ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BL] เป้าหมายของข้าคือ HaRem!!

    ลำดับตอนที่ #17 : ย้อนยุค 15 : สหาย อาจารย์ เเละหมาป่า (Rewrite)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.16K
      551
      11 เม.ย. 64


     

    ย้อนยุค 15

    สหาย อาจารย์ และหมาป่า

     

     

    “ปีกตะวันตกเป็นที่สถานที่ประลองหมากรุกยามว่างของเหล่าศิษย์รุ่นพี่ หากเจ้าอยากจะเข้าร่วมต้องรออีกสักพัก”หลิวจี่ชี้ไปยังบันไดเชื่อมอีกฝั่งของเรือนกระเรียนขาว สือโถวเพียงพยักหน้าตอบรับพลางนึกในใจ ใครจะไปอยากเล่นหมากรุกแสนน่าเบื่อแบบนั้นกัน

     

    “ตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไปจะเป็นที่พักของพวกเรา โชคดีที่พึ่งมีเด็กใหม่เข้ามาก่อนเจ้าไม่นานพอดีเลยได้อยู่ห้องเดียวกัน น่าจะเข้ากันได้นะ ว่าแต่เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วหรือ?”

               

    “สิบห้า”

               

    “เอ๋? จริงหรือ งั้นก็เท่าข้าเลยน่ะสิ”

               

    “เออ”

               

    ไอ้เด็กนี่พูดเก่งจังแหะ ไม่กี่วันก่อนยังหน้าแดงปากสั่นอยู่เลยเเท้ๆ สือโถวถึงกับนึกแปลกใจกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของเด็กหนุ่มที่ชื่อหลิวจี่

               

    ฟังเพื่อนร่วมสำนักเเนะนำนู่นนี่นั่นเเบบหูซ้ายทะลุหูขวาได้สักพัก พวกเขาทั้งสองคนก็มาหยุดอยู่หน้าประตูห้องชั้นสาม หลังจากเคาะหลิวจี่เคาะประตู เด็กหนุ่มร่างเล็กที่น่าจะเป็นรุ่นราวคราวเดียวกันก็โผล่หน้าออกมา

             

    "อวี้อิ๋น นี่เป็นเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ของเจ้าที่ข้าเล่าให้ฟังเมื่อวาน"

             

    สือโถวพิจารณาเพื่อนร่วมห้อง อวี้อิ๋นสูงเพียงปลายคางของเขาเท่านั้น ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือมีรอยตกกระชวนให้น่ารักน่าเอ็นดู รอยยิ้มซนคล้ายเเมวขี้อ้อน เด็กหนุ่มตัดผมสั้นรองทรงเเต่ปอยผมด้านหน้ากลับไว้ยาวจนถึงอก ช่างเป็นสไตล์การเเต่งตัวที่หาได้ยากยิ่งในยุคโบราณเช่นนี้

             

    เขาก้มมองการเเต่งตัวของตนเองสลับกับอวี้อิ๋น

              

    เอ่อ ใครกันเเน่ที่ทะลุมิติมากันละเนี่ย

              

    "อ้อออออ คนนี้นี่เอง!" อวี้อิ๋นตบมือดังป้าบ พุ่งเข้ามาประชิดจนจมูกเเทบชนกัน สือโถวผงะไปด้านหลัง "สมเเล้วที่เจ้ามาเพ้อให้ข้าฟังทั้งคืน- อื้อๆๆ"

              

    หลิวจี่ร้องลั่นพุ่งเข้ามาปิดปากเจ้าเเมวปากมากอย่างร้อนรน สือโถวเลิกคิ้วสูง "เจ้านินทาข้าทั้งคืน?"

              

    "มะ ไม่ใช่นะ!" เด็กหนุ่มร่างสูงหน้าเเดงเเปร้ด โบกมือโบกไม้ปฏิเสธ เเต่อีกฝ่ายเพียงถอนหายใจเสมองไปอีกด้าน


     

    ช่างเถอะ ตอนอยู่จวนเศรษฐีใช่ว่าจะไม่เคยโดน

     

    "สือโถว มันไม่ใช่นะ" หลิวจี่พยายามเเก้ตัวเสียงเบา


     

    “อื้อๆ เจ้าจะฆ่าข้าหรอ!!” ในที่สุดอวี้อิ๋นก็สะบัดหลุดจากอ้อมแขนของหลิวจี่ ดวงตากลมโตมองอีกคนอย่างเคืองๆ ก้าวขาไปด้านหลังเตรียมตะปบหน้าสหายสนิทร่วมสำนัก


     

    "เอาล่ะ พอๆ วันนี้ขอบใจเจ้ามากนะหลี่วจี่" 


     

    ก่อนจะได้มีเหตุตะลุมบอนให้โดนขับออกจากสำนัก สือโถวรีบดันหลังหลิวจี่ออกจากห้อง ไม่รู้ให้เจ้าตัวได้หันมาค้าน เขาก็โบกมือปิดประตูดังปัง!


     

    "..." 


     

    หลิวจี่คอตกยืนไหล่ลู่อยู่กลางทางเดินชั้นสาม

     ..............


     

    “เจ้าชื่อสือโถวสินะ” หลังจากเก็บลากตัวปัญหาออกไป อวี้อิ๋นก็จูงมือสือโถวมานั่งตรงปลายเตียง นัยน์ตาเเมวเอียงคอจ้องหน้าสหายร่วมห้องอย่างสนใจ


     

    สือโถวรู้สึกเกร็งเล็กน้อย เขาครางอืมในลำคอ 


     

    “ข้าได้ยินว่าเจ้าสนิทกับนายน้อยโจวเจว่ยด้วย”

     

    “อ่า” สือโถวยกมือเกาแก้ม จะบอกว่าสนิทก็กระดากปาก เพราะโจวเจว่ยถือเป็นเจ้านายที่ไถ่ตัวเขาออกมาจากจวนเศรษฐีนี่นะ

                

    เห็นคนตัวสูงกว่ามีท่าทางลำบากใจ อวี้อิ๋นรีบโบกไม้โบกมือ “ข้าไม่ได้จะละลาบละล้วงอะไรนะเจ้านะ แต่ตอนนี้ทั้งสำนักลือกันว่าเจ้า เอ่อ เป็นคนพิเศษ"


     

    "หือ?"


     

    "ปกติสำนักหุบเขาเหม่ยลี้ไม่ได้รับศิษย์กันง่ายๆ หรอกนะ  ยิ่งเจ้าที่เข้ามาเเบบไม่ต้องผ่านการทดสอบจากท่านอาจารย์ เอ่อ พอเข้าใจนะ?"

     

    “อ้อ” แปลง่ายๆ คือเด็กเส้นสินะ “ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก นายน้อยอยากให้ข้าเข้าร่วมหน่วยอินทรีโลหิตในอนาคต เลยให้เรียนในสำนั- เจ้าตกใจอะไร?" สือโถวถามอวี้อิ๋นที่เบิกตากว้างแทบถลน 


     

    “ขะ เข้าหน่วยอินทรีโลหิต!?”

                

    “อืม”

                

    “แค่ 'อืม' เนี่ยนะ!? เจ้าไม่รู้เลยหรือว่ามันยิ่งใหญ่แค่ไหน! คนที่นี่ต่างหวังที่จะได้เข้าหน่วยอินทรีโลหิตกันทั้งนั้น!!”

               

     “...”

                

    ภาพพวกคุณลุงหน่วยอินทรีโลหิตที่เคยร่วมเดินทางลอยเข้ามาในความคิด สือโถวทำหน้ารับไม่ได้อย่างเเรง


     

    เจ้าไก่ย่างห้าดาวพวกนั้นอ่ะนะ!? ไอ้คุณลุงที่ปล่อยให้เขาต้องรับผิดโดนด่าอยู่คนเดียวเเถมยังเคยยันตูดเขาเข้าไปในสนามรบจนโดนธนูปักหลัง


     

    เอาเป็นว่าเพื่อมิตรภาพที่ดีของสองเรา เขาจะยังไม่เล่าเเล้วกันว่าเเท้จริงหน่วยอินทรีโลหิตที่ว่าเป็นคนยังไง ไว้เจ้าโตเเล้วค่อยไปรับรู้ความโหดร้ายของผู้ใหญ่เอานะ (ตบบ่า)

    ...............

                

    กาลเวลาไหลผ่านไป จากคนที่ไม่คุ้นเคยกลายเป็นสนิทสนม อวี้อิ๋นคอยช่วยเหลือสือโถวเกี่ยวกับการศึกษาตลอดเวลา เนื่องจากอยู่ในจวนเศรษฐีไม่เคยมีใครสอนอ่านเขียนมาก่อน เขาจึงอ่านได้แต่คำง่ายๆ ไอ้จะให้มาแปลบทกวีของนักบัณฑิตผู้เหงาใจ เศร้าโศกโสกาทุกยามราตรีก็ยากไป 


     

    คนที่ไม่ค่อยอินอะไรเเบบนี้เช่นนี้อย่างเขาได้เเต่อยากจะขอที่อยู่ของคนเขียน หาวันหยุดตามไปเขย่าคอถึงที่บ้าน


     

    เศร้าอยู่ก็ดื่มเหล้าไปเงียบๆ สิวะลุง จะมาเขียนบทกวียาวพรืดให้ชาวบ้านเขาอ่านทำไม เดือดร้อนคนรุ่นหลังสุดๆ เลยเห็นมั้ย!?

                          

    ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่นั่งหน้าเครียดคัดอักษรร้อยจบ อวี้อิ๋นก็เดินเข้าห้องพัก เเมวซนตัวน้อยวางจดหมายฉบับหนึ่งบนโต๊ะ

                

    “มีคนส่งมาให้”

                

    “หือ? จดหมายท้าประลอง??” สือโถววางพู่กันในมือลง หยิบซองจดหมายขึ้นมาเกะ เนื่องจากที่เเห่งนี้เป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งที่มีครบทั้งบู๊เเละบุ๋น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีธรรมเนียมส่งจดหมายขอท้าประลองเพื่อพัฒนาฝีมือ


     

    เอาจริงมันก็คือเรียกไปตีกันหลังโรงเรียนนั่นแหละ แค่เปลี่ยนคำเรียกให้ดูสุภาพเฉยๆ...


     

    อวิ้อิ๋นส่ายหัว “คราวนี้เป็นจดหมายจริงๆ ฉบับนี้ถูกส่งมาจากจวนเศรษฐีที่เมืองจินหยาง”

     

    "เอ๊ะ?" หรือว่า...


     

    สือโถวรีบเกะจดหมายในมือ ไล่กวาดตัวอักษรที่เรียงอยู่บนเเผ่นกระดาษสีน้ำตาลเคลือบน้ำมันชั้นดี ซึ่งเนื้อหาด้านในก็สั้นกะทัดรัดได้ใจความจนส่งสารคนที่นำมาส่งเหลือเกิน


     

    สวัสดี

    ยังไม่ได้โดนทางการลากไปขังคุกใช่หรือไม่

           

    เนื้อหาในกระดาษมีเพียงเท่านี้ อวี้อิ๋นขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ปากเล็กพึมพำว่าจดหมายก่อกวนชัดๆ ผิดกับสือโถวที่กลั้นยิ้มเต็มที่ ถึงไม่ได้ลงชื่อแต่เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าใครเป็นคนส่งมา 


     

    คนเดียวที่กล้าสาปแช่งใส่เขาเช่นนี้ นอกจากอาเยี่ยนแล้วจะมีใครอีก 


     

    เพื่อนสนิทคนนี้คงรู้ดีว่าเขาอ่านตัวหนังสือไม่ออกจึงพยายามเขียนมาให้ง่ายเเละสั้นมากที่สุดล่ะมั้ง ปากไม่ตรงกับใจเหมือนเดิมเลยน้าพ่อหนุ่มซึนเดระ


     

    “อวี้อิ๋น ข้าอยากเขียนจดหมาย เจ้าช่วยข้าหน่อยสิ” ขืนให้เขียนเอง มีความเป็นได้สูงว่านอกจากอาเยี่ยนจะอ่านไม่ออก หมอนั่นคงงงแตกด้วยว่าเขียนบ้าอะไรมา


     

    “หา? เจ้าจะตอบจดหมายนี่น่ะหรือ”


     

    “อืม นี่เป็นจดหมายจากเพื่อนข้าเอง ขืนไม่ตอบเดี๋ยวเขาได้เป็นห่วงจนอกแตกตายเสียก่อน”


     

    เเม้อวี้อิ๋นจะดูงงงวย แต่ก็ยอมลงมือช่วยสือโถวอีกเเรง


     

    หลังจากนั้นเป็นต้นมา สือโถวกับอาเยี่ยนก็ติดต่อกันผ่านทางจดหมายโดยมีอวี้อิ๋นเป็นฝ่ายตรวจกรองคำผิดอีกที ไม่อยากอวดเลยว่าการเขียนอักษรของเขาดีขึ้นจนอาจารย์พยักหน้าพึงพอใจต่างจากช่วงเเรกที่แทบทุ่มโต๊ะใส่


     

    เเต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีใครบางคนที่ไม่ค่อยจะพอใจกับผลลัพธ์นี้

     

    ตัวหนังสือไก่เขี่ย เจ้าใช้มือหรือเท้าเขียน

     

    “คนคนนี้เป็นเพื่อนเจ้าจริงหรือ ทำไมถึงได้ปากร้ายเช่นนี้” อวี้อิ๋นบุ้ยปาก หงุดหงิดทุกครั้งที่อ่านจดหมายของสหายสือโถว นี่ก็ขึ้นมากเเล้วนะ! ไม่เห็นต้องว่ากันเเรงขนาดนี้เลย


     

    สือโถวหัวเราะลั่น โบกไม้โบกมือให้อีกฝ่าย 


     

    “อาเยี่ยนก็แบบนี้แหละ เขาไม่ได้ว่าร้ายหรอก ไม่งั้นจะส่งหนังสือพวกนี้มาทำไม”


     

    เหลือบมองไปยังกองหนังสือที่ตั้งอยู่ข้างเตียง มันมีตั้งแต่เทคนิคการท่องจำตัวอักษรจนไปถึงแนวข้อสอบที่จะออก ซึ่งทั้งหมดถูกเรียบเรียงและเขียนโดยอาเยี่ยนทั้งนั้น 


     

    อืม ขยันมากเพื่อนรัก นี่เอาเวลาไหนมาเขียนหนังสือเป็นเล่มๆ ได้วะ งานการไม่มีทำหรอ?


     

    “มันก็ใช่ จริงสิ!  ได้เวลาอาหารเย็นแล้วนะ รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวเจ้าต้องไปฝึกกับท่านตงฉินต่อนี่”


     

    "..." อารมณ์ร่าเริงเมื่อครู่ดิ่งลงเหวทันใด สือโถวลู่ไหล่ลงอย่างห่อเหี่ยว


     

    อวี้อิ๋นรีบเข้ามาตบไหล่ลูบหลังปลอบใจ “เอาน่า วันนี้อาจจะแค่แขนหักก็ได้ อย่ากลัวไปเลย”


     

    ถ้าจะปลอบใจกันแบบนี้เอาขี้มาปาหน้ากันเลยดีกว่านะ เเม่งเหมือนหลอกเพื่อนสนิทที่มาบ้านว่าเข้ามาเลยตัวเอง น้องไม่กัดหรอกๆ น้องเเค่ขู่เล่น เเต่พอเหยียบเข้าประตูบ้านอิน้องเวรที่ว่าก็กระโดดกัดจนเลือดอาบ อะไรเเบบนี้

     

    เเละท่านรองที่ว่าก็คืออิน้องเวรตัวนั้นนั่นเอง!


     

    ย้อนความกันสักนิด หลังจากวันที่พี่แกตื่นมาไล่ฟันเขาไปทั่วภูเขา ในเย็นวันหนึ่งที่เเสนสดใส จู่ๆ ตงฉินก็บุกมาถึงห้อง สือโถวพ่นน้ำชาพรวดเกือบกระโดดลงจากหน้าต่าง ไม่สนแล้วว่าจะอยู่ชั้นสาม 


     

    กระโดดลงไปอย่างมากแค่ขาหัก แต่ขืนอยู่ต่อคอได้หักกันพอดีน่ะเซ่!

     

    อวี้อิ๋นที่อยู่ด้านข้างร้องลั่นโยนหนังสือที่กำลังอ่านทิ้ง สไลด์ตัวมาคว้าเอวสือโถวไว้แน่น วุ่นวายกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายตงฉินก็พูดหน้านิ่ง


     

    ‘ข้าขอโทษเรื่องในวันนั้น เผอิญตกใจไปหน่อย’


     

    ‘...’ ช่างเป็นการตกใจที่เดิมพันด้วยชีวิตของข้าเสียจริง!!


     

    ไม่รู้ว่าตงฉินรู้สึกอับอายที่เผลอแสดงท่าที ’ตกใจ’ ใส่เขาไปหรือไม่ ตอนเย็นของทุกวันพี่แกถึงได้ฝึกเขาอย่างหนักหน่วงจนเลือดตกยางออกทุกวัน ยิ่งตอนที่รู้ว่าเขาเป็นพวกแผลหายเร็ว ระดับความแซ่บของการฝึกยิ่งเข้มข้นขึ้น 


     

    อย่างเช่นวันหนึ่งที่ฟ้าขุ่นมัว


     

    ‘เห็นนี่หรือไม่?’ นิ้วเรียวยาวชี้ลงไปยังเหวลึก สือโถวพยักหน้า ‘โดดลงไป’


     

    ‘...’


     

    ‘...’


     

    ‘เอ่อ มีเชือกมัดเอวหรือไม่ขอรับ’


     

    ‘ทำไมต้องมี?’


     

    ‘...’ ก็เพื่อชีวิตที่ยั่งยืนของข้าไง!


     

    เอาเป็นว่าการไปเจอกับตงฉินเหมือนการไปเป่ายิงฉุบเสี่ยงทายกับยมฑูตว่าวันนี้จะตายมั้ยน้า~ บอกเลยความหน้าตาดีกล้ามแน่นไม่ได้ทำให้สือโถวรู้สึกดีขึ้นมาสักนิด ตรงกันข้ามเขาเริ่มเกลียดบุรุษรูปงามหล่อเหลาพ่วงซิกแพคเเล้ว!

    เมื่อไหร่การฝึกนรกนี่จะจบลงซะที!!

    ...................
     

     

    เมื่อถึงโรงอาหารรวม อวี้อิ๋นขอแยกตัวไปเรียกหลิวจี่ที่ขลุกตัวอ่านหนังสืออยู่กับเหล่าศิษย์พี่ทั้งหลาย เพราะดูเหมือนว่าหลิวจี่จะลืมเวลาอีกตามเคย 


     

    สือโถวพยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงรับรู้ ไปหยิบจานข้าวมานั่งกินตรงมุมหนึ่งของโรงอาหารในเรือนกระเรียนขาว


     

    "เจ้าคือสือโถวสินะ?"


     

    "หือ" คนถูกเรียกหันไปตามต้นเสียง ทางซ้ายมือมีร่างของเด็กหนุ่มวัยสิบเเปดสามสี่คนอยู่ล้อมอยู่


     

    ข้างหน้าสุดคือร่างสูงผมสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาหยีโค้งลงเป็นพระจันทร์เสี้ยวโดยมีเหล่าสมุน (?) ยืนเป็นตัวประกอบ

     

    เหตุการณ์ที่คุ้นเคยทำให้สือโถววางช้อนลงบนจานอย่างชินชา เเค่นคอดังหึ ลุกขึ้นถลกเเขนเสื่ออย่างรู้งาน


     

    "เออ ข้านี่เเหละ ว่ามาเลยว่าจะตีกันกี่ยก"


     

    "ตีกัน?"


     

    "เจ้าจะมาท้าประลองกับข้าเพื่อเเย่งหลี่หลงไม่ใช่รึไง" ไม่ต้องมาทำหน้างง คิดว่าเขาอยู่ในดงสงครามเเบบนี้มานานเค่ไหนกัน เรื่องเเค่นี้ไม่ต้องพูดมากความ พุ่งมาเเลกหมัดกันเลยไอ้น้อง!


     

    สือโถวเเยกเขี้ยวย่างสุขุมเข้าไป สองมือหักกรอบเเกรบเตรียมเรียกเลือดจากหัวอีกฝ่ายเต็มที่ 


     

    หัวโจก (?) รีบยกมือห้าม "ช้าก่อน! ข้าไม่ได้มาหาเรื่องเจ้านะ!!"


     

    "ตอเเหล เอาเพื่อนมาเยอะขนาดนี้ ไม่มารุมคนเเล้วจะเอามาตั้งวงมโหรีกันรึไง!"


     

    หัวโจกหัวเราะเเหะๆ ลูบท้ายทอยอย่างขวยเขิน


     

    "ต้องขออภัยด้วย พอดีข้าอายเกินกว่าจะมาหาเจ้าเพียงเดียว" ร่างสูงคนนั้นสูดหายใจลึก มองสือโถวอย่างเเน่วเเน่ "ข้าชื่อเพ่ยอา ศิษย์รุ่นห้าสิบสี่ของหุบเขาเหม่ยลี้ วันนี้มาเพื่ออยากขอเป็นเพื่อนกับเจ้า!"


     

    "...หะ?" นานทีกว่าสือโถวจะหาเสียงตัวเองเจอ เขากวาดสายตาขึ้นลงอย่างพิจารณา


     

    เพ่ยอาคนนี้เป็นเด็กหนุ่มคุณภาพใช้ได้คนหนึ่ง ทั้งตัวสูงมีกล้ามเนื้อสมส่วน ผมสีน้ำตาลอ่อนเกือบทองเเละดวงตาสีเทาเเลดูมีเสน่ห์ลึกลับชวนให้ค้นหา 


     

    โดยรวมเเล้วน่ากิ- น่าคบเป็นสหายมาก!


     

    ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าไม่ได้มาหาเรื่อง สือโถวจึงกลับไปนั่งจ้วงข้าวต่ออย่างไม่สนใจ เพ่ยอาเเอบเหวอไปเล็กน้อยกับปฏิกริยาตอบรับที่ไม่คาดคิด เเต่ก็กลับมามีสติอย่างรวดเร็ว 


     

    ร่างสูงทรุดตัวลงข้างสือโถว "คำตอบละ?" 


     

    สือโถวเพียงชายตามอง ดันกระพุ้งเเก้มกวนๆ    


     

    "เหอะ"


     

    มุกเดิมๆ นี่คิดจะมาขอเป็นเพื่อนเขาเพื่อตีสนิทกับมู่หลี่หลงทีหลังล่ะสิ หลังจากนั้นก็จะใช้คำว่าเพื่อนก้าวข้ามอะไรหลายๆ อย่างจนได้ทำอย่างนู่น อย่างนี้ อย่างนั้นละเซ่!

     

    จะฝันหวานไปเเล้วไอ้หนู!!


     

    "ก็เอาสิ" สือโถวเเสยะยิ้ม เเอบคิดเเผนร้ายในใจ


     

    ในเมื่อจะใช้ความเป็นเพื่อนในการเข้าหา เขาคนนี้นี่เเหละที่จะใช้ตำเเหน่งเเม่ (?) นอกไส้ขัดขวางจนสุดกำลัง จนกว่าน้องน้อยจะบรรลุนิติภาวะอย่าหวังจะได้เเอ้มเลยโว้ย!

     

    สมุนด้านหลังส่งเสียงยินดีด้วยๆ ไม่ขาดสาย ยินดีด้วยกับบิดาเจ้าสิไอ้พวกลูกเต่า! ถึงยุคนี้จะนิยมเเต่งงานตอนอายุสิบห้า เเต่ถ้ายังไม่พ้นสิบเเปดก็อย่าหวัง!!


     

    "เเล้วมีคนรักหรือยัง?" เพ่ยอาเท้าคางถาม ดวงตาสีเทาเปล่งประกายระยิบระยับ

     

    "ไม่มี" เพราะเขากำจัดคนที่เล็งมู่หลี่หลงทิ้งไปหมดแล้วยังไงล่ะ!


     

    เพ่ยอาฉีกยิ้มกว้าง เเสดงท่าทีดีใจอย่างไม่ปิดปัง 


     

    "เเฮ่ม เอ่อ เเล้วเจ้ามีคนที่ชอบหรือไม่?"


     

    "เจ้าจะทำบันทึกสำรวจประชากรรึไง ข้าชอบไม่ชอบใคร ทำไมต้องบอกเจ้าด้วยมิทราบ?" เเปลง่ายๆ คือเสือกอะไรด้วยนั่นเอง


     

    เพ่ยอาหน้าเสียไปนิดเเต่ก็พยายามฉีกยิ้มใหม่ รอยยิ้มของเด็กหนุ่มผู้นี่งดงามพอๆ กับนายน้อย เพียงเเต่โจว่เจว่ยนั้นทำให้รู้สึกใจละลาย ต่างจากเพ่ยอาที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น


     

    เอ๊ะ หรือข้าต้องยกลูกสาวให้เขาจริงๆ กันนะ...


     

    "พี่สือโถว" 


     

    กำลังนึกถึงผี ผีก็มาเยือนถึงที่ มู่หลี่หลงเดินมาจากอีกฟากของโรงอาหารพร้อมกับอวี้อิ๋นเเละหลิวจี่ 

     

    "มาได้อย่างไรกันหลี่หลง ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องทานข้าวที่เรือนหลักรึ?" สือโถวผุดลุกขึ้นยืน เอาตัวบังสายตาเพ่ยอา


     

    เขาเหล่มองรอบข้าง เเล้วก็เป็นอย่างที่คิด เหล่าบุรุษมากมายต่างยืนนิ่งจ้องมาทางมู่หลี่หลงตาไม่กะพริบ!


     

    ต้องให้ย้ำอีกกีที่ว่าลูกสาวตัวน้อยยังไม่พ้นสิบห้าน่ะไอ้พวกผีเปรต!!


     

    สือโถวตบโต๊ะดังปัง ทุกคนสะดุ้งเฮือก มองมายังต้นเสียงพร้อมกัน พอเห็นว่าคนที่ตบโต๊ะเขม่นใส่ตาเขียวคือผู้ใดก็พากันหน้าเเดง เบือนหน้าหนีไปคนละทิศละทาง


     

    "ข้าคิดถึงพี่นี่นา"


     

    ก้อนปุยนุ่นเข้ามากอดเอวสือโถวอย่างออดอ้อน หัวทุยซบกับไหล่เเคบพลางซ้อนสายตาฉ่ำน้ำขึ้นมอง มาเเล้วไง ท่าไม้ตายฉบับน้องน้อย เห็นทีไรก็โมโหอีกฝ่ายไม่ลงทุกที


     

    สือโถวถอนหายใจเฮือก ยกมือกอดเด็กน้อยตอบ เสมองไปทางเพ่ยอาที่กำลังอ้าปากค้าง


     

    "โทษทีนะพี่ชายร่วมสำนัก คงต้องขอให้เจ้าลุกขึ้นเเล้วล่ะ เพื่อนข้าจะนั่ง"


     

    "อ่ะ อืม" ร่างสูงลุกขึ้นยืน ก่อนจะจากไปไม่วายถามขึ้นอีก "สุดสัปดาห์นี้เจ้าว่างหรือไม่ ในเมืองด้านล่างกำลังจะจัดงานเทศกาล ข้าอยากจะชวนเจ้าไป-"


     

    "พี่สือโถว ข้าหิวข้าวจังขอรับ งืออออ"


     

    "ได้ๆ เดี๋ยวข้าตักมาให้นะ เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะเพ่ยอา?"


     

    นัยน์ตากวางหรี่ลง เงาดำมืดพาดผ่านครึ่งหน้า ไอสังหารลอยคลุ้งตลบอบอวน ขนาดหลิวจี่กับอวี้อิ๋นที่ยืนห่างออกไปยังสัมผัสได้ เเต่คนโดนกอดอยู่ดันไม่รู้ตัวซะนี่!


     

    เพ่ยอาเเอบผงะเล็กน้อย "ไม่มีอะไร ไว้เจอกันใหม่นะ สือโถว"


     

    "อืม" 


     

    สือโถวโบกมือลาพี่ชายร่วมสำนักอย่างไม่ใส่ใจ หลิวจี่กับอวี้อิ๋นรีบอาสาไปตักข้าวมาให้มู่หลี่หลงเเทน เพราะยังไงพวกเขาก็ต้องไปตักส่วนของตัวเองอยู่เเล้ว


     

    สือโถวขอบคุณเหล่าสหาย หลังจากนั่งลงน้องน้อยก็บึนปากง้องอนงอน 


     

    "ท่านไม่สนใจข้าเลย"


     

    สนใจกว่านี้ก็ภรรเมียเเล้วมั้ยหนู นี่เขาทั้งสนใจ ทั้งใส่ใจจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นเเล้วมั้ยเอ่ยยยย


     

    "เจ้าโตเเล้วนะ อย่างอเเงนักสิ เอ๊ะ?"


     

    "???" ใบหน้าจิ้มลิ้มเอียงคอ 


     

    เขากวาดอากาศบนหัวมู่หลี่หลงพลางขมวดคิ้วเเน่น "เจ้าสูงขึ้น?"


     

    ก่อนหน้านี้อยู่เพียงระดับอกของเขาเอง ตอนนี้ระดับสายตาเเทบประสานกันเเล้ว นายหญิงให้ทานอะไรถึงได้สูงเเบบก้าวกระโดดเช่นนี้ คงไม่ได้ใช้วิชายืดกระดูกหรอกใช่มั้ย


     

    "ทะ ท่านไม่ชอบหรอ?"


     

    ฉึก!


     

    เหมือนโดนลูกศรปักอก สือโถวเเทบกระอั่กเลือด


     

    ขอซื้อได้มั้ย ไอ้ท่ากุมมือไว้ใต้คางเเล้วทำตาเว้าวอนเนี่ย เห็นเเล้ววิญญาณพี่สาวที่อยู่ภายในอยากทะลุออกมากอดรัดฟัดเหวี่ยงเหลือเกิน!


     

    "อั่ก!!"


     

    เกรงว่าสือโถวไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับผลกระทบ เหล่าชายหนุ่มที่เเอบมองต่างทรุดหน้าลงกับโต๊ะเลือดกำเดาหนองพื้น วิญญาณหลุดออกจากร่างเรียบร้อย


     

    เขากลับมามีสติทันใด "เเฮ่มๆ เปล่า สูงขึ้นก็ดี" 


     

    ...จะได้ดูเเลตัวเองได้เสียที


     

    ทั้งสองร่างนั่งเคียงข้างกัน สือโถวเท้าคางฟังมู่หลี่หลงบ่นถึงอาจารย์ที่โจวเจว่ยหามาให้ ผ่านไปครึ่งก้านธูป หลิวจี่กับอวี้อิ๋นก็วางจานข้าวมากมายลงบนโต๊ะ พวกเขาทั้งหมดจึงเริ่มลงมือทานอาหารตรงหน้ส


     

    "โอ๊ะ ท่านตงฉิน"


     

    พรวด!!


     

    น้ำซุบที่กำลังจิบถูกพ่นออกมา


     

    อวี้อิ๋นรีบส่งน้ำชาให้สือโถวที่ไอเหมือนคอหอยจะหลุดออกทางปาก ส่วนหลิวจี่ที่เป็นต้นเหตุทำหน้างงงวยว่าตนพูดอะไรผิด?


     

    ร่างกำยำในชุดดำลายเสือคำรามอันเป็นเอกลักษณ์เดินเข้ามาใกล้ ดวงตาคมปลาบกวาดตามองทั่วห้องก่อนชะงักเมื่อเห็นมู่หลี่หลงที่กำลังหรี่ตาลง


     

    "ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่" ตงฉินเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน


     

    "เเล้วเจ้าล่ะ"


     

    พวกเขาทำหน้าเลิกลั่ก มู่หลี่หลงไม่ได้เรียกตงฉินว่า 'ท่าน' เเต่ถึงขั้นกล้าเรียกว่า 'เจ้า' เลยเหรอ!?


     

    ตงฉินทำหน้านิ่งทรุดตัวลงตรงกันข้ามกับสือโถว ไม่มีท่าทีจะอาละวาดฟันหัวคนระบายอารมณ์อย่างที่สือโถวเเอบคิด 


     

    "มาตามศิษย์"


     

    "..."


     

    กลืนข้าวไม่ลงเลยตู


     

    คือพี่เเกไปเก็บกดมาจากไหนกัน นี่ว้อนอยากเห็นเลือดจนต้องมาเรียกไปฝึกด้วยตัวเองถึงห้องอาหารเลยเรอะ?


     

    มู่หลี่หลงส่งสายตาเป็นเชิงถาม สือโถวจึงพยักหน้าให้ เออ พี่ชายนี่เเหละที่เป็นศิษย์เอกของพ่อเสือดำตัวนี้


     

    "อ่ะ เอ่อ ท่านรองจะทานข้าวหรือไม่ขอรับ ข้าจะได้จัดเตรียม" อวี้อิ๋นถามเสียงเบา เเมวตัวน้อยขยับออกห่างจากตงฉินจนเเทบรวมร่างกับหลิวจี่ 


     

    สือโถวเข้าใจดีเลยล่ะ เพราะเเค่เห็นหน้าตงฉินที่นั่งอยู่เบื้องหน้า  เขายังอยากเก็บจานข้าววิ่งไปร้องไห้ที่ชายทะเลเเล้วตะโกนให้ถึงฟากฟ้าว่าท่านจะส่งให้เถื่อนนี่มาให้เขามาซากปลาวาฬอะไร เอากลับป๊ายยยยย


     

    ตงฉินเหลือบมองอวี้อิ๋วด้วยหางตา


     

    “ไม่เป็นไร”


     

    “ขะ ขอรับ”


     

    “…”


     

    “…”


     

    บรรยากาศครึกครื้นเมื่อครู่พลันเงียบกริบชนิดได้ยินเสียงเข็มตก สือโถวอยากจะจับตงฉินมานั่งจับเข่าคุยสักยก คือถ้าท่านไม่ได้มาเเดกข้าว เเล้วจะมานั่งหน้าทะมึนกดดันคนเรือนกระเรียนขาวทำไมไม่ทราบ? ไม่เห็นหรอว่าทุกคนกระดือกข้าวไม่ลงกันเเล้ว หัดเห็นใจหนุ่มน้อยหัวใจบอบบางกันบ้างสิ!


     

    ในขณะที่สือโถวพยายามส่งกระเเสจิตด่าคนเป็นอาจารย์ว่าไสหัวไปซะๆๆ มู่หลี่หลงก็ฉีกยิ้มตักเนื้อไก่ให้เขาอย่างไม่รู้สึกรู้สา


     

    “เมื่อครู่ข้านึกว่ากอดกับโครงกระดูกซะอีก พี่ต้องทานเยอะๆ นะ!”


     

    “อะ อืม”


     

    ดวงตาของตงฉินเข้มข้นกว่าเดิม


     

    สือโถวหันไปยิ้มขอบใจให้มู่หลี่หลงก่อนจะเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มมีเศษข้าวติดอยู่ที่มุมปาก เขาเลยชี้ตนเองในตำเเหน่งเดียวกับน้องน้อย “หลี่หลง ข้าวติดปาก”


     

    “?” มู่หลี่หลงทำหน้างง เพียงเสี้ยววินาทีก็กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ทันที่สือโถวจะได้ตั้งตัว ใบหน้าน่ารักเพียงหนึ่งไม่มีสองก็เคลื่อนเข้ามาใกล้จนเห็นเป็นภาพเลือนราง


     

    เเผลบ


     

    “!!!”


     

    ลิ้นร้อนกวาดลงบนริมฝีปากของสือโถว คนถูกล่วงเกินเบิกตากว้างเเถบถลน ส่วนหลิวจี่ทำช้อนตกลงไปในน้ำซุบดังจ๋อม!


     

    มู่หลี่หลงเคลื่อนตัวออก เเลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเอง ดวงตาเเวววับต่างจากปกติ 


     

    “ออกเเล้วขอรับ”


     

    “ขะ ข้าหมายถึงปากเจ้าไม่ใช่ปากข้า!” 


     

    หัวใจดวงน้อยเต้นผิดจังหวะจนเเทบกระดอนออกจากอก สือโถวยกมือลูบให้มันสงบลง พยายามปรับลมหายใจ


     

    “เอ๋ อย่างงั้นหรือ ว้า~ เข้าใจผิดจนได้” คล้ายจะเห็นเขาเเละปีกสีดำที่หลังเด็กน้อย หางปีศาจส่ายไปมาอย่างชอบใจ 


     

    ตึง!


     

    เฮือก!


     

    พวกเขาทั้งหมดสะดุ้งเเทบตกเก้าอี้ ท่านรองหน่วยอินทรีโลหิตกำมัดเเน่นจนเส้นเลือดที่ขมับปูดบวม สองตาจ้องเขม็งราวกับสุมไฟนรกไว้ทั้งดวง


     

    เชี่ยเเล้ว! กฎที่เอ่อ เก้าสิบ อ่า ห้า เขียนว่าอะไรนะ ยามรับประทานห้ามวอกเเวก เเดกเป็นเเดก! (อันนี้เเปลเสริมเอง)


     

    ยังไม่ทันที่สือโถวจะได้ขอโทษเจ้าพ่อจุดเดือดต่ำ เจ้าตัวก็ประกาศเสียงก้อง 


     

    “ศิษย์เรือนกระเรียนขาวทุกคนไปวิ่งรอบภูเขา ใครมาถึงคนสุดท้าย ตาย!!”


     

    What the f*ck!!!

    ............

     

    แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก


     

    สองเเขนเเบกเพื่อนร่วมสำนักไว้บนบ่า ข้างซ้ายอวี้อิ๋น ส่วนข้างขวาเป็นหลิวจี่ที่กำลังยกมือปิดใบหน้าเเดงซ่าน


     

    "ข้าขอโทษนะสือโถว" หลิวจี่รู้สึกอายเเทบพลิกเเผ่นดินหนีที่ต้องให้เพื่อนช่วยเเบกเเบบนี้ ที่สำคัญสือโถวยังตัวเล็กกว่าตั้งคืบหนึ่ง หากบิดามารดามาเห็นคงต้องได้ไล่กระทืบเขาเป็นเเน่


     

    ไม่รู้สือโถวเอาเเรงมาจากไหนมากมายถึงสามารถเเบกผู้ชายสองคนขึ้นบ่าได้!


     

    "อืม" 


     

    ลมหายใจของสือโถวเริ่มถี่รัว เเค่เดินขึ้นภูเขาว่าลำบากเเล้ว ยังต้องมาเเบกคนอีก ต่อให้เเข็งเเรงเเค่ไหนก็ต้องมีเหนื่อยกันบ้าง


     

    อวี้อิ๋นน้ำตาคลอ "ถ้าไม่ไหวก็พอเถอะอาสือ ข้าเดินไหวเเล้ว"


     

    ระหว่างวิ่งขึ้นภูเขาตามคำสั่ง อวี้อิ๋นเผลอลื่นไถลเกือบตกเหว หลิวจี่ที่อยู่ด้านข้างรีบกระโดดเข้าไปช่วยอย่างไม่คิดชีวิต ผลที่ได้คือนอนเเอ้งเเม้งอยู่ก้นเหวกันทั้งคู่ โชคดีที่ด้านใต้เป็นดินอ่อนนุ่มจึงไม่เป็นอันตราย


     

    สือโถวเอะใจว่าทำไมเพื่อนทั้งสองหายไปนาน จึงตัดสินใจเลยย้อนกลับมาดู พอเจอหลิวจี่กับอวี้อิ๋นที่นอนบาดเจ็บ เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง กระโดดลงเหว เเบกพวกเขาสองคนขึ้นบ่า วิ่งหน้าตั้งไปยังจุดนัดพบทันที


     

    ถึงจะทำหน้านิ่งเเต่ใจของสือโถวร้อนดั่งไฟ ที่นี่ไม่มียาฆ่าเชื้อหรือการผ่าตัด หากขาหักเเล้วติดเชื้อขึ้นมา...


     

    เขากัดฟันเเน่น เร่งฝีเท้าให้ไวกว่าเดิม


     

    "สือโถว" อวี้อิ๋นครางเสียงเบา เจ้าช่วยฟังข้าสักนิดได้หรือไม่!


     

    "หุบปาก!"


     

    "พวกข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ นะ เเค่โดนกิ่งไม้บาดเอง!"


     

    หลิวจี่ค้านขึ้นบ้าง สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของคนที่เเบกตนอยู่ เเต่เขาไม่เป็นอะไรจริงๆ ตอนสือโถวมาเห็นเขาเเค่จุกจนลุกไม่ขึ้นเฉยๆ


     

    สือโถวหยุดเท้าลง พึ่งตระหนักได้ว่าตนคงเป็นห่วงเกินไปจึงวางทั้งสองร่างลงพื้นพลางถามอย่างจริงจัง 


     

    "ไม่บาดเจ็บจริงนะ?" 


     

    ดวงตาสีดำสนิทสั่นระริกเหมือนไม่เเน่ใจ ดูน่าสงสารจนอวี้อิ๋นต้องพุ่งเข้าไปกอดฟัดคนขี้เป็นห่วง


     

    "ข้าสบายดี! ให้วิ่งรอบภูเขาอีกรอบยังได้!"


     

    "เช่นนั้นเชิญเจ้าคนเดียวเถิด เเค่ครึ่งลูก ข้าก็จะตายเเล้ว" หลิวจี่เเทรกเสียงอ่อย เห็นเพื่อนทั้งสองเเข็งเเรงดี สือโถวก็ถอนหายใจยาว

     

    ดี ดีเเล้ว


     

    ไม่เป็นอะไรกันก็ดีเเล้ว


     

    "เรารีบไปกันเถิด ขืนถึงคนสุดท้าย..." ไม่พูดออกมาก็เข้าใจ ภาพตงฉินตวัดเเส้ใส่พวกเขานี่ลอยขึ้นมาเป็นฉากๆ


     

    สือโถวขนลุกพรึ่บ เขายิ่งมีประเด็นกับพี่เเกเยอะซะด้วยสิ!


     

    ไม่ต้องกล่าวปลุกใจอะไรให้มากมาย พวกเขาสามคนก็ออกตัวสับขาวิ่งทันที ชิบหายเเล้วววว ตอนนี้มันกี่โมงเเล้วฟะเนี่ย หวังว่าพวกเขาจะไม่ใช่กลุ่มสุดท้ายที่ไปถึงนะ เเผลล่าสุดยังไม่หายเลยนะโว้ยยยยย!


     

    ฟึ่บ

     

    กึก!


     

    "จะหยุดทำไมเล่าสือโถว หลิวจี่ รีบวิ่งต่อสิ!" อวี้อิ๋นหันมาเร่งคนทั้งสองที่จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าลง เวลาน่าสิวน่าขวานพวกเจ้ายังมีอารมณ์มาชมนกชมไม้อะไรอีก!


     

    สือโถวไม่ตอบคำถาม สองตาจดจ้องไปยังพุ่มไม้ หลิวจี่กวาดสายตาไปทั่วบริเวณ เลื่อนมือไปยังอาวุธข้างเอวอย่างเชื่องช้า 


     

    ทั้งที่อยู่ในป่าเเต่เสียงรอบข้างกลับเงียบผิดปกติ


     

    ฟึ่บ!


     

    "อวี้อิ๋น!!" สือโถวกับหลิวจี่ตะโกนขึ้นพร้อมกัน ทั้งสองมือคว้าเเขนเพื่อนตัวเล็กให้หลบ เงาสีขาวพุ่งเฉียดลำคอของอวี้อิ๋นไปไม่ถึงคืบ เเมวตัวเขื่องปากสั่นหน้าซีดเผือด เผลอทรุดนั่งหลังสหายทั้งสอง


     

    "มะ เมื่อกี้มันอะไร" 


     

    "ไม่รู้" สือโถวชักดาบข้างเอวออกมา เหงื่อเย็นไหลซึมตามเเผ่นหลัง เมื่อครู่ไม่ใช่การหยอกเล่น เเต่มันจงใจฆ่าอวี้อิ๋นจริงๆ !


     

    อวี้อิ๋นเห็นทั้งสองคนเคร่งเครียดก็เก็บความตื่นตะหนก พยายามปรับลมหายใจตั้งสติ นัยน์ตาเเมวสอดส่องไปทั่วบริเวณก่อนอุทานดังลั่น


     

    "หมาป่านิล!?"


     

    สายตาของอวี้อิ๋นดีกว่าพวกเขาสองคนมาก ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็บอกได้ว่าสิ่งที่ซุ่มอยู่หลังความมืดคืออะไร สือโถวย้อนนึกไปถึงตอนศึกษาในสำนักว่าหมาป่าสีนิลที่ว่าคืออะไร เเต่ในหัวกลับมีเเต่ว่างเปล่า 


     

    มารดามันเถอะ สงสัยเขาคงเผลอหลับตอนเรียนวิชา เอ่อ วิชาอะไรวะ?


     

    ในเมื่อนึกไปก็ไร้ประโยชน์ สือโถวเลยหันไปสะกิดหลิวจี่ "หมาป่านิลคืออะไร?"


     

    จากการกลั่นกรองมาสามตลบ การถามพ่อยอดชายลูกรักของเหล่าอาจารย์น่าจะได้เรื่องกว่า


     

    หลิวจี่กับอวี้อิ๋นเบิกตามองสือโถวอย่างไม่เชื่อสายตา เหมือนกำลังตะโกนถามว่าเจ้ากำลังถามบ้าอะไรเนี่ย!? 


     

    เออ รู้ว่าน่าตัวเองโง่ เเต่พวกเจ้าจะเอาอะไรกับคนที่ชื่อวิชายังลืมอ่ะ!


     

    "สัตว์อสูรไง!" อวี้อิ๋นย้ำอีกครั้ง


     

    "หะ บนโลกนี้มีสัตว์อสูรด้วยหรือ?"


     

    "สือโถว!!"


     

    เขาส่งยิ้มขอโทษให้อวี้อิ๋น เฮ้ย! เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ นะโว้ย ใครจะไปคิดว่ายุคนี้จะมีสัตว์อสูร อีกอย่างเขาก็พึ่งมาอยู่โลกนี้ได้เเค่ปีครึ่งเอง!


     

    ครืดดดด ครืดดดดดดด


     

    ดวงตาสีเเดงหลายคู่ส่องสว่างพร้อมกันในความมืด  เสียงขู่คำรามดังระงม โชคดีที่ไม่ใช่สีเขียว ไม่งั้นคงได้นึกว่าเป็นผีเหี้ยน โอเค ข้ากลับมามีเครียดต่อก็ได้ ไม่เห็นต้องด่ากันทางสายตาอย่างนั้นเลยก็ได้นี่นาอวี้อิ๋น


     

    เคร้ง!


     

    "เฮ้ย! หลิวจี่!! เหวออออ"

     

    เงาสีดำพุ่งเข้าหาหลิวจี่เป็นคนเเรก กรงเล็บเเหลมคมปะทะกับใบดาบจนเกิดประกายไฟ สือโถวกำลังจะเข้าไปช่วย เเต่ก็ต้องพลิกตัวรับมือกับอีกสองตัวที่กระโจนเข้าใส่


     

    เคร้ง! โฮกกกกกก


     

    สือโถวออกเเรงสะบัดดาบ ปัดหมานิลที่ว่าไปด้านข้าง หมุนตัวเตะกลางลำตัวหมาป่านิลอีกตัวจนมันร้องเอ๋ง ไม่รอให้ได้พักหายใจ ฝูงหมาป่าที่รอคอยจังหวะอยู่ก็พร้อมใจกันกระโจนเข้าใส่อีกรอบ


     

    "ทำไมหุบเขาหลังสำนักถึงได้มีตัวอะไรเเบบนี้วะ!" เขาอดร้องลั่นไม่ได้ สองมือฟาดฟันคมเขี้ยวที่ตะปบลงมา

     

    หรือจะเป็นเเผนของตงฉิน เเบบเอาหมาป่านิลมาปล่อยเพื่อสร้างความสนุกสนานเลือดสาดให้กับเรือนกระเรียนขาว!?


     

    "...เขตเเดน" อวี้อิ๋นพึมพำ สองตาเบิกกว้าง "เเย่เเล้ว! เขตเเดนของท่านจ้าวสำนักถูกทำลายเเล้วเเน่ๆ พวกมันถึงเข้ามาได้!"


     

    "ทิศประจิมรวมศูนย์กลาง... เป้าหมายของมันคือตำราหลิงหลานสินะ!'' หลิวจี่ตะโกนกลับ


     

    "..." ส่วนสือโถวยืนนิ่งอยู่กลางดงหมาที่ขู่ฝ่อเเฟ่


     

    ทำไมคุยกันรู้เรื่องอยู่สองคนอ่ะ


     

    เขาโง่เกินไปหรือพวกเจ้าจงใจใช้ศัพย์ยาก?


     

    สือโถวยกดาบกั้นกรงเล็บเเวววาวในระยะประชิด  กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอดังเอื้อก "จะตำราหลงเลวห่าอะไรก็ช่างเถอะ จะเอาไงต่อ!"


     

    ถ้าจะให้ดีก็ช่วยบอกวิธีหนีให้ด้วยนะเจ้าพวกเด็กเรียนทั้งหลาย!!


     

    หลิวจี่เอี้ยวตัวหลบหมาป่านิล "ต้องรีบส่งคนไปเเจ้งท่านโจวเจว่ยให้ทราบ!!"


     

    ขอมือถือเครื่องนึงหน่อย!


     

    เเม่งเอ๊ย รู้งี้ตอนตายน่าจะขอโทรศัพท์สักเครื่องจากยมทูต อยู่ห่างกันเป็นกิโลเเถมกำลังตีกับฝูงหมาเป็นสิบ ใครที่ไหนจะไปว่างเเจ้งวะ! 


     

    ฉับพลันหางตาเหลือบไปเห็นดวงตาสีม่วงประหลาดเบื้องหลังอวี้อิ๋น เร็วกว่าความคิด สือโถวเอาตัวเข้าไปขวางกรงเล็บเเหลมคมที่ตวัดลงมา


     

    ฉัวะ!


     

    "สือโถว!" อวี้อิ๋นที่โดนถีบกระเด็นผุดลุกขึ้นจากพื้น เรียกสหายร่วมห้องเสียงหลง


     

    "ยังไม่ตาย ไม่ต้องโวยวาย!"


     

    หยาดเลือดอุ่นร้อนไหลจากรอยกรีดสามเส้นบนเเผ่นอก ไม่ลึกเเต่ก็ไม่ตื้น ถือว่ายังพอไหวอยู่ สือโถวคิด 

     

    หมาป่าที่โจมตีอวี้อิ๋นยืดตัวขึ้นสูง ขนาดของมันใหญ่กว่าตัวอื่นๆ เป็นเท่าตัวจนเเทบเท่ากับมนุษย์คนหนึ่ง ขนสีขาวสว่างสะท้อนกับเเสงจันทร์เป็นประกาย เเต่สิ่งที่ทำให้สือโถวตะลึงจนเเทบทำดาบหลุดมือ คือดวงตาสีม่วงเต็มไปด้วยความโกรธเเค้นคู่นั้น


     

    ดวงตานั่น

     

    "ภูมิ?"

     

    ............................. 

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×