ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BL] เป้าหมายของข้าคือ HaRem!!

    ลำดับตอนที่ #43 : ย้อนยุค 38 (100%) : ไม่ต้องเข้าร่วมการประลอง ชีวิตก็เหมือนได้ต่อยตีอยู่ตลอด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 15.76K
      445
      11 ต.ค. 60


    ย้อนยุค 38

    ไม่ต้องเข้าร่วมการประลอง ชีวิตก็เหมือนได้ต่อยตีอยู่ตลอด

     

    ปกติเมืองบริเวณชานเขาของหุบเขาเหม่ยลี้มักจะเงียบสงบ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คนมากมายสัญจรกันไปมา พ่อค้าแม่ค้าตั้งแพงลอยค้าขาย ปากฉีกยิ้มกันแก้มแทบปริ เพราะศึกประลองยุทธที่จะจัดในอีกไม่กี่วัน ทำให้เมืองที่เงียบสงบมาตลอดคึกครื้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

    ท่ามกลางหมู่คนมากมายมีร่างในชุดเกราะสีดำสนิทคอยออกลาดตระเวนรักษาความปลอดภัย หน้ากากรูปอินทรีสีเงินบนหน้าทำให้พวกเขาดูน่ายำเกรงปนน่าหวาดกลัว

    เนื่องจากหน่วยอินทรีโลหิตเข้ามาควบคุมด้วยตัวเองเช่นนี้ พวกมิจฉาชีพจึงไม่ค่อยออกลายเท่าไหร่นักยกเว้นพวกที่อยากลองดี ซึ่งก็โดนลากตัวไปภายในไม่กี่วินาที สมกับเป็นการทำงานของหน่วยอินทรีโลหิตอันเลื่องชื่อ

    “ฮ้าววววววววววว”

    “ตั้งใจหน่อย อาสือ”

    เพื่อนร่วมหน่วยปรามเขาเสียงเบา สือโถวเพียงยักไหล่ ใส่หน้ากากปิดทั้งหน้าแบบนี้ชาวบ้านเขาไม่เห็นหรอกน่าว่าหาว จะเก๊กเท่ไปถึงไหนกัน

    วันนี้เป็นเวรของเขากับเพื่อนร่วมหน่วยอีกสามคนที่ต้องมาเดินลาดตะเวน เพราะเป็นหน่วยที่มากฝีมือแต่ดันมีคนน้อย พวกเขาจึงต้องออกแรงวิ่งวนไปมาเพื่อจัดการความขัดแย้งที่มีตั้งแต่เตะหมายันลักพาตัว และมันเป็นเช่นนี้มาประมาณสิบวันได้แล้ว...

    ตรวจตราทั้งกลางวันกลางคืน สำนักเหม่ยลี้เห็นพวกเขาเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่ต้องกินไม่ต้องนอนหรืออย่างไร!

    “พี่กวง... เมื่อไหร่พวกเราจะได้เปลี่ยนงานไปเฝ้าหน้าสำนักซะทีหรือ”

    ยืนเฝ้าหน้าสำนักถึงจะน่าเบื่อ แต่ก็ดีกว่ามาวิ่งรอบเมืองล่ะว่ะ!

    “พวกเราเป็นเด็กใหม่ ไม่มีทางได้เปลี่ยนงานง่ายๆหรอก”

    “ใช่ เจ้าเองก็เถอะสือโถว ทำตัวให้มันร่าเริงกว่านี้หน่อยสิ! พวกเรากำลังทำหน้าที่สำคัญอยู่นะ!

    เห็นความไฟแรงของสองหนุ่ม สือโถวได้แต่ยิ้มแห้งภายใต้หน้ากากอินทรี 

    ข้าต้องการน้ำตาล ข้าต้องการพักผ่อน ข้าต้องการที่นอน! พวกท่านมันไม่เข้าใจหัวอกคนเป็นนีท*!! โฮกกกกกกกก

    “ช่วยด้วย! โจร!! มีโจร!!!

    พวกเขาสามคนหยุดเท้าทันที สือโถวผ่อนลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน มาอีกแล้วโว้ย

    ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ สือโถวกับพี่ชายหน่วยอินทรีก็แยกย้ายไปคนละทิศละทางเพื่อสะกัดจับโจรทันที

    สองขากระโดดขึ้นบนหลังคาพลางเพ่งสมาธิหาที่มาของเสียง พอเห็นร่างถึกถึนซอมซ่อที่วิ่งชนชาวบ้านอยู่บนถนนอีกสายสือโถวก็ออกแรงพุ่งตัวไปข้างหน้าทันที

    “กรี๊ดดดดดดดดด”

    “เฮ้ย! อะไรวะ!!

    “ถอยไป! ข้าบอกให้ถอยไป! อยากตายกันหรือไง!!

    “เจ้าต่างหาก อยากตายรึไง”

    เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นเหนือหัว โจรถ่อยชะงักกึก ไม่ทันจะได้รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็มีแรงกระแทกจากด้านหลังจนร่างถึกถึนกระเด็นไปสามจั้ง

    โครมมมมมมมมม

    “อะไร อั่ก!!!

    โจรถ่อยกำลังจะพยุงตัว เป็นอันต้องไปนอนวัดความหนาของพื้นอีกครั้ง ความเจ็บแปลบแล่นทั่วอก 

    มันกระอั่กเลือดออกมาคำโต

    “มาขโมยของเช่นนี้ไม่ดีเลยนา พี่ชาย”

    “จะ เจ้า!

    สือโถวเพิ่มแรงกดที่เท้ามากกว่าเดิม “จ้า อินทรีโลหิตเองจ้า ยินดีที่ได้รู้จักนะพี่ชาย” คนยิ่งง่วงๆอยู่ ดันหาเรื่องให้ออกกำลังกาย ให้ตายเถอะ

    ผลัวะ!

    “คร่อก”

    ผู้คนแถวนั้นถึงกับสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นชายหนุ่มในหน้ากากอินทรีตะวัดเท้าเตะปลายคางของโจรถ่อยสลบในครั้งเดียว สือโถวปัดมือ ก้มหยิบปิ่นออกจากอุ้งมือใหญ่สกปรกใต้เท้า

    ปิ่นหยกสีเขียวนวล ปลายด้านหนึ่งมีรูปดอกเบญจมาศ

    เขาขมวดคิ้ว หืม? ไอ้นี่มันคุ้นๆนะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

    “อ๊ะ! ขอบคุณขอรับ ท่านอินทรีโลหิต”

    สือโถวหันไปด้านข้าง เจ้าของเสียงใสพยายามเบียดเสียดผู้คนออกมา ร่างเล็กที่สูงเพียงอกเขาวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า

    “นั่นมันปิ่นของข้าเองขอรับ!

    !

    ทันใดที่สบกับดวงตากลมโต สือโถวถึงกับตกใจจนผงะไปด้านหลัง เสวี่ย...”

    “อะไรหรือขอรับ?”

    เด็กหนุ่มเอียงคองงงวย สือโถวดึงสติกลับมา เขากระแอมเสียงเบา ก้มมองคนที่น่ารักเกินเพศตนเอง

    “ปิ่นนี่เป็นของเจ้าจริงหรือ?”

    หรี่ตามองผมที่ตัดสั้นเป็นรองทรงของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มเหมือนรู้ว่าเขาสื่อถึงอะไร มือขาวเนียนยกลูบผมสั้นกุด “พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ข้าเลยต้องตัดผมทิ้งขอรับ แล้วปิ่นอันนั้นเป็นของดูต่างหน้ามารดาข้าด้วยขอรับ”

    “...”

    “เอ่อ ท่านอินทรีโลหิต?”

    “ปิ่นนั่นเป็นของเด็กนั่นจริง”

    เด็กหนุ่มสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ ร่างในชุดเครื่องแบบสีดำสนิทสองคนทิ้งตัวลงมายืนข้างพี่ชายอินทรีโลหิตที่อยู่เบื้องหน้า “ข้าเห็นเด็กนี่วิ่งตามโจรมาตลอดทาง”

    “อืม”

    สือโถวยื่นปิ่นในมือให้อีกฝ่ายไป เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง โค้งตัวขอบคุณไม่หยุด เดือดร้อนพี่กวงต้องบอกให้พอ เจ้าตัวถึงยอมจากไป แต่ไม่วายหันมาโค้งตัวขอบคุณอีกรอบ

    “ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง”

    พี่กวงพึมพำ ก่อนจะกลับไปช่วยพี่เฟยมัดร่างถึกถึนเอาไปส่งให้ทางการ ทั้งสองเห็นน้องเล็กของกลุ่มไม่ยอมเดินตามมาเสียทีจึงส่งเสียงเรียก

    “มีอะไรรึเปล่า อาสือ!

    “เปล่า”

    สือโถวตอบเสียงเบา

    ไม่มีอะไร”

     

    “พวกเจ้าเป็นใคร มาจากที่ไหน” ทหารหน้าประตูเมืองถามเสียงเหี้ยม ชายวัยกลางคนหน้าขบวนยื่นเอกสารให้ทหารผู้นั้น กวาดสายตาอ่านไม่นาน ร่างสูงก็พลันมีท่าทีอ่อนลง ผายมือไปยังทางเข้าเมือง

    “ขออภัย เชิญขอรับ”

    “อืม”

    ชายวัยกลางคนผู้เป็นตัวแทนเชิดหน้าขึ้น ยกมือลูบหนวดสีขาวโพลนที่ตัดแต่งอย่างดี ด้านหลังมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินหน้าง่วงมาไม่ห่าง

    “การตรวจตราเข้มงวดใช้ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ สมกับเป็นหุบเขาเหม่ยลี้”

    แม่ทัพของดินแดนเอ่ยปากชม ดีที่ตน (บังคับแถมขู่เข็ญ) ให้พวกบัณฑิตน่ารำคาญพวกนั้นเขียนหนังสือรับรอง ก่อนแอบพาฮ่องเต้มาเที่ยว แค่ก ดูงานนอกสถานที่ ถึงได้ผ่านด่านมาอย่างง่ายดาย

    “ฝ่า- คุณชายหลิง ท่านสัญญากับหม่อม- ข้าน้อยแล้วนะขอรับ ว่าจะอยู่แค่สิบวันเท่านั้น!

    “บ๊ะ พ่อบ้านจิ้น เจ้าจะลนอะไรหนักหนา มีข้าอยู่ทั้งคน!

    ก็เพราะมีเจ้าอยู่น่ะสิ ถึงได้น่าห่วง!!

    ขันทีจิ้นอัน หรือก็คือขันทีประจำพระองค์ขบฟันด่าไอ้แก่ผมขาวอย่างหงุดหงิด เดิมทีเขาก็ไม่เห็นด้วยกับการออกวังครั้งนี้อยู่แล้ว แต่จะปล่อยให้หายกันไปสองคนเหมือนหลายปีก่อนอีกก็ไม่ดี!

    “เพราะท่านบอกว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับราชวงศ์ ต้องให้ฝะ- คุณชายดูด้วยตาตนเองหรอกนะ ข้าถึงได้ยอมให้มา อย่าหวังจะพาฝ่า- คุณชายหลิงเที่ยวเล่นเลย โดยเฉพาะหอคณิกา!!

    “วุ้ย ขี้บ่นเสียจริง คุณหญิงที่บ้านข้ายังไม่บ่นเท่าเจ้าเลยนะ”

    “ว่ากระไรนะ!

    “พอ”

     ทั้งสองหยุดการโต้เถียงกันทันที คุณชายหลิงอ้าปากหาว “ง่วง ที่พัก?”

    “ทางนี้เลยขอรับ” เห็นเจ้าชีวิตทำหน้าเหนือย ขันทีจิ้นได้แต่ปวดใจรีบจัดแจงพาไปยังห้องพักที่จองไว้ ฮ่องเต้ทรงเหนื่อยจากการเดินทางมากสินะ เขาถึงได้บอกไงว่าให้ทรงประทับรถม้าแทน แต่ไอ้แก่หัวแข็งก็เถียงว่ามีแต่สตรีที่นั่งรถตุ๊งติ๊งเช่นนั้น เเถมยังจัดการลากฮ่องเต้ขึ้นม้าควบมาที่นี่ทันที

    ลับหลังร่างเล็ก คุณชายหลิงหันมายักคิ้วให้กับท่านแม่ทัพเซวียน

    ไอ้ข้ออ้างนั่นก็แค่สิ่งที่เขาสั่งให้เซวียนฝานหามามั่วๆ เขาเคยแต่อยู่ในสนามรบมาทั้งชีวิต ต้องมาจับฎีกามากมายได้แต่รู้สึกเบื่อหน่าย ยิ่งพวกนางสนมที่เอาแต่โวยวายอยู่หน้าพระตำหนักหาว่าเขาไม่ใยดีอีก

    แค่นอนด้วยกันครั้งเดียว ทำเหมือนผัวเมียที่อยู่กินมานานนับสิบปีไปได้

    น่ารำคาญ

    จอกแจก จอกแจก

    “หือ เกิดอะไรขึ้น”

    ทันทีที่เกิดเสียงเอะอะขึ้น หน่วยองค์รักษ์ก็ขึ้นหน้าปกป้องนายเหนือหัวทันที แม้รู้ว่าสำหรับฮ่องเต้ผู้นี้ มันไม่จำเป็นก็ตาม

    ที่เส้นทางอีกด้าน มีสองร่างไล่ตามกันมาติดๆ คนที่ไล่ตามแต่งด้วยชุดเกราะสีดำและหน้ากากอินทรีอันเป็นเอกลักษณ์

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะเฟ้ยยยยยยย!!

    "จะหยุดให้โง่เหรอวะ!!

    “เออ ไอ้ฉลาด!” สือโถวเอียงตัวหลบพลางคว้าตระกร้าสานที่อีกฝ่ายขว้างมาเพื่อไม่ให้ชาวบ้านโดนลูกหลง วันนี้ความวุ่นวายเกิดจากชาวยุทธผู้มั่นหน้าที่ออกระรานชาวบ้านไปทั่ว 

    ส่วนไอ้ตัวที่วิ่งตูดบิดหนีเขาอยู่คือหัวโจก เห็นแล้วอยากหัวเราะให้ฟันหลุด พอลูกน้องโดนจัดการเรียบ พี่แกแม่มทิ้งฉายาหนึ่งในปฐพีวิ่งหน้าเริ่ดลำบากให้เขาต้องวิ่งตามเนี่ย!

    “แต่แกน่าจะฉลาดกว่านี้ เพราะว่าหนียังไงก็ไม่รอดหรอกโว้ย!!” เพิ่มเติมคือตูจะกระทืบเอ็งให้เป็นหนึ่งเดียวกับปฐพีเอง ไอ้กร๊วกหัวเถิก!!

    หมับ

    เสร็จโจ๋ล่ะเว้ยยยยยยยยย

    โครมมมมม!!!

    ทันทีที่จับได้ สือโถวก็จัดการทุ่มอีกฝ่ายลงดิน และอย่างที่บอก ขั้นต่อไปคือกระทืบ!

    พลัวะโอ้กตุบอ้ากพลัวะ!

    “เฮ้อ”

    หลังจากจัดการบี้หัวหน้าหนึ่งในปฐพีเสร็จ เขาก็ทิ้งตัวนั่งลงทับหลังซากศพ (?) ความง่วงงุนจากงานที่ลากยาวทำให้เขาต้องก้มหน้าหลับตาเรียกสติ

    ไม่แบกแม่มละ รอให้พี่เฟยกับพี่กวงมาช่วยเก็บซากแล้วกัน

    ตึก

    เพราะหลับตา ประสาทสัมผัสจึงดีกว่าปกติ เขารู้สึกได้ว่าต้องหน้ามีสี่ ไม่สิ ห้าชีวิตยืนค้ำหัวอยู่ เมื่อกี้มัวแต่กระทืบไม่ใช่ว่ามีคนได้รับบาดเจ็บหรอกนะ?

    ด้วยอยู่ในหน้าที่สือโถวจึงฝืนตาที่แทบปิด เงยหน้าฉีกยิ้มภายใต้หน้ากากให้อีกฝ่าย “ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน... ใช่มั้ย?”

    เสียงเเผ่วเบาในตอนท้าย กลุ่มคนตรงหน้าจะว่าแปลกก็แปลก ทั้งขบวนเป็นผู้ชายหมด คนด้านซ้ายตัวเล็กใบหน้ามีอายุแต่กลับไร้หนวดเครา ด้านขวาคือบุรุษวัยกลางคน ผมและหนวดสีขาวถูกตกแต่งเป็นอย่างดีเเถมเรือนร่างสูงใหญ่ไม่ต่างกับอีกสองคนด้านหลัง

    ส่วนคนตรงกลาง

    หน้าคุ้นๆว่ะ

    “เกิดอะไรขึ้นหรือ?” คุณลุงไร้หนวดก้มถาม เพื่อสุขภาพที่ดีของคนแก่ สือโถวจึงลุกขึ้นยืนแทน

    “พวกก่อไม่ความสงบน่ะ”

    “หืม? ไม่คิดว่าเจ้าทำเกินกว่าเหตุไปหรือ คำว่ากฎหมายเคยอยู่ในหัวหน่วยอินทรีโลหิตบ้างหรือไม่” คราวนี้คุณลุงหนวดขาวพูดบ้าง น้ำเสียงจริงจังเจือปนด้วยความขบขัน

    สือโถวเอียนเอน คนยิ่งง่วงๆมาถามคำถามปรัชญาอะไรตอนนี้วะลุง“ถ้าลุง อืม... เห็นสภาพก่อนหน้านี้ ลุงจะไม่พูดแบบนี้หรอก” 

    เขาสะบัดหัวเรียกสติอีกรอบ ภาพตรงหน้าเริ่มเลือนลางในความคิด “ข้า... จำเป็นต้องลงมือ... รุนแรงนิด... หน่อย”

    “เจ้าไหวมั้ยเนี่ย?”

    “เหอะๆ เเอมฟาย เเทงคิ้ว อ่ะ ไม่สิ” สะบัดหัวไล่ความมึน “ข้าสบายดี”

    เพราะใช้พลังงานก็อกสุดท้ายไปกับการวิ่งไล่หัวโจก พลันภาพตรงหน้าก็มืดมิด ร่างในเครื่องแบบหน่วยอินทรีโลหิตเซวูบ

    หมับ

    “คุณชายหลิง!!

    เสียงร้องตกใจสอดประสานกันดังลั่น สือโถวขมวดคิ้ว รู้สึกไม่อยากออกห่างจากความอุ่นที่เจือปนด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ป่าเลยสักนิด ขอร้องล่ะ อย่ามาโวยวายแถวนี้ได้มั้ยวะ คนจะนอน

    ฝังหน้ากับหมอนใบแข็งมากกว่าเดิม อือ เอาหินมายัดแทนนุ่นเหรอวะ โคตรแข็... เดี๋ยวนะ? หมอน??

    “เฮ้ย!!”

    ฟึ่บ!

    ดีดตัวออกจากอ้อมอกคนตัวสูงแทบไม่ทัน “ขอโทษขอรับ!!!” โค้งตัวเก้าสิบองศาขอโทษพี่ชายตรงกลางทันที สือโถวกัดฟันริมฝีปากแน่น ใบหน้าใต้หน้ากากแดงซ่านแทบระเบิด

    วะ หวังว่าพี่แกคงจะไม่เขียนจดหมายร้องเรียนหรอกนะ

    แอบเหล่มองพี่ชายตรงหน้าทั้งที่โค้งตัว ก่อนจะสะดุ้งสุดตัว เมื่อเผลอสบนัยน์ตาง่วงงุนที่ทอดมองเขาอยู่

    “คุณชายหลิง ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยขอรับ!

    “อืม”

    “แล้วเจ็บตร-”

    คุณชายหลิงยกมือห้ามขันทีจิ้งที่เข้ามาลูบเนื้อลูบตัวหาบาดแผลไม่หยุด ร่างเล็กชะงัก ก้าวถอยหลังไปอย่างรู้งาน ใบหน้าง่วงงุนหันไปหาชายผมสีดอกเลา แม่ทัพเซวียนพยักหัว

    “ยืนขึ้นเถอะ พ่อหนุ่ม” มือใหญ่คว้าแขนชายหนุ่มให้ยืดตัวยืน ดวงตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมองคนข้างตัวอย่างล้อเลียน “เจ้าไม่ผิดหรอก คุณชายของทางเราเป็นฝ่ายกอดเจ้าก่อนนี่นะ”

    “เซวียนฝาน! เจ้ากล้าว่าคุณชายหลิงเหรอหะ!

    “ข้าว่าตรงไหนกัน แค่อธิบายให้ฟัง”

    “...”

    ยังทำตัวเป็นศพที่ดี ปล่อยให้สองผู้อาวุโสฮึ่มแฮ่ใส่กัน สือโถวกระพริบตา หัวสมองยังคงมึนตึ๊บจากการอดนอน ทำให้คิดอะไรตามไม่ค่อยทัน สุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะคำนับให้คุณชายหลิง

    “เอ่อ เมื่อครู่ ข้าขออภัยอย่างสุดซึ้งก้นบึ้งหัวใจจริงๆขอรับ”

    “...”

    “ข้าไม่ค่อยได้นอน หวังว่าคุณชายหลิ...!” สมองเหมือนได้ยินเสียงกริ๊ก ปากที่จะกำลังจะเอ่ยขอโทษอ้าค้างกลางอากาศ

    คุณชาย...หลิง?

     ‘เหน็บไม่กินปากแล้วเหรอ?

    ทำไมต้องคุย

    ต่อ

    !!!!!

    ดวงตาภายใต้หน้ากากเบิกกว้างจนแทบถลน หวิดจะร้องกรี๊ดออกมาแล้วดีที่กัดปากตัวเองทัน เอี้ยยยยยยยยยยยย (?) นี่มันไอ้คุณชายหน้ามึนตอนนั้นนี่หว่า!

    ในขณะที่สือโถวเหงื่อแตกพลั่กจนชุ่มใบหน้า คุณชายเพียงเลิกคิ้ว “มีอะไร”

    ใจที่แกว่งขึ้นสูงพลันสงบนิ่ง

    จำไม่ได้?

    เผลอยกมือเตะหน้ากาก เออว่ะ ข้าใส่หน้ากากอยู่นี่หว่า

    เขาผ่อนลมหายใจโล่งอก “ไม่มีอะไรขอรับ เอ่อ ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” ก้มลงไปแบกไอ้หนึ่งในปฐพีขึ้นบ่า ความง่วงงุนตอนแรกหายเป็นปลิดทิ้ง สือโถวผงกหัวขอโทษอีกรอบ ก่อนจะรีบหมุนตัวจากไป

    ภาพที่เห็นแปลกตาเล็กน้อย ที่ชายหนุ่มหน่วยอินทรีโลหิตแบกร่างที่ใหญ่กว่าตนเองสองเท่าขึ้นบ่าได้ราวกับกำลังแบกนุ่น แม่ทัพเซวียนรู้สึกชื่นชมจนต้องเปิดปาก “ไอ้หนุ่มนั่นแข็งแรงใช่ได้ บ๊ะ อยากได้มาเป็นลูกน้องเสียจริง”

    “เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า” ขันทีจิ้นหันไปถลึงตาใส่ไม้เบื่อไม้เบาของตนเอง

    “ก็ข้าพูดความจริง ท่านว่างั้นขอรับ คุณชาย?”

    เซวียนฝานเรียกนายเหนือหัวที่ยืนนิ่ง ชายหนุ่มดึงสายตากลับมาจากแผ่นหลังสีดำ

    “อือ”

    “ท่านแม่ทัพ”

    ทหารองรักษ์ข้างกายเข้ามาประชิด ยื่นสารลับแผ่นเล็กให้ แม่ทัพเปลี่ยนท่าทีเป็นเงียบขรึมจริงจัง ก้มกวาดสายตาเพียงรอบเดียวก่อนจะเผามันเป็นเถ้าถ่าน

    เซวียนฝานสบตากับคุณชายหลิง ด้วยความที่ร่วมศึกกันมานาน ไม่ต้องมีความพูด ชายหนุ่มก็เข้าใจที่แม่ทัพต้องการบอก นัยน์ตาง่วงงุนมีแววสังหารพาดผ่าน

    “แน่ใจ”

    “ข่าวคราวนี้ไม่พลาดแน่ขอรับ”

    “อืม”

    ขันทีจิ้นก้มหน้าต่ำ ใจจริงอยากห้ามบุรุษผู้นี้ ตนไม่อยากจะเห็นการหนองเลือดของพี่น้องอีกแล้ว แต่ก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแย่งชิงอำนาจ จนเลยเถิดถึงขั้นกบฎ ฮ่องเต้จำเป็นต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่ให้องค์ชายคนอื่นได้ก่อการใหญ่

    การที่ฮ่องเต้เดินทางมาปลิดชีวิตด้วยตัวเอง... ก็ถือเป็นการให้ความเมตตาต่อน้องชายฉบับคุณชายหลิงแล้ว

    แต่ร่างสูงไม่ได้สนใจความกังวลของคนรับใช้ข้างตัวแม้แต่น้อย

    “สือโถว!!

    “มาพอดีเลยพี่เฟย ข้ากำลังจะเอาไอ้บ้านี่ไปส่งพอดี”

    “เฮ้อ รีบหน่อยก็ดี เราต้องตรวจตราต่อนะ!

    ในหมู่ฝูงชนที่พร้อมใจกันแหวกเป็นทางกว้าง ร่างในชุดเครื่องแบบสองร่างกำลังยืนปรึกษากันอยู่ คนที่เเบกร่างจอมยุทธถ่อยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า คล้ายอยากจะขว้างของบนบ่าทิ้งแล้ววิ่งหนีไปซะเดี๋ยวนี้

    ริมฝีปากได้รูปยกโค้งขึ้น

    คิดว่าข้าจะจำไม่ได้?

    “นมปลอม”

    “เอ๊ะ เมื่อครู่ท่านว่ากระไรนะขอรับ?”

    “เปล่า”

    ในเมื่อหน่วยอินทรีโลหิตกล้าส่งคนมาประกบเข้าตั้งแต่สามปีก่อน เขาก็จะน้อมรับ ตะบบอินทรีน้อยไว้ใต้ฝ่ามือก็แล้วกัน

     

    ....................................100%..................................


    นีท*        =  พวกชอบเก็บตัว ไม่ทำการ ทำงาน




    ชุดของหนวยอินทรีโลหิต 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×