ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1
มันค่อนข้างเยี่ยม มีทีมเมทเป็นซาวิ เวียร์เฆ่คนใหม่ในทีมรถแข่งของมาร์ควีดีเอสในรุ่นโมโต2 ทั้งคู่อายุห่างกันเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นคนสเปนเหมือนกัน อเล็กซ์ มาร์เกซพอใจที่จะพูดคุยกับเพื่อนที่ต้องเจอหน้าและออกงานด้วยกันไปอีกสักพัก
พี่ชายของเขาก็เช่นกัน ที่ต้องพบกับทีมเมทคนใหม่ของทีม แต่จากประสบการณ์ เขาไม่คิดว่าพี่ชาย มาร์ค มาร์เกซจะพูดคุยอะไรกับฆอร์เก้ ลอเรนโซ่ไปมากกว่าเรื่องงาน ทีมเมทคนใหม่ของพี่ชายพูดน้อย และเขานึกไม่ออกว่าจะมีโอกาสได้นั่งเล่นเอ็กซ์บอกซ์ร่วมกับฆอร์เก้อย่างที่เคยทำกับดานี่ เปโดรซ่า
อีกเพียงอาทิตย์กว่าเท่านั้นที่นักแข่งทั้งหมดจะได้กลับเข้าสู่การแข่งขันความเร็วในช่วงมีนาคม อเล็กซ์ไม่คิดว่าช่วงอาทิตย์สุดท้ายของวันหยุดต้องมาออกกำลังด้วยเสื่อโยคะ และตอนนี้ยังส่ายหัวปฏิเสธที่จะทำแม้เอมิลิโอ อัลซาโมร่า ผู้จัดการของเขาและของพี่ชายจะย้ำชัดเจนแล้ว
"ให้ผมไปปั่นจักรยานทั้งเช้าเย็นเลยก็ได้" เขาหาเหตุผล "ผมแข่งรถนะ ไม่ได้จะไปเป็นครูสอนโยคะ พิลาทิส หรือทำวิดีโอออกกำลังคาร์ดิโอลงยูทูป"
"เพิ่มความกระฉับกระเฉง ความยืดหยุ่น" เอมิลิโอตอบ
"และลดความเครียด นั่นสำคัญ" พี่ชายของเขาตะโกนมาจากห้องครัว
อเล็กซ์ส่ายศีรษะ เขาไม่มีสมาธิเล่นเกมอะไรก็ตามที่พี่ชายเปิดทิ้งไว้อีก "งั้นก็มาออกกำลังด้วยกันสิ" เขาตะโกนตอบพี่ชาย
"ไม่เอาน่า แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น เตรียมพร้อมร่างกาย นายออกกำลังหนักมาสองสามเดือนแล้ว ควรมีเวลาพักผ่อนเตรียมตัวก่อนเดือนแข่งขัน ออกกำลังบนเสื่อโยคะจะช่วยได้" เอมิลิโอพูดอย่างมีหลักการ
มาร์คเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น เขาถือถาดอะลูมิเนียมที่เพิ่งออกจากเตาอบแล้ววางบนโต๊ะ กลิ่นคุ้กกี้ช็อกโกแลตอบอวลไปทั่วห้อง แม้แต่เอมิลิโอยังเหลือบมองมา
ที่ผู้จัดการของเขาพูดก็ถูก อเล็กซ์รู้ตัวว่าฝึกหนักมาตลอดหลายเดือน แม้กระทั่งพี่ชายที่แทบไม่วางมือจากเครื่องยนต์ก็ยังตัดสินใจเริ่มเข้าครัวหาเวลาพักผ่อนหลังผ่าตัดไหล่ขวาและออกกำลังเล็กๆน้อยๆ
"ไม่อร่อย ไปทำมาใหม่" อเล็กซ์บอกพี่ชายทั้งที่ยังมองเกมในจอทีวี
มันเป็นรอบที่แปดแล้วที่อเล็กซ์และผู้จัดการของทั้งสองต้องลองชิมคุ้กกี้ช็อกโกแลตที่มาร์คนำเสนอตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ หลังจากหาสูตรเกือบสี่อาทิตย์ เหตุผลหลักและเหตุผลเดียวที่ทำให้นักแข่งแชมป์โลกเจ็ดสมัยลุกขึ้นมาเข้าครัวคือเลน่า เบ็นเน็ตที่ทำงานอยู่อีกฝากของมหาสมุทร
ในเมื่อแฟนสาวที่วุ่นกับงานในนิวยอร์กไม่มีเวลาแม้แต่จะทำอาหาร พี่ชายของเขาจึงมีความคิดแปลกๆอย่างฝึกทำของหวานเพื่อเอาใจแฟนตัวเอง
"เฮ้ นายยังไม่ได้ลอง คราวนี้ทำตามสูตรทุกอย่าง" มาร์คถอดถุงมือหนาที่แม่ชอบใช้อบขนมออก สติช หมาพันธุ์ดัชชุนของอเล็กซ์วิ่งมาอยู่รอบๆทั้งสามเมื่อได้กลิ่นอาหาร
กลิ่นก็ใช้ได้ อเล็กซ์เหลือบมองเสี้ยววินาทีหนึ่ง ส่งผลให้เขาถูกคู่ต่อสู้ฆ่าในเกมทันที
ชายหนุ่มโยนคอนโทรลเลอร์ลงเบาะโซฟาแล้วหยิบคุ้กกี้ขึ้นมา "เออๆ" เขาพึมพำ มั่นใจว่ารสชาติจะออกมาเค็มๆเปรี้ยวๆเหมือนทุกครั้ง "ถ้าอร่อยฉันจะยอมไปออกกำลังบนเสื่อโยคะเลย"
"นายพูดแล้วนะ" คราวนี้คนอายุเยอะที่สุดในห้องรีบวิ่งเข้ามานั่งบนโซฟาใกล้ๆเขาพร้อมสติช
อเล็กซ์เกลียดที่เผลอหลุดปากพูดไปแบบนั้นเมื่อดมกลิ่นคุ้กกี้ที่หยิบขึ้นมา เอมิลิโอก็ดูสนใจกว่ารอบอื่นๆ
"สักชิ้นไหมเอมิลิโอ" มาร์คหันไปมองผู้จัดการส่วนตัว
"ไม่เป็นไร พอดีว่าฉันมีนัดไปกินอาหารกลางวันต่อ" เขารีบตอบ และอเล็กซ์จินตนาการใบหน้าลังเลใจของเอมิลิโอได้โดยไม่ต้องหันไปมอง
คุ้กกี้ร้อน แต่ไม่ทรมาณจนเคี้ยวต่อไม่ได้ อเล็กซ์เพ่งมองคุ้กกี้ช็อกโกแลตในมือเมื่อจำใจกัดไปหนึ่งคำ มันกรอบจนชั่ววินาทีแรกเขาคิดว่าพี่ชายทำมันไหม้เกรียม เกือบจะดีใจในชัยชนะเล็กๆ
ทว่ารสชาติที่ไม่คาดคิดกำลังหมุนวนในปาก เนื้อคุ้กกี้นุ่มละมุน มีกลิ่นหอมของเนยกับช็อกโกแลตจางๆ
"พระเจ้า นายทำได้แล้วนี่" เอมิลิโอผู้ซึ่งปฏิเสธคุ้กกี้เมื่อห้าวินาทีที่แล้วกำลังเคี้ยวเต็มปาก "อร่อยเกินคาด"
บางทีพี่เขาอาจค้นหางานอดิเรกใหม่ได้ในที่สุด
ใบหน้าแห่งความหวังของมาร์คหันขวับมามองที่เขา "นายได้ยินไหม" สีหน้าคาดหวังปนรอยยิ้มมั่นใจของมาร์คทำให้อเล็กซ์ปั้นสีหน้าไม่ถูก
เขาดีใจที่ความพยายามของพี่ชายไม่สูญเปล่า แต่เสียใจในสิ่งที่พูดก่อนหน้านี้ ตัดสินใจว่าเปลี่ยนเรื่องแล้วยกคำชมเท่าที่พอจะหาได้ในโลกขึ้นมา อาจทำให้ทั้งคู่ลืม
"โอ้โห! มาร์ค มาร์เกซกลายเป็นเชฟไปแล้ว ใครจะรู้ว่านักแข่งยอดเยี่ยมอย่างพี่จะทำอาหารเป็น เลน่าจะต้องชอบมากแน่ๆ เธอจะต้องเห็นในความพยายามมาเกือบสี่อาทิตย์ของพี่"
"ใช่ มันอร่อยนะ" เอมิลิโอเห็นด้วย แต่ไม่ได้มีท่าทางตื่นเต้นเกินเรื่องอย่างอเล็กซ์ แค่นั่งละเมียดละไมกินคุ้กกี้ต่อไปอย่างเงียบๆ
"ฉันทำได้ อเล็กซ์ ฉันทำได้!" พี่ชายเขาลุกขึ้นตาม ฝ่ามือใหญ่สองข้างตบไหล่อเล็กซ์แรงจนเขาเกือบเซ เช่นเดียวกับสติชที่วิ่งไปมาแล้วส่งเสียงเห่า "ให้ตายเถอะ ไม่คิดว่าจะทำได้ ฉันจะรีบทำอีกแล้วส่งไปให้เลน่า"
"เลน่าจะมาวันพรุ่งนี้ พี่จะรีบส่งไปไหน" เขาก้มลงหยิบคุ้กกี้อีกชิ้น "ให้เธอมาทำกับพี่ต่อที่บ้านยังได้เลย"
ชายหนุ่มตรงหน้าเขาหยุดครุ่นคิด สีหน้าออกเห็นด้วย ตอนนี้ผ้ากันเปื้อนของมาร์คเต็มไปด้วยสีน้ำตาลของช็อกโกแลตกับผงโกโก้ ซึ่งผิดแผกจากปกติที่มักเป็นคราบน้ำมันเครื่อง
บางทีเขาก็หวังว่าตัวเองจะพยายามทำบางอย่างเพื่อใครสักคนบ้าง แม้สิ่งๆนั้นจะตรงกันข้ามกับความคุ้นชินและความถนัดของเขา
"แต่ฉันยังจำได้ว่าเมื่อกี้นี้แกพูดอะไรไว้" มาร์คหันมาชี้อเล็กซ์
เขาโง่เองที่คิดว่าพี่ชายมากความสามารถคนนี้จะลืม
"โอ้ใช่ เรื่องออกกำลังกาย งั้นฉันจะจองห้องออกกำลังไว้ให้เลยเย็นนี้นะ" เอมิลิโอลุกจากโซฟาแล้วคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
อเล็กซ์รีบวิ่งไปหาผู้จัดการส่วนตัว มือดันโทรศัพท์อีกฝ่ายออก "เย็นนี้เลยเหรอ ผมคิดว่าวันนี้ค่อนข้างเหนื่อย เริ่มอาทิตย์หน้าแล้วกัน"
"เหนื่อยบ้าอะไรแกนั่งเล่นเอ็กซ์บอกซ์กับฉันมาตั้งแต่เก้าโมงเช้า" มาร์คหยิบถาดคุ้กกี้เดินกลับไปที่ครัว "ไปลองหน่อยสิ บางทีนายอาจชอบมันก็ได้ บางทีวันพรุ่งนี้ถ้าไม่ติดอะไรฉันจะไปออกด้วย"
"เห็นไหม พี่ชายนายยังจะลองเลย" เอมิลิโอรีบพูดพลางยกนิ้วโป้งชี้ไปทางห้องครัว มันก็เป็นอย่างนี้ตลอด เขามักจะถูกบอกว่าพี่ชายยังทำอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วทำไมเขาถึงไม่ทำมันบ้าง
บางครั้งแค่ไม่ต้องการทำอะไรเหมือนพี่ชาย เพราะนั่นจะทำให้เขาแตกต่าง แต่ดูเหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมา ความต้องการของเขากับพี่ไม่ค่อยจะต่างกันเท่าไหร่ และเมื่อใครคนใดคนหนึ่งทำได้ดีกว่า ความกดดันก็ตกมาอยู่ที่อีกคน ซึ่งมักเป็นอเล็กซ์เสมอ
"ก็ได้ ห้าโมงเย็นแล้วกัน"
อยู่ดีๆก็เกลียดอากาศเย็นกับท้องฟ้าสดใสขึ้นมา อเล็กซ์คิดว่าการออกมาขับรถเล่นช่วงบ่ายจะทำให้สบายใจมากขึ้น แต่กลับได้ผลตรงกันข้าม หัวนึกถึงแต่เส้นผมสีแดงของหญิงสาวใบหน้าคุ้นเคย น้ำตาของโคเม็ท
มันนับไม่ถ้วนที่คอยแต่จะหวนนึกถึงวันเก่าๆกับการถูกต่อว่าจากหญิงสาว จริงอยู่ที่ต่อให้ไม่มีผู้หญิงข้างๆ การแสวงหาความสุขในชีวิตก็ไม่เคยยาก แต่ความเคยชินที่มีโคเม็ทอยู่ข้างๆทำให้รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งอยู่ข้างหลัง
ทุกคืนคอยแต่ปลอบใจตัวเองว่าเขาพยายามแล้ว และทำเต็มที่ที่สุดแล้ว แม้ผู้หญิงที่ผ่านมาในชีวิตคอยแต่จะบอกว่าไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความรักที่แท้จริงของเขา
หาแฟนสักคนเพื่อให้วงสังคมของเขาตระหนักได้ คือสิ่งที่อเล็กซ์คิดเสมอ แต่เขารักพวกเธอบางหรือเปล่า? ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้
มาร์คกับเลน่าพยายามไม่แสดงความรักหวานชื่นตรงหน้าเด็กหนุ่มที่เพิ่งถูกบอกเลิก ทั้งคู่คิดว่าเขาเสียใจ เขาสังเกตเห็นมัน สมเพชตัวเองที่ต้องตั้งความหวังให้รู้สึกเสียใจบ้าง นึกถึงใครก็ตามที่เคยผ่านมาในชีวิต แต่ไม่เลย เขาไม่ได้คิดถึงพวกเธออย่างที่ควรจะเป็น
เส้นทางที่มักใช้ปั่นจักรยานกับพี่ในช่วงนี้ไม่มีผู้คนเพราะอยู่ในช่วงปลายปี ฤดูหนาวทำให้คนในเซอร์เวร่าคลุกตัวอยู่แต่ในบ้าน เมืองเงียบกว่าปกติ แม้ส่วนใหญ่มันจะเงียบเกือบทั้งปี จินตนาการว่าอยู่ในเมืองไซเลนท์ฮิลล์ตอนนี้คงไม่แปลก
ชายหนุ่มตัดสินใจใช้เส้นทางประจำสำหรับปั่นจักรยานขับไปตามทาง คิดว่าสงบและเป็นธรรมชาติสำหรับการปล่อยวางทุกความคิดฟุ้งซ่าน ทำสมาธิให้ดีก่อนเริ่มการแข่งขัน
เขาเลี้ยวขวาไปตามเส้นทางที่เริ่มออกห่างจากตัวเมือง บริเวณรอบตัวเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่ชาวต่างชาติมักเช่าอยู่ช่วงท่องเที่ยวประมาณสองถึงสามเดือน ได้ยินเสียงตะโกนภาษาไม่คุ้นหูดังมาจากบ้านไหนสักแห่ง แต่ไม่ได้ใส่ใจจะฟัง
จนกระทั่งประตูของบ้านขนาดใหญ่ทางซ้ายมือเปิดออกดังสนั่นท่ามกลางความเงียบ หญิงสาวผมสีบลอนด์เกือบสว่างก้มหน้าเดินด้วยความเร็วที่ใครก็ตามก็สามารถสังเกตเห็นได้ เธอกำลังโมโห
เสียงตะโกนของชายวัยกลางคนไล่หลังมาทางประตูบ้าน หน้าอีกฝ่ายแดงเหมือนมะเขือเทศบนผิวขาวสว่าง เสียงตะโกนดูแหบแห้งปนโมโห มือข้างหนึ่งชี้นิ้วออกคำสั่งคนที่อเล็กซ์คิดว่าอาจเป็นลูกสาวให้กลับเข้าไปภายใน
"Dra til helvete!" หญิงสาววัยรุ่นตะโกนตอบกลับไป และวินาทีนั้นอเล็กซ์เห็นว่าเธอกำลังร้องไห้
เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอตะโกนหมายถึงอะไร และไม่คิดจะใส่ใจต่อ หวังเพียงแค่ให้รถสีแดงเล็กๆข้างหน้าที่หญิงชราขับอยู่เคลื่อนที่เร็วกว่านี้ เพื่อที่จะได้ไปจากเสียงทะเลาะวิวาทของครอบครัวคนแปลกหน้า
ผู้เป็นพ่อรีบเดินลงบันไดตามเธอมา ซึ่งพอดีกับที่เธอเดินมาถึงกลางถนนอย่างไม่ใส่ใจว่าอาจมีรถพุ่งเข้ามา ชั่ววินาทีสั้นๆนั้นเธอมาหยุดอยู่ตรงหน้ารถบีเอ็มดับเบิ้ลยูของเขา–ที่อเล็กซ์ยืมมาร์คมา
"ขอโทษนะครับ ช่วยออกไปจากหน้ารถผมที" อเล็กซ์ลดกระจกแล้วชะโงกหน้าตะโกนบอก พยายามพูดให้สุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้แม้เริ่มรู้สึกว่าเข้าใกล้กับปัญหาขึ้นทีละนิด
ดวงตาสีเขียวอมเทาแดงก่ำหันมามองเขา อเล็กซ์ชะงักกลางคัน เริ่มเสียใจกับสิ่งที่เลือกทำเมื่อครู่ เพราะเธอเดินออกจากหน้ารถก็จริง แต่กลับอ้อมเข้ามาในระยะประชั้นชิดกับรถจนเกินไป
ใจเต้นแรงจนแทบระเบิดเพราะไม่ทันตั้งตัว เขาหวังว่าตัวเองจะคิดผิด แต่ไม่เลย
เธอเปิดประตูรถของเขาจนกว้างแล้วถือวิสาสะก้าวเข้ามานั่ง ทิ้งน้ำหนักลงบนเบาะแรงด้วยความโมโหจนรถเริ่มโยกเหมือนแผ่นดินไหว
เขาโง่เอง ที่ไม่ยอมล็อครถตั้งแต่ออกจากบ้าน แถมตอนนี้คนที่ล็อครถให้กลับกลายเป็นเธอ
"พระเจ้า! ไม่นะ" เขารีบโวยวาย "ออกไปจากรถของผม คุณได้ยินพ่อคุณแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร กลับเข้าไปในบ้านคุณเดี๋ยวนี้เลย"
อีกฝ่ายไม่ได้ทำอย่างที่ว่า ดูเหมือนจะกรีดร้องและตะโกนสุดเสียงในเร็วๆนี้เมื่อหันมาหาเขา "ขับรถออกไปเดี๋ยวนี้! ฉันสาบานต่อพระเจ้า ถ้าคุณไม่ทำ ฉันจะผลักคุณออกไปแล้วจะขับมันด้วยตัวเอง!"
อเล็กซ์ใช้เวลาสามวินาทีเพื่อไตร่ตรองว่าเธอจริงจังแค่ไหนกับสิ่งที่พูด และเมื่อเธอขยับเข้ามาด้วยความเร็วที่ตั้งรับไม่ทัน ชายหนุ่มตัดสินใจว่าการอยู่หลังพวงมาลัยต่อไปนั้นดีที่สุด
"Mierda!"(Shit) เขาสบถขณะเหยียบคันเร่งแล้วมุ่งตรงไปตามทางข้างหน้า แซงแม้กระทั่งรถของหญิงชราที่ยังไม่ได้เลี้ยวออกจากซอยตั้งแต่หัววัน "ฉันไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเรื่องดราม่าครอบครัว เข้าใจไหม ฉันจะขับวนแถวๆนี้สองสามครั้งแล้วขับมาส่งเธอ เข้าใจรึเปล่า"
"ไม่" เธอตอบเสียงแข็ง ไม่ใส่ใจจะหันหลังไปมองพ่อของตัวเองที่ยืนอยู่กลางถนนว่างเปล่าอย่างหัวเสีย
นี่มันไม่ดี อเล็กซ์คิดในใจ เขาอาจถูกตำรวจเรียกเมื่อไหร่ก็ได้ และการออกข่าวว่ารถของมาร์ค มาร์เกซที่ได้จากการเป็นแชมป์โมโตจีพีถูกใช้เพื่อลักพาตัวหญิงสาวชาวต่างชาติ มันอาจสร้างความด่างพล้อยให้ทั้งตัวเขากับพี่ชาย
"นี่ ฉัน–"
"ไม่ ไม่ ไม่ ฉันไม่กลับ!" เธอตะคอก ฝ่ามือบางข้างหนึ่งตีเข้ากับหน้ารถบีเอ็มดับเบิ้ลยูรุ่นใหม่ที่พี่ชายของเขาเพิ่งได้มา
อเล็กซ์รีบคว้ามือเธอไว้ พอดีกับที่รถจอดติดไฟแดง เขากุมมือเธอข้างหนึ่งเพื่อหวังให้เธอใจเย็นลง
"โอเค!" เขาตะโกนแข่ง ตระหนักได้ว่าสำเนียงสเปนของเธอชัดเจนดี "ใจเย็นๆ เข้าใจแล้ว แค่ระวังอย่าตีรถ"
ความอุ่นของฝ่ามือทำให้ตัวอเล็กซ์ร้อนวูบวาบลามไปถึงใบหู เธอก้มลงมองมือของเขา จ้องมองมันเหมือนเป็นสิ่งสุดท้ายที่สามารถทำได้ อเล็กซ์จึงตัดสินใจปล่อยมือตัวเองและวางมือเธอลง
ตลอดทางประมาณห้านาทีไม่มีใครปริปากพูดภายในรถ "ฉันขอโทษ" เธอเริ่มกระซิบเสียงเบา
"เอาเถอะ มันเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้วหนิ" เขาพึมพำ คิดว่ากำลังบอกตัวเองมากกว่าบอกเธอ
ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งอีกครั้งเมื่อเห็นไฟเขียว บัดนี้เขาไม่คิดว่าจะไปตามเส้นทางปั่นจักรยานอีกต่อไปในเมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามานั่งอยู่ด้วย เธอเอนศีรษะพิงเบาะรถ สายตาล่องลอยใคร่ครวญคิดถึงบางอย่าง และเขาภาวนาให้เธอตัดสินใจได้เสียทีว่าควรจะออกจากรถคันนี้ไป
"หิวไหม" เขาทำลายความเงียบ "ผู้หญิงมักกินเวลาโมโห"
"พ่อฉันนอกใจแม่" เธอโพล่งขึ้น ซึ่งสำหรับอเล็กซ์ มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะพูดกับคนแปลกหน้า
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ไม่รู้ว่าควรตอบด้วยประโยคอะไร หรือควรจะเงียบแล้วฟังเธอพูด
หลังจากจอดให้คนข้ามถนนอีกรอบ เขาตัดสินใจหันไปมองคนข้างๆ คราวนี้ชัดเจนพอจะสำรวจใบหน้า ผิวขาวเนียนตัดกับริมฝีปากที่ทาด้วยลิปสติกสีไวน์แดง ใบหน้าคล้ายชาวสแกนดิเนเวียน เขาอาจมองว่าเธอเป็นสโนว์ไวท์ถ้ามีผมสีดำ แต่รู้ดีว่าเธอไม่มีทางพอใจกับสิ่งที่คิดอยู่
"แล้วคนที่พ่อนอกใจด้วยก็คือเพื่อนของฉัน"
นั่นค่อนข้างหักมุม อเล็กซ์ยอมรับ แต่ฝืนกลั้นไม่แสดงสีหน้าตอบ ทว่าอีกฝ่ายสังเกตได้เมื่อสบตาเขา
"ฉันคิดว่า...ยังไงเธอก็หนีจากมันไปไม่ได้" เขาพูดอย่างระมัดระวัง "ยังไงเขาก็เป็นพ่อของเธอ"
"ฉันเบื่อหน่ายเต็มที" เธอเอ่ยพร้อมส่ายศีรษะ ราวกับไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาเพิ่งพูด "ทั้งพ่อ ทั้งเพื่อน ไม่เห็นหัวฉันเลยสักนิด ถึงพ่อกำลังจะหย่า แต่ก็ไม่ควรทำแบบนี้"
"บางทีพ่อกับแม่เธออาจตัดสินใจหย่ากันก่อนที่เขาจะมาคุยกับเพื่อนของเธอก็ได้"
อีกฝ่ายเอียงศีรษะเพื่อมองหน้าเขา รวดเร็วจนอเล็กซ์เอนตัวหนี "แล้วมันต่างกันตรงไหน หย่าหรือไม่หย่า พ่อก็ไม่ควรยุ่งกับเพื่อนฉัน และเพื่อนฉันก็ไม่ควรยุ่งกับพ่อฉันด้วย"
อเล็กซ์ไหวไหล่ ที่เธอพูดก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่เขาเชื่อว่าความรักเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แม้บางครั้งคนคนนั้นอาจเป็นคนที่ไม่ควรรัก แต่ความรู้สึกเป็นเรื่องที่พูดยากเสมอ คนสองคนมักดื้อดึงอยู่ด้วยกันเพราะใช้คำว่ารัก แต่สุดท้ายล้วนพังไม่เป็นท่า
"ความรักมันห้ามกันได้ที่ไหนล่ะ"
หากบทสนทนานี้เกิดขึ้นกับครอบครัว หรือแม้แต่คนใกล้ตัว อเล็กซ์มั่นใจว่าทุกคนจะหยุดไตร่ตรอง เพราะมันเป็นเช่นนั้นเสมอ เขามักเสนอมุมมองใหม่ให้คนรอบข้าง ในขณะที่มาร์คเป็นคนที่มักลองเสี่ยงกับตัวเลือกที่มีอยู่ก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะประสบความสำเร็จ
แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พูดออกไปทำให้เธอไม่พอใจ เพราะเธอขมวดคิ้วจ้องมองเขา คิดว่าอาจกำลังกลั้นไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับคนแปลกหน้า ทันใดนั้นก็รีบปลดล็อคประตูรถแล้วเปิดออก "ให้ตายสิ ฉันทำบ้าอะไรอยู่"
ทุกสิ่งที่เธอทำเร็วเกินกว่าที่อเล็กซ์จะรับมือทัน นาทีต่อไปเธอก้าวขาออกจากรถของเขา
หญิงสาวก้มลงมองเข้ามา และอเล็กซ์ยังอ้าปากค้าง เพราะหาคำพูดไม่ทัน "ขอให้มันเกิดกับพ่อของนายบ้าง จะได้รู้ว่ามันรู้สึกยังไง"
ช่างกล้าพูด อเล็กซ์คิด มันทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นทีละนิด ไม่เข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้มีปัญหาอะไรนัก เธออาจเป็นไบโพล่าร์หรืออารมณ์แปรปรวนจนพาลให้เขาหัวเสียตามไปด้วย รบกวนชีวิตแสนสงบของเขาแล้วยังไม่พอ ยังกล้าอวยพรเขาด้วยเรื่องแบบนี้
ข่าวดีคือเธอออกจากรถไปแล้ว นาทีต่อไปเขาจึงรีบพูดอย่างไม่ลังเล "อย่างน้อยเธอก็ควรขอบคุณฉันที่ให้คนแปลกหน้าอารมณ์ร้อนอย่างเธอเข้ามานั่งในรถ!"
"โอ้ ขอบคุณ! และขอบคุณสำหรับความคิดเห็นห่วยๆของนายด้วย!" เธอกระแทกประตูรถปิดดังปัง ลมเย็นด้านนอกจึงตีเข้าใส่หน้าเต็มๆ
มาร์คจะต้องไม่ชอบใจแน่ อเล็กซ์หวังว่ามันจะไม่มีรอยขีดข่วนใดๆที่เธอทิ้งไว้ที่รถ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองคนอารมณ์ร้อนเดินจ้ำอ้าวไปข้างหน้าโดยที่ไม่หันหลังกลับมามองเขา
เพราะอากาศหนาว ฟ้าจึงมืดเร็ว มันเป็นวันที่ไม่ดีนักสำหรับอเล็กซ์ อันที่จริงเป็นวันที่วุ่นวายเกินไปในเมืองเงียบๆอย่างเซอร์เวร่า ตั้งใจว่าจะกลับบ้านไปอาบน้ำนอนตั้งแต่หัวค่ำ
ทันใดนั้นเอมิลิโอก็ส่งข้อความมาเตือนเรื่องเลวร้ายอีกอย่างของวัน ออกกำลังกายบนเสื่อโยคะ เขาได้แต่หวังว่าเทรนเนอร์จะเป็นใครก็ตามที่พูดรู้เรื่องและไม่ทำให้วันนี้แย่ไปมากกว่านี้
Ed Patrick - Eyes on you
Talk
ตอนของอเล็กซ์เราจะพยายามให้เห็นความคล้ายของพี่น้องมาร์เกซ แต่มีนิสัยบางส่วนเล็กๆที่แตกต่างออกมา จะพยายามเขียนให้รีดเดอร์พอมองเห็นนะคะ ห่างหายจากการเขียนไปนาน ไม่ค่อยชินมือ5555
เรื่องนี้จะเป็นช่วงที่อเล็กซ์ยังอยู่ moto2 นะคะะ
คิดถึงนักอ่านทุกคนนะคะ หวังว่าจะยังติดตามกันอยู่ อย่าลืมแวะมาคุยคอมเมนต์ทักทายกันค่า xoxo
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น