ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ambition | Shawn Mendes FanFiction [END]

    ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 11

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 420
      17
      13 เม.ย. 65

     

     
              หัวใจจะวาย นั่นอาจเป็นคำที่ใช้ได้หลังจากที่เดินผ่านเหล่าแฟนคลับสาวๆของชอว์นที่มายืนรอเขาอยู่หน้าโรงแรมที่พัก พึ่งเข้าใจว่าแฟนคลับสามารถทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เจอไอดอลของตัวเอง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาไปหาข้อมูลจากไหนมาถึงได้รู้ว่าพวกเราพักที่นี่ หรือแม้กระทั่งคนที่รู้จักชื่อฉันอย่างไม่มีสาเหตุ
     
               ลิฟท์สี่เหลี่ยมของโรงแรมระดับสี่ดาวเงียบเชียบ มีเสียงดังวิ้งๆในหูเมื่อกลับเข้าสู่ความเงียบสนิทต่างกับเมื่อครู่   ชอว์นยืนอยู่ข้างฉัน มีเพื่อนเขาอีกสองคนและรวมถึงแอนดรูว์ เกิร์ทเลอร์ เราทั้งหมดเหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไรหลังจากที่เดินทางมาทั้งวัน และหลังจากที่ฉันร้องไห้ไปในรถบัส ก็ไม่คิดว่าการพูดคุยอะไรจะเป็นสิ่งที่อยากทำในตอนนี้นัก
     
              เราทุกคนแยกย้ายกันเข้าห้องพักของตัวเองและหลับพักผ่อน แต่เพราะเรื่องแบรดประดังเข้ามา ค่ำคืนนี้จึงดูยาวนานกว่าเก่า และฉันข่มตานอนไม่หลับ สุดท้ายจึงออกจากห้อง ขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้นดาดฟ้าของโรงแรม ระเบียงใสทำจากกระจกดูหรูหราสะท้อนแสงท่ามกลางความมืด สระว่ายน้ำใหญ่ยักษ์เงียบกริบเมื่อฉันเดินผ่านหลังออกจากลิฟท์
     
             เวลานี้ที่นี่บรรยากาศดี ฉันเลือกที่นั่งเหมาะเจาะพอมองเห็นวิวตัวเมืองและหย่อนตัวลงนั่ง ขาพาดกับเก้าอี้ยาว จากนั้นเปิดหนังสืออ่าน
     
              "สเตฟฟี่ สเตฟฟี่ เฮลโหลว"
     
             เสียงของใครบางคนเรียกชื่อฉัน มันดังก้องมาจากที่ไหนสักแห่ง  ไม่ใช่เสียงของชายหนุ่มตรงหน้าที่ฉันเห็นตอนนี้ เพราะเสียงที่ว่าดูห่างไกลอย่างน่าเหลือเชื่อ
     
              "สเตฟฟี่!"
     
              ฉันรู้สึกคล้ายกับว่าร่างถูกทิ้งดิ่งลงพื้นคอนกรีตเย็นๆฉับพลัน  "Oh my god" ฉันอุทานลั่นและรีบสปริงตัวลุกขึ้น ซึ่งมันส่งผลทำให้หน้าผากชนกับชายหนุ่มที่กำลังก้มตัวมามองดังปั่กเหมือนหินกระทบกัน
     
              "โอ้ย! จะรีบลุกทำไม!" ชอว์น เมนเดสบ่นเสียงดังแข่งกับฉันระหว่างที่จับหน้าผากตัวเองแล้วลูบมันแรงๆ
     
              กลับเข้าสู่ชีวิตจริงอีกครั้ง  ภาพของชายที่เห็นเป็นเพียงแค่ความฝัน  ฉันมองเห็นหนังสือที่กางค้างไว้บนตัก การจราจรที่เริ่มเบาบางทางด้านล่างตึกในเบอร์ลิน ท้องฟ้าดำมืดด้านบน และชายผมน้ำตาลเข้มที่ไม่ได้รับเชิญ
     
              "เอ้า - ก็คุณเรียกฉันขนาดนั้น ใครไม่ตกใจบ้างล่ะคะ" ฉันเถียงเมื่อได้สติ
     
              "แล้วใครใช้ให้คุณมานอนหลับตรงนี้ไม่ทราบ อยากนอนตากน้ำค้างรึไง"
     
              "ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลับ" ฉันนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้อาบแดดที่นั่งมาได้สักพักใหญ่ มือควานหามือถือและพบว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสาม "คุณมาทำอะไรบนนี้ตอนตีสามคะ"
     
              "เกี่ยวกับคุณด้วยล่ะ" เขาย้อน เมื่อเห็นสีหน้านิ่งสนิทของฉันจึงเริ่มกระแอมไอ "ก็แค่นอนไม่หลับ"
     
              "ฉันก็เหมือนกัน"
     
              "คุณควรกลับไปที่ห้องได้แล้ว พรุ่งนี้เราต้องทำงานกันอีกยาว" เขาฉวยหยิบหนังสือในมือฉันขึ้นมาอ่าน "เลิกอ่านนิยายของลี ไชลด์สักทีถ้าไม่อยากมึนหัวก่อนนอน"
     
              "มันไม่เกี่ยวกัน" ฉันเถียง แต่สุดท้ายก็ลุกขึ้นยืน มือรีบแย่งหนังสือกลับมา "คุณก็ควรรีบไปนอนนะคะ คุณต้องแสดงคอนเสิร์ตพรุ่งนี้ แต่กลับไม่หลับไม่นอน"
     
              "ก็บอกว่านอนไม่หลับ"
     
              "แล้วตอนนี้คุณก็ทำให้ฉันตาสว่างอีกรอบแล้วด้วย" ฉันเบ้หน้า เหน็บหนังสือไว้ที่แขนข้างซ้าย ตั้งท่าจะเดินผ่านเขาไป แต่สุดท้ายหนังสือก็ถูกกระชากออกไปอีกครั้ง
     
              ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะส่งเสียงรำคาญเบาๆ แต่เพราะร่างที่ถูกเอนหงายหลังและดูเหมือนจะลอยคว้างในอากาศ ทำให้เสียงกรี้ดดังออกมาแทนที่  ใบหน้าของชอว์นห่างออกไปไกลกว่าเก่า ไม่นานหูก็โดนน้ำจำนวนมหาศาลตีเข้าใส่ ฉันกลายเป็นลูกหมาตกน้ำ น้ำในสระว่ายน้ำที่มีกลิ่นคลอรีนกำลังทำให้รู้สึกพะอืดพะอมระหว่างที่ตกลงไปฉับพลัน
     
               เสียงหัวเราะสะใจของชอว์นดังมาจากริมขอบสระ ฉันตะเกียกตะกายอยู่บนผิวน้ำครู่หนึ่ง เวลาต่อมาตระหนักได้ว่าตัวเองสูงร้อยเจ็ดสิบเจ็ดเซนติเมตร และน้ำตื้นแค่นี้คงไม่ทำให้จมได้   ฉันรีบเงยหน้ามองชอว์น - ผู้เป็นพาฉันลงมาในสระอย่างตั้งใจ
     
               "Are you serious!" ฉันตะโกนใส่เขาพลางใช้มือสองข้างตีผิวน้ำแรงๆ "นี่มันไม่ตลกนะคะ!"
     
               "คุณไม่คิดงั้นเหรอ" เขาถามปนเสียงหัวเราะดังเกินความจำเป็น "แต่ผมสนุกมากๆ"
     
               "จะบ้าตาย! ฉันเกลียดคุณ เป็นบ้าอะไรเนี่ย ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ด้วย" ฉันยื่นมือจับขอบสระ พยายามทรงตัวและปีนป่ายขึ้นไป  โชคดีที่เด็กวัยรุ่นตรงหน้าไม่คิดจะแกล้งซ้ำสอง และโชคดีที่ฉันสวมชุดชั้นในก่อนสวมชุดนอน คล้ายกับเป็นลางบ่งบอกว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์  ซึ่งมันก็ใช่จริงๆ
     
               "เห็นคุณเครียด ก็เลยแกล้งเล่นสนุกๆเฉยๆ อย่าคิดมากสิ" เขายื่นหนังสือคืนมาให้ฉัน รอยยิ้มนั้นดูขี้เล่นจนฉันนึกหงุดหงิด
     
               "ฉันไม่สนุกกับคุณหรอก" ฉันรีบกระชากหนังสือกลับมาและเดินไปหยิบมือถือบนโต๊ะ จากนั้นเดินหนีเขากลับไปที่ลิฟท์ ตัวเปียกชุ่มและเต็มไปด้วยกลิ่นคลอรีน
     
               "เฮ้ เดี๋ยวก่อนสิ โกรธจริงๆเหรอเนี่ย" ชอว์นเดินมารั้งแขนไว้และกระชากให้ฉันกลับไปมองเขา "ทำไมคุณต้องซีเรียสขนาดนั้น ไม่เคยโดนเพื่อนแกล้งรึไง"
     
               "เพื่อนฉันโตพอจะรู้ค่ะว่าเวลาไหนควรแกล้ง และนี่ไม่ใช่เวลาที่ควร ถ้านอนไม่หลับก็ควรไปทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้นะคะ ไม่ใช่มายุ่งกับฉัน"
     
               แต่ทว่าฉันไม่ได้จงใจจะว่าเขาด้วยน้ำเสียงตะคอกอย่างที่พึ่งทำไป ฉันจึงหยุดคำพูดตัวเองไว้เพียงแค่นั้น  และมันเป็นไปตามคาด ชอว์นหุบยิ้มลงทีละนิด  เป็นอีกครั้งที่ฉันอยากจะด่าตัวเองกับคำพูดที่เผลอใช้ออกไป แถมคนตรงหน้ายังเป็นวัยรุ่นคิดมาก นี่ไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากให้เกิดขึ้นก่อนนอนสักนิด
     
               ชายตรงหน้าเดินกลับไปที่ทางเดิมโดยไม่พูดไม่จาอะไรอีก ฉันใช้หลังมือเปียกๆเช็ดที่หน้าตัวเอง หวังว่ามันจะทำให้กลิ่นน้ำจากสระหายไปได้บ้าง  สุดท้ายคิดว่ามาถึงขั้นนี้แล้วคงไม่มีอะไรจะต้องเสียอีก จึงปล่อยหนังสือลงบนพื้น ตั้งท่าวิ่งกระโดดเข้าใส่แผ่นหลังชอว์น
     
               "คุณบังคับให้ฉันทำแบบนี้เองนะ!" ฉันตะโกนใส่หูเขา แขนสองข้างโอบรอบคอ ขาตะกายรัดเอวของเด็กหนุ่มตรงหน้าเอาไว้แน่น
     
               "สเตฟฟี่! คุณเป็นบ้าแน่ๆ!" ชอว์นโวยวายและหมุนตัวไปมา คล้ายกับพยายามจะสะบัดฉันออกจากตัวแรงๆ
     
               "คุณต้องเปียกแบบฉัน เพราะคุณทำให้ฉันมีสภาพแบบนี้" ฉันกอดคอชอว์นแน่นกว่าเก่า
     
               เวลานี้ต่อให้เขาจะหมุนตัวหรือสะบัดตัวแรงมากแค่ไหนฉันก็จะติดอยู่อย่างนี้ เหมือนหมากฝรั่งที่ไม่ยอมออกไปจากเสื้อผ้าง่ายๆ  และถึงแม้เสียงบ่นของชอว์นจะดูหงุดหงิด แต่รอยยิ้มของเขาทำให้ฉันกล้าตะโกนไม่เป็นภาษาใส่หูเขาต่อไป
     
               มันก็ดูเหมือนจะราบรื่นดี จนกระทั่งมือของเขาแตะเข้าที่ขาข้างซ้ายของฉันเต็มๆ
     
               "โอ้ย! แผลฉัน!"
     
     

     
     
              ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้โรงแรมกลายเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อเลือดของฉันดูไม่มีท่าทีว่าจะหยุดไหล ผมยังเปียกหลังจากอาบน้ำซ้ำสอง อาการเจ็บแผลกำลังทำให้รู้สึกอยากนั่งอยู่เฉยๆ แต่สุดท้ายก็เข้าซุปเปอร์ตามชอว์นมาด้วย
     
              "ขอโทษอีกครั้ง" ชอว์นบอกเมื่อหย่อนพลาสเตอร์ปิดแผลลงบนตะกร้า เขาเงยหน้ามองฉัน "ผมลืมไปว่าคุณเป็นแผลอยู่"
     
              "ฉันก็เสียใจที่คุณทำมันค่ะ" ฉันบอกพลางกวาดสายตามองชั้นวางของแน่นเอี้ยดในซุปเปอร์ หวังว่าจะลืมความเจ็บปวดที่ขา
     
              "โอ้ ดูนี่สิ" ชอว์นเอื้อมตัวหยิบกล่องทรงกระบอกขึ้นมาและชูให้ดู "แม็คแอนด์ชีส ยี่ห้อนี้ของโปรดของอาลีย่าห์ น้องสาวผม"
     
              "น้องสาวคุณชอบเหมือนฉัน" ฉันพึมพำ "เธออายุเท่าไหร่คะ"
     
              "สิบสาม" ชอว์นพลิกกล่องแม็คแอนด์ชีสสำเร็จรูปในมือไปมา  เขายิ้มบางๆ คล้ายกับว่าบนกล่องมีหน้าน้องสาวของเขาแปะไว้อยู่
     
              "คุณคงคิดถึงครอบครัว" ฉันออกความเห็นก่อนจะเดินไปที่หัวมุมทางเข้าซอย  เห็นการ์ดหลายใบเสียบอยู่บนเสาเล็กๆหมุนได้ "ส่งการ์ดไปให้พวกเขาดีมั้ยคะ"
     
              "การ์ดคงไม่ถึงแคนาดาหรอก" ชอว์นหัวเราะ เขาหยิบการ์ดขึ้นมาใบหนึ่งและอ่านข้อความในนั้นเสียงดัง "When you are in love, you can't fall asleep because reality is better than your dreams"
     
              ฉันขมวดคิ้วแล้วมองการ์ดแผ่นเล็กในมือชอว์น
     
              "เลี่ยนดีเนอะ" เขาโบกการ์ดไปมาแล้วเสียบกลับเข้าที่เดิม จากนั้นจึงเริ่มชะโงกหน้าดูการ์ดในมือฉันบ้าง "คุณจะซื้อการ์ดวันเกิดไปให้ใครล่ะ"
     
              "ก็แค่สะสมไว้เฉยๆค่ะ"
     
              "คุณชอบสะสมการ์ดเหรอ"
     
              "ใช่ค่ะ ฉันจะได้รู้ว่าไปที่ไหนมาบ้างแล้ว และการ์ดในซุปเปอร์มาร์เก็ตถูกกว่าที่ขายในย่านนักท่องเที่ยว"
     
              ชอว์นยิ้มเหมือนไม่อยากเชื่อ "ไม่คิดว่าคุณจะมีด้านนี้"
     
              "ด้านไหนคะ"
     
              "ไม่คิดว่าคุณจะสะสมการ์ด หรือสะสมอะไรไปมากกว่าปากกา"
     
              ฉันแกล้งบ่น "ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่านักร้องวัยรุ่นที่อยู่ตรงหน้าจะกวนประสาทได้ในทุกๆสถานการณ์"
     
              ชอว์นเหลือบมอง เขายิ้ม "จะไม่เถียงวันหนึ่ง เพราะผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราต้องมาซื้อพลาสเตอร์ที่นี่"
     
              "ฉันเคยส่งการ์ดให้แม่ในวันเกิดของเธอทุกๆปี" ฉันบอก ไม่แน่ใจว่าทำไมอยู่ดีๆถึงอยากพูด "ช่วงแปดเดือนสุดท้ายที่แม่อยู่โรงพยาบาล เธอมักจะรอการ์ดที่ฉันส่งมาให้กำลังใจทุกๆเดือน จากเดือนเป็นอาทิตย์"
     
              คนข้างๆยังเงียบดูตั้งใจฟัง แต่แล้วฉันก็ตัดสินใจเงียบแล้วถอนหายใจแทน
     
              "ฉันว่าเราไปที่อื่นกันเถอะค่ะ ฉันเจ็บแผลจะแย่แล้ว"
     
              "คุณพูดมันออกมาได้นะ" ชอว์นเดินตามหลังมา เขามองฉันด้วยสีหน้าที่เดาไม่ถูก "ไม่ว่าจะเรื่องอะไร"
     
              มันน่าเวทนาพอแล้วไม่ใช่หรือ ฉันคิด ไม่ควรเล่าเรื่องอะไรก็ตามให้เขาฟังอีก มันมากเกินพอแล้วที่ฉันทำลงไป
     
              "ขอบคุณค่ะ" ฉันพูดสั้นๆ แล้วเดินไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์
     
              ย่านที่ใกล้กับหอโทรทัศน์แฟร์นเซ ทวร์ม เป็นย่านที่เรามานั่งทำแผลกันหลังจากเดินมาประมาณห้านาที เด็กหนุ่มข้างตัวบอกว่าหลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างที่ฉันเจอมาฉันควรผ่อนคลาย และการกลับไปอุดอู้ในโรงแรมไม่ใช่ทางเลือกที่ควรเลือก
     
              "ไว้เราน่าจะออกมาในเมืองตอนตีสามบ่อยๆ คนน้อยดี" ชอว์นบอกเมื่อทำแผลให้เสร็จ
     
              "แต่มันไม่มีอะไรให้เราทำสักอย่าง" ฉันมุ่ยหน้า มองร้านค้าต่างๆที่ปิดสนิทและไร้ผู้คน พยายามทรงตัวลุกขึ้นยืนและก้มลงมองแผลตัวเองที่มีพลาสเตอร์ใหญ่ปิดไว้ "คิดมั้ยคะว่าฉันมักเจอปัญหาเวลาที่อยู่กับคุณ รวมถึงแผลนี้ด้วย"
     
              "อย่างน้อยคุณก็ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ" ชอว์นบอกเสียงสดใสกว่าตอนอยู่ในซุปเปอร์ เราเดินข้ามถนนไปทางที่ตั้งของนาฬิกาโลกที่กำลังหมุนช้าๆ ในแต่ละช่องมีชื่อของเมืองหลวงรอบโลก ฉันหยุดและยืนดู
     
              "คุณอยากไปประเทศไหนคะ ประเทศที่ยังไม่ได้ไป"
     
              "เยอะแยะไปหมด" เขาตอบแล้วปล่อยลมหายใจจนเห็นควันลอยออกมาด้วย "ปีหน้าผมจะได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตที่เอเชีย อดใจรอไม่ไหว"
     
              "นี่ก็ใกล้เดือนธันวาแล้ว คุณตั้งใจว่าจะไปฉลองคริสต์มาสกับปีใหม่ที่ไหนล่ะ"
     
              ชอว์นเอนตัวแล้วเหลือบตามอง "อะไรกัน นี่คิดจะสัมภาษณ์ผมเวลานี้เหรอ นี่มันตีสามในเบอร์ลินนะ"
     
              "ฉันก็แค่ถามคุณเฉยๆ ไม่ได้จะสัมภาษณ์อะไร" ฉันยักไหล่สองข้าง
     
              เราสองคนออกเดินอีกครั้งและผ่านกลุ่มนักดนตรีเปิดหมวกที่กำลังเก็บอุปกรณ์ดนตรี เราผ่านศาลากลางแดง โบสถ์ซังต์มาเรียน น้ำพุเนปจูน เดินไปสักพักพบรูปปั้นหมีตั้งอยู่ริมทางเท้า
     
              "ทำไมเบอร์ลินถึงมีรูปปั้นหมีเยอะ" ชอว์นเริ่มตั้งคำถาม
     
              "เพราะเบอร์ลินพ้องเสียงกับแบร์ค่ะ" ฉันอธิบาย
     
              "ผมพึ่งสังเกตได้ ปกติสนใจแต่มหาวิหารเบอร์ลิน" เขาเกาศีรษะตัวเองเบาๆ
     
              "แล้วคุณรู้อะไรเกี่ยวกับมหาวิหารเบอร์ลินบ้างคะ"
     
              ชอว์นเงียบไป เขาเอาสองมือออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วกอดอกระหว่างเดิน "ข้างในนั้นสร้างสไตล์อิตาเลียนเรเนสซองส์ เป็นมหาวิหารนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ใช้เป็นพิธีการเจิมน้ำมนต์ เข้าพิธีอภิเษกสมรส เป็นที่ฝังศพของคนในราชวงศ์"
     
              "เห็นว่ามีหลุมฝังศพของราชวงศ์โฮเฮนโซลเลิร์นในชั้นใต้ดินที่นั่นด้วย"
     
              "ให้ตายเถอะ คุณไม่รู้อะไรบ้าง มิส" ชอว์นถามคล้ายเหน็บแนม
     
              ฉันไม่ได้ตอบอะไรเขาต่อเพราะสายตาเลื่อนไปเห็นป้ายไฟนีออนสีชมพูสดที่เขียนไว้ว่า Tarot card reading
      
               "ดูดวงไพ่ทาโรต์เหรอ" ชอว์นหรี่ตามองอย่างจับผิด "เหมือนทางเข้าไปในบ้านฆ่าหั่นศพเลย"
      
               "ฉันได้ยินนะ" เสียงที่สามแทรกเข้ามา ฉันกับชอว์นสะดุ้งเฮือกตอนที่หญิงวัยกลางคนเส้นผมสีฟ้าอมม่วงชะโงกหน้ามามองเรา เธอค่อยๆเดินขึ้นบันไดมาพร้อมกับถุงขยะสีดำขนาดใหญ่
      
               "มันก็แค่แสงไฟตอนกลางคืน บ้านฉันสะอาดกว่าพื้นที่พวกเธอเหยียบอยู่อีกจะบอกให้"
     
               "ขอโทษค่ะ" ฉันตอบกลับอย่างกล้าๆกลัวๆ
       
               หญิงวัยกลางคนมองฉันอย่างพินิจพิเคราะห์ ใบหน้าดูเหี่ยวย่นเมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟนีออน แต่เมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้ ก็พอจะเดาได้ว่าเธออายุประมานเจ็บสิบกว่า ดูใจดีกว่าที่เห็นในระยะไกล
     
               "ถ้าพวกเธอสนใจจะดูดวงไพ่ทาโรต์ก็เข้ามาได้ ไหนๆก็มาอยู่กันตรงนี้แล้วนี่"
     
               "เอ่อ ผมไม่--"
     
               "รบกวนหน่อยนะคะ" ฉันแทรกชอว์นที่กำลังตั้งท่าจะปฏิเสธแล้วดึงแขนเขาให้ลงบันไดตามหญิงชราไป
     
               ซึ่งดูเหมือนสิ่งที่เธอโปรโมตไว้จะเป็นความจริง ภายในห้องนั่งเล่นที่เธอใช้เป็นสถานที่ดูไพ่ทาโรต์สะอาดสะอ้าน อาจสะอาดกว่าบ้านพักของชอว์นที่บรู้คลินเสียอีก
     
               พื้นไม้สีทึบขัดเงาวับ ได้กลิ่นหอมจากเทียนที่จุดตั้งอยู่บนเตาผิง ชอว์นมองไปรอบตัว เขาเบ้หน้า เหมือนไม่อยากยอมรับความจริงที่ว่าตัวเองคิดผิดไป เขาเดินลงมานั่งข้างฉัน ตรงหน้าโต๊ะกลมที่มีไพ่เรียงเป็นตับตรงกลาง
      
               ฉันมองหญิงชราที่เดินมานั่งตรงข้าม ลังเลว่าควรทำอะไรต่อ
     
               "อันที่จริงพวกเธอไม่จำเป็นต้องเลือกไพ่ก็ได้" เธอว่า "ฉันดูออกตั้งแต่เห็นหน้าพวกเธอ แต่อยากเลือกไพ่ให้เป็นพิธีหน่อยก็ไม่เป็นไร"
     
               "งั้นคุณเห็นอะไรครับ" ชอว์นเริ่มถาม เขานั่งพิงพนักเก้าอี้มองคนตรงข้ามอย่างท้าทาย "คุณเห็นผมกับสเตฟฟี่แล้วคุณสามารถบอกได้รึเปล่าว่าพวกเราเป็นยังไง"
     
               "อย่าไปทำท่าทางแบบนี้ให้ใครที่ไหนดูเชียวพ่อหนุ่ม โดยเฉพาะแฟนคลับของเธอ"
     
               ฉันเม้มริมฝีปาก กลั้นหัวเราะเมื่อเห็นชอว์นเริ่มเปลี่ยนสีหน้า ค่อนข้างประหลาดใจนิดหน่อย "งั้นคุณก็รู้ว่าผมเป็นใครจากทีวี"
     
               "ฉันรู้ว่าเธอมีการตัดสินใจในอดีตที่ไม่น่าประทับใจนัก และเธอคอยหวังแต่จะย้อนอดีตกลับไปแก้ไขมัน" หญิงตรงหน้าพูดน้ำเสียงราบเรียบใจเย็น

               ชอว์นนิ่งเงียบไป เขามองไปรอบตัว แสร้งทำเป็นสนใจพืชในกระถางต้นไม้รอบกระจกหน้าต่างแทน ในคราวนี้หญิงชราจึงหันมามองฉันบ้าง เธอคว้าไพ่ทาโรต์แล้วเก็บเข้ากล่อง
     
               "ถึงตามาดามคนนี้กัน" เธอจ้องมองฉัน และเพราะเธอส่ายศีรษะช้าๆทำให้ฉันรู้สึกเริ่มอึดอัด "มีอะไรในหัวเยอะเหลือเกิน สาวน้อย รู้มั้ยว่าต้องจัดการปัญหาเหล่านั้นซะบ้าง"
     
               "ปัญหาอะไรคะ"
     
               "เธอน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าปัญหานั้นคืออะไร" เธอตอบ "เลือกจัดการอะไรที่ทำให้คับข้องใจก่อน แล้วทุกอย่างจะค่อยๆคลี่คลายลงเอง"
     
               ฉันไม่อยากตอบอะไรก็ตามที่คิดอยู่ ส่วนชอว์นดูเหมือนจะกลับมาให้ความสนใจอีกครั้ง เขากอดอก เสียงลมหายใจดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ "ฉันไม่คิดว่าตัวเองทำได้"
     
               "ที่รัก การเผชิญปัญหาไม่ใช่เรื่องง่าย การหลีกเลี่ยงนั้นดูง่ายเสมอ แต่สุดท้ายมันจะพาเราไปถึงทางตัน" คนอายุเยอะกว่าตอบ กลิ่นชาเอิลเกรย์ลอยมาตามลมหน้าประตูที่ยังไม่ได้ปิด "มันถึงเวลาแล้ว ก่อนที่เธอจะสูญเสียชีวิตในปัจจุบันของเธอให้กับอดีต"
         
     

     
     
              ท่ามกลางความเงียบในตัวเมืองยามตีสามครึ่งกลับมาอึดอัดเมื่อบทสนทนาของฉันกับชอว์นไม่เกิดขึ้นอีก ชักไม่แน่ใจว่าทำถูกมั้ยที่เดินเข้าไปดูดวงตั้งแต่แรก เพราะในเวลานี้คิดหนักกว่าเก่า
     
             แอนดรูว์เป็นคนส่งข้อความหาชอว์น เขาคิดว่าเรายังอยู่ที่โรงแรม และให้เรารีบไปเตรียมตัวสำหรับเช้าวันใหม่ ดังนั้นตอนนี้แค่ต้องรีบไปให้ถึงโรงแรมก่อนจะถูกจับได้ว่าไม่ได้นอนมาเกือบทั้งคืน
     
              "ที่จริงที่หมอดูพูดก็ถูกนะ" ชอว์นพูดทำลายความเงียบเมื่อเราเดินลอดสะพานใหญ่ "คุณอาจต้องทำอะไรสักอย่าง เขาพูดถึงแฟนคุณแน่ๆ"
     
              ฉันสูดหายใจแรง "ไม่รู้สิคะ ฉันไม่แน่ใจอะไรอีกแล้ว"
     
              "อย่างน้อยก็เป็นการเริ่มต้นใหม่ของคุณ บางทีคุณอาจมีความสุขกว่าถ้าถอยออกมาและเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่"
     
              "คุณก็พูดได้สิคะ คุณไม่ได้คบกับใครเกินสองปีนี่"
     
              "ผมเคยชอบผู้หญิงคนหนึ่งเกือบสามปี รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องอกหักแต่ก็ยังชอบ นั่นพอจะทดแทนกันได้มั้ยล่ะ" เขาย้อน
     
              และมันทำให้ฉันยอมเงียบ จนกระทั่งเราเดินมาถึงย่านบ้านหรูในเบอร์ลิน  ชอว์นหยุดฝีเท้าลง เขาส่งยิ้มมีเลศนัยมาให้ และฉันรู้ทันทีว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรต่อไป
     
              "ไม่ค่ะ อย่าเชียวนะ"
     
              "โถ่ แค่แปปเดียวเอง ที่ลอนดอนเราก็ทำ จำไม่ได้เหรอ ไม่เห็นจะถูกจับได้เลย" ชายหนุ่มทำท่าอิดออดแล้วมองไปที่บ้านทรงทันสมัยด้านหลัง  มันเป็นบ้านที่ทาด้วยสีขาวทั้งหมด กระจกบานใหญ่ติดตั้งรอบบ้าน เป็นแนวโมเดิร์นคล้ายตั้งอยู่ริมทะเล
     
              "คราวนี้โดนแน่ๆค่ะ มันไม่ใช่บ้านหลังเล็กๆนะ" ฉันกอดอกแล้วจ้องมองคนอายุน้อยกว่าอย่างตำหนิ "คุณควรจะห่วงภาพพจน์ตัวเองหน่อย ถ้าวันพรุ่งนี้มีข่าวว่าคุณแอบเข้าบ้านคนแปลกหน้ามันจะไม่ดีเอา ดีไม่ดีอัลบัมคุณอาจขายไม่ออก--"
     
              "ทำไมต้องแช่งกันขนาดนั้น" ชอว์นกลอกตาแล้วถอนหายใจ "งั้นแค่เดินในสวนรอบบ้าน โอเคมั้ย"
     
              "ไม่โอเคค่ะ"
     
              "งั้นผมคงต้องทำอย่างเดิม" คนตรงหน้ายักไหล่แล้วเดินเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นฉันก็รู้ทันทีว่าจะโดนอะไรต่อไป
     
              "ไม่ อย่านะ คราวนี้ฉันจะไม่ยอมให้คุณอุ้มอีก" ฉันถอยหลังพลางชี้หน้าเด็กหนุ่มที่กำลังทำเหมือนทุกอย่างดูปกติดี เหมือนกับว่าการจะอุ้มฉันเข้าสวนบ้านคนอื่นเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดาที่สุดในโลก
     
              ชอว์นถอนหายใจแล้วหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อ มันเป็นบัตรสี่เหลี่ยมคล้ายบัตรเครดิต "บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ผมเข้าไปได้ ตอนนี้มันเป็นของผม"
     
              "นี่คุณจะมาไม้ไหนอีกคะ"
     
              "ผมพูดความจริงต่างหากล่ะ แต่ก่อนหน้านี้ล้อเล่น" เขาโยนบัตรมาให้ฉัน "บริษัทนี้เขาให้บ้านเราพักระหว่างออกทัวร์ พวกเขาเป็นบริษัทสร้างบ้านรอบยุโรป  ก็เหมือนพี่น้องเจนเนอร์ไง ได้พักโรงแรมห้าดาวใจกลางนิวยอร์กแบบไม่เสียสักดอลลาร์ แลกกับการโปรโมต"
     
              "แต่มันฟังดูไม่สมเหตุสมผล" ฉันเลิกคิ้วขึ้น จ้องมองบัตรแข็งในมือ แต่เมื่อเพ่งพินิจดูทุกอย่างก็ไม่มีอะไรผิดปกติ "แล้วทำไมคืนนี้พวกคุณไปพักโรงแรม  คุณไปขโมยบัตรมาจากใครรึเปล่าคะ"
     
              คำพูดฉันทำให้ชอว์นกลอกตาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่  "ผมไม่ใช่พวกลักขโมยนะ เห็นผมเป็นคนแบบไหนกัน"  เขาใช้มือข้างหนึ่งทาบกับอกตัวเอง  "แอนดรูว์คิดว่าเรามาเบอร์ลินไม่ถึงสองวัน และโรงแรมมีรถรับส่งให้ มันใกล้กับสนามบินด้วย เราก็เลยไม่ได้ใช้บริการบ้านหลังใหญ่"
     
              แน่นอน ในตอนนี้ฉันคิดว่ามันค่อนข้างจะบังเอิญไปเสียหน่อยสำหรับเรื่องที่ชอว์นพึ่งอธิบาย  ทำไมเราถึงบังเอิญเดินผ่านบ้านหลังนี้ แล้วทำไมชอว์นถึงมาบอกเรื่องนี้กับฉัน  แต่บางทีความบังเอิญอาจเกิดขึ้นได้ และบางครั้งมันมักทำให้เราประหลาดใจ
     
              "ยังไม่เชื่ออีก" เขาเดินเข้ามาใกล้ ฉันจึงรีบถอยห่างอีกครั้ง แต่สิ่งที่ชอว์นทำคือการฉวยบัตรออกไปจากมือฉันเท่านั้น "เดี๋ยวจะรูดบัตรที่กลอนประตูให้ดู"
     
              ชอว์นปีนข้ามรั้วคอนกรีตสูงถึงเอวเข้าไปที่หน้าทางเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว  และก่อนที่ฉันจะได้จับผิดเขาเรื่องการปีนข้ามรั้วแทนที่จะเดินเข้าประตู  ชายหนุ่มก็รูดบัตรเข้าที่กลอนประตูบานใหญ่เสียก่อน  ฉันเห็นไฟสีเขียวสว่างวาบขึ้น จากนั้นเขาก็แง้มประตูเปิดออกได้สบายๆ
     
              "I told you"  เขาแกล้งทำสำเนียงคนเยอรมันแล้วฉีกยิ้มให้ฉัน จากนั้นวิ่งหายเข้าไปในตัวบ้าน
     
              มันเป็นเวลาสักพักใหญ่ที่ฉันยืนเงียบเหมือนคนหมดหนทางอยู่ตรงริมฟุตบาท ฟังเสียงสัตว์กลางคืนร้องประสานเสียงกัน จนกระทั่งชอว์นชะโงกหน้าออกมาอีกครั้ง
     
              "จะยืนเหมือนคนสมองปลิวอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ย  รีบเข้ามาสิ ผมจะได้ทำแผลให้คุณ คุณทำแผลไม่เป็น จำได้รึเปล่า"  เขาเตือนความจำ  จากนั้นประตูรั้วหน้าบ้านก็ถูกปลดล็อคออกให้ฉันเดินเข้าไป
     
              ฉันเดินตรงเข้าห้องน้ำเมื่อเข้าถึงในตัวบ้าน  ในบ้านดูดีอย่างที่คิด แต่ตอนนี้แค่ต้องการล้างมือและจัดการแผลเจ็บแสบที่ขาตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก  เมื่อล้างมือเสร็จจึงเดินไปนั่งบนฝาชักโครก ค่อยๆเปิดพลาสเตอร์ออกแล้วมองแผลทางยาวอย่างสมเพชตัวเอง
     
              "บางทีคุณน่าจะเลิกเล่นตัวแล้วสอนฉันทำแผลได้แล้วนะคะ" ฉันเงยหน้ามองชอว์นที่เดินผ่านมาพอดี
     
              ชอว์นเดินเข้ามาในห้องน้ำที่ประตูถูกเปิดแง้มไว้ เขาเดินไปล้างมือก่อนจะมานั่งย่อเข่าลงตรงหน้า "ไม่ล่ะ ไม่งั้นคุณก็ไม่ได้พึ่งผมสิ"
     
              "รู้สึกดีมากเลยเหรอคะที่ฉันจะต้องขอความช่วยเหลือจากคุณ"
     
              "มาก"
     
              "ฉันไม่สมควรยุ่งกับคุณด้วยซ้ำ" ฉันถอนหายใจยาว
     
              "ทำไม แค่เพราะผมคือชอว์นเหรอ  มันไม่ได้หมายความว่าผมไม่ใช่มนุษย์ที่ต้องการเพื่อนนะ"
     
              มันไม่มีอะไรออกจากปากฉันอีก  สมองหวนนึกถึงความฝันเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว บัดนี้มันเริ่มเลอะเลือน แต่ภาพความทรงจำที่เกิดขึ้นจริงยังไม่หายไปไหน  ชายตัวสูง เส้นผมสีเข้ม การวิ่งหนี และเลือดกับเหงื่อ
     
              "คุณว่าสักวันผมจะต่างไปจากเดิมมั้ย" ชอว์นถามแทรกความคิด
     
              "หมายถึงอะไรคะ" ฉันก้มลงถามคนที่กำลังใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์
     
              "ตัวผม ถ้าเวลาผ่านไป คุณคิดว่าผมจะแย่กว่าเดิมเพราะหลงในแสงสีกับชื่อเสียงของตัวเองรึเปล่า"
     
              "ถ้าคุณจะเปลี่ยนก็คงเปลี่ยนนานแล้วค่ะ" ฉันตอบตามตรง "และตอนนี้คุณก็ดังแล้ว แต่คุณยังเหมือนเดิม ฉันเชื่อว่าต่อให้ผ่านไปอีกกี่ปีคุณก็จะยังเหมือนเดิม ถ้าไม่นับเรื่องความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น"
     
              "รู้นะว่ากำลังแอบว่ากันอ้อมๆ" ชอว์นเงยหน้าจากแผลที่ขาฉันแล้วยิ้ม เขาลุกขึ้นเมื่อแปะพลาสเตอร์ให้เสร็จ จากนั้นจึงเดินไปล้างมืออีกครั้ง
     
              ฉันค่อยๆลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พอดีกับที่ชอว์นหันมาสบตา  เห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้ม แต่ไม่เข้มมากเท่าแบรด  ทั้งคู่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง และฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเอาพวกเขามาเปรียบเทียบกันในเวลานี้   ยังจำวันแรกที่พบชอว์นได้  ความหยิ่งยโส เอาแต่ใจ กับใบหน้าไม่เป็นมิตรที่คอยแต่จะกันฉันออกไปนั้นทำให้ฉันพยายามมากกว่าเก่า จนกระทั่งเรามาถึงจุดนี้
     
              ชอว์นต้องผอมลง ฉันคิดเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ดูหลวมกว่าปกติ - คิดและเกือบจะพูดอย่างนั้น เมื่อเขาก้มหน้ามาจูบเบาๆที่ริมฝีปากกะทันหัน
     
              ในเวลานี้ความประหลาดใจกำลังทำให้ตัวแข็งทื่อ มือฉันจับอ่างล้างหน้าเพื่อทรงตัว แต่ไม่ได้ผลักเขาออกไป และนั่นต้องเป็นสัญญาณในความคิดของเขา  ชอว์นจึงเลื่อนมือขึ้นจับท้ายทอยแล้วจูบหนักหน่วงขึ้น ปากเขานุ่มกว่าปากของแบรด มือที่ประคองท้ายทอยอุ่นและนุ่มนวล
     
              ฉันหลับตา ปล่อยให้ใจงุนงงล่องลอยไปในความมืด ความร้อน และสัมผัสนิ้วที่เสยผมอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังแสบแก้วหูแทรกผ่านความงุนงง ฉันผงะคล้ายกับถูกผลัก  ชอว์นชะงักและรีบถอนริมฝีปากออก   เราจ้องหน้ากัน  รู้สึกใจคอปั่นป่วน คล้ายกับคนสองคนที่รู้สึกตัวว่าจู่ๆก็ถูกพาไปในสถานที่แปลกตาซึ่งไม่มีอะไรคุ้นเคย
     
             ชอว์นหลบสายตาไป เขาหยิบโทรศัพท์ที่กำลังดังอยู่ในกระเป๋ากางเกงแล้วกดรับ ปากเรียกชื่อผู้จัดการตัวเอง จากนั้นหันมาสบตากับฉันอีกครั้ง คล้ายกับกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็ทำแค่จับมือฉันเดินออกไปจากบ้านหลังนั้น
       
     
     
    Gabrielle aplin - Start of time
    Maybe we could be the start of something
      
              
    Talk
     
    เขาจูบกันแล้วแกรรรรรร หายอึดอัดรึยังรีดเดอร์55555
     
     
     
    (c) Chess theme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×