ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Four
คริสต้ารู้ตัวว่าใจกำลังเต้นแรง อาจจะแรงที่สุดแล้วในรอบห้าปีที่ผ่านมา เธอแน่ใจว่าตนได้ยินไม่ผิด แม้จะหวังให้หูฝาดไป แต่จากใบหน้าของชายแปลกหน้า เธอรู้ว่าเขาหมายความตามนั้นจริงๆ
หญิงสาวรู้ว่าคนทั้งห้องกำลังจ้องมอง แม้แต่บอดี้การ์ดสองคนของเธอก็ยืนแข็งทื่อ รอดูปฏิกิริยาต่อไปว่าเธอจะตัดสินใจทำอย่างไร
การก้าวออกจากห้องและไม่มาปรากฏตัวให้ชายบนเตียงเห็นอีกอาจเป็นเรื่องดี นั่นคือสิ่งที่คิดไว้ตั้งแต่แรก จนกระทั่งเขาพูดถึงความลับของเธอ ที่แม้แต่คนใกล้ชิดที่สุดก็ไม่มีข้อมูล
คริสต้าตัดสินใจคิดได้ว่าการทำความดีของเธอไม่เคยได้รับสิ่งดีๆตอบแทน น่าจะคิดได้ตั้งแต่ช่วยเหลือเพื่อนนางแบบและจบลงที่ถูกขายข้อมูลส่วนตัวให้ปาปารัสซี่ ทว่าเรื่องนี้โหดร้ายกว่าหลายเท่า
"ฉันขอคุยกับแองกัสสองคนหน่อยค่ะ" เธอป่าวประกาศ ไม่แน่ใจว่าทำไมเสียงดูสั่นกว่าปกติ และเธอเกลียดมัน เมื่อชายไร้บ้านไม่มีท่าทีรู้สึกผิดถึงสิ่งที่ทำลงไป
ทั้งห้องหนาวยะเยือก มันเป็นความเงียบที่กำลังกัดกินผิวหนังทีละนิด หญิงสาวจ้องมองชายไร้บ้านบนเตียง หวังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ได้ออกมาเพื่อปฏิเสธว่าสิ่งที่พูดไปเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น แต่เธอรู้ว่าเขาหมายความตามนั้น และต่อให้ภาวนาแค่ไหน ฝันร้ายนี้ก็คือความจริง
"นายหมายความว่าอะไร"
"เธอรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร"
"ฉันไม่รู้"
"เธอรู้"
เธอจ้องคนบนเตียงเขม็ง แองกัส แคมป์เบล นั่นคือชื่อของเขา และคิดว่าต่อจากนี้คงจำชื่อนี้ได้จนตาย "นายรู้เรื่องอะไร"
"เรื่องนั้น ในดีทรอยต์" ชายหนุ่มยกนิ้วชี้ขึ้นมาประกอบท่าทางระหว่างพูด ดูสบายๆจนขัดหูขัดตา
"ใครเป็นคนบอกนาย"
"ฉันแค่รู้" แองกัสกัดริมฝีปากล่าง ปากเขาซีดและแตกแห้งดูน่าหดหู่ขึ้นไปอีกเมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่
คริสต้าสูดหายใจแรง เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นฟ้าที่เริ่มมืดสนิท แสงไฟหน้ารถบนถนนในนิวยอร์กกำลังแยงตาเธอ แต่ก็ปลุกให้เธอมีสติอีกครั้ง
"นายกำลังจะขู่ฉันใช่ไหม แองกัส" เธอพูดอีกครั้ง "ฉันฟ้องนายได้ ทำให้นายติดคุกก็ได้"
"งั้นเธอก็จะเข้าคุกไปกับฉัน" เขารีบย้อน "ฉันไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว อย่างน้อยในคุกก็มีข้าวกินกับที่นอนให้นอน แต่เธอ เธอจะเสียทุกอย่างที่เธอมีถ้าฉันพูด และฉันไม่คิดว่าเธออยากทำลายชีวิตตัวเอง"
"ฉันมีทนายดีๆในนิวยอร์กเป็นสิบคน นายคิดว่านายจะชนะเหรอ"
"ก็ดีใจด้วย" นิ้วเรียวยาวเลื่อนไปหยิบแก้วน้ำข้างเตียงขึ้นมาดื่ม "แต่ฉันก็มีเพื่อน ที่จะช่วยเป็นพยาน"
"ไม่มีใครเห็นอะไรในวันนั้น"
"เธอมั่นใจได้ยังไง คริสต้า" เขาเอ่ยชื่อเธอ ดูระมัดระวังเล็กน้อย
คริสต้ามั่นใจแบบนั้นมาตลอด มันเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบแต่ใกล้เคียงนรกที่สุดในชีวิต แม้จะผ่านมานานแต่ภาพยังชัดเจน ชัดเจนจนเกินไป และแน่นอนเธอรู้ว่าต้องเตรียมพร้อมสำหรับวันนี้ วันที่ใครสักคนอาจค้นพบความจริง หรือรู้อะไรก็ตามของเหตุการณ์นั้น
รู้ไปจนถึงข้อเท็จจริงที่ว่าการประสบความสำเร็จในชีวิตตอนนี้ ความเสี่ยงต่อการถูกเปิดโปงยิ่งโหดร้ายกว่าเก่า มีคนอีกเป็นล้านที่พร้อมจะเหยียบย่ำและเอาภาพน่าเกลียดของเธอขึ้นในหน้าปกนิตยสารหรือแท็ปลอยด์สักแห่งของประเทศสักที่
และแน่นอน เธอรู้ดีว่าคำขู่แบบนี้มีจุดประสงค์
"นายต้องการเท่าไหร่"
คนบนเตียงแสยะยิ้ม ใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเขาทำให้เธอนึกถึงสภาพนายแบบติดโคเคน "เธอนี่มันหยาบคาย แต่ก็ไม่แปลกใจ"
"นั่นไม่ใช่สิ่งที่นายต้องการรึไง เราทุกคนต่างรู้ดี"
"ฟังนะ ฉันไม่ได้โง่ขนาดที่จะขอเงินเธอก้อนเดียวแล้วเรื่องจะจบ บางทีเธออาจจะจ้างบอดี้การ์ดสักคนมาแอบฆ่าฉันหลังจากนั้น แล้วเอาเงินคืนไปเมื่อไหร่ก็ได้"
คริสต้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามทำให้ตัวเองใจเย็นตอนพูด "นายดูหนังมากเกินไป"
"ฉันต้องการชีวิตที่มั่นคง"
"ฉันไม่ใช่พระเจ้า แองกัส" เธอย้อน
"เธอช่วยฉันหางานได้ จากเส้นสายของเธอ"
"หลังจากออกข่าวหลายช่องเพื่อพูดใส่ร้ายฉันมาตลอดหลายวันนี้ ฉันคิดว่าทุกคนพร้อมจะเสนองานให้นายแล้ว"
"หึ นายแบบ นักแสดง มีแต่อาชีพไม่มั่นคง ฉันจะเป็นคนในวงการของเธอที่โคตรจะโนเนม และเงินก็ไม่มีด้วย"
"แล้วยังไง นายอยากให้ฉันช่วยโปรโมตนายใช่ไหม"
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลส่งเสียงหัวเราะในลำคอ เขาดูเย้ยหยันในสิ่งที่นางแบบตรงหน้าคิดอย่างชัดเจน มือเรียวข้างขวายกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มอีกครั้ง กระดกมันเหมือนแอลกอฮอล์รสชาติดี
"ฉันไม่สนใจงานนายแบบไร้สาระนั่น ฉันต้องการให้วงของฉันดัง" เขายกนิ้วชี้ขึ้นห้ามไม่ให้เธอถามต่อ "และช่วยฟังฉันพูดก่อนจะถาม – ฉันมีวงเล็กๆ ร้องเพลงตามคลับช่วงกลางคืน ส่วนใหญ่ก็คลับผับบาร์เล็กๆที่ใกล้เจ๊งเต็มที และไหนจะสถานการณ์ตอนนี้ โควิด19 มันทำให้วงฉันล่มจม"
คริสต้าไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอขยับรองเท้าผ้าใบหนังสีดำของตัวเองอย่างระมัดระวัง ครู่หนึ่งคิดสงสารชายไร้บ้านอย่างแท้จริง มันมีหลายครั้งที่เธอบริจาคอาหารและเงินให้กับกลุ่มชาวไร้บ้านในแอลเอ เธอได้มีโอกาสพูดคุยพบปะกับกลุ่มคนไร้บ้าน และคนส่วนใหญ่เป็นคนที่หมดหนทางในอาชีพตัวเอง
สถานการณ์ของแองกัสเป็นเรื่องที่เธอเข้าใจและเห็นใจ เขาเป็นแค่คนหมดหนทางคนหนึ่ง คนที่ไม่มีอะไรจะต้องเสีย แต่มันไม่ได้ลบล้างความจริงที่ว่าพระเจ้ากำลังกลั่นแกล้งเหวี่ยงชายที่อยู่ในสถานการณ์กล้าได้กล้าเสียให้มารู้ข้อมูลส่วนตัวของเธอมากเกินไป
"แค่นั่นใช่ไหมที่นายต้องการ" เสียงที่สั่นกลับมามั่นคงอีกครั้ง "ให้ฉันช่วยโปรโมตวงของนาย"
"และ" แองกัสยกนิ้วชี้ขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทางเหมือนเพื่อนชายของเธอที่เป็นดีไซน์เนอร์แบรนด์ดังจากฝรั่งเศส "เธอต้องทำให้แน่ใจว่าวงของฉันจะดัง วงฉันต้องได้ขึ้นปกของโรลลิ่งสโตน"
"นั่นมันอยู่ที่ความสามารถของวงนาย และเพลงด้วย นายคิดว่าการร้องเพลงห่วยๆและใช้ออโต้ทูนจะทำให้ทุกคนหันมาสรรเสริญนายได้รึไง"
"มิส คุณยังไม่ได้เห็นวงของผมแสดงสด ดังนั้นอย่าพูดพล่อยๆ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมน่ารำคาญ ซึ่งมันทำให้เธออยากออกไปจากที่แห่งนี้เต็มที หญิงสาวก้มลงมองพื้นเมื่อเห็นก้อนเล็กๆวิ่งเข้ามา มันคือแมวที่เคยอยู่บนหน้าท้องแองกัส
"ได้" เธอพูดอีกครั้ง "นายออกจากโรงพยาบาลวันไหน"
"พรุ่งนี้เช้า"
"วงของนายจะได้ไปเล่นที่ผับไหนอีกไหม"
"ไม่"
"ไปหาที่เล่นสักที่ แล้วฉันจะไปดู" มือเรียวเล็กยื่นนามบัตรที่เขียนรายละเอียดการติดต่อส่วนตัวไว้ "นามบัตรฉัน และหวังว่านายจะไม่เอามันไปเผยแพร่หรือทำอะไรโง่ๆอย่างที่ทำออกทีวี ไม่งั้นฉันจะไม่ช่วยเหลืออะไรนายอีก"
"เธอลืมไปแล้วเหรอว่าฉันกำลังถือไพ่เหนือกว่าเธอ"
"แต่ในสถานการณ์นี้ ฉันเป็นคนที่มีเงินกว่า แองกัส เงินจัดการทุกอย่างได้ในที่สุด"
ยอมรับว่าเกลียดตัวเองนิดหน่อยที่พูดอะไรแบบนั้นออกไป แท้จริงคริสต้าไม่ได้คิดแบบนั้น แม้จะมีคนรอบข้างคอยย้ำเตือนเป็นล้านครั้ง การมีเงินและชื่อเสียงทำให้เธอเหงาและอ้างว้างอย่างน่าสมเพช แต่การบอกความจริงก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นกับชายตรงหน้าในตอนนี้
แองกัสเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหมุนนามบัตรของเธอระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางไปมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองมาอย่างไตร่ตรอง
"ได้" เขาพูด "ถ้าฉันไปร้องเปิดหมวกที่ไหนสักแห่ง เธอก็ต้องมา ฉันไม่สนว่าเธอจะยกขโยงปาปารัสซี่มาด้วยไหม เพราะนั่นยิ่งดี มันจะทำให้ฉันดังกว่าเดิม"
คริสต้ารู้ว่าเขาไม่มีทางทำแบบนั้นได้ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้ปกติเหมือนสองปีที่แล้ว ปีที่ยังไม่มีโรคระบาด การจะไปร้องเปิดหมวกกลางแจ้งแทบจะเป็นไม่ได้ในนิวยอร์กตอนนี้
อย่างไรก็ตาม นางแบบสาวตัดสินใจส่งยิ้มให้ อย่างที่เธอมักทำเมื่อต้องยิ้มให้ปาปารัสซี่ "ตกลง ฉันจะไป"
"What the heck?"
คำถามโง่ๆหลุดออกจากปากคาลในเช้าวันต่อมา
แองกัสรู้ดีว่าเพื่อนของเขาจะมีปฏิกิริยาค่อนไปทางไหน ซึ่งก็จริง คิดได้ว่าตัวเองคิดถูกแล้วที่ไม่ได้บอกอะไรคาลเมื่อคืนที่ผ่านมา เพราะมันจะทำให้เขาไม่ได้นอนหลับไปตลอดทั้งคืน
ชายหนุ่มมองเพื่อนตัวเองที่สูงในระดับเดียวกันเดินไปเดินมาเหมือนคนตื่นตระหนก หน้าต่างถูกเปิดม่านปล่อยให้แสงยามเจ็ดโมงเช้าอันน้อยนิดส่องเข้ามา
"รู้ไหม นายน่าจะถามฉันก่อนจะตัดสินใจอะไรแบบนั้นไป"
"นายเป็นใครกัน แม่ฉันรึไง" แองกัสแค่นหัวเราะเบาๆขณะกำลังใส่กระดุมเสื้อเม็ดสุดท้าย วินาทีหนึ่งนึกคิดถึงลูกแมวของคาลเมื่อคืนนี้ แต่ก็ปัดความคิดไร้สาระทิ้งไป "ฉันไม่ได้ทำเพื่อตัวฉันคนเดียว ฉันทำเพื่อวงของเราด้วย"
"นายไม่มีอะไรรับประกันด้วยซ้ำว่าเธอจะมาดูเราแสดง หรือเราจะไปหาที่ไหนแสดง แองกัส นี่มันอยู่ในช่วงวันสิ้นโลก ไม่มีผับที่ไหนเปิด"
"เฮ้ ไม่เอาน่า คนเริ่มฉีดวัคซีนกันแล้ว ร้านต่างๆจะกลับมาเปิดตามปกติในอีกไม่ช้า"
"แล้วจะทำยังไงถ้าเธอไม่มาตามที่บอก"
"เธอจะมา"
"นายมั่นใจได้ยังไง"
เพราะเขารู้ว่าเธอกลัวในสิ่งที่เขารู้ แองกัสคิดแต่ไม่ได้ตอบเพื่อน เขารู้ว่าเธอกังวลแต่ซ่อนความกังวลไว้ และเธอทำมันได้ดี บางทีถ้าหากเขาไม่พบเจอกับความเจ็บปวดในแบบใกล้เคียงกับเธอมาก่อน เขาอาจมองไม่ออกด้วยซ้ำ
คริสต้า แม็คมิลเลน นางแบบสาวชื่อดังในอเมริกาต้องพึ่งพาชายไร้บ้านโง่ๆในนิวยอร์กอย่างเขา มันกำลังให้ความรู้สึกเหมือนเขากำลังกุมความลับของรัฐบาลอเมริกันเอาไว้ ซึ่งนั่นก็อาจเวอร์ไปหน่อย
"เราจะไปหาผับที่ไหนโว้ย แองกัส แทบไม่มีใครจ้างเรา หรือรู้จักเราด้วยซ้ำ ร้านประจำเราเจ๊งไปหมดตั้งแต่โควิดปีที่แล้ว"
"คาล ฉันอยากให้นายใจเย็น เดี๋ยวเราก็จะหาทางออกเรื่องนี้ได้เอง"
ซึ่งมันก็จริงอย่างที่แองกัสว่า
หลังจากทั้งคู่ออกจากโรงพยาบาลและกลับไปที่บ้านของคาล อิริค ชไนเดอร์ มือเบสเพื่อนร่วมวงของเขาก็แวะมาที่บ้านและแจ้งข่าวดีว่าเพื่อนแฟนสาวของเขาร่วมหุ้นกับครอบครัวเปิดผับเล็กๆในย่านฮาเล็ม และร้านจะเปิดวันนี้เป็นคืนแรก
และนั่นทำให้ตัดสินใจส่งข้อความผ่านมือถือเก่าคร่ำครึบอกสถานที่ร้านไปให้คริสต้า เบอร์ติดต่อเพียงเบอร์เดียวที่ทำให้ไอโฟนห้าเอสดูมีค่าขึ้นมา
แองกัสตัดสินใจห้ามคาลไม่ให้พูดอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับคริสต้า แม็คมิลเลน แม้กระทั่งเรื่องที่ว่าเธอมาบุกที่ห้องพักในโรงพยาบาลของเขาเมื่อคืนก่อน ยิ่งคนรู้น้อย ปัญหายิ่งน้อย เขาเชื่ออย่างนั้น และไม่ต้องการให้เพื่อนในวงตื่นตระหนกจนทำแผนพัง
ชายหนุ่มแบกกีตาร์ของคาลที่สภาพดูไม่ดีนักไว้ที่หลังขณะลงจากรถตู้คันเก่าเหม็นและสกปรกของอิริค คาลกับอิริคกระโดดตามลงมา และแดเนียล เจคอปส์ มือกลองตามมาท้ายสุด เพราะต้องเป็นคนคอยประคับประคองรถตู้เก่าๆให้ยังมีลมหายใจต่อไป
ผับที่อิริคว่าไม่ได้เลวร้าย อันที่จริงดูดีในระดับหนึ่งถ้าเทียบกับผับเน่าๆที่พวกเขาเคยไปมา หน้าร้านมีป้ายสีแดงเลือดนกเขียนชื่อร้านว่า ซันชายน์ มีเสาสีเขียวมรกตสองข้างขนาดใหญ่ที่รูปร่างดูไม่เข้ากับร้านขนาบกับประตู ที่ถูกทาลวกๆด้วยสีทองราคาถูก มันยังมีกลิ่นสีตกค้างอยู่เล็กน้อย
"ก็ไม่ได้เลวร้ายนี่" แดเนียลเป็นคนพูด น้ำเสียงดูให้กำลังใจเพื่อนๆที่เหลือ
ทั้งสี่เดินเข้าไปในร้านที่มีพนักงานกำลังคอยจัดโต๊ะและเช็ดถูทำความสะอาด กลิ่นแอลกอฮอล์ตลบอบอวลไปทั่ว "ฉันหวังว่าตอนกลางคืนพวกเขาจะมีแอร์เปิด" คาลพึมพำ
"เฮ้!" เสียงทักของหญิงสาวตัวเล็กในรอยสักดังขึ้น แล้วเธอก็วิ่งเข้าไปกอดทักอิริคคนแรก
"เอาล่ะทุกคน นี่คือเจ้าของร้าน เมร่า หญิงสาวผู้ใจดีให้วงเราร้องเพลงในวันเปิดร้านวันแรก"
"ขอบคุณมากครับ มันสำคัญกับเรามาก" คาลเดินเข้าไปกุมมือเล็กของเธอไว้สองข้าง ท่าทางดูจริงจังจนแองกัสอยากตีสักรอบ "จริงๆ"
คนตัวเล็กสุดหัวเราะดูร่าเริง เธอเริ่มชี้จุดต่างๆของร้านว่าที่ไหนบริการอะไรบ้าง และพูดถึงความสะอาดบางอย่างกับชื่อน้ำยาฆ่าเชื้อที่แองกัสไม่ได้ฟังระหว่างเดินไปตามทาง เธอบอกว่าวันแรกคงยังไม่มีคนมากนัก คาดหวังมากที่สุดเพียงสามโต๊ะ และนั่นค่อนข้างน่าเห็นใจ
ตัวเวทีตั้งอยู่ที่หลังสุดของร้าน ทางฝั่งขวามีบาร์ที่ทำจากไม้เคลือบเงาขนาดใหญ่ มันเป็นเวทีเตี้ยๆที่สูงเหนือพื้นปกติไปเพียงหนึ่งขั้นบันไดเล็ก แต่ก็มีเก้าอี้ กลอง และลำโพงชุดพอดีกับขนาดรอบๆ
สามร้อยดอลลาร์คือทั้งหมดที่วงจะได้ในคืนนี้ และมันโหดร้ายกับวิถีชีวิตนิวยอร์กเกอร์
"ค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะ ว่าไหม" แดเนียลให้กำลังใจเพื่อนในวงเป็นรอบที่ล้าน เขาเดินไปยืนอยู่บริเวณเวทีและมองไปรอบร้านด้วยสีหน้าตั้งอกตั้งใจ
"เตรียมตัวให้พร้อมหนุ่มๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงร้านจะเปิดแล้ว" เมร่าตะโกนบอกก่อนจะเดินกลับไปทางหลังร้าน
แองกัสและเพื่อนช่วยกันจัดแจงเครื่องดนตรี ทดสอบเสียงของลำโพง และจัดสายกีตาร์ แดเนียลมีปัญหานิดหน่อยกับกลองมือสองที่เมร่าซื้อมาตั้งไว้ในร้าน แต่ไม่นานพวกเขาก็ทำให้มันกลับมามีประสิทธิภาพ คาลกำลังช่วยทำความสะอาดกีตาร์ที่แองกัสต้องใช้ในคืนนี้ อิริคกำลังยกเบียร์เย็นๆมาให้เพื่อนในวง
ฟ้าเริ่มมืดเมื่อแองกัสเดินออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์หน้าร้าน เขาได้ยินเสียงการจราจรจากถนนสายถัดไป สายตาเงยหน้ามองเห็นตึกเอ็มไพร์สเตตตั้งตระหง่านไกลออกไปในแมนฮัตตัน
"นายพร้อมไหม" แดเนียลเดินเข้ามาตบไหล่เขาเบาๆ ชายหนุ่มเริ่มยื่นบุหรี่ให้แองกัสจุดให้ ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มยืนมองไปรอบๆทางเท้า
"ฉันคิดว่าพร้อม"
"หายดีแล้วแน่ใช่ไหม" มือกลองถามซ้ำ "ถ้านายรู้สึกว่าไม่ไหว บอกได้ตลอดนะ"
"แดน เพื่อนรัก ฉันโดนซ้อมนิดหน่อยเอง กล่องเสียงไม่พังหรอก"
"เราทุกคนรู้ดีว่าใครปากแข็งและดื้อที่สุดในกลุ่ม" แดเนียลถากถางเพื่อนข้างๆด้วยเสียงหัวเราะ เขาปล่อยควันบุหรี่ออกจากปาก ก่อนจะเริ่มสำรวจใบหน้าแองกัส ไม่ได้พูดอะไรเมื่อแทบมองไม่เห็นรอยฟกช้ำแล้ว
"ฉันรู้ว่านายเป็นห่วง" แองกัสโยนบุหรี่ทิ้งลงที่พื้นและขยี้มันเบาๆ "ขอบใจมาก และขอบใจสำหรับกระเช้าแอปเปิ้ลเน่าๆ"
"เฮ้ นั่นแอปเปิ้ลที่ดีที่สุดในสวนแล้วนะ" เขาว่าพลางเกาคางตัวเองที่มีหนวดเคราอย่างสงสัย
"รสชาติห่วยพอๆกับรูปลักษณ์"
"แล้วมันกินได้ไหมล่ะ" แองกัสหัวเราะเมื่อแดเนียลถามพลางปล่อยควันบุหรี่ใส่หน้า
แดเนียลเคยเป็นคนที่กล่อมยากที่สุดในกลุ่ม เขาต้องการช่วยเหลือเพื่อนรอบข้างเสมอ และบางครั้งมักทำให้ตัวเองเดือดร้อนเพราะเรื่องนั้น ชายหนุ่มโวยวายและอ้อนวอนให้แองกัสไปค้างที่บ้านเขาในนิวเจอร์ซี่ย์ แต่แองกัสรู้ว่าการอยู่อย่างนั้นยิ่งจะขยายเวลาว่างงานของตน
อิริคเป็นชายหนุ่มที่รักสนุก แต่เป็นมันสมองของกลุ่ม เขาเป็นคนคอยแก้ปัญหาทั้งหมดที่มักมาจากคาล ที่เวลาเมาแล้วชอบหาเรื่องคนไปทั่ว
"มีปัญหาเหรอวะ ตอนนี้ฉันเมาอยู่ ขยับไม่ได้ แต่ถ้าแกมีปัญหาก็เดินเข้ามา!" คาลเคยพูดขณะนั่งอยู่บนโต๊ะในบาร์แห่งหนึ่ง ท่าทางใกล้หมดสติเต็มที และนั่นทำให้ทั้งกลุ่มหัวเราะท้องแข็งมาจนถึงทุกวันนี้
แองกัสไม่รู้ว่าเพื่อนๆมองเขาเป็นอะไร เป็นแค่นักร้องนำของวง คนสำคัญ หรือเป็นภาระ ชายหนุ่มไม่ได้เสียเวลาคิดเรื่องนั้น เพราะเรื่องทำมาหากินในตอนนี้ดูจะสำคัญที่สุด เขาดิ้นรนอย่างสุดความสามารถเพื่อจะให้ตนเองหลุดพ้นวงจรความยากลำบากนี้ไปให้ได้
นั่นคือสิ่งที่เขาคิดขณะร้องเพลงอย่างสุดเสียงระหว่างที่ผับเริ่มมีคนเดินเข้ามาในร้านช่วงเวลาสองทุ่มครึ่ง รู้สึกเจ็บคอเล็กน้อยและปวดกรามที่ยังไม่หายดี แต่เขาก็รู้สึกดีที่ผับมีลูกค้ามากกว่าที่เมร่าคาดไว้
มันอาจเป็นเพราะแสงไฟสลัวของร้านที่ทำให้แองกัสคิดไปเองว่าคนในผับกำลังนั่งกันเกือบเต็มพื้นที่ แต่ทุกอย่างกลับดูชัดขึ้นเมื่อเขาเห็นประตูของร้านเปิดอีกครั้ง และคราวนี้ผู้หญิงตัวสูงคนหนึ่งเดินเข้ามา
แองกัสมองเส้นผมสีบลอนด์ยาว และชุดซันเดรสสั้นสีขาวในฤดูร้อน หมวกเบสบอลสีดำสลักข้างหน้าด้วยตัวอักษรเอ็นวาย รูปร่างสูงและโปร่ง หน้ากากที่สวมปิดครึ่งหน้าเป็นผ้าสีดำเช่นเดียวกับหมวก มือเรียวยาวนั้นทัดผมไปไว้หลังหูอย่างไม่ตระหนักได้ว่าชายครึ่งผับกำลังชำเลืองมอง
ไม่ต้องใช้เวลานานที่จะทำให้แองกัสตระหนักได้ว่านั่นคือคริสต้า แม็คมิลเลนกับบอดี้การ์ดของเธอที่กำลังเดินตามเข้ามาแค่คนเดียวเท่านั้น ทั้งคู่ดูเป็นเพียงคนธรรมดา เป็นคนที่ต้องการกลืนกินไปกับฝูงชน
"แองกัส!" เสียงกระซิบเรียกของอิริคดังขึ้นจากข้างหลัง
เขาลืมร้องท่อนแรกของเพลง Dreams don't count และเพื่อนๆกำลังเล่นดนตรีเริ่มใหม่อีกครั้งให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะพอทำได้
ชายหนุ่มรวบรวมสติอีกครั้ง รู้สึกขนลุกชันไปทั่ว หลังคอของเขาร้อนผ่าวขณะที่เริ่มสูดหายใจและร้องท่อนแรก "Inside a blue room, you could tell the sun was coming up"
ซึ่งแน่นอน สายตาของเขากำลังมองไปทางคนที่รอมาตั้งแต่หัวค่ำ นางแบบสาวชื่อดังที่นั่งอยู่บริเวณบาร์ ใบหน้าที่เขาคุ้นเคยเมื่อแหงนมองป้ายบิลบอร์ดและป้ายโฆษณาตามทางเท้า เธอมองเขาด้วยสีหน้าธรรมชาติ สีหน้าที่ดูสบายที่สุดที่เขาเพิ่งเห็นมันกับตาครั้งแรก
แล้วเขาก็เริ่มสงสัยไปว่า แผนการของทั้งสองต่อจากนี้จะดำเนินไปอย่างไร
Drowners - Dreams don't count
Talk
พระเอกของเราตัวจริงก็เป็นนักร้องนะคะ วง Drowners ตามที่แนบไปในลิงค์เลยค่า
เนื้อเรื่องจะบรรยายถึงสถานการณ์โควิดสองปีที่แล้วที่มีโควิดนะคะ555555555555
รีดเดอร์อย่าลืมให้กำลังใจ/คอมเมนต์คุยกันหน่อยนะคะ เราขี้เหงาาา555555
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น