ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไม่ใช่อย่างที่คิด - Not what it seems (Australia)

    ลำดับตอนที่ #1 : ปูพื้นความเข้าใจการไปเรียนต่อออสเตรเลีย

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ค. 50


    บันทึกนี้คงจะเรียกเป็นบันทึกไดอารี่ได้ แต่อยากจะแบ่งปันทั้งประสบการณ์และความรู้สึกจากการมาเรียนต่างแดน ในฉบับมุมมองของวัยรุ่น Teenage

    ประวัติสั้นๆ จะได้เข้าใจกันว่าทำไมมุมมองบางมุมมองจึงดูไร้เหตุผล

    เรียกกันสั้นๆในเนื้อความว่า ขวัญ (ผู้หญิงนะคะ)
    ชื่อจริงชื่อ เวโรนิก้า มารีอา ม.(ไม่เผยนามสกุล)
    เป็นลูกครึ่ง(แม่)ไทย (พ่อ)ปัวโตริกัน(อยู่แถบอเมริกาใต้ พูดภาษาสเปน)
    พูดภาษาไทย และ อังกฤษ ได้ตั้งแต่เด็ก ภาษาสเปนฟังออกแต่พูดไม่ได้(ดื้อภาษาคะ)
    การศึกษา จบม.1 ร.ร.มาแตร์เดอี
    ข้ามชั้นเข้าเรียน Year 8 รัศมีนานาชาติ เทอมสุดท้าย
    สอบ IGCSE(เหมือนสอบเทียบร.ร.ไทย) O(Ordinary) Level กลาง Year 10
    ผ่านในคราวเดียว จึงถูกเตะออกจากร.ร.ในบันดล
    บัดนั้นอายุ 16 ครึ่ง

    ในเวลานั้น ไม่ทราบเลยว่าอยากจะเรียนอะไร ที่ไหนแต่มีความสนใจด้านการทำกราฟฟิคคอมพิวเตอร์เป็นทุนเดิม
    ช่วง มิถุนายนเป็นช่วงที่ได้ผลคะแนน ดีใจมากเลย ผ่านทุกตัวที่ไปสอบมา
    คิดว่าไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว
    แต่ข่าวร้ายตามมาคือ เรียนมหาวิทยาลัยไหนดี?
    2004 คณะที่เน้น กราฟฟิค มีน้อยมาก และเพิ่งเปิดเสียส่วนใหญ่
    ที่เปิดเป็นคณะ international ไม่มีเลย
    กว่าจะรอเทียบวุฒิเสร็จก็กุมภาปีหน้า
    พ่อแม่ไม่อยากจะให้หยุดนานเป็นปีโดยไม่ได้ทำอะไร จึ่งเร่งหาที่เรียนที่อื่น

    คุณพ่อบอกว่าไม่อยากให้ไปที่อเมริกา เพราะยังกลัวเรื่อง 9/11 สงครามอาจจะรุนแรง
    จึงคิดว่า ไม่ New Zealand ก็ไป Australia ดีกว่า
    เราได้ไปนิทัศการ การศึกษาต่างประเทศ และ ของออสเตรเลียเป็นหลักเพื่อหาข้อมูลเรียนต่อ

    ทุกที่เสนอให้ไปเรียนได้ แต่เพราะขวัญมี
    O Level ซึ่งเสมือนเป็นวุฒิจบม. 4 อย่างเดียว เสนอให้เรียนวิชาเบื้องต้น (เหมือนเรียนวิชาพื้นฐานของมหาลัยที่ไทย)
    แต่บางที่ให้เรียน 5 ปีบ้าง 4 ปีบ้าง
    จึงถอยหลักไปคิดว่า กลับไปติวสอบ A Level เพื่อจะได้ไม่มีปัญหา
    ทว่ากว่าจะได้สอบ ใบเทียบวุฒิที่เทียบออกมาแล้วจะเทียบเท่ากับวุฒิ ม. 6 ก็ออกมาแล้ว ป่านนั้นเรียนที่ไทยดีกว่า
    เพราะวุฒิม.6ของที่ไทย ที่ออสเตรเลียถือเป็นเพียงแค่จบ ม. 3 เท่านั้น

    คุณพ่อค้นคว้าต่อจนได้ที่เรียน Tazmania เรียนเทียบเท่าม. 6 เพียงปี เดียว
    แล้วเลื่อนชั้นเรียนปริญญาตรีได้เลย
    ซึ่งเป็น ระบบเดียวกับของไทย ประมาณ เรียนพื้นฐานในช่วงปีหนึ่งให้ครบ เก็บ หน่วยกิจได้แล้ว ก็เรียนปี 2 เก็บวิชาหลักได้เลย
    วิชาก็มี Australia history, Math, English, Science ฯลฯ

    คุณแม่ ไม่ค่อยพอใจเนื่องจากท่านก็มีอายุมากแล้ว
    ไม่มีอารมย์นั่งเครื่องบินสองต่อ จากไทยเข้าออส แล้วต่อไปแทสเมเนีย
    ที่นั่นเป็นถิ่นเงียบจัด และญาติที่เชื่อใจก็ไม่มี

    กฏหมายของออสเตรเลียคือสำหรับเด็กชาวเอเชีย
    ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ และ"ต้อง"มี ผู้ปกครอง หรือตัวแทนผู้ปกครองที่อายุมากกว่า 20(Guardian)
    คือเสียเงินให้คนเซ็นรับรอง กับแผ่นกระดาษเล็กน้อยต่างๆดีดีนี่เอง
    ฐานะบ้านไม่ได้ร่ำรวยจะได้เสียเงิน
    เพิ่มกับค่าเครื่องบินสองต่อ
    ค่า Guardian และการเรียน ที่เป็นหลักสูตร เดิม กับที่อุสาหะสอบผ่านมาได้

    คุณแม่จึงเกิดอาการฮึด ไปล่าข้อมูลบ้าง
    และในอาทิตย์ต่อมาคุณแม่ก็ร้องโห่ด้วยความดีใจ
    "ไปเรียนเป็น College ดีกว่า ที่ AIT sydney"
    www.academyit.nsw.edu.au/

    คุณพ่อแน่นอนไม่ชอบใจ เรียนอนุปริญญาเสร็จ
    ถ้าอยากเรียนต่อที่ออสเตรเลียก็ต้องเรียนตั้งแต่วิชาพื้นฐานอยู่ดี

    คุณแม่ก็ค้านบอกว่า
    เมื่อเรียนจบ 1 ปี ก็สามารถไปเรียนต่อ ปริญญาตรีได้เลย
    เพียงแต่ว่า ความต่างคือ
    1. เราได้ Diploma of Multimedia (คอมพิวเต้อกราฟฟิคที่ขวัญชอบ) เมื่อจบ 1 ปี
    แตกต่างจากการไป Tazmania ที่ต้องเรียนวิชาที่ไม่ได้ skill อะไรกลับมาเลย

    2. ทาง AIT ได้ทำสัญญากับมหาลัยมากกว่า 5 แห่ง
    ว่าเมื่อเรียนจบ Diploma จาก AIT มาแล้ว เขาจะรับเข้าเรียนปริญญาตรี ได้โดยไม่ต้องเรียนวิชาพื้นฐาน(เทียบเท่าม.6)

    3. College นี่มีการพัฒนา หาสัญญากับมหาลัยเพื่อขึ้นมาตลอด
    และยังทำการพูดคุยว่าจะเพิ่มขึ้นอีก


    คุณแม่ยังเห็นอีกว่าอยู่กลางเมือง Sydney และมีญาติอยู่ ซึ่งเป็นคุณน้าแท้ๆ
    สามารถฝากเป็น Guardian ได้
    นอกจากนั้นแล้ว คนที่คุณแม่คุยด้วย(เป็นผู้หญิงชื่อ Lourdes อ่านว่า ลัวร์เดส หรือ ลอเดส)
    ยังเสนอจะหาที่อยู่ และมารับจากสนามบินถึงที่

    คุณแม่สนิทกับคนง่าย และอยากได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวเสมอ
    ขวัญจึงเห็นด้วยทันทีที่คุณแม่ให้อ่านข้อมูล ของ คอส ที่คุณแม่บากบั่นหามาเสนอ

    คุณพ่อแน่นอนน้อยใจ แต่ก็ตามใจลูก
    เพียงแต่ก็ไม่ไว้วางใจ

    สุดท้ายก็ต้องไปคุยกับคุณ Lourdes ทานข้าวกันขึ้นมา
    จนคุณพ่อไว้วางใจเกิน 50%

    -------------------------

    หากไม่เข้าใจส่วนไหนคอมเม้นไว้ด้วยนะคะ
    จะได้กลับมา Re-write ให้เข้าใจง่ายกว่าเดิม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×