ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Opportunity | Marc Marquez FanFiction [END]

    ลำดับตอนที่ #17 : CHAPTER 17

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 823
      34
      12 เม.ย. 65


     
     
             มาร์คหลับตลอดทั้งวันที่เหลือ นานมากพอที่จะทำให้ลืมว่าผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้วที่อยู่ในบ้านของคนแปลกหน้า อาจไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่แปลกมากพอและรู้ดีว่าฉันไม่สมควรจะอยู่ในนี้
     
             เมื่อถึงช่วงเย็น เสียงประตูห้องและเสียงฝีเท้ากระทบพื้นบันไดก็เริ่มดังเป็นจังหวะเข้ามาในครัว ฉันละสายตาจากหม้อบนเตาไฟฟ้า หันหลังไปมองซุ้มประตูทางเข้าบานใหญ่
     
             มาร์คหยุดอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้าย เมื่อเงยหน้าและพบฉันที่ยืนโบกทัพพีอยู่ในครัว เขาก็ชะงัก ดูประหลาดใจ หรืออาจตกใจ ตอนนี้เขาไม่มีสภาพที่ใกล้เคียงกับตอนปรากฏตัวสู่สื่อมวลชนแม้แต่น้อย เส้นผมยุ่งไม่เป็นทรง ใบหน้าดูงัวเงีย และมันเป็นความผิดพลาดนิดหน่อยที่มองว่าน่ารัก
     
             "อรุณสวัสดิ์ค่ะ" ฉันทักเมื่อเขาเดินเข้ามาและปล่อยมือทั้งสองลงบนเคาน์เตอร์กลางห้อง "ตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้ว ถ้าคุณอยากรู้ว่านอนไปกี่ชั่วโมง"
     
             "คุณกำลังทำอะไร" เขาถามเสียงแหบและดูลังเลเล็กน้อย
     
             ฉันเปิดหน้าต่างบานใหญ่เพื่อถ่ายเทอากาศแล้วเดินไปวางถ้วยซุปตรงหน้าของเขา "ลองชิมค่ะ"
     
             มาร์คก้มลงมองถ้วย "มันคืออะไร"
     
             "ชีสเบอร์เกอร์" เขารีบเงยหน้ามองฉันที่กำลังกลอกตา "มันคือซุปไก่ใส่มักกะโรนี แบบโฮมเมด"
     
             "ผมไม่รู้ว่าอะไรน่าแปลกใจกว่ากัน การที่คุณใจกว้างพอจะช่วยเหลือผมหรือการที่คุณทำอาหารเป็น" เขาหยิบช้อนจากลิ้นชักเคาน์เตอร์
     
             "คุณดูแปลกใจ" ฉันวางถ้วยตัวเองลงตรงข้าม เฝ้ามองชายหนุ่มที่เลื่อนเก้าอี้เคาน์เตอร์ออกและนั่งลงกินพร้อมยักไหล่ตอบกลับมา "ย่าของฉันเป็นคนสอนทำอาหาร เธอสอนได้ดี อาจจะดีกว่าแม่แท้ๆของฉัน"
     
             "หมายความคุณไม่สนิทกับแม่" เขาตีความด้วยคิ้วที่เลิกขึ้นเพราะความสงสัย
     
             "เราสนิทกัน แต่ในตอนนั้นแม่เป็นผู้หญิงทำงาน เธอยุ่งเกินกว่าจะสอนฉันทำอาหารหรือนั่งฟังปัญหาวัยรุ่น"
      
             มาร์คหยุดและไตร่ตรองมองหน้า มันเป็นเวลานานพอที่จะทำให้คนถูกจ้องเริ่มอึดอัด จนกระทั่งเขาละสายตาไปเพราะนกที่ส่งเสียงร้องอยู่ในสวนหลังบ้านรบกวน ฉันซ่อนรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าซุปในถ้วยของเขาหมดลงไปครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับครั้งสุดท้ายที่เห็น
     
            "เอาอีกมั้ยคะ" ฉันถามในตอนที่เขาวางช้อนลงในถ้วยเปล่าและใช้ทิชชู่เช็ดปาก
     
            "อิ่มแล้วล่ะ ขอบคุณ มันอร่อยมาก"
      
            "แล้วจะทำอะไรต่อคะ" ฉันหยิบถ้วยไปวางในเครื่องล้างจาน "คุณจะกลับไปนอนต่อรึเปล่า"
     
            "โอ้ ไม่มีทาง ผมรู้สึกเหมือนนอนหลับไปมากกว่าสองวันด้วยซ้ำ"
     
            "ก็เกือบจะเกินหนึ่งวัน" ฉันเบ้หน้า ตัดสินใจยังไม่แตะซุปในถ้วยจนกว่าจะรู้ว่าสิ่งต่อไปที่คนป่วยอยากทำคืออะไร "แล้วคุณอยากทำอะไรต่อ"
     
            "ผมจะออกไปข้างนอก" เขาพูดรวดเร็วพอๆกับตอนที่เดินกลับไปตรงประตูทางเข้าครัว
     
            "แต่คุณไม่สบาย"
     
            "คลุกอยู่แต่ในบ้านก็ไม่ได้ทำให้ผมสดชื่นหรือรู้สึกดีขึ้นเหมือนกัน"
     
            "แต่มันเย็นแล้ว ฟ้ามืดอาจมีน้ำค้าง" ฉันวิ่งไปกันทางเดินของนักแข่ง ซึ่งสภาพในตอนนี้ไม่มีความใกล้เคียงกับทุกครั้งที่เห็นนัก รวมถึงเสียงถอนหายใจที่เขาทำใส่ฉันในตอนนี้ก็เป็นเรื่องใหม่เช่นกัน
     
            "ผมสบายดี ผมเป็นนักกีฬา เลน่า ผมไม่เป็นไข้หรือไม่สบายบ่อยๆ ดังนั้นอีกวันสองวันก็อาจจะหายแล้ว" เขาจับไหล่ฉันบีบเบาๆขณะที่พูด
     
            ในตอนที่ฉันมองเขาเดินขึ้นบันไดสู่ชั้นสอง ฉันตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้จะขึ้นไปนอนต่อ แน่นอนคนอย่างมาร์ค มาร์เกซไม่เชื่อฟังอะไรง่ายๆ สิ่งเดียวที่เขาจะทำคือการกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวออกนอกบ้านในเวลาห้าโมงเกือบหกโมงเย็น ทั้งๆที่ยังไม่สบายดี
     
            เมื่อเขาเดินลงมาอีกครั้ง กลิ่นสบู่กับโคโลญจ์จางๆก็ส่งกลิ่นทั่วชั้นล่าง เขาเหลือบตามองฉันที่ลุกขึ้นจากโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วเดินตามเขาไปที่ประตูใหญ่ทางเข้าบ้าน
     
            ปกติแล้วฉันเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรยาก และบางครั้งออกจะใช้เวลานานเกินความจำเป็น แต่ครั้งนี้ไม่ได้ลังเลหรือไม่มั่นใจอย่างทุกครั้ง ฉันตามมาร์คออกมาจากบ้าน หยุดอยู่ที่หน้ารถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีดำ
     
            เขาเดินลงจากบันไดเตี้ยหน้าบ้านพร้อมกุญแจที่ควงอยู่ในมือ "เท่าที่จำได้คุณยังปั่นจักรยานไม่คล่อง ดังนั้นผมจะไม่ให้คุณขับเธอ"
     
            "เธอ?" ฉันมองไปที่รถมอเตอร์ไซค์ข้างหลัง
     
            "ใช่ รถทุกคันเป็นผู้หญิง"
     
            "เพราะพวกมันสวย มีประโยชน์ และทำงานหนักใช่มั้ย"
     
            มาร์คเลื่อนสายตาขึ้นลงมองฉัน มันเป็นการสำรวจที่รวดเร็ว แต่ทำให้ตัวร้อนวาบ "เพราะเมื่อผู้ชายเห็นรถที่พวกเขาชอบ สิ่งเดียวที่พวกเขาคิดคืออยากลองพาเธอไปขับรถเล่น อยากถนุถนอมเธอต่างหาก"
     
            ฉันพยักหน้า เคลียร์เสียงในลำคอด้วยการกระแอมไอเบาๆ "งั้นมันก็คงไม่มีปัญหาอะไรถ้าเธอจะให้ฉันนั่งไปกับคุณด้วย"
     
            คราวนี้มาร์คขมวดคิ้ว เขามีรอยยิ้มมุมปากเล็กๆและไม่ได้ปฏิเสธ ดูดีกว่าเมื่อเช้านี้ที่หมดสภาพและพยายามอย่างสูงในการลืมตาหรือขยับตัว
     
            ผมต้องการคุณ
     
           ฉันสงสัยว่าเขาจำประโยคนั้นได้หรือไม่ หรือมันเป็นเพียงบางอย่างที่ถูกพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งมันจะเป็นสถานการณ์ที่ประหลาดไม่น้อยหากเขาลืมมันเสียสนิทและตื่นขึ้นมาพบว่าฉันยังอยู่ในบ้าน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มาร์คเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เขาก่ายขาขึ้นบนรถมอเตอร์ไซค์ ไม่นานจึงตัดสินใจโยนหมวกกันน็อคใบหนึ่งให้
     
      

     
     
             หรือมันอาจเป็นความผิดพลาดในการนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ที่มาร์ค มาร์เกซขับ ฉันน่าจะรู้ว่านักแข่งรถไม่เคยคิดอยากชะลอความเร็วแม้สัญญาณไฟจะกลายเป็นสีเหลือง การโดนใบสั่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเขากลัว รวมถึงคนอย่างมาร์คที่แซงอย่างหวาดเสียวในการแข่งขันบนสนาม
     
             อีกเรื่องที่ผิดพลาดคือการที่เขาจอดรถหน้าคลับมีชื่อเสียงในบาร์เซโลน่า ที่ที่เหล่าคนดังในอเมริกามักปรากฏตัวในค่ำคืนที่พวกเขามาท่องเที่ยวในสเปน คลับที่ฉันเคยส่งเนลสันมาเพื่อเก็บภาพบียอนเซ่กับเจย์ซีที่กำลังรีบกลับขึ้นรถเพราะบลู ไอวีย์ ลูกสาวตัวน้อยของพวกเขากำลังร้องไห้
     
             ฉันไม่เคยเข้าคลับนี้ และไม่คิดอยากเข้า การใช้เวลาผ่อนคลายอย่างน้อยก็ไม่ใช่การดื่มแอลกอฮอล์ในคลับ รวมถึงไม่มีโปรไฟล์หรือเงินมากพอที่จะส่งตัวเองเข้าไปในนั้นได้
     
             "อย่าคิดแบบนั้นนะ"
     
             คนตรงหน้าบนรถพูดเมื่อเขาถอดหมวกกันน็อคออก แม้ฉันจะยังไม่ได้ถอดหมวก แต่หน้าปัดที่ถูกเปิดออกทำให้มาร์คเห็นว่ามีสีหน้าค่อนไปทางไหนในขณะมองไปทางป้ายไฟนีออนขนาดใหญ่ของคลับฝั่งตรงข้าม
     
            "คิดอะไรคะ" ฉันถอดหมวกกันน็อคตาม กำลังคิดว่าควรจะปล่อยให้คนไม่สบายเดินเข้าไปแพร่เชื้อในคลับหรือจะห้ามและพาไปนั่งจิบชาในสวนสาธารณะแทน
     
            มาร์ควางหมวกของตัวเองลงบนเบาะที่นั่งตรงหน้า "ผมไม่ใช่คนชอบเข้าคลับ แต่วันนี้เป็นวันเกิดเพื่อนของผม เขาอยู่ที่นี่ และผมสัญญาว่าจะมา"
     
            ฉันก้มลงมองหน้าปัดหมวกที่พึ่งถอดออก ตัดสินใจให้ความสนใจกับการปัดฝุ่นบริเวณนั้นเพื่อหลบหลีกสายตา "ฉันเปล่าคิดอะไรทั้งนั้น"
     
            "โอ้ เหรอ" เขาเอียงตัวเพื่อพยายามมองหน้าฉัน ครู่หนึ่งดูเหมือนต้องการควักเอาความจริง แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วเริ่มเสยเส้นผมยุ่งๆของตัวเอง "ยังไงก็ตาม ผมจะเข้าไป ส่วนคุณจะเข้าหรือไม่เข้ามันก็เป็นสิทธิ์ของคุณ"
     
            "ฉันจะรออยู่แถวนี้ค่ะ" ฉันกอดอก ยังไม่ลงจากรถขณะจ้องมองไปที่บันไดสูงชันฝั่งตรงข้าม ผู้หญิงสวมกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดเดินเข้าคลับเป็นอะไรที่แปลกตามากกว่าผู้ชายที่สวมในสิ่งเดียวกัน และฉันไม่คิดว่าอยากเข้าไปยืนใกล้สาวๆที่แต่งตัวสวยในนั้น
     
            มาร์คดูประหลาดใจในสิ่งที่ได้ยิน แต่เขาทำเพียงแค่พยักหน้ารับแล้วส่งยิ้มลังเลให้ ชายหนุ่มรีบวิ่งข้ามถนนไปพร้อมกลุ่มคนอื่นๆที่มีจุดหมายเดียวกัน
     
            ในขณะที่จ้องมองร่างนักแข่งเล็กลงเรื่อยๆยามที่เขาวิ่งขึ้นบันได ฉันเริ่มลังเลว่าควรจะนั่งอยู่ตรงนี้หรือเดินเล่นฆ่าเวลา สุดท้ายค้นพบว่าเรื่องอื่นดูจะไม่สำคัญอีก เพราะสายตายังจดจ้องไปที่คนคนเดิมบนบันไดข้างหน้า
     
            ฉันตัดสินใจว่าชายอายุยี่สิบสามจะดูแลตัวเองได้ภายในคลับอย่างที่เขาทำทุกครั้ง จึงพยายามละความเป็นกังวลแล้วลุกขึ้น มีบางอย่างตกลงจากเบาะพร้อมกันบนพื้นลานจอดรถ ฉันก้มลงมองเห็นกระเป๋าตังค์ใบเล็กสีดำตกอยู่ปลายเท้า

            เขาลืมกระเป๋าตังค์ไว้ หรือบางทีมันอาจอยู่ในกระเป๋าแจ็คเก็ตหนังที่เขาพึ่งถอดและทิ้งมันไว้ที่รถมาตลอด
     
            มาร์คอาจกลับมาเอาในเร็วๆนี้ หรืออาจไม่ และเขาอาจกลายเป็นนักแข่งที่ซดแอลกอฮอล์มากกว่าห้าแก้วแต่ไม่มีเงินจ่าย หรือแม้แต่ไม่มีบัตรประชาชนเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งนั่นอาจกลายเป็นข่าวงี่เง่าที่สื่อตัดสินใจเอาลงในวันพรุ่งนี้เช้า  ฉันไม่แน่ใจว่าทำไมเรื่องนั้นถึงกำลังกวนใจ แต่มันมากพอจะทำให้หันกลับไปมองคลับอย่างลังเล
     
            'เธอกำลังจะทำอะไรบ้าๆ'
     
            เสียงในสมองพูดเสียงดังหลังจากเสียบกระเป๋าตังค์เข้าแจ็คเก็ตแล้วมุ่งหน้าไปที่คลับฝั่งตรงข้ามถนน
     
     

     
     
            อาจเพราะกระเป๋าตังค์ของมาร์คหรือเพราะคืนนี้คลับวุ่นวายมากพอจะทำให้การ์ดหน้าทางเข้าหัวเสียและไม่มีสมาธิจะสนอะไรรอบข้างนัก มันจึงทำให้ฉันเข้ามาได้และไม่โดนลากออกไป
     
            มีเสียงร้องเพลงวันเกิดดังลั่นในคลับ ไฟนีออนสีม่วงสว่างวาบพร้อมสปอร์ตไลต์อ่อนๆส่องไปทางชายหนุ่มคนหนึ่งบนโต๊ะที่มีเค้กขนาดใหญ่วางไว้ เขากำลังเป่าเทียนบนเค้กเมื่อเสียงร้องเพลงจบลง ผู้คนร้องดีใจปรบมือ แฟลชจากกล้องมือถือมากมายกำลังถ่ายรูปและอัดวิดีโอ
     
            มันเป็นครั้งแรกที่ฉันขอบคุณความสูงร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรท่ามกลางมนุษย์คนอื่นๆที่สูงกว่า เพราะเข้ามาถึงริมวงได้ในเวลาสั้นๆ เมื่อมีอากาศหายใจจึงหยุดและเขย่งเท้ามองหาเจ้าของกระเป๋า ตระหนักได้ว่าสิ่งที่กำลังทำอาจไม่คุ้ม แต่มันสายไปแล้ว
     
            ร่างร่างหนึ่งเคลื่อนตัวออกจากกลุ่ม เพราะเสื้อยืดสีขาวที่เขาสวมดูคุ้นตาจึงมองตามและพบว่าเป็นคนที่กำลังตามหา หญิงสาวผมสีน้ำตาลอีกคนกำลังเดินตามไป ตากลมโตของเธอระบายด้วยอายแชโดว์แบบสโมกกี้อายส์กับชุดที่มีสีเข้ากัน
     
           มาร์คคุยอยู่กับสาวสโมกกี้อายส์ หรืออาจเป็นแค่เธอที่กำลังพูด และเขากำลังฟัง ซึ่งในระหว่างทางฉันจำใบหน้าของเธอได้และรู้ว่าเป็นแฟนเก่าของมาร์คที่กำลังใช้มือจับไหล่เขาอยู่ มันเป็นเพราะเสียงหัวเราะเล็กๆนั้นที่ทำให้ฉันเดินช้าลงและลืมสโมกกี้อายส์บนเปลือกตาของเธอไป
     
           และอาจเพราะดวงตากว้างขวางของมาร์คที่ใช้ในการแข่งขัน ทำให้เขามองเห็นฉันที่ยืนอยู่ใกล้เคียงในฝูงคน "เลน่า" เขาเริ่มทักอย่างประหลาดใจพร้อมส่งยิ้ม - เราทุกคนต่างรู้ดีว่านั่นไม่ใช่ยิ้มที่ดูสบายใจเท่าไหร่ในสถานการณ์นี้
     
           "คุณลืมกระเป๋าตังค์ไว้" ฉันจ้องมองระหว่างมาร์คกับหญิงสาวที่กำลังมองมา พยายามที่จะไม่เซไปข้างหน้าเพราะแรงผลักของคนเมาที่กำลังเต้นเสียสติอยู่ข้างหลังตัว
     
           ชายหนุ่มเลื่อนสายตาลงมองมือของฉันที่มีกระเป๋า เขาหยุดนิ่งชั่วครู่แล้วอ้าแขนข้างหนึ่งเพื่อดันฉันให้เข้าไปร่วมวงของความกระอักกระอ่วนนี้ "ขอบคุณ และเลน่า นี่คือลาเอีย"
     
           ฉันรู้ดีว่าเธอเป็นใคร ฉันคงไม่ได้เป็นนักข่าวถ้าความอยากรู้อยากเห็นเท่ากับศูนย์ และประวัติการค้นหาหัวข้อ Marc Marquez's girlfriend ยังค้างอยู่ที่ไหนสักแห่งในแล็ปท็อปของฉัน แต่ในตอนนี้ฉันยืนนิ่ง สงสัยว่าทำไมถึงจำชื่อเธอเป็นฟลาเวีย หรือแม้แต่อเลสซานเดรีย
     
           ลาเอียมองฉันเหมือนเธอกำลังพยายามจะสร้างสีหน้าประหลาดใจ "โอ้" เธอร้องในตอนที่ยื่นมือข้างหนึ่งมาหา "ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"
     
           ฉันพยักหน้าแล้วจับมือตอบ อยากจะออกไปจากคลับนี้และสายตาที่เธอกำลังใช้มองมา ซึ่งมาร์คควรจะหยิบกระเป๋าตังค์ไปได้แล้ว แต่เขายังปล่อยให้มันค้างอยู่ในมือของฉัน
     
           "ไม่คิดว่าจะได้เจอเธอที่นี่" มาร์คหันไปพูดกับลาเอีย
     
           เธอหัวเราะ เสียงหวานสดใสขัดกับเพลงอีดีเอ็มในคลับ "ฉันไม่ได้อยากจะรบกวน แต่คิดว่านี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะได้ทักทาย" เธอพูด "ไม่ได้เจอกันนานเลย นายดูดีนะมาร์ค"
     
           น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อยในประโยคหลัง  คิดได้ว่าแม้กระทั่งการกลืนน้ำลายในตอนนี้ก็ทำให้อึดอัด แน่นอนว่าฉันไม่ได้ความจำสั้นมากพอจะลืมเรื่องที่จูเลียและอเล็กซ์เคยพูดถึงเธอเมื่อตอนให้สัมภาษณ์ อย่างน้อยในฐานะเพื่อนร่วมงาน - หรือเพื่อนข้างบ้าน ฉันจะไม่ปล่อยให้มาร์คต้องเผชิญกับความกังวลที่เขาไม่ต้องการพบเจอ รอยยิ้มแห้งๆที่ไม่จริงใจนั้นมากพอจะทำให้ฉันเข้าใจ แต่น่าเสียดายที่ลาเอียไม่สังเกตุ
     
           "เราไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ฉันเคยได้ยินเรื่องของคุณ"
     
           รอยยิ้มของลาเอียหุบลงเล็กน้อยขณะหันมาทางฉัน "โอ้ แล้วคุณเป็นใครคะ"
     
           "เพื่อนค่ะ" ข้อเท็จจริงนี้ทำให้เสียเปรียบ แต่ฉันไม่ได้เปิดโอกาสให้เธอไตร่ตรอง "ฉันกับมาร์คพึ่งจะคุยกันเมื่อวันก่อนเกี่ยวกับคุณ เขาจำมันได้ดีในสิ่งที่คุณเคยพูด ว่าไงนะคะ คุณจำได้รึเปล่า ตอนที่คุณบอกว่าเขาน่าเบื่อใช่มั้ย แต่ฉันคิดว่าหลังจากที่เขาอยู่ในโมโตจีพีและได้แชมป์ มันค่อนข้างห่างไกลจากคำคำนั้น"
     
           ฉันขยับเข้าใกล้มาร์ค มันทำให้เขารีบก้มลงมองฉัน "ก็ไม่ขนาดนั้น แต่ทุกอย่างได้มาเพราะความกล้าเสี่ยง" เขาพูดต่อ
     
            "ถูกต้องเลย ฉันคิดว่า skydiving ก็บ้ามากพอแล้ว"
     
            ลาเอียกระพริบตา แล้วฉันก็เห็นว่าสโมกกี้อายส์ของเธอสีเข้มขนาดไหน "skydiving เหรอ  มาร์ค ฉันคิดว่านายกลัวความสูง"
     
            เขายักไหล่ "เผชิญหน้ากับความกลัว นั่นก็เรียกว่ากล้าเสี่ยง"
     
            "ฉันไม่รู้จริงๆว่าคุณจัดการกับเขายังไง" ฉันหัวเราะ "มันยากที่จะปฏิเสธเขา และเขาดื้อนิดหน่อยโดยเฉพาะก่อนเริ่มการแข่ง เขาชอบมีกิจกรรมกับทีมแปลกๆทุกอาทิตย์ แล้วฉันก็ได้มีโอกาสร่วมด้วย"
     
            มาร์คเริ่มหัวเราะร่า ฉันฝืนกลั้นการกระทำและสีหน้าให้เป็นปกติในตอนที่เขาขยับตัวแล้วแขนของเราสัมผัสกัน เพราะลาเอียยังคงจ้องมองมาที่เราสองคน ริมฝีปากเธอยังค้างเป็นรอยยิ้ม
     
            "พระเจ้า ฉันนี่ช่างหยาบคาบ พูดถึงแต่เรื่องไร้สาระอยู่นั่น คุณมางานวันเกิดเหมือนกันเหรอคะ" ฉันถามต่อ
     
            "ใช่ค่ะ" เธอตอบ ความมั่นใจระบายบนใบหน้าอีกครั้ง "ฉันมากับแอรอน คาร์เตอร์ คุณรู้จักเขารึเปล่าคะ ฉันคิดว่าสมัยนี้ไม่ค่อยมีคนรู้จักเขาในฐานะนักร้องที่มีชื่อเสียงในอดีต"
     
            "แอรอน คาร์เตอร์ เขาก็ขับรถมอเตอร์ไซค์เหมือนกันใช่มั้ยคะ ฉันจำได้ว่าเคยมีรูปที่เขาขับรถหนีปาปารัสซี่ในย่านบรองซ์ที่นิวยอร์ก มีคนเห็นว่าเขากำลังซื้อบางอย่างแบบลับๆ เขาเกือบประสบอุบัติเหตุด้วยรึเปล่า"
     
            "ใช่ค่ะ ขอบคุณพระเจ้าที่เขาไม่เป็นไร" เธอใช้มือข้างหนึ่งทาบหน้าอกแล้วเป่าปากเบาๆ
     
            "ค่ะ ฉันหมายถึงคุณคงไม่มีทางเรียกเขาว่าน่าเบื่อได้ และฉันคิดว่าการที่เขาถูกตำรวจเรียกในข้อหาหลายๆเรื่องคงเป็นอะไรที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นดี อย่างน้อยเขาก็ดูน่าสนใจ"
     
            ริมฝีปากของลาเอียเม้มติดกัน ครู่หนึ่งฉันสงสัยว่ากำลังพาตัวเองมาเจอกับอะไร เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ปัญหาของฉัน แต่เพราะเธอเป็นเหตุผลที่ทำให้มาร์คมีอดีตไม่น่าจดจำและส่งผลถึงอาชีพ ฉันรู้ว่าถ้าหากเป็นอเล็กซ์เขาอาจทำมากกว่านี้ และการพบสิ่งไม่ยุติธรรมทำให้รู้สึกอึดอัดเสมอ
     
            "เขาน่าสนใจค่ะ ขอบคุณที่เตือน ฉันคิดว่าฉันควรจะกลับไปหาเขา"
     
            เสียงปล่อยลมหายใจโล่งอกดังจากมาร์คเบาๆ มันดังลอดผ่านเสียงเพลงในคลับอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ฉันไม่ได้มองว่ามาร์คมีสีหน้าอย่างไร แต่ยิ้มให้ลาเอียตามมารยาท "ขอให้สนุกค่ะ"
     
            "คุณเช่นกัน" เธอตอบโดยที่ไม่มองหน้าและหันหลังเดินจากไปที่ไหนสักแห่งในกลุ่มคนอัดแน่น
     
            ชั่ววินาทีที่เธอหายลับไป ฉันรู้สึกอยากอาเจียน หรืออาจต้องการวอดก้าขวดใหญ่ๆยกขึ้นซดในตอนนี้ มือเผลอจับแขนของมาร์ค สายตาก้มลงมองเท้าและเงาตัวเองบนพื้นกระเบื้องสีดำ "ให้ตายเถอะ ฉันทำอะไรลงไป ฉันขอโทษ ฉันไม่ควร--"
     
            มือใหญ่สองข้างของคนตรงหน้ารีบประคองแขนไว้ มาร์คยกตัวให้ฉันยืดตัวตรงและเงยหน้าสบตาเขา "ไม่ต้องขอโทษ ผมคิดมาเสมอว่ามันจะเป็นยังไงถ้าได้พบเธออีกครั้ง และไม่มีครั้งไหนที่ดูเพอร์เฟ็คเท่าเมื่อกี้นี้มาก่อน"
     
            เพราะรอยยิ้มกว้างกับเสียงหัวเราะของมาร์คทำให้รู้สึกโล่งอก แต่ยังคงยิ้มไม่ออก "เธอสมควรโดนบ้าง แต่ฉันไม่เคยพูดเหน็บแนมแบบนั้นมาก่อน ฉันบอกแล้วว่าปากฉันไว้ใจไม่ได้ถ้าอยู่ในที่สาธารณะ"
     
            "ผมคิดว่าผมชอบปากของคุณ"
     
            ความเงียบคั่นกลางเราทันทีที่เขาพูดจบ ฉันเห็นมาร์คม้มริมฝีปากตัวเอง ในขณะที่ฉันอ้าปากค้าง เราต่างรู้ว่าเขาไม่ได้หมายความตรงตัว แต่มันมากพอที่จะทำให้เราทั้งคู่ไปต่อไม่ได้
     
            "หมายถึง - คุณทำให้มันง่ายขึ้น" เขาสอดสองมือเข้ากระเป๋ากางเกงพลางยักไหล่ "ผมจะไม่ถามว่าทำไมคุณถึงรู้เรื่องของเธอ เดาว่าอเล็กซ์คงเผลอหลุดปากอย่างทุกครั้ง ยังไงก็ตาม ขอบคุณที่มาหาผมในนี้ เลน่า"
     
            "ฉันแค่ตั้งใจจะเอากระเป๋าตังค์มาให้" ฉันโบกกระเป๋าตังค์แล้วยื่นให้เขาอีกรอบ "แต่ยินดีช่วยค่ะ"
     
            แล้วเราก็เงียบอีกครั้ง ในตอนที่มาร์คหยิบกระเป๋าคืน เขามองไปรอบๆและโบกมือให้เจ้าของวันเกิดที่ตะโกนส่งเสียงมีความสุขอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ ดีเจกำลังเปลี่ยนแนวเพลงเป็นอีดีเอ็มที่ช้าลง Kygo จึงเป็นตัวเลือกแรกของพวกเขา กลุ่มควันบุหรี่ลอยคลุ้งกลางอากาศกับคนเมาที่เดินเซมาชนไหล่ของฉัน
     
            "เราน่าจะไปที่อื่นต่อ"
     
            ฉันไม่รู้ว่ามาร์คกำลังพูดกับใคร แต่เขาเริ่มอ้าแขนข้างหนึ่งออกแล้วแตะแผ่นหลังเบาๆเพื่อดันให้ฉันเดินไปตามทาง  ขอบคุณในมารยาทที่จูเลียสอนลูกชาย เพราะฉันไม่ต้องการให้ใครมาจับแขนลากไปที่ไหนอีกหลังจากอยู่ในคลับและโดนลากดึงหลายสิบครั้ง
     
            ไม่นานนักเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าแจ็คเก็ตก็แผดดังลั่นเมื่อเราออกสู่คลับและเริ่มเดินลงบันได มาร์คเหลือบสายตามองในตอนที่ฉันประหลาดใจกับสิ่งที่เห็นในหน้าจอ
     
            อลิสัน เพียรซ ไม่เคยโทรหาฉันอีกหลังจากคืนบนเรือโดยสารที่บรูคลิน และมันไม่มีสาเหตุอะไรที่ฉันคิดอยากจะติดต่อเธออีก ทว่าจนถึงทุกวันนี้ฉันยังไม่เคยกลั้นใจแล้วกดลบเบอร์มือถือของเธอทิ้งได้
     
            "คุณจะรับสายมั้ย" เขาตัดสินใจถามขึ้น
     
            "ยังค่ะ"
     
            รอยยิ้มบ้าบิ่นฉายวาบขึ้นในตอนที่ฉันหันไปมองมาร์คที่เดินนำลงบันไดอยู่ข้างหน้า ไม่ทันที่จะได้คิดหรือทำอะไรได้ทัน ฝ่ามือใหญ่ของเขาก็คว้าโทรศัพท์ไปแล้วลากปุ่มสีเขียวบนหน้าจอ "Hello?"
     
            "ไม่ ไม่ ไม่ เอามือถือของฉันคืนมานะ" ฉันร้องลั่น รีบกระโดดลงบันไดด้วยขาสั้นๆเพื่อวิ่งตามชายหนุ่มที่กำลังแนบหูกับโทรศัพท์ เขารีบก่ายมือขึ้นป้องกันฉันที่วิ่งตามอยู่ข้างหลัง
     
            "ใช่ครับ ผมเป็นเพื่อนของเลน่า" เขาตอบ แล้วจึงหยุดฟัง "ถูกต้อง คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นใคร" เขาหยุดอีกครั้ง ไม่ว่าคนปลายสายจะพูดอะไร เห็นได้ชัดว่ามันทำให้มาร์คยิ้มกว้างแล้วมองมาทางฉัน "ขอบคุณครับ ไม่คิดว่าคุณจะเป็นแฟนคลับ" อีกครั้งที่เขาหยุดฟัง "เลน่าเคยพูดถึงคุณอยู่ - ใช่ เธอบอกผมนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องที่คุณแย่งแฟนของเธอและตอนนี้พวกคุณสองคนกำลังจะแต่งงานกัน ความสัมพันธ์ของพวกคุณดำเนินไปได้ยังไงล่ะ"
     
            "มาร์ค หยุดนะ ไม่"  มันจะต้องไม่เป็นแบบนั้น ตลอดเวลาสามปีที่ไม่ได้คุยกับอลิสันจะต้องไม่เริ่มต้นแบบที่กำลังเป็นอยู่ ฉันรีบกระโดดข้ามขั้นบันได แปลกใจเสี้ยววินาทีหนึ่งที่ไม่สะดุดล้ม มือเอื้อมไปทางโทรศัพท์ที่แนบหูมาร์ค แต่กลับไปโดนคนแปลกหน้าที่เดินผ่านมาตรงริมทางเท้าแทน "ฉันจัดการเองได้ มันไม่ใช่เรื่องของคุณ"
     
            ด้วยประโยคนั้น มาร์คจึงหันมาเลิกคิ้วใส่ - แน่นอน สิ่งที่ฉันพึ่งทำในคลับก็ไม่ใช่เรื่องของฉันเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ฉันกำลังโดนย้อนถากถางด้วยสายตาที่เขาใช้มองมา  มาร์คถอยหลังหนีต่อ แต่หลังจากนั้นใบหน้าของเขาก็เริ่มจริงจังกว่าเดิม คิ้วและริมฝีปากขยับสร้างใบหน้าไม่พอใจ  ไม่ว่าตอนนี้เขาจะได้ยินอะไร มันกำลังทำให้เขาเริ่มหัวเสีย
     
            "ผมไม่คิดแบบนั้น ประเด็นก็คือ" มาร์คปล่อยโทรศัพท์ออกจากหู จ้องมองตัวหนังสือในจอ "อลิสัน - ไม่ว่าเรื่องจะเป็นยังไง มันไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าคุณแย่งผู้ชายของเพื่อนคุณ ถ้าคุณไม่ได้คิดจะโทรมาขอโทษเธอ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีเรื่องอะไรให้คุยอีก ผมไม่สนเรื่องรักแท้หรือรักไม่แท้อะไรทั้งนั้น คุณทำผิด"
     
            ความผิดหวังที่ฝังกลบลึกถูกขุดขึ้นมาใหม่ในตอนที่ฉันนึกถึงอดีตอีกครั้ง  ไม่ว่าที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร ทั้งหมดที่ฉันจำได้คือคอนราด หรืออลิสัน ไม่มีใครคิดอยากจะยอมรับผิด ฉันโทษตัวเองในอารมณ์แปรปรวนและความไม่ใส่ใจ ทว่าหลังจากได้ยินที่มาร์คพูด ฉันเริ่มคิดว่าอาจไม่ได้ผิดไปทุกเรื่อง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเรื่องนี้
     
            "พอเถอะค่ะ" ฉันเดินไปหาเขา
     
            "ใช่ครับ ผมคิดว่าผมคงเป็นผู้ปกป้องเลน่า หรือบางทีผมแค่อาจเป็นคนที่เตรียมพร้อมสำหรับบทสนทนางี่เง่าไร้สาระอย่างในสถานการณ์นี้"
     
            "เอามือถือฉันมา" ฉันพยายามกระโดดคว้า "เอามานะ"
     
            มาร์คยังคงไม่สนใจฉันในตอนที่เราข้ามถนนโล่งๆกลับมาที่ลานจอดรถ
     
            "มาร์ค มาร์เกซ!" ฉันวิ่งตามไปที่รถ เมื่อเขาใช้มือข้างหนึ่งเสียบกุญแจจึงได้โอกาสขยับเข้าไปแล้วจับแขนข้างที่อีกฝ่ายถือโทรศัพท์ไว้  ความวุ่นวายระหว่างเรายุ่งเหยิงขึ้นทีละนิด
     
            ฉันพยายามต่อต้านความแข็งแรงเกินคาดจากแขนเพียงข้างเดียวของมาร์ค "คุณต้องล้อผมเล่นแน่" เขาพูดกับคนปลายสาย เสียงดังขึ้นกว่าเก่า "อะไรบนโลกที่ทำให้คุณคิดว่าเลน่าจะสามารถเป็นเพื่อนเจ้าสาวของคุณได้ในขณะที่คุณแต่งงานกับแฟนเก่าของเธอ"
     
            "เธออยากให้ฉันเป็นอะไรนะ" ฉันถาม ไม่ได้ซ่อนความสับสนและประหลาดใจ ฉันอาจได้ยินที่มาร์คพูดผิดไป
     
            อลิสันไม่มีทางให้ฉันเป็นเพื่อนเจ้าสาว ไม่มีทางให้ฉันยืนมองเธอเดินไปหาคอนราดกลางโบสถ์  มันพร้อมๆกับตอนที่มาร์คตัดสินใจพูดว่า "ไม่มีทาง"
     
            "You god damn thoughtless, insensitive, spoiled, f*cking cow!" ฉันกระโดดเขย่งเท้า จงใจตะโกนให้เสียงดังมากพอที่อลิสัน เพื่อนสุดที่รักของฉันจะได้ยินมัน
     
            มาร์คทำสีหน้าบิดเบี้ยวใส่ เขารู้ว่าฉันไม่ได้กำลังต่อว่าอะไรเขา แต่เป็นคนที่อยู่ปลายสาย ไม่นานก็ตัดสินใจยื่นโทรศัพท์คืนให้อย่างง่ายดาย
     
            "เธอหวังจะให้ฉันเป็นเพื่อนเจ้าสาวจริงๆเหรอ จริงจังใช่มั้ย" ฉันยกโทรศัพท์แนบหู "ฉันเลิกติดต่อกับพวกเธอเพราะไม่ต้องการให้มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราอีก แต่เธอกลับมาขอให้ฉันเป็นเพื่อนเจ้าสาวในวันแต่งงาน เธอสมควรจะเป็นเพื่อนรักของฉัน นั่นไม่มีความหมายอะไรเลยใช่มั้ย"
     
             "เลน่า" อลิสันเรียก น้ำเสียงดูประหลาดใจ "มัน..."
     
             "เธอไม่เคยแม้แต่จะพูดว่าขอโทษ - พระเจ้า อลิสัน ถ้าเธอแค่ยอมรับว่าเธอทำผิด ฉันก็คงจะให้อภัยและไม่รู้สึกอะไรอีกกับเรื่องที่ผ่านมา"
     
             มือของมาร์คเข้ามาจับมือฉันไว้กระทันหัน เขายืนพิงรถมอเตอร์ไซค์ จ้องมองมาด้วยสีหน้าเห็นใจปนรู้สึกผิด
     
             "ฉัน...ฉันรักเขา" เธอพูด และฉันเคยคิดว่าการได้ยินประโยคนี้จากเธอจะทำให้รู้สึกสะเทือนใจ แต่มันตรงกันข้าม ฉันไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
     
             "ใช่ ฉันก็เคยรักเขาเหมือนกัน และมันเจ็บมาก ฉันเสียใจมากๆกับสิ่งที่พวกเธอทำกับฉัน"
     
             "ฉันขอโทษ" เธอพูดมันในที่สุด "เธอพูดถูก สิ่งที่เราทำกับเธอมันผิด และฉันขอโทษ ฉันควรจะพูดตั้งแต่วันนั้นแล้ว"
     
            ฉันปล่อยลมหายใจเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับอลิสัน เพราะกำลังใช้เวลาที่มีเพื่อซ่อนน้ำตาด้วยการแหงนหน้ามองท้องฟ้า ปล่อยให้ลมเย็นพัดน้ำตาให้แห้งสนิท - ขอโทษ ฉันหวังจะได้ยินคำนี้ตั้งแต่วันแรกที่ค้นพบความจริง
      
            "เธอจะมางานแต่งงานของฉันได้มั้ย ฉันอยากให้เธอเป็นเพื่อนเจ้าสาวจริงๆ แต่ฉันเข้าใจถ้าหากเธอจะปฏิเสธ มันแค่รู้สึกไม่สมบูรณ์ถ้าไม่มีเธอ เธอยังเป็นเพื่อนรักของฉัน"
     
            ไม่ต้องคิดนานนัก ฉันก็รู้ว่าตัวเองไม่แน่ใจแค่ไหนกับการต้องเป็นเพื่อนเจ้าสาว มันไม่ใช่เพราะต้องการใครคืน แต่อดีตที่พวกเขาทิ้งไว้ให้ก็ไม่สามารถทำให้สร้างรอยยิ้มในวันแต่งงานได้ เพราะมันอาจจะกลายเป็นรอยยิ้มเสแสร้งโง่ๆแทน  มาร์คเริ่มบีบมือฉันไว้ คล้ายกับกำลังย้ำเตือนว่าเขายังอยู่ข้างๆ และมันช่วยได้
     
            "ฉันไม่รู้ อลิสัน ขอเวลาฉันคิดก่อน"
     
            "ได้ ฉันเข้าใจ ขอบคุณนะเลน่า" เธอวางสายไปหลังจากรู้ว่าฉันจะไม่พูดอะไรต่อ
     
            ด้วยมือข้างหนึ่งที่ยังจับมือมาร์คไว้ ฉันตัดสินใจกระชับมือให้แน่นขึ้น เรายืนเงียบท่ามกลางลมเย็นที่พัดมาจนเส้นผมเข้ามาบังใบหน้าไว้
     
            "ฉันไม่คิดว่าเรื่องเมื่อกี้จะเกิดขึ้นได้"
     
            "อืมมม" มาร์คลากเสียง "ผมขอโทษ"
     
            เมื่อเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ฉันเริ่มแอบมองคนข้างๆ มาร์คมองตรงไปข้างหน้า มองการจราจรที่เบาบางลงในเวลากลางคืน "อย่ารับโทรศัพท์ของฉันอีกนะคะ"
     
            "อย่าตบผมอีกแล้วกัน"
     
            "ขอโทษทีค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ" ฉันหัวเราะพร้อมถอนหายใจอีกหน เผลอปล่อยให้ตัวเองเดินเซไปซบหน้าอกของคนที่จับมืออยู่ จมูกค่อยๆสูดกลิ่นน้ำหอมจากตัวมาร์คแล้วหลับตาสนิท
     
            มันผ่านไปครู่ใหญ่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเลื่อนมือมาลูบหลังฉันด้วยสัมผัสที่ลังเล มันเป็นจังหวะดีที่เขาจะใช้มันผลักฉันออกไปได้ สร้างพื้นที่กั้นระหว่างเรา ยุติการสัมผัสตัวทั้งหมดนี้ ฉันรู้ว่าตัวเองเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์นั้น แต่เขาไม่ได้ทำมัน
     
     

     
     
             เรากลับถึงบ้านในเวลาสามทุ่ม บ้านชั้นล่างของฉันมีไฟสว่างเล็ดลอดมาจากกระจกหน้าต่าง ฉันเห็นเงาพ่อและแม่เดินไปมาในห้องครัว บ้านของมาร์คยังมืดสนิท  ฉันก่ายขาลงจากรถแล้วถอดหมวกคืนให้เจ้าของ มาร์คลากรถไปจอดที่เดิม เราไม่ได้พูดอะไรกันต่ออีกตลอดทางกลับบ้าน
     
             มันทำให้คิดว่าเราอาจจบคืนนี้ด้วยการแยกย้ายกันเข้าบ้านอย่างเงียบๆ แต่ขณะที่กำลังใช้กุญแจไขประตู ฉันรู้ว่าตัวเองต้องการพูดอะไรบางอย่าง อะไรก็ได้ที่ทำให้เราหัวเราะกันก่อนหายเข้าไปและถูกกำแพงหนาๆกับระยะห่างร้อยหลากั้นไว้
     
             "ฉันคิดว่า..." ฉันโพล่งขึ้น ในตอนที่มาร์คอ้าปากเรียก "เลน่า"
     
             เราถอนหายใจพร้อมกัน "คุณพูดก่อนเถอะค่ะ"
     
             "ไม่ คุณพูดก่อน"
     
             "ฉันแค่พยายามจะพูดบางอย่างเพื่อบอกลา แต่ยังคิดไม่ออก"
     
             มาร์คยิ้มและหัวเราะเบาๆ เงาในความมืดจากหน้าบ้านทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด "ผมยินดีช่วยให้ข้อมูลเรื่องเครื่องมือกับประสบการณ์ในการแข่งขันกับคุณ ถ้าคุณอยากรู้จริงๆ"
     
             ฉันอาจหูฝาด
     
             ระยะห่างร้อยหลาอาจทำให้การฟังไม่ชัดเจนและผิดเพี้ยน  หลายเดือนที่ผ่านมาการโน้มน้าวให้มาร์คพูดเรื่องเหล่านั้นช่างยากเย็น  สุดท้ายแล้วฉันตีความได้ทั้งหมดว่าเขาไม่ต้องการแบ่งปันข้อมูลเล็กๆแต่มีค่าให้นักข่าว เพราะเขายอมรับมันในตอนที่อยู่กับจูเลียเช้าวันฝึกฝนก่อนการแข่งขัน
     
             "คุณอาจจะสับสนนิดหน่อย แต่ผมจะพยายามอธิบายให้เข้าใจ" เขาพูด "และคืนนี้ยังไม่ดึกมาก คุณจะเข้ามาในบ้านผมก่อนก็ได้ กินซุปที่คุณทำไว้"
     
             "มันดึกแล้ว คุณควรได้มีเวลาส่วนตัว"
     
             เรายืนเงียบที่หน้าบ้าน นานจนคิดว่ามาร์คอาจไม่ได้ยินในสิ่งที่พูด แต่แล้วเขาก็ก้าวขาออกจากเงามืดของหลังคา มือสองข้างเสียบอยู่กับกระเป๋ากางเกง "บางทีผมก็คิดว่าเข้าถึงคุณได้แล้ว"
     
             "ฉันก็คิดว่าฉันเข้าถึงคุณได้แล้วเหมือนกัน แต่เพราะฉันเป็นนักข่าว ดังนั้นฉันเข้าใจถ้าหากคุณไม่อยากจะคุย แต่แค่ทำเพราะเลี่ยงไม่ได้"
     
             "ผมไม่ได้คิดแบบนั้น" เขาตอบเสียงเบา มันเป็นระยะเวลาที่เงียบช่วงหนึ่งก่อนที่เขาจะเริ่มพูดต่อ "บางทีผมสงสัยว่าทำไมถึงยากนักเวลาที่จะพยายามเข้าหาคุณ"
     
             "ฉันเข้าหาคุณมากกว่าสิบครั้งในอาทิตย์การแข่งขันนะคะ"

             "หมายถึงเวลานี้ เวลาอื่นๆที่ไม่ได้ทำงาน บางทีคุณยังเลือกที่จะสัมภาษณ์เรื่องของผมกับอเล็กซ์หรือจูเลีย คุณไม่ได้เข้ามาถามผมด้วยซ้ำ ยังไม่นับตอนที่ผมชวนปิกนิกในสวนหลังบ้าน"
     
             "ถ้าฉันยอมรับคำขอของคุณทั้งหมด บางทีคุณอาจจะหยุดขอมัน"
     
             ฉันพูดโดยไม่ทันได้คิด และนั่นเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ ฉันไม่ควรพูด เพราะลิซ่า ทอมสันจะใช้ปากกาบนโต๊ะทำงานของเธอเป็นอาวุธเพื่อฆ่าฉัน หรืออาจผลักฉันตกจากตึกผ่านกระจกหน้าต่างใสในห้องทำงานเมื่อไหร่ก็ได้หากได้ยินมัน
     
             ทุกครั้งที่อยู่กับมาร์ค ฉันรู้ดีว่าควรพูดแค่เรื่องสำคัญ เรื่องงานของเรา หากเขาถามเรื่องอื่น ก็ควรตอบแค่เพียงเรื่องผิวเผิน  มีบ่อยครั้งที่ฉันตอบไม่ตรงคำถามนัก แต่ยิ่งใช้เวลากับมาร์คนานเท่าไหร่ ฉันค้นพบว่าไม่สามารถควบคุมคำพูดได้ ฉันพูดจากำกวมเพราะห้ามตัวเอง แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่บังคับอารมณ์ความรู้สึกสำเร็จ
     
             ฉันไม่หวังอะไรทั้งนั้น เพราะรู้ดีว่าไม่มีโอกาส ไม่ใช่เพราะดูถูกตัวเอง แต่การตั้งความหวังสูงเกินไปมักทำให้ฉันตกลงมาด้วยความสิ้นหวัง  ก่อนนอนทุกคืนยังตั้งคำถามว่าเหมาะกับสิ่งเหล่านี้หรือไม่ งานที่ร่วมกับโมโตจีพี หรือแม้แต่มาร์ค มาร์เกซและทีมงานมากความสามารถของเขา
     
             ไม่นานนักมาร์คก็หยุดหัวเราะ เขาคลายรอยยิ้มลงเมื่อฉันเงยหน้าจากพื้นหญ้าและสบตากลับ หรืออาจจะตั้งแต่ที่หยุดหัวเราะเมื่อครู่
     
             "เลน่า" เขาเรียกแล้วเดินข้ามพื้นหญ้ากว้างที่กั้นระหว่างบ้านเราไว้  มาร์คเข้ามาหยุดยืนอยู่ใกล้ฉัน แล้วปุปปัปหลังคอฉันก็รู้สึกร้อนผ่าว "คุณเหมาะกับที่นี่ เหมาะกับทุกอย่างที่คุณกำลังทำ คุณเป็นพวกของผมกับทีมแล้ว คุณรู้ใช่มั้ย"
     
             ฉันพยักหน้าตอบ ก้มลงมองระยะห่างระหว่างเรา มันใกล้เกินไปที่จะกล้าสบตากับเขา แม้จะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องเขม็งในตอนที่ความเงียบทอดตัวอยู่รอบตัวเรา
     
             มาร์คเริ่มสอดนิ้วประสานเข้ากับฉัน มันทำให้รีบเงยหน้าจ้องเขาตาค้าง สะดุ้งนิดหน่อย แต่ตัดสินใจบีบมือตอบเบาๆ แม้จะกังวลและท้อแท้ ฉันก็ยังตระหนักได้ว่าเราแตะตัวกันมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว - ซึ่งส่วนใหญ่มันเป็นเพราะความเผอเรอของตัวฉันเอง
     
             แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสฉันตอบ
     
     
     

    LANY - Dumb stuff
     
     
    Talk


    คะแนนสะสมแชมป์โลกของมาร์คในปี 2017 ยังนำอยู่ที่ 1 นะคะ ส่วนเรื่องแอนตี้มาร์คในสนามล่าสุดที่ออสเตรียที่รีดเดอร์ถามมาหลังไมค์ก็อย่าคิดมากนะคะ ขนาดมาร์คยังไม่สนเลย พี่แกยังปั่นจักรยานเล่นลั้นลากับน้องอยู่เลยในอินสตาแกรม555555
    ลาเอียเป็นชื่อจริงๆของแฟนเก่ามาร์คค่ะ เราไม่ค่อยรู้ข้อมูลแนวนี้เท่าไหร่นะ แต่ถือว่าเป็น fun fact เล็กๆน้อยๆเนอะ

    ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและคนที่ติดตามอ่านเช่นทุกครั้งค่า
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×