ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BL] เป้าหมายของข้าคือ HaRem!!

    ลำดับตอนที่ #21 : ย้อนยุค 19 (100%) : ข่าวลือที่มาพร้อมสายลมหนาว

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.82K
      472
      3 พ.ค. 60


    ย้อนยุค 19

    ข่าวลือที่มาพร้อมสายลมหนาว

     

    "เรื่องที่ให้จัดการเป็นอย่างไร" เสียงเย็นเฉียบหาได้ยากจากนายน้อยโจว ทำเอาหนึ่งในหน่วยอินทรีย์โลหิตร่างกายสั่นสะท้าน ร่างใหญ่ก้มหน้านิ่งตอบขึงขัง

    "เรียบร้อยเเล้วขอรับ!"

    "ดี"

    โจวเจว่ยทอดสายตาไปยังฝั่งตรงกันข้าม ตึกไม้หลังใหญ่ชั้นสามมีห้องหนึ่งเปิดหน้าต่างกว้าง เเสงเทียนจากในห้องส่องกระทบใบหน้าเอื่อยเฉื่อยของคนที่เขาคิดถึงมาตลอดวัน

    ร่างสูงผอมพิงกรอบประตู ในมือถือหนังสือที่ชายหนุ่มไม่คุ้นเคย เสียงหัวเราะเเผ่วเบาลอยตามลมเหมือนหนังสือเล่มนั้นมีอะไรที่จี้จุดให้เด็กหนุ่มขำ

    "เฮ้อ ข้าจะทำยังไงกับเจ้าดีนะ"

    โจวเจว่ยยอมรับว่าเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อน เเอบเป็นเเผนที่เขาวางเอาไว้ เพื่อที่จะ 'กำจัด' สองพี่น้องออกไป ในตอนที่สือโถวเดินยอมรับผิดเข้ามา ชายหนุ่มหวังเป็นอย่างมากว่าสือโถวจะเปลี่ยนจากท่าทีเฉื่อยชาเป็นโกรธเเค้นโวยวาย

    เพียงสือโถวเปิดปากบอกว่าตนบริสุทธิ์คำเดียว เขาพร้อมจะฉีกเเผนของตนเองทิ้ง เเค่เเผนหลอกล่อก่อนเข้าสู่ขั้นต่อไป คิดมาอีกพันเเบบก็ย่อมได้

    โจวเจว่ยเฝ้าคอยจนหัวใจเต้นถี่ระรัวไปหมด

    สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ไม่ว่าอะไร ยังคงท่าทีเฉยเมยเหมือนเดิม

    อกข้างซ้ายของโจวเจว่ยเจ็บเเปลบ นั่นน่ะ...ไม่ได้เเปลว่าสือโถวเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ เเต่ไม่เก็บมาใส่ใจเลยต่างหาก

    น่าขำ เเทนที่คนถูกกักบริเวณจะเป็นทุกข์ กลับเป็นเขาที่ร้อนรนดั่งไฟ อยากทำลายเเผนของตนเองทั้งหมด

    เเอบมองสือโถวที่หัวเราะไม่หยุด ก่อนถอนหายใจเฮือก

    "ใจร้ายจัง"

    หน่วยอินทรีย์เห็นนายเหนือหัวพึมพำไม่หยุดก็ได้เเต่สงสัย ตั้งเเต่นายน้อยขอย้ายมาอยู่ห้องนี้ เเลดูจะฟุ้งซ่านกว่าเดิมนะ?

    ตึก ตึก

    เสียงฝีเท้าคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง ร่างใหญ่โตผุดลุกขึ้นทันที สองมือคำนับเเขกผู้มาเยือน "ท่านตงฉิน"

    "อืม" ชายหนุ่มชุดดำเพียงตอบรับในลำคอ ก้าวไปหยุดอยู่ข้างโจวเจว่ยที่กอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างไม่เลิก "หลี่หลงส่งคนมาบอกว่า เริ่มหาร่องรอยของหมาป่านิลได้เเล้ว"

    โจวเจว่ยชะงัก ร่างในชุดสีฟ้าอ่อนยืดตัวตรง กลับไปนั่งโต๊ะเขียนหนังสือ "ว่าต่อ"

    "เป้าหมายของพวกมันไม่ใช่ตำราหลินหลาง เหมือนมันเเค่ผ่านทางมาเท่านั้น"

    "หึ ผ่านทางมา เเต่ทำลายเขตเเดนเสียย่อยยับ"

    "นั่นเเหละที่เเปลก" ตงฉินวางของบางอย่างไว้ตรงหน้าโจวเจว่ย "หลี่หลงพบสิ่งนี้ตกอยู่ เเถวท้ายเขายังมีร่องรอยการต่อสู้มากมาย เป็นไปได้ว่าเกิดเหตุขัดเเย้งกันภายในกลุ่ม เเล้วแรงปะทะทำให้เขตเเดนเราพังทลายลง จึงหลุดเข้ามาในหุบเขาได้"

    เบื้องหน้าโจวเจว่ยคือเขี้ยวเเหลมคม กับข้อมือใหญ่ที่ไหม้เกรียม สัญลักษณ์ของพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจ เขี้ยวคือหมาป่า ส่วนข้อมือเเบบนี้...

    "เด็กนั่นกำลังตรวจสอบอยู่" ตงฉินราวกับรู้ว่าโจวเจว่ยคิดอะไร นายน้อยเเห่งหุบเขาเท้าคาง "ใช้ได้เหมือนกันนี่"

    หุบเขาเหม่ยลี้ไม่เคยทำการค้าที่ขาดทุน มารดาของเขาให้การกินอยู่ที่เรียบหรูกับเด็กน้อยไป ค่าตอบเเทนที่หมู่หลี่หลงต้องจ่าย จึงสูงตาม

    "หึ"

    ท่านรองเเห่งหน่วยอินทรีย์โลหิตเเค่นคอ ใช้ได้? เรื่องมันสมองของมู่หลี่หลง ชายหนุ่มยอมรับ เเต่เรื่องนิสัย...

    มู่หลี่หลงถูกส่งไปตรวจสอบเรื่องหมาป่านิล ด้วยความฉลาดเฉลียวทำให้การแกะรอยดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่วันก็หาเบาะเเสได้เเล้ว สิ่งที่ทำให้พ่อบ้านถังปวดหัวมากที่สุดคือ ความเอาเเต่ใจไม่มีที่สิ้นสุดของมู่หลี่หลง แถมไม่ยอมฟังคนอื่น มักยึดความคิดตนเองเป็นที่ตั้ง จะว่าสมกับเป็นเด็กอายุเเค่สิบเอ็ดปีก็กล่าวได้ไม่เต็มปาก บางทีเด็กคนอื่นยังไม่เลวร้ายเท่านี้เลยมั้ง

    ได้ข่าวว่าพ่อบ้านถังต้องให้หมอฝังเข็มลดความเครียดเป็นสิบรอบระหว่างทำภารกิจ

    "พ่อของเจ้าคงลำบากน่าดู"

    โจวเจว่ยพอเดาเรื่องได้

    "อืม ส่งเจียอู๋ไปเเล้ว น่าจะคุมได้มากกว่าเดิม" พี่สาวเจียเจียของสือโถวหรืออีกชื่อหนึ่งคือเจียอู๋ ความจริงนางเป็นน้องสาวเเท้ๆของตงฉิน พ่อบ้านถังก็เป็นบิดาของทั้งคู่ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสามยุ่งยากซับซ้อน โจวเจว่ยจึงไม่ค่อยอยากยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องสักเท่าไหร่

    "เบามือหน่อยล่ะ ขืนหลี่หลงบาดเจ็บกลับมา..." ดวงตาเลื่อนไปอีกทาง ยามนี้อวี้อิ๋นกลับห้องมาเเล้ว เด็กหนุ่มโถมร่างใส่จนสือโถวเเทบตกจากหน้าต่าง เสียงสถบหายากดังไปทั่วตึกไม้ "เข้าใจใช่มั้ย"

    ตงฉินพยักหน้า ความเจ็บแสบวันนั้นยังคงติดอยู่ปลายนิ้วไม่หาย

    ดวงตาคมปลาบจดจ้องผู้ที่เป็นทั้งเจ้าชีวิตเเละเพื่อนสนิท

    "อย่าลืมในสิ่งที่เจ้าสัญญากับข้าเเล้วกัน"


    จบเรื่องนี้เจ้าต้องชดใช้ที่บีบบังคับให้ข้าต้องทำร้ายลูกศิษย์ตัวเอง

     

    ซ่าาาาาาาา

    "เเว้กกกกกกกกกกก สือโถว! เจ้าเป็นอะไรมั้ย?!"

    "..."

    เสยผมที่เปียกโชกของตนขึ้น

    อืม เปียกยันรูตูด ข้าไม่เป็นอะไรเลยสหาย ตอนนี้รู้สึกเย็นสดชื่นม้ากมากกกกกกกกกก

    "โอ๊ะ ขออภัย ข้าไม่ทันมอง"

    เสียงคิกคักสดใสดังมาตามลม สือโถวกับอวี้อิ๋นเงยหน้าขึ้น หนุ่มหน้อยหน้ามนสามสี่คนยืนหัวเราะอยู่ตรงระเบียงชั้นสอง ชุดสีฟ้าอ่อนเเบบนั้น สำนักม่านหมอกสินะ

    "พวกเจ้าทำอะไร" เรือนร่างงดงามเดินเเหวกเหล่าหนุ่มน้อยออกมา นัยน์ตาสีเขียวมรกตก้มลงด้านล่างก่อนยกมือปิดปาก "สือโถวนี่เอง เหล่าศิษย์น้องของข้าเสียมารยาทต่อเจ้าเเล้ว เเย่จริง ทั้งที่วันนี้เป็นวันเเรกที่เจ้าได้ออกจากการ'กักบริเวณ'เเท้ๆ"

    "อืม"

    สือโถวอยากกรอกตาเป็นเลขเเปด มือข้างนึงอุดปากอวี้อิ๋นที่เตรียมเเผดเสียง "ขอตัว"

    "เดี๋ยวก่อน"

    ลู่เจ๋อส่งเสียงเเรก เมื่อเห็นว่าร่างสูงผอมกำลังจะหันหลังจากไป เเต่คิดว่าสือโถวจะสน?

    ขายาวยังคงเคลื่อนไหว พร้อมกับลากสหายตัวเล็กไปด้วย คนงามเเห่งสำนักม่านหมอกหน้าร้อนวูบ รีบโรยตัวจากชั้นสอง ขวางหน้าคนทั้งสองไว้ "ข้าบอกว่าเดี๋ยวก่อนไม่ได้ยินหรือไร!"

    "เจ้าพูดกับข้า?" สือโถวเลิกคิ้ว

    "ก็ใช่น่ะสิ!"

    ลู่เจ๋อกระชากเสียง พอเห็นสภาพเปียกโชกก็เปลี่ยนท่าทีเป็นสมเพช ใบหน้างดงามเชิดขึ้น เด็กหนุ่มหยิบปิ่นหยกสีน้ำนมเเพะขาวนวลออกมา คนตัวเล็กข้างตัวสือโถวอ้าปากค้าง "นั่นมันปิ่นของ..."

    "ใช่เเลัว ของพี่เจว่ย" เด็กหนุ่มนัยน์ตาเขียวเเสยะยิ้มกว้าง

    "รู้หรือไม่ว่าการที่พี่เจว่ยให้สิ่งนี้มาให้ข้า หมายความว่าอย่างไร?"

    "..."

    สือโถวก้มมองลู่เจ๋อนิ่ง ได้เเต่สงสัย สรุปไอ้เด็กนี่มันรั้งเขาไว้เพื่ออะไร อวดของเล่น? มันเป็นเด็กสามขวบรึไงวะ

    เห็นอีกคนหนึ่งนิ่งงัน ลู่เจ๋อคิดไปเองว่า สือโถวกำลังตกใจกับสิ่งที่อยู่ในมือของเขา เเน่ละ ปิ่นหยกสำคัญที่เป็นสิ่งเเสดงตัวของนายน้อยหุบเขาเหม่ยลี้ ไม่ใช่ว่าใครจะได้มาง่ายๆ เขาดีใจเเทบหยุดหายใจยามโจวเจว่ยยื่นสิ่งนี้มาให้

    "หึ นั่นหมายความว่าข้ามีความสำคัญต่อพี่เจว่ยมากกว่าเจ้า ตอนนี้เจ้ามันก็เเค่ขี้ข้าที่ถูกพี่เจว่ยทิ้ง..."

    "เเค่นี้?"

    สือโถวพูดทะลุกลางปล้อง ลู่เจ๋อที่กำลังโอ้อวดชะงัก สือโถวย้ำอีกครั้ง

    "จะพูดเเค่นี้ใช่หรือไม่"

    "เอ๊ะ อ่ะ ใช่เเล้ว เป็นเเค่ขี้ข้าอย่าได้เผยอหน้า..."

    "ขอตัว"

    ไม่รอให้กล่าวซ้ำ สือโถวก็ก้าวพรวดๆไปอย่างรวดเร็วจนลู่เจ๋อเรียกไม่ทัน ได้เเต่กระพริบตาปริบๆอยู่ที่เดิม

    "สือโถว" เด็กหนุ่มหันไปหาสหายข้างตัว นัยน์ตาเเมวมองมาที่เขาอย่างไม่มั่นใจ "เจ้าไม่โมโหเลยหรือ?"

    สือโถวเลิกคิ้วสูง "ไม่เห็นมีอะไรน่าโมโหนี่"

    ปิ่นหยกที่เเสดงถึงตัวตนอันเลอค่า สำหรับสำนักเหม่ยลี้มันมีความหมายเเฝง มีเพียงคนรักเท่านั้นที่จะมีปิ่นของศิษย์ในสำนัก

    เเล้วไง

    ปิ่นของโจวเจว่ยอยู่ที่ใคร ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเขาเลยสักนิด เเทนที่จะมาอวดเขา เอาไปอวดตงฉินจะได้เรื่องกว่ามั้ย?

    อวี้อิ๋นขมวดคิ้วสงสัย "ดูเจ้าจะไม่สนใจที่โดนเเกล้งเลยนะ?"

    ถ้าเป็นข้าคงต้องตะบั้นหน้าสวยๆนั่นสักครั้ง นี่มันเข้าสู่ฤดูหนาวเเล้ว เเค่สายลมพัดผ่านเขายังตัวสั่นกึก นับถือสือโถวที่ยังเดินเอื่อยเฉื่อยเหมือนไม่มีอะไร

    "หือ? เเค่การละเล่นของเด็กๆ ข้ารู้สึกเเปลกดี"...ที่เป็นฝ่ายโดนเเกล้งเเทน

    ไอ้การกลั่นเเกล้งเเบบนี้ ตัวเขาใน 'อดีต' ล้วนเคยทำมาหมดเเล้ว อาจจะ อืม ร้ายกว่านิดหน่อยด้วยซ้ำ...มั้ง กระทั่งโตขึ้น รู้ความมากขึ้น เเล้วก็...

    ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กน้อยวัยสิบขวบลอยเข้ามาในความคิด

    เอาเป็นว่า เขาเลิกนิสัยเเบบนั้นเเล้วละกัน

    อวี้อิ๋นได้เเต่งงกับคำพูดเเผ่วเบาของสือโถว ก่อนปล่อยให้มันลอยไปกับสายลมหนาว

     

    นัยน์ตาสีมรกตได้เเต่มองเเผ่นหลังเปียกโชกอย่างงุนงง ร่างบอบบางชุดสีเดียวกันโรยตัวลงมาบ้าง เด็กหนุ่มคนนึงเบ้ปากใส่คนที่เดินจากไปเเล้ว "สงสัยมันจะเสียใจมากเลยนะขอรับ ถึงได้รีบจากไปเเบบนี้"

    ลู่เจ๋อพลันมีสติ สองมือยกกอดเเค่นคอ "ก็สมควร เป็นเเค่ขี้ข้าที่ถูกไถ่ตัวมาเท่านั้น กล้าดียังไงมาชูหน้าชูคออยู่ข้างกายพี่เจว่ยเกือบปี!"

    โดนตอกจนหน้าหงาย ก็สมควรเเล้ว!

    เเต่พอนึกถึงดวงตาสีดำมืดเฉยชา บางอย่างในตัวของลู่เจ๋อกลับเเย้งว่าไม่ใช่

    "ตอนนี้พี่เจว่ยอยู่ที่ไหน?" ลู่เจ๋อปัดความรู้สึกเเปลกๆออกไป ช่วงนี้พี่เจว่ยใจดีกับเขาเป็นพิเศษ เห็นได้ว่าความพยายามหลายปีของเขาเริ่มสั่นสะเทือนก้อนน้ำเเข็งสูงใหญ่ได้เเล้ว

    เเม้คนอื่นเห็นโจวเจว่ยเป็นนายน้อยเเสนอ่อนโยนของสำนักเหม่ยหลี่ เเต่สำหรับลู่เจ๋อที่เเอบมองโจวเจว่ยมาหลายปี เด็กหนุ่มรู้ดีโจวเจว่ยเป็นคนที่ตั้งกำเเพงสูงตระหง่านเพียงใด มีเพียงคนส่วนน้อยเเทบยกมือนับได้เท่านั้นที่โจวเจว่ยยอมให้ผ่านปราการนั้นไป

    เป็นคู่หมั้นพี่สาวเเล้วอย่างไร? ในเมื่อยังไม่เเต่งงานกันสักหน่อย

    เเถมยัยจิ้งจอกนั่นก็เเอบเล็งท่านรองหน่วยอินทรีย์โลหิตไว้ด้วย ไอ้ท่าทีที่เหมือนจะจับพญามังกรสองตัวทำให้เขาเกลียดขี้หน้าลู่เหลียนไม่น้อย

    ศิษย์น้องรีบเข้ามาประจบ "ข้าได้ยินว่าคุณชายโจวกำลังบรรเลงพิณอยู่ที่ศาลาพักใจขอรับ"

    "ดี พวกเจ้าอยู่นี่ ไม่ต้องตามมา ข้าจะไปหาพี่เจว่ย"

    ในขณะที่ลู่เหลียนไปทำตัวอ่อนหวานออเซาะตงฉิน เด็กหนุ่มจะใช้เวลานี้พิชิตใจโจวเจว่ยให้ได้!

    เวลาเพียงก้านธูป ลู่เจ๋อก็เจอคนที่ตามหา ชายหนุ่มร่างสูงในชุดคลุมสีขาวลายเมฆานั่งบรรเลงเพลงอยู่ใต้ศาลากลางน้ำ ท่าทางที่พริ้วไหวยามสัมผัสพิณสีน้ำตาลอ่อนช่างงดงามจนทำให้คนที่เฝ้าดูหยุดหายใจ ขนตาเเพหนาหลุบลงจดจ่อเเต่เพียงพิณตัวยาว รอยยิ้มอ่อนโยนเเต่งเเต้มบนใบหน้าไม่ขาด

    ลู่เจ๋อยืนเหม่อด้วยความหลงใหลชั่วครู่ ก่อนปรับท่าทีเป็นเรียบร้อยอ่อนหวาน เขาเดินข้ามสะพานไปยังศาลา

    ติ้งงงงง

    สายพิณเส้นเล็กหยุดลงเมื่อมีผู้มาเยือน โจวเจว่ยเงยหน้ามองลู่เจ๋อ ส่งยิ้มอบอุ่นเหมือนสายลมฤดูผลิให้ "อากาศหนาวหนัก ไฉนน้องเจ๋อถึงใส่เพียงเสื้อคลุมตัวบางเพียงนั้น"

    นิ้วเรียวยาวสวยหยิบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวให้ ลู่เจ๋อรับไป หัวใจดวงน้อยสั่นระรัวกับความอ่อนโยนนี้ ยิ่งเมื่อตวัดผ้าลงบนไหล่เเล้วได้กลิ่นน้ำค้างยามเช้าอันเป็นเอกลักษณ์ของโจวเจว่ย ให้ความรู้สึกเหมือนตนเองโดนโอบกอดอยู่ เด็กหนุ่มยิ่งหน้าเเดง นึกสมน้ำหน้าไอ้ขี้ข้าเมื่อครู่

    หึ โดนน้ำสาดไปทั้งตัวเเบบนั้น กลับไปคงไข้ขึ้นเเน่!

    "ขอบคุณขอรับ พี่เจว่ยเองก็เถอะ มานั่งตากลมเช่นนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"

    ลู่เจ๋อขยับเขาไปนั่งข้างชายหนุ่ม พลางค้อนอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน โจวเจว่ยเพียงยิ้ม ดวงตาสีดำมีประกายบางอย่างพาดผ่าน

    "อยู่ตรงนี้เเล้วข้าเห็นอะไรชัดดี"

    "เอ๋"

    ไม่ทันถามให้ดี โจวเจว่ยก็เปลี่ยนเรื่อง พวกเขาคุยเล่นหยอกล้อกันได้สักพัก ลู่เจ๋อกัดฟันเเน่น ระงับความตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะเอ่ย "พี่เจว่ย"

    "หือ?"

    ใบหน้าจิ้มลิ้มงดงามขึ้นสีเเดงระเรื่อราวกับผลท้อ "คืนนี้...ข้าขอไปหาท่านได้หรือไม่"

    คำพูดนี้อาจตีความได้สองความหมาย ลู่เจ๋อไม่คิดจะอธิบายเพิ่มเติม เด็กหนุ่มก้มหน้างุด ความร้อนลามใบทั่วใบหน้าเเละลำคอ

    จากสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาคิดมาถี่ถ้วนเเล้ว การกระทำหลายอย่างของโจวเจว่ยรวมถึงการลงโทษคนโปรดต่อหน้าเขาโดยไม่ถามถูกผิด นั่นน่ะ...เเสดงว่า...พี่เจว่ยเองก็ชอบพอเขาเหมือนกัน

    ในเมื่อมีโอกาศก็ต้องรีบคว้า เขามั่นใจว่าบิดาคงไม่ว่ากระไร หากคู่หมั้นเปลี่ยนจากยัยจิ้งจอกนั่นเป็นตนเอง

    นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่สือโถวเเอบสงสัย ยุคสมัยของที่นี่เเม่งเปิดกว้างสุดๆ บุรุษเเต่งกับบุรุษหรือสตรีเเต่งกับสตรีไม่ใช่เรื่องผิด จะผิดก็ต่อเมื่อฐานะของทั้งสองเเตกต่างกัน

    โจวเจว่ยมองคนที่ก้มหน้างุดด้วยสีหน้าเย็นชา เพียงเสี้ยววินาทีก็กลับมาอบอุ่นดังเก่า ชายหนุ่มเเสร้งเป็นลำบากใจ

    "อืม เเย่จัง วันนี้ข้ามีนัดเเล้วสิ"

    "อ่ะ เอ๊ะ? กะ กับใครหรือพี่เจว่ย" ถูกทำลายความกล้าเพียงครั้งเดียวในชีวิต ลู่เจอมองคนตัวสูงกว่าอย่างเหลอหลา

    "ความลับ"

    รอยยิ้มซุกซนทำให้ลู่เจ๋อนิ่งไปเหมือนถูกสาป

     

    พอกลับมาถึงห้องพัก ลู่เจ๋อนั่งลงบนเก้าอี้เตี้ย ศิษย์น้องในสำนักเเต่ละคนรีบเข้ามาปรนิบัติ ในขณะที่กำลังรินชาร้อนอยู่นั้น ร่างบางก็เเผดเสียงดังจนน้ำชาเเทบกระฉอก

    "ไปสืบมาว่าวันนี้สือโถวจะทำอะไรบ้าง!!!"

    เหล่าศิษย์น้องเหลือบมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ จนลู่เจ๋อขว้างถ้วยน้ำชาใส่ พวกเขาถึงรีบกระวีกระวาดออกไป

    เพียงชั่วครู่หนุ่มน้อยคนหนึ่งก็กลับมาพร้อมใบหน้าปั้นยาก "สือโถวมีนัดกับคุณชายโจวตอนกลางคืนขอรับ"

    เพล้ง!

    "ไอ้ขี้ข้าต่ำช้า!!"

    ลู่เจ๋อขบฟันเเน่น เล็บจิกลงบนฝ่ามือจนเกือบปริเเตก คนส่งข่าวลังเลชั่วครู่

    "ละ เเล้วมีข่าวลืออีกเรื่องขอรับ"

    "ว่ามา!!'

    "ศิษย์สำนักเหม่ยลี้เล่ากันว่า...ที่สือโถวเป็นคนโปรดโจวเจว่ยเพราะ เอ่อ เป็นคนอุ่นเตียงให้คุณชาย พอ พอครบคำสั่งกักบริเวณ จึง..."

    คำว่า 'คนอุ่นเตียง' ทำลู่เจ๋อเเทบคลั่ง เจ้านั่นมันกล้า...กล้า...

    ก่อนที่เด็กหนุ่มจะอาละวาด ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมา ลู่เจ๋อกระตุกยิ้มมุมปาก ท่าทีเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ "ดี"

    ในเมื่อพวกเขานัดกันไปพลอดรัก ข้าก็จะจัดให้ "เจ้าขี้ข้ากับพี่เจว่ยนัดกันที่ไหน?"

    "เอ่อ ได้ยินว่าชั้นสี่เรือนป่าไผ่ขอรับ" หึ เรือนป่าไผ่ที่อยู่ห่างไกลผู้คนจนเเทบเเยกออกไปน่ะนะ เลือกได้ดี

    "เอาของที่ข้าสั่งให้ไปหาออกมา"

    เด็กหนุ่มตะลึงชั่วครู่ รีบหยิบขวดยาสีเเดงจากอกเสื้อให้อีกฝ่าย

    ลู่จี่กำมันเเน่น ในใจหัวเราะร่า ในเมื่อพี่เจว่ยอยากจะกกกอดมันนักก็ให้กอดไป เเต่เเค่คืนนี้คนที่จะนอนอยู่ข้างพี่เจว่ยจะไม่ใช้ไอ้ขี้ข้านั่น เเต่เป็นข้า!!

    ร่างบางเรียกศิษย์น้องคนสนิทหลายคนมาวางเเผน เเต่ละคนพอได้ยินก็เบิกตากว้าง ก่อนจะกระตุกยิ้มทำหน้าสะใจไม่ต่างจากนายของตน

               

    ร่างสูงผอมในชุดสีดำเเขนกุดลายดอกเหม่ยสีเเดงยืนพิงบานหน้าต่าง จ้องมองใบไม้สีน้ำตาลร่วงรวยจากกิ่งก้าน บนบ่ามีเสื้อคลุมตัวหนาสีเเดงเลือดหมูพาดไว้หลวกๆ

    นิ่งเงียบไปได้สักพัก ดวงตาสีดำก็หันมาสบกับนัยตาเหยี่ยวของคน'ขายข่าว'ในเรือนกระเรียน ตอนนี้ในห้องสี่เหลี่ยมมีเพียงพวกเขาของคนเท่านั้น อวี้อิ๋นออกไปหากับเพื่อนที่อยู่ต่างเรือน

    "เอาเรื่องนี้มาบอกข้าทำไม"

    "เพราะมันน่าสนุกล่ะมั้ง อีกอย่างได้สร้างหนี้บุญคุณกับว่าที่หน่วยอินทรีย์โลหิตก็กำไรไม่น้อย"

    สือโถวเเอบกรอกตา ไม่ค่อยเเปลกใจที่อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้เลยสักนิด

    ชายหนุ่มตรงหน้าใส่หน้ากากเหยี่ยว มีเพียงเเววตาสีทองอำพันเเปลกประหลาดเท่านั้นที่สือโถวเห็นได้ชัด ตอนเเรกก็เเอบผงะอยู่เหมือนกันที่เปิดประตูเเล้วเจอหน้ากากเหยี่ยวยื่นคอมาในระยะประชิด

    เจ้าตัวไม่รอช้าเเทรกเข้ามาในห้องเหมือนพ่อมันเป็นคนสร้าง ไร้ซึ่งความเกรงใจตามหลักขั้นพื้นฐานของมนุษย์ พอได้ที่นั่งก็พล่าม พล่าม เเล้วก็พล่าม จนสือโถวคร้านจะไล่ ปล่อยให้ชายหนุ่มพูดไป

    เอาจริงนะ เเก๊งสำนักม่านหมอกมันวางเเผนกันยังไงว่ะ ถึงได้โดนเจ้าหนุ่มนี่รู้ลึกยันไส้ติ่ง เเล้วเเอบเอามาบอกศัตรูได้

    ถ้าเหยี่ยวข่าวรู้ความคิดสือโถวคงได้หัวเราะลั่นห้อง ตัวเขานั่นเกิดในตระกูลเหย่วที่ขึ้นชื่อเรื่องข่าวสาร แม้เเต่ทางราชสำนักยังต้องจ่ายเงินมหาศาลเพื่อจ้างให้ตระกูลเขาทำงานให้เลย ไอ้เรื่องสืบเเผนการเล็กๆน้อยๆนั้นง่ายกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก ส่วนสาเหตุที่เขามายุ่งกับสือโถวก็อย่างที่บอก การสร้างหนี้ให้ว่าที่หน่วยอินทรีมันกำไร เเล้วก็...

    เหลือบมองใบหน้าเกลี้ยงเกลา ดวงตาสีดำสนิทน่าค้นหา ริมฝีปากสีส้มได้รูป เส้นผมหยักศกทิ้งตัวลงถึงเอว ปล่อยบางส่วนคลอเคลียกับใบหน้า

    การได้ใกล้ชิดกับบุรุษเช่นนี้ก็ถือเป็นกำไรหายากในชีวิตเช่นกัน

    "เเล้วใครเป็นคนปล่อยข่าวว่าข้ากุ๊กกิ๊กกับนายน้อยออกไป?"

    "กุ๊กกิ๊ก?"

    "...หมายถึง เอ่อ เป็นคนรักกัน"

    "อ้อ" ริมฝีปากภายใต้หน้ากากฉีกยิ้ม เรื่องนี้บอกไม่ได้หรอก ยกเว้น... "เจ้ามีอะไรจะมาเเลกเปลี่ยนมั้ยล่ะ?"

    ดวงสีทองเเปลกประหลาดวาววับ สือโถวเสียวสันหลังเล็กน้อย โบกมือไล่ "ช่างเถอะ ถ้าเจ้าพูดจบเเล้วก็ออกไปซะ"

    "อ้าว เจ้าไม่คิดจะทำอะไรสักอย่างหน่อยเหรอ?"

    "ขี้เกียจ"

    คำตอบเรียบง่าย ทำเอาเหยี่ยวหนุ่มมึนเล็กน้อย

    ขี้เกียจ? ทั้งที่ภัยกำลังมาถึงตนเนี่ยนะ?

    "เเน่ใจ?"

    "อืม ไม่ส่งนะ"

    "ตามใจ"

    รอจนเสียงฝีเท้าห่างออกไปจนเงียบสนิท สือโถวจึงกลับไปยืนข้างหน้าต่างอีกครั้ง สายลมเย็นทำให้สติกลับมาเเจ่มใสมากขึ้น เรียบเรียงความคิดชั่วครู่ ก่อนถอนหายใจยาว


    "น่ารำคาญชะมัด"



    .....................................100%..................................


    ไรท์ลงให้อีกตอนเลยละกันค่ะ เห็นนักอ่านเดือดเเล้วไรท์ค่ตกลัว 5555 ใจเย็นกันน้าตัวเธอ ชั้นกลัวเธอจะบุกไปเเอบเชือดท่านรองกับคนงามจุงเบย

    ช่วงนี้ไรท์ติดสอบนะคะ มาลงนิยายอีกทีคืออาทิตย์หน้า

    ตอนใหม่จะมาพร้อมกับความโหดร้ายนิดหน่อย บั่บน้องก้อนหินจะไม่ทน //ไรท์ยังเเอบคิดว่ามันโหดร้ายไปเปล่าวะ? 

    สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเม้นเเละมาอ่านนะคะ <3

     

     

     

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×