้กลางคัน เขาเม้มปากแล้วเริ่มถอนหายใจยาว
     
              "คุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เราพึ่งทำไปมันเรียกว่าอะไร ดังนั้นคุณไม่มีสิทธิ์บอกให้ฉันเลิกกับแบรด"
     
              "ถ้าคุณฉลาด คุณจะเลิกกับเขา คุณจะเลิกกับผู้ชายคนนั้น"
     
              "ไม่ค่ะ ฉันฉลาดพอที่จะรู้ว่าฉันจัดการเรื่องนี้เองได้" ฉันส่ายหัว "และฉันกับเขาจะกลับมามีความสุขกันเหมือนเดิม"
     
              "งั้นมันก็ไม่มีความหมายอะไรเลยใช่มั้ย" ชอว์นตะโกนไล่หลังเมื่อฉันเริ่มเดินหนี  และเพราะคำถามนั้น มันจึงทำให้ฉันหยุดเดิน "เรื่องระหว่างเรา คุณก็แค่ใจง่ายปล่อยให้ผมจูบ และสุดท้ายคุณก็เล่นตัวให้ดูมีค่า ทั้งๆที่อาจจะไม่"
     
              "คุณกล้าดียังไงถึงได้คิดว่าฉันเป็นผู้หญิงประเภทนั้น" ฉันหันไปส่งสายตาอาฆาตให้ชายร่างสูงข้างหลัง บัดนี้สายตาของชอว์นคล้ายนกทะเลอารมณ์ร้ายที่จ้องมองมา ซึ่งเราอาจเป็นนกทะเลสองตัวที่ตอนนี้กำลังทะเลาะกันเรื่องแย่งอาหารริมชายหาด "ถ้าฉันใจง่าย คุณก็เลวมากที่จูบผู้หญิงที่มีเจ้าของแล้ว"
     
              "เออ ผมมันเลว แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่า...." เขาเว้นระยะในคำพูดของตัวเอง มันนานเสียจนฉันเริ่มถอนหายใจยาวใส่ "ชอบคุณ"
     
              "WHAT?!" ฉันถามเสียงดังลั่น ค่อนข้างมันใจว่าออกเสียงตัวดับบลิวชัดแจ๋ว "คุณพูดบ้าอะไรอีก"
     
              "คุณได้ยินมันแล้ว" ชอว์นหลบสายตา ความมืดทำให้ฉันไม่เห็นใบหน้าใต้หมวกฮู้ดในระหว่างที่เขาพูด
     
              "ไม่" ฉันส่ายหัว "คุณไม่ได้ชอบฉัน คุณก็แค่รู้สึกดีเท่านั้น"
     
              "ผมรู้ว่าผมรู้สึกยังไงสเตฟฟี่ คุณไม่รู้ ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคุณรู้ความรู้สึกของตัวเอง"
     
              "ไม่"
     
              "ใช่"
     
              "ไม่ คุณไม่ได้ชอบฉัน"
     
              "ผมชอบคุณ"
     
              "คุณจะแกล้งอะไรฉันอีก"
     
              "ผมพูดความจริง" เขาพูดน้ำเสียงหนักแน่น สักพักจึงทำท่าทางเหมือนคนหัวเสีย "และผมรู้ว่าคุณก็คิดเหมือนกัน"
     
              "ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น" ฉันปฏิเสธโดยที่ไม่มองหน้าคู่สนทนา "และฉันมีแฟน--"
     
              "ให้ตายเถอะ เลิกพูดถึงแฟนคุณสักที การที่คุณมีแฟนมันไม่ได้แปลว่าคุณจะห้ามความรู้สึกตัวเองได้ มันก็เหมือนที่แฟนคุณห้ามความรู้สึกไม่ให้ขึ้นเตียงกับเพื่อนของคุณได้"
     
              "จีซัส เงียบไปเลยนะ อย่าพูดแบบนั้น" ฉันตะคอกแล้วชี้หน้าชอว์น "คุณไม่มีสิทธิ์มาพูดเรื่องคนในชีวิตของฉัน"
     
              "คุณบอกผม สเตฟฟี่ คุณเป็นคนบอกผม คุณไว้ใจผม" ฉันส่ายหัวไปมาในระหว่างที่คนตรงหน้ากำลังพูด "ถ้างั้นบอกสิว่าผมพูดผิดไป บอกมาว่าคุณเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนคุณฟังแล้ว และผมไม่ใช่คนแรก"
     
              "ฉันจะกลับไปนอน" ฉันรีบหันหลังเดินหนีชอว์นหลังจากที่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงริมฟุตบาทนานพอสมควร  ปฏิเสธในสิ่งที่เขาพูดไม่ได้เลยสักอย่าง และการโกหกเป็นสิ่งที่ไม่เคยถนัด ไม่คิดด้วยว่าชอว์นจะเชื่อหลังจากที่เขาเห็นปฏิกิริยาฉันเมื่อครู่นี้
     
              "เออ! เดินไปเลย เดินหนีไปเลยนะ คุณมันก็แค่พวกหนีปัญหา พวกไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง!" เขาตะโกนไล่หลังมา
     
      
     
     
              อาการหวาดวิตกชวนหัวหมุน หัวใจเต้นโครมคราม ท้องไส้ปั่นป่วนด้วยความตื่นตระหนกเคยเล่นงานฉันเมื่อตอนอายุสิบสี่ในลิฟท์ของโรงแรมที่เมืองแอสแพน  ขณะที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างบทสนทนาอันไม่น่าอภิรมย์ของพ่อและแม่ การทะเลาะที่ยาวนานตั้งแต่นั่งอยู่ในรถ และการเล่นสกีที่เคยวาดฝันว่าน่าสวยงามแต่สุดท้ายก็พังทลายลง
     
              "ลูกเป็นอะไรรึเปล่า" นั่นคือคำถามที่พ่อหันมาถามฉันหลังจากที่แม่เริ่มขึ้นเสียงใส่
     
              ฉันไม่เคยที่จะไม่กล้าพูดความจริงมาตั้งแต่เด็กๆ นั่นจึงทำให้ฉันตอบไปว่า "เป็นค่ะ" ฉันบอก รู้สึกหัวใจเต้นโครมคราม "หนูอยากออกไปจากที่นี่ อยากกลับบ้าน"
     
              "แต่เรายังไม่ได้เล่นสกีกันเลยนะ น่าจะ--"
     
              "ไม่ค่ะ เดี๋ยวนี้เลยค่ะแม่" ฉันพูดเสียงหนักแน่นแกมร้อนรนขัดแม่ นั่นเป็นครั้งแรกที่เรียกแม่ว่าแม่นับตั้งแต่ที่พบเธอครั้งแรกในรอบสามเดือน
     
              "โอเค หลับตาสิลูก" พ่อนั่งย่อเข่าลงสบตากับฉัน "อีกไม่นานลิฟท์ก็จะเปิดออก เราจะไปหาอะไรกินกัน"
     
              แต่ฉันรู้ว่านั่นไม่จริง ในเมื่อตอนนี้เราติดอยู่ในลิฟท์ที่จู่ๆก็ไม่ทำงานขึ้นมาดื้อๆ
     
              "แสร้งทำเป็นอยู่ที่ชายหาดสิจ้ะ" คราวนี้แม่บอก "ไม่ก็ท้องฟ้า! นึกถึงท้องฟ้าสิลูก คิดดูสิว่ามันกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน ชนิดที่ลูกมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด"
     
              ฉันหลับตาปี๋ให้นึกถึงภาพนั้น  ผืนฟ้ากว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ความลึกล้ำของท้องนภา มีเพียงเมฆขีดขวางเป็นหย่อมๆ อาณาเขตกว้างสุดไพศาล กว้างใหญ่จนไม่มีทางรู้ว่าสิ้นสุด ณ ที่ไหน  จนสุดท้ายเริ่มรู้สึกว่าหัวใจเต้นช้าลง จังหวะหายใจเริ่มคงที่ แล้วฉันก็คลายกำปั้นชุ่มเหงื่อออก เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของพ่อกับแม่ยังคงอยู่ในระดับเดียวกันกับฉัน ดวงตาของพ่อเบิกกว้างด้วยความวิตกกังวล
     
             การทะเลาะวิวาทของพ่อกับแม่ยุติลงเพราะเหตุการณ์นั้น  และเช้าวันต่อมา พวกท่านตัดสินใจแยกทางกัน
     
             มันน่าขำตรงที่ว่าเวลาต่อจากนั้นมา ฉันไม่ได้กลายเป็นคนกลัวลิฟท์ แต่กลายเป็นคนที่กลัวการทะเลาะวิวาท ฉันหนีห่างจากมัน  และบางทีอาจไม่ผิดถ้าจะเรียกว่าฉันเป็นพวกหนีปัญหา
     
             บัดนี้ ขณะที่อยู่ใจกลางโถงทางเดินยาวในโรงแรมช่วงเช้ามืด ฉันปิดประตูห้องพัก แบกกระเป๋าเดินทางลากไปตามพื้น สะพายกระเป๋าเป้ใบเล็กไว้ที่หลัง พอดีกับที่เห็นใครบางคนกำลังเดินเข้าไปในในลิฟท์
     
             "เดี๋ยวค่ะ ฉันเข้าไปด้วย" ฉันรีบวิ่งไปที่หน้าประตูทางเข้าลิฟท์ หยุดชะงักเท้าตรงปากทางเข้ากล่องสี่เหลี่ยมตรงหน้าเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ยืนอยู่ภายใน
     
              เช้าวันนี้ชอว์นขอบตาคล้ำและดูเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม เขาลูบเส้นผมตัวเองไปมาแต่ยุติทุกอย่างที่ทำเมื่อเห็นหน้าฉัน  ชั่วขณะหนึ่งเราจ้องมองหน้ากัน จนกระทั่งชอว์นเอื้อมมือไปกดปิดประตูลิฟท์ ฉันจึงรีบใช้เท้ากั้นไว้เพื่อง้างมันให้เปิดออกและเข้าไปข้างใน
     
              มันก็แค่เวลาไม่กี่วินาทีที่จะต้องอยู่กันท่ามกลางความเงียบสองคนในลิฟท์บ้าๆนี่ ฉันอดทนได้สบายๆอยู่แล้ว ตราบใดที่ยังมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่กั้นเราสองคนไว้
     
              ทว่าในเวลาต่อมาลิฟท์ก็เกิดกระตุกขึ้นอย่างแรง ฉันเผลอกลั้นหาย ชอว์นหยุดชะงักจากการก้มลงพิมพ์ข้อความในมือถือ  เราสองคนเผลอหันไปสบตากันอย่างงุนงง ตอนนี้ภายในลิฟท์มีแค่เราสองคนเท่านั้น ฉันตัดสินใจเอื้อมมือไปกดปุ่มแจ้งเหตุฉุกเฉิน
     
              "ให้ตายเถอะ เกิดอะไรขึ้นอีกเนี่ย" ฉันบ่นพลางกดที่ปุ่มเดิมซ้ำรัวเร็ว
     
              "หลบไปสิ" ชอว์นถอนหายใจยาวแล้วเดินเข้ามา เขาจิ้มปุ่มมั่วๆทำให้ไฟติดขึ้นมาทีละปุ่ม
     
              "ฉันคิดว่านั่นช่วยอะไรไม่ได้หรอกค่ะ"
     
              ครู่ต่อมาเสียงสัญญาณไฟไหม้ก็ดังขึ้นฉับพลัน  มันไม่ได้ดังแสบแก้วหูเพราะเรายังอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมเล็กแห่งนี้ แต่นั่นก็พอจะทำให้ตื่นตระหนกถึงขีดสุดได้ - อย่างน้อยก็ฉัน
     
              "คุณโอเครึเปล่า" ชอว์นหันมาถามเมื่อเห็นฉันเริ่มเดินวนไปมาในลิฟท์
     
              "ไม่ค่ะ ฉันไม่เป็นไร" ฉันสูดหายใจแรง พยายามเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด  แต่ภายในลิฟท์เล็กๆที่ยืนอยู่ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย มันมีแต่อากาศอุ่นๆร้อนๆจนฉันเริ่มรู้สึกหายใจติดขัด
     
              "เฮ้ คุณแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร คุณกลัวที่แคบรึเปล่า" ชอว์นเดินเข้ามาใกล้ เขาดูลังเลนิดหน่อยก่อนจะจับแขนฉันเบาๆ "นั่งลงก่อน สูดหายใจเข้าช้าๆ โอเคมั้ย"
     
              "ฉันไม่ได้กลัวที่แคบค่ะ แต่เสียงนั่น" ฉันพยายามพูดท่ามกลางอาการตื่นตระหนกที่เริ่มก่อตัว "เราต้องออกไปจากที่นี่"
     
              "เดี๋ยวก็มีคนมาจัดการแล้ว" เขาบอก "เราแค่ต้องรอ มันอาจเป็นแค่สัญญาณเตือนขัดข้องอะไรทำนองนั้น"
     
              "แล้วถ้ามันไม่ใช่ล่ะคะ"
     
              "นี่ เราไม่ตายในนี้หรอก" เขาคว้ามือฉันขึ้นไปจับระหว่างที่นั่งย่อเข่ามองหน้า "เราจะไม่เป็นอะไร"
     
              "คุณไม่รู้เรื่องนั้น"
     
              "ผมรู้ ผมเชื่ออย่างนั้น ใจเย็นๆเถอะสเตฟานี่"
     
              สเตฟานี่  ชื่อเต็มของฉันที่ชอว์นเรียกกำลังทำให้ใจกลับมาเต้นโครมครามเหมือนเมื่อสิบวินาทีแรก  คราวนี้ไม่ได้หน้ามืด แต่รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นอยู่ในหัวสมอง หรือแม้แต่กระทั่งในหู ฉันได้ยินมันชัดเจน  และช่างรู้สึกดีอย่างที่อธิบายไม่ถูกเมื่อเขาเรียกแบบนั้น
     
              ฉันเงยหน้าขึ้น มองเห็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านบนเพดานลิฟท์
     
              "คุณอุ้มฉันหน่อยได้มั้ย"
     
              "หา" ชอว์นถามเสียงหลงระหว่างที่ประคองฉันลุกขึ้นช้าๆ
     
              "อุ้มฉัน ฉันจะลองเปิดช่องข้างบนนั้น" ฉันชี้ไปที่ช่องสี่เหลี่ยมเหนือหัวของเขา
      
              ชอว์นมองตาม เขากะพริบตาถี่เหมือนพึ่งได้สติหลังจากการเหม่อลอย จากนั้นจึงเริ่มก้มตัวลงและใช้แขนโอบรอบขาเพื่อยกฉันขึ้นเหนือพื้น แทบไม่ต้องใช้แรงยกมาก มือฉันก็สัมผัสกับเพดานด้านบน
     
              ใช่ - อย่างน้อยฉันก็พยายามทำบางอย่าง บางอย่างที่ดีกว่าการตื่นตระหนกเหมือนตอนอายุสิบสี่ และฉันทำมันได้ ในเมื่อตอนนี้เพดานสี่เหลี่ยมเล็กๆด้านบนถูกเปิดอ้าออกรับอากาศเข้ามา  เราสองคนจึงออกจากลิฟท์ได้ด้วยวิธีนั้น
     
      
     
     
              เวลาต่อมาเราทั้งหมดอยู่ในระหว่างการเดินทางไปออสเตรียด้วยบัสคันใหญ่ ทว่าเรื่องโชคร้ายเกิดขึ้นเมื่อเครื่องยนต์มีควันพวยพุ่งออกจากฝากระโปรงรถ รถหยุดลงที่ริมฟุตบาทในถนนเงียบเชียบชนบททางใต้ของเยอรมัน หมอกหนารอบตัวทำให้ควันดูกลมกลืนกับอากาศ
     
              สุดท้ายฉันตัดสินใจอาสาเดินตามหาชาวบ้านหรือบ้านสักหลังเพื่อขอความช่วยเหลือ ใช้เวลาเดินครู่ใหญ่เพราะกว่าจะหาบ้านสักหลังในบริเวณทุ่งหญ้ากว้างได้นั้นเป็นเรื่องยาก  มันคล้ายกับย้อนกลับไปในยุคอดีต ยุคที่ไม่มีเสาไฟฟ้า ไม่มีถนน บ้านเรือนยังทำจากหิน อิฐ คล้ายกับย้อนไปช่วงต้นศตวรรษที่ 20
     
              เจย์ตั้งใจว่าจะเดินตามมาด้วย แต่เพราะดูเหมือนว่าเขากำลังไม่พอใจอะไรบางอย่างในตัวฉัน เขาจึงชั่งใจและนั่งรออยู่ริมทางเท้าเหมือนคนอื่นๆ  ส่วนคนที่อาสาเดินไปเป็นเพื่อนก็คือชอว์น    มันไม่ได้หมายความว่าเรากลับมาคุยกันเหมือนเดิมแล้วหลังจากเหตุการณ์ที่ลิฟท์  มีบางอย่างทำให้เราเดินเงียบๆและไม่ปริปากพูดกันมาได้สักพักใหญ่
     
              เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง ศีรษะฉันโดนบางอย่างแข็งๆลอยมากระทบ มันถูกปามาจากทางด้านหลัง นั่นจึงทำให้ฉันหันกลับไปมองคนที่กำลังเดินตามมาเงียบๆ  ชอว์นทำหน้าเหมือนเขาไม่รู้ว่าทำไมฉันจึงมองเขาด้วยสายตาอาฆาตเช่นนั้น
     
              "อย่าโยนอะไรใส่หัวฉันได้มั้ยคะ"
     
              "โยนอะไร ผมไม่ได้โยนอะไรสักอย่าง" เขาเอามือออกจากกระเป๋าเสื้อเพื่อแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์
     
              ฉันจึงหันกลับไปมองทางเดินข้างหน้าอีกครั้ง ห่างออกไปเล็กน้อยเห็นบ้านชั้นเดียวหลังใหญ่ที่คล้ายกับถูกสร้างมาเกินยี่สิบปี หรือมากกว่านั้น  เราสองคนเดินไปเคาะประตูและพบกับหญิงสาวอายุเจ็ดสิบปลายๆเดินมาเปิด
      
              ชอว์นเดินแทรกตัวผ่านฉันแล้วชิงพูดจุดมุ่งหมายที่เรามาที่นี่  ลูกชายของเธอเป็นคนถัดไปที่เราเห็นภายในบ้าน เขาถือเครื่องมืออะไหล่สำหรับซ่อมรถเตรียมพร้อม เมื่อเห็นว่าคนต่างถิ่นมาขอความช่วยเหลือ  ที่แย่หน่อยก็คือ สามีภรรยาในบ้านหลังนี้คิดว่าเราเป็นคู่รักที่เกิดโชคร้ายท่ามกลางพื้นที่ในย่านชนบท
     
              "นั่งก่อนเถอะ เดินทางมาเหนื่อยๆ" ชาร์ล็อต ผู้เป็นภรรยาพูดแล้วลากฉันกับชอว์นให้เดินไปที่หลังบ้าน มันเป็นสวนที่ปลูกพืชผักสวนครัวมากกว่าห้าชนิด โต๊ะและเก้าอี้ไม้วางอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
     
              "พวกเธอดูเป็นคู่รักที่น่าสงสารนะ แต่อย่างน้อยก็โชคดี เพราะเดี๋ยวเราจะทำอาหารกลางวันให้" ชายแก่ที่ชื่ออันเดรพูดอย่างอารมณ์ดี "ปกติเราไม่ค่อยช่วยคนต่างถิ่นหรอก อยู่เงียบๆน่ะดีกว่า แต่ฮันนีมูนของพวกเธอคงหมดสนุกแย่ถ้ารถเสีย ช่วยหน่อยคงไม่เสียหายอะไร"
     
              "เราไม่ได้...." ฉันเริ่มลังเลในสิ่งที่กำลังจะพูด เช่นเดียวกับชอว์นที่มองมาเหมือนกำลังคิดอย่างเดียวกัน   ตอนนี้ลูกชายของพวกเขาพึ่งจะออกไปจากบ้านเพื่อตามหารถบัสของเรา จะช้าหรือเร็วเขาก็ต้องรู้ว่าเราไม่ได้มากันแค่สองคน และเราไม่ใช่คู่รัก
     
              ประเด็นก็คือ ฉันไม่แน่ใจว่าสองสามีภรรยาจะไล่เราไปมั้ยถ้าหากบอกความจริง อย่างน้อยตอนนี้เราก็หิวเกินกว่าจะมีแรงเดินกลับไปที่บัสหรือออกตามหาคนอื่นเพื่อขอความช่วยเหลือต่อ
     
              "เธอกำลังจะบอกว่าเราไม่อยากรบกวนพวกคุณครับ" ชอว์นยิ้ม เขาเอื้อมแขนข้างหนึ่งมาโอบไหล่ฉันไว้เพื่อสร้างความแนบเนียน "ขอแค่น้ำเปล่าแก้กระหายก็พอ"
     
              "ใช่ค่ะ" ฉันพยักหน้าตอบพลางหัวเราะแห้งๆมองไปที่คู่สามีภรรยาสูงอายุตรงหน้า
     
              "ไม่ๆ เราพึ่งทำผ้าขี้ริ้วกับเครื่องในทำเอง สูตรต้นตระกูลเลยนะ"
     
              "เครื่องใน" ฉันทวนคำพูดซ้ำเผื่อว่าจะฟังภาษาอังกฤษผิดไป
     
              "ใช่ แล้วยังมีกระเพาะวัวด้วย" 
     
              "ว้าว - แหม...น่าอร่อย" ชอว์นพูดอย่างลังเล "ขอบคุณนะครับที่อุส่าห์ใจดีจะแบ่งให้เรา - ที่จริงผมก็ทำอาหารได้นะ ให้ผมทำให้พวกคุณลองชิมมั้ยครับ"
     
              "โอ้ อย่าเลย พวกเธอควรได้พักเหนื่อย" ชาร์ล็อตตอบพลางโบกมือปฏิเสธอย่างเกรงใจ
     
              "ไม่เป็นไรเลยค่ะ อันที่จริงแล้วชอว์นเป็นเชฟ เชฟทำอาหารที่นิวยอร์ก" ฉันรีบพูดพลางพยักหน้าอย่างมีหลักการ
     
              "ว่าไงนะ จริงเหรอ" อันเดรทำตาโตเมื่อได้ยิน "โอ้แม่เจ้า น่าสนใจนะ"
     
              "ให้ผมทำให้ดีกว่าครับ พวกคุณรอทานมื้อกลางวันเถอะ เพราะไหนๆเราก็มารบกวนแล้ว"
     
              "เดี๋ยวอีกไม่นานหลังจากที่ลูกชายเรากลับมา เขาจะพาแฟนมากินมื้อเที่ยงด้วย นั่นจะเป็นปัญหารึเปล่า" หญิงชราถามต่อ สีหน้ายังคงแสดงความเกรงใจจนน่าเอ็นดู
     
              "ไม่เลยครับ ไม่มีปัญหาเลย" ชอว์นรีบตอบพร้อมรอยยิ้มแห้งๆที่เขาปั้นขึ้นมา แต่ดูเหมือนคนสูงอายุจะดูไม่ออก พวกเขายิ้มร่าให้กันแล้วปรบมือทำท่าทางตื่นเต้น
     
              "งั้นเดี๋ยวเราจะจัดโต๊ะรอ"
       
     

     
     
               ตามสูตรในหนังสือทำอาหารหัวข้อสตูว์ไก่ ฉันต้องการแครอทหัวกลาง 3 หัว และหลังบ้านขนาดใหญ่ที่ยืนอยู่มีทุกอย่างครบ เว้นแต่ว่าแครอทหัวที่สามมีปลายยาวกว่าอีกสองหัวที่อยู่ในตะกร้า ฉันชั่งใจขณะจ้องมองมัน
     
               "เป็นอะไร" ชอว์นถามมาจากอีกฟาก เขากำลังง่วนอยู่กับการมองหากะหล่ำปลี
     
               "ในหนังสือบอกว่าแครอทหัวกลางสามหัว แต่หัวที่สามมันไม่เท่ากับอีกสองหัวที่ฉันได้มาค่ะ"
     
               "จะหัวยาวหัวสั้นก็หยิบๆมาเถอะ" เขาตะโกนบอก เวลาต่อมาจึงลุกจากพื้นดินแล้วแนบกะหล่ำไว้ที่แขน "ไหน เอามาดูหน่อย"
     
               ฉันยื่นแครอทในมือให้คนตรงหน้า เขาโบกมันไปมาครู่หนึ่งก่อนจะจับมันด้วยมือทั้งสองข้างแล้วหักปลายออก "Problem solved"
     
               "แต่คุณทำแบบนั้นไม่ได้"
     
               "เลิกทำตามที่ทุกอย่างในหนังสือบอกแล้วเชื่อในฝีมือผมหน่อยสิ" เขาก้มลงมาปิดหนังสือทำอาหารบนตักฉัน "คุณไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างให้เพอร์เฟ็คตลอดเวลาก็ได้ มันน่าเบื่อจะตายไป - แล้วนี่คุณไม่กินมังสวิรัตใช่มั้ย"
      
               ฉันมองชอว์นที่เดินไปทางเล้าไก่ "ไม่ค่ะ ทำไมคะ"
     
               "โอเค ดี" ชายหนุ่มวางกะหล่ำลงบนพื้นแล้วอุ้มไก่ตัวหนึ่งมาหาฉัน  เขายิ้ม จากนั้นจึงหักคอไก่โดยไม่มองสัตว์ที่ตัวเองพึ่งฆ่าในอ้อมแขน มันยังไม่ทันที่ฉันจะได้ทันตั้งตัวสำหรับอะไรทั้งนั้น
     
               ฉันอ้าปากค้างยามที่ได้ยินเสียงกระดูกดังกรอบแกรบ  "โอ้ ให้ตายสิ"  ฉันสบถเหลือกตามองท้องฟ้า ตัดสินใจรีบหันหลังเดินกลับไปที่ครัวเปิดโล่งหลังบ้าน
     
               "อะไรเล่า" ชอว์นตะโกนไล่หลังมา "อย่าบอกนะว่าคุณไม่เคยกินสตูว์ไก่"
     
               "เคยสิคะ" ฉันตอบขณะวางแครอทกับต้นหอมลงบนโต๊ะ
     
               "แล้วคุณคิดว่าไก่มาจากไหนกันล่ะ"
     
               ฉันมองคนที่อุ้มกะหล่ำปลีกับศพไก่ในอ้อมแขนหน้าประตูทางเข้าครัว "แผนกอาหารแช่แข็ง" ฉันยักไหล่ "ฉันรู้ๆ - คุณแค่ทำฉันอึ้งนิดหน่อย และคุณทำอย่างนั้นอยู่เรื่อยเลย"
     
               "ผมรู้" เขาพยักหน้า
     
               "ฉันรู้สึกผิด คนของเรารอเราอยู่ในบัส แต่ตอนนี้เรามานั่งทำอาหารในครัวของคนแปลกหน้า"
     
               "เชื่อเถอะ ป่านนี้พวกเขาคงนั่งสบายใจอยู่ในบัส ในรถมีของกินตั้งเยอะ ครัวก็มี พวกเขาสบายกว่าเรา"
     
               "แล้วคุณทำอาหารเป็นเหรอคะ"
     
               "เป็น ดีกว่าคุณมากด้วย ถึงผมจะไม่ค่อยทำเท่าไหร่"
     
               "ฉันไม่ได้ทำอาหารแย่ขนาดนั้น" ฉันเถียง เห็นชอว์นหันมาเลิกคิ้วใส่ "ฉันพูดจริงๆนะคะ"
      
               และแล้วชอว์นก็กลายเป็นเชฟกระทะเหล็กเมื่อถึงเวลาที่ต้องทำอาหาร โดยเฉพาะสตูว์ไก่ เขาขอส่วนประกอบการทำมัฟฟินช็อกโกแลตหลังจากที่เราพึ่งหั่นผักสำหรับใส่ในสตูว์เสร็จ  ฉันไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาทำมัฟฟิน อย่างกับว่าเรามีเวลาเหลือเฟือขนาดนั้น และที่บ้านหลังนี้จะมีเตาอบ
     
               ซึ่งพวกเขามี มันเป็นเตาอบสมัยโบราณที่ไม่ได้อยู่ใต้เคาน์เตอร์เหมือนครัวในบ้าน
     
              อาหารถูกเสิร์ฟในเวลาเที่ยงบนโต๊ะในสวนกว้างหลังบ้าน  เฮนรี่ ลูกชายของสามีภรรยากลับจากการซ่อมรถให้คนของเรา เขาบอกคนในบัสเรียบร้อยว่าเราอาจกลับไปช้า และเพราะเฮนรี่อายุไล่เลี่ยกับเรา แผนแสร้งทำเป็นคู่รักจึงไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะอีกฝ่ายยอมปิดปากเงียบแสร้งไม่รู้เรื่อง
     
               "อายุแค่นี้แต่ทำอาหารได้ดีมากเลยนะพ่อหนุ่ม" อันเดรที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะพูด
     
               "ไม่ขนาดนั้นครับ" ชอว์นยิ้มในตอนที่ตักสตูว์ไก่ใส่จานตัวเอง
     
               "เลี้ยงเฮนรี่มาเกือบยี่สิบกว่าปีเขายังทำข้าวต้มไม่เป็นเลย" ชาร์ล็อตมองไปทางลูกชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามชอว์น แฟนของเขานั่งอยู่ข้างกาย ซึ่งตรงข้ามกับฉัน ผู้ที่นั่งกินเงียบๆและพยายามไม่พูดอะไรเท่าที่จะทำได้
     
               "แต่เกรซทำกับข้าวอร่อยครับ" เฮนรี่มองหญิงสาวข้างๆด้วยรอยยิ้ม "เธอทำขนมอร่อยมากด้วย เราน่าจะมีเวลากว่านี้ บางทีอาจให้สเตฟานี่ช่วยทำในครัว"
     
               "โอ้ ฉันทำอาหารไม่ได้เรื่องหรอกค่ะ" ฉันปฏิเสธ มือวางช้อนส้อมลงและดื่มน้ำในแก้ว
     
              อันเดรค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทางชายชรา เขาเดินกลับไปที่บ้านครู่หนึ่งและกลับออกมาพร้อมขวดไวน์ขาวในมือ ชายชราเริ่มจัดการเทใส่แก้วให้ทีละคน "สำหรับวันพิเศษ ถือว่าเป็นของขวัญฮันนีมูนที่พวกเราให้แล้วกัน"
     
               ความรู้สึกผิดเริ่มโถมเข้าใส่อย่างวันฝนตกที่ฟ้าผ่าเปรี้ยงใส่หลังคา ฉันนั่งเงียบๆโดยมีชอว์นชะงักช้อนตัวเอง เขายิ้มแหยๆแล้วยัดอาหารเข้าปากต่ออย่างระมัดระวัง
     
              "เฮนรี่กับเกรซคบกันมาตั้งแต่อายุสิบสามแล้วล่ะ เรากำลังจะได้อุ้มหลานแล้วด้วย" หญิงอายุเยอะพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น
     
              "กุญแจสู่ความสัมพันธ์ที่ยาวนานคือ พวกคุณต้องจูบกันให้เหมือนครั้งแรกและครั้งสุดท้าย" เฮนรี่เสริม เขาวางช้อนส้อมลงบนจาน จากนั้นขยับเข้าใกล้แฟนสาวแล้วเริ่มจูบเธอ
     
              ฉันประสานมือไว้บนโต๊ะอย่างอึดอัดในระหว่างที่จูบสั้นๆนั้นกลายเป็นยาวนานบนโต๊ะอาหาร  ครู่หนึ่งแอบเหลือบตามองเห็นชอว์นกำลังกลืนมัฟฟินอย่างยากลำบาก  เสียงหัวเราะเอ็นดูของอันเดรดังขึ้นอย่างมีความสุข มันจึงทำให้การจูบท่ามกลางโต๊ะอาหารที่น่ากระอักกระอ่วนนี้จบลง
     
              "สยิวเลย" ชอว์นพึมพำเบาๆพลางกัดมัฟฟินเข้าปากต่อ
     
              "เร็วๆพ่อหนุ่ม" อันเดรมองไปที่เขา
     
              ชอว์นจึงรีบกลืนมัฟฟินลงแล้วมองชายแก่หัวโต๊ะ "อะไรครับ"
     
              "เฮนรี่จูบโชว์แล้วนะ ถึงตาพวกเธอบ้าง"
     
              "โอ้ - ไม่ค่ะ เรา...จูบกันไปก่อนหน้านี้แล้ว" ฉันรีบตอบแทนคนข้างตัว
     
              "กล้าๆหน่อย ตามใจคนแก่นิดหนึ่ง" คราวนี้ชาร์ล็อตพูดด้วยรอยยิ้มแหย่
     
              และสายตาแปดคู่ก็จ้องมองมาที่เราพร้อมเพรียงกัน
     
              ชอว์นลอบถอนหายใจแล้วตจำใจวางมัฟฟินครึ่งก้อนลงบนจาน เขาเข้ามาหอมแก้มฉันเบาๆ "โอเค เรียบร้อย"
     
              "โธ่ ถ้าจูบกันอย่างนั้นเธอยอมแต่งงานด้วยได้ยังไงเนี่ย" ชาร์ล็อตขมวดคิ้วหันมาถามฉัน
     
              "ไม่หรอก พวกเขาคงขี้อาย ดูสิ ชอว์นหน้าแดงแล้ว เหมือนคุณตอนแรกๆเลย" แฟนของเฮนรี่ออกความเห็น ประโยคสุดท้ายเธอหันไปพูดกับเฮนรี่ที่นั่งอยู่ข้างตัว
     
              ฉันลอบแอบมองชอว์นที่กำลังกระดกไวน์ขาวเข้าปากอึกใหญ่ เขาเท้าแขนสองข้างกับโต๊ะ ใช้มือเกาหูแดงๆของตัวเอง และฉันไม่ปฏิเสธว่านั่นออกจะน่ารัก
     
              "ไม่เอาน่า นี่อาจเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน มีอะไรต้องอาย" อันเดรโวย "แค่จูบเอง เร็วเข้า"
     
              ฉันเม้มปาก แทบจะสะดุ้งเมื่ออันเดรขึ้นเสียงกว่าเก่าเล็กน้อย มันไม่ใช่ว่าเขาอารมณ์เสีย แต่มันเป็นคำพูดของคนแก่ที่กำลังเร่งให้เราทำอะไรสักอย่าง และเคยมีใครกล้าปฏิเสธคนแก่เมื่อเขาขึ้นเสียงกัน?
     
              ชอว์นวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ ฉันกับเขาหันมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก ก็แค่จูบเล็กๆน้อยๆ อาจไม่เสียหายอะไร ทว่าตอนที่ฉันกำลังจะอ้าปากบอกคนตรงหน้าว่าแค่จูบ จูบแบบที่สัมผัสปากแค่หนึ่งวินาที มันก็พอดีกับที่เขาเข้ามาใกล้และประทับริมฝีปากลง
     
              มันกลายเป็นจูบเกินกว่าที่ฉัน - หรือแม้แต่กระทั่งชอว์นตั้งใจ เราจูบกันอย่างระมัดระวัง ฉันรู้ว่าเขาระวัง เพราะมันต่างจากครั้งแรกในคืนที่เบอร์ลิน ปากเขาไล้ที่ริมฝีปากฉันเบาๆ ฝ่ามือประคองใบหน้า เขารั้งฉันให้เข้าใกล้กว่าเก่า ครู่ต่อมาคล้ายกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านทั่วร่าง และฉันไม่รู้ว่าเขาจะสัมผัสถึงมันได้หรือไม่
     
              แต่แล้วเขาก็หยุดกลางคัน ชั่ววินาทีที่เราลืมตาและมองหน้ากันมันเงียบไปชั่วขณะ เรารีบผละออกจากกันเมื่อได้สติ คนแก่บนโต๊ะสองคนกำลังปรบมือหัวเราะชอบใจ แม้กระทั่งเกรซกับเฮนรี่
     
              "พวกเธอช่างเคมีเข้ากันจริงๆ นั่นเป็นจูบที่ดีมากเลยนะ" เกรซปรบมือเบาๆ
     
              และเราสองคนก็เริ่มกระดกไวน์ขาวในแก้วเข้าไปอึกใหญ่
      
         
     
     
     
     
               การเดินทางเริ่มต้นอีกครั้งเมื่อเราบอกลาและออกจากบ้านของครอบครัวหรรษา สตูว์ไก่กับมัฟฟินช็อคโกแลตแน่นเต็มท้องของฉัน  การเดินกลับเงียบกว่าครั้งแรกจนมาถึงที่หมาย และดูเหมือนจะจริงอย่างที่ชอว์นบอก ในกรณีที่ว่าพวกเขาดูสบายกว่าเราที่เดินไปตามหาความช่วยเหลือข้างนอก
     
               บัสแล่นไปตามทางอีกครั้งเมื่อทุกคนอยู่กันครบและรถกลับมาสมบูรณ์ คนส่วนใหญ่ใช้เวลานอนหลับตามปกติ ฉันนั่งทำงานและตอบอีเมลประจำวันเช่นทุกครั้ง ชอว์นนั่งคุยอยู่กับแอนดรูว์ด้านหน้ารถบัส มีกระจกใสกั้นทางไว้จึงทำให้ไม่ได้ยินบทสนทนา
     
               ฉันเหลือบตาขึ้นมองสภาพแวดล้อมรอบตัวอีกครั้ง พบเจย์ที่พึ่งเดินออกมาจากตู้นอนพอดี
     
               "นี่" ฉันเรียกเขา
     
               ชายหนุ่มผมดำรีบหันมามองระหว่างที่หยิบแก้วกระดาษขึ้นมากดน้ำใส่
     
               "จาวิสอีเมลมาถามฉันเรื่องนาย" ฉันเท้าคางมองเพื่อนที่เดินเข้ามานั่งตรงข้าม "เขาบอกว่านายไม่ยอมติดต่อกลับไป ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ย"
     
               เจย์พยักหน้ารับเงียบๆ มือกระดกน้ำในแก้วกระดาษทีเดียวหมด
     
               "พวกนายเลิกคบกันแล้วเหรอ" ฉันชั่งใจถามต่อ "เขาบอกว่านายไม่ไปลองถ่ายแบบที่ควีนส์ตามที่นัดกันไว้"
     
               "ฉันแค่เบื่อๆ" ชายหนุ่มถอนหายใจแรง "หมายถึงทั้งหมดนี่ ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว"
     
               "ทำไมล่ะ จาวิสไม่ใช่คนจุกจิก นายเข้ากันได้--"
     
               "หลักๆก็คือฉันเบื่อแล้ว" เขาขัด "ฉันเบื่อผู้ชาย"
     
               "โอเค ฉันจะพยายามเข้าใจนะ" ฉันตอบด้วยความลังเลเมื่อมองหนุ่มไบเซ็กชวลตรงหน้า "ฉันคิดว่านายน่าจะบอกกับเขาตรงๆว่าอยากถอยห่างออกจากความสัมพันธ์สักพัก"
     
               "งั้นเธอก็ควรทำด้วย" เจย์วางแก้วกระดาษลงบนโต๊ะ เขาจ้องหน้าฉัน "ฉันรู้ สเตฟ เธอกับเด็กที่อยู่หลังกระจกนั่น"
     
               ฉันชะงักนิ้วมือที่พิมพ์อยู่บนแป้นพิมพ์ในแล็ปท็อปลงกลางคัน "นายหมายความว่าอะไร"
     
               "ฉันรู้เรื่องของเธอกับชอว์น ฉันเห็นเธอออกไปกับเขาเมื่อคืนในเบอร์ลิน แล้วก็ตอนที่อยู่ลอนดอน เธอเดินช่วงกลางวันกับเขาที่อัมสเตอร์ดัม" เขาตอบรวดเร็ว "ถ้าเธอคิดจะทำแบบนั้น เธอควรบอกแบรด"
     
               "มันไม่มีอะไรทั้งนั้น"
     
               "บางทีก็ควรมี มันจะได้ยุติธรรมกับเธอ"
     
               "ช่วยพูดอะไรให้ชัดเจนกว่านี้หน่อย" ฉันปิดจอแล็ปท็อปและจ้องคนตรงหน้า พอดีกับที่สายตาเหลือบไปเห็นชอว์น เขากำลังหันมามองผ่านกระจกใส แต่แล้วก็เบือนสายตาหนีไป
     
               คำถามฉันมากพอจะทำให้เจย์สะดุ้ง เมื่อหันกลับมาก็พบว่าเขากำลังหลบสายตามองนอกหน้าต่างรถ "ฉันไม่มีสิทธิ์บอกเธอ"
     
               "เรื่องอะไร เรื่องที่เขานอกใจแล้วไปเล่นสนุกกับเพื่อนสนิทฉันเหรอ"
     
               "เดี๋ยว - เธอรู้ได้ยังไง ใครบอก  รู้เมื่อไหร่ แล้วแบรดรู้เรื่องนี้รึเปล่า"
     
               ฉันยกมือขึ้นห้าม "ฉันรู้เมื่อเดือนที่แล้ว รู้ด้วยตัวเอง และใช่ ทั้งแบรดและเบคก้ารู้ว่าฉันจับได้"
     
               "แล้วยังไงต่อ เธอเลิกกับเขารึยัง" ฉันส่ายหัวในคำถามของเจย์ "ทำไม ไอ่บ้านั่นทำขนาดนั้น เธอไม่ควรปล่อยให้มันคิดว่าเธอยอม"
     
               "ฉันไม่ได้ยอม นายน่าจะเห็นวันที่ฉันจับได้ ฉัน--"
     
               "แล้วทำไมเธอยังคบกับมัน ทำไมไม่รับโทรศัพท์แล้วบอกว่า 'เฮ้แบรด นายมันไอ้สารเลวจอมทรยศ ดังนั้นฉันต้องการยุติความสัมพันธ์ของเราไว้แค่นี้ ไปตายซะ ไอ้หอกหัก' "
     
               "เราคบกันมาสามปี" ฉันเม้มริมฝีปาก "ฉันไม่รู้ - ไม่แน่ใจด้วยว่าจะทำใจได้"
     
               "แค่เพราะเธอคบกับเขามานาน มันไม่ได้หมายความว่าเธอจะเลิกไม่ได้ หรือไม่มีสิทธิ์" คนตรงหน้าเถียง "เขานอกใจเธอ สเตฟ นอกใจ เข้าใจคำนี้ใช่มั้ย เธอไม่ควรปล่อยผ่านไปเพียงเพราะเธอเสียดายเวลาที่คบกับเขา"
     
               "นายจะให้ฉันเลิกกับเขา จากนั้นก็ออกเดทกับชอว์น เมนเดสเหรอ"
     
               "ไม่!" คนตรงหน้าขึ้นเสียงฉับพลัน มากพอจะทำให้ฉันเลิกคิ้วใส่ ครู่ต่อมาเขาจึงเริ่มกระแอมไอแล้วเรียบเรียงคำพูดใหม่ "ไม่ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันไม่ได้บอกให้เธอรีบไปคบกับใครต่อ"
     
               ฉันถอนหายใจยาว เผลอแอบเหลือบมองชอว์นอีกครั้ง ในตอนนี้เขานั่งพิงเก้าอี้กดมือถือในมือ แอนดรูว์กับเพื่อนของเขากำลังขยับปากพูดอะไรบางอย่างโดยที่ชอว์นทำเพียงแค่พยักหน้ารับช้าๆ
     
               "ฉันต้องการเวลาคิด"
     
               "และเธอควรรีบเคลียร์กับเบคก้าซะ" เจย์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาโยนแก้วกระดาษลงถังขยะคล้ายนักชู้ตบาส แล้วจึงหายกลับเข้าไปในตู้นอนอีกครั้ง
     
               ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรกับคำพูดของเจย์ไปมากกว่านี้ บุคคลใหม่ก็เดินเข้ามาแทรกแซงความคิดในสมองและถือวิสาสะนั่งตรงข้ามฉันแทนที่เจย์ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆปนสบู่ทำให้รู้ว่าเป็นใครก่อนที่จะเงยหน้าเพื่อยืนยันความคิดตัวเอง
     
               "อะไรคะ"
     
              ฉันมองชอว์นที่กำลังนั่งจ้องหน้า ท่ามกลางความมืดของถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ แสงไฟริมถนนส่องใบหน้าเขาลางๆระหว่างที่รถเคลื่อนไปตามทาง
     
               "สเตฟานี่" เขาเรียก "เราเดทกันได้มั้ย"
     
     
     
    SJUR ft. Chris crone - Let me love you
    You don't know what you're worth
     
     
    Talk
     
    Some story in this chapter modified from other entertainment media

    เพลงตอนนี้เนื้อเพลงจะออกแนวชอว์นให้สเตฟานี่ค่ะ ลองฟังดูนะคะะ คนแอบรักก็น่าจะอิน555  
     
     
     
    (c) Chess theme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×