คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ย้อนยุค 7 : กลับจวนเศรษฐี (Rewrite)
ตึก!
ฝีเท้าสองคู่แตะลงลานกว้างแผ่วเบา แต่กระนั้นคนของหุบเขาเหมยลี้กลับได้ยินชัดเจน พวกเขารีบออกมาต้อนรับคุณชายโจวเจว่ยกับตงฉินที่เป็นผู้ติดตามทันที
สาวใช้ก้าวเข้าไปใกล้ สองมือยกถาดน้ำชาให้คนทั้งสอง โจวเจว่ยเพียงยกมือห้าม สาวใช้จึงโค้งตัวถอยหลังอย่างรู้งาน
พวกเขาขึ้นไปยังชั้นสองของเรือน หน่วย 'อินทรีโลหิต' หลายชีวิตคุกเข่าทำความเคารพเมื่อเห็นนายเหนือหัวทั้งสอง โจวเจว่ยสะบัดพัด "งานที่สั่งให้ทำเป็นอย่างไร?"
"เรียบร้อยดีขอรับ"
"ดี พวกเจ้าไปพักผ่อนได้เเล้ว"
"ขอรับ!"
สิ้นเสียงตอบรับ ร่างใหญ่โตหลายชีวิตก็หายไปราวกับภูตผี โจวเจว่ยหุบพัดประจำกายเดินเข้าห้องนอน ฮึมฮัมร้องเพลงในลำคอไปด้วย
ตงฉินที่ทนอาการไม่รู้ไม่ชี้ของเจ้านายไม่ไหวโพล่งขึ้น "ครั้งนี้เจ้าเล่นมากไปนะโจวเจว่ย"
โจวเจว่ยกับตงฉินเป็นสหายที่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก สถานะเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับคำว่าพี่น้อง เวลาอยู่กันเพียงลำพังตงฉินจึงไม่เคยใช้คำสุภาพกับโจวเจว่ย
"หืม? พูดเรื่องอะไรหรือ?" นิ้วเรียวยาวปลดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น เผยให้เห็นผิวขาวนวล รูปร่างสมส่วนมีมัดกล้ามผิดกับความบอบบางที่เห็นภายนอก
ตงฉินขมวดคิ้ว ก้าวเข้าไปรับเสื้อผ้าจากอีกฝ่าย
"ทาสที่ชื่อสือโถวนั่น ทำไมถึงปล่อยให้มันเข้ามาใกล้เจ้าขนาดนั้น" แค่คิดถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครารกครึ้มจนไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง ตงฉินก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน "ลำพังพวกโจรกระจอกพวกนั้น เจ้าจัดการได้สบายอยู่เเล้วนี่"
"อืมมมม นั่นสินะ" นิ้วเรียวยาวไล้ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อคล้ายครุ่นคิด ก่อนจะคลี่ยิ้มงดงาม "แต่เขาน่าสนใจไม่น้อย สามารถหยุดดาบของเจ้าได้แถมยังเข้าประชิดตัวข้าโดยที่ข้าไม่รู้ตัวเลยอีกด้วย"
"อะไรนะ" เหตุการณ์ที่เพิ่งได้ยินทำให้ตงฉินทำหน้าเครียดกว่าเก่า
สามารถเข้าประชิดตัวนายน้อยเเห่งหุบเขาเหมยลี้ได้ หรือว่าทาสนั่นจะเป็นมือสังหารที่พรรคมารส่งมา?!
"บางครั้งข้าก็คิดว่าเจ้าคิดมากไปนะตงฉิน" เพียงแค่เห็นสีหน้ามืดครึ้มของสหายสนิท โจวเจว่ยก็เดาได้แล้วว่าตงฉินคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มส่ายศีรษะหยิบชุดนอนมาสวม ขึ้นไปนั่งเท้าคางบนเตียงพลางพึมพำชอบใจ
"สือโถว สือโถว"
เจ้าหนูที่น่าสนใจ~
ไม่ว่าจะเป็นมือสั่นระริกด้วยความประหม่ายามโดนเกาะกุม หรือท่าทางอึกอักยามโดนเหย้าเเหย่ ช่างเป็นการตอบสนองแสนน่าเอ็นดูผิดจากลักษณะภายนอก ทำเอาโจวเจว่ยรู้สึกใจเต้นเหมือนครั้งแรกที่ได้รับอนุญาตให้มีสัตว์เลี้ยง เอาเเต่ครุ่นคิดทั้งวันว่าจะเล่นกับมันอย่างไร
ไม่ว่าจะกิริยาเเบบไหนก็น่าเเกล้งไปหมด
คุณชายเเห่งหุบเขาเหมยลี้มีนิสัยเเปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ผู้คนทั่วไปต่างชอบของสวยๆ งามๆ แต่นายน้อยผู้นี้กลับเลือกสิ่งที่ดูพิสดารเเปลกเเยกกว่าใครเขาเเทน ท่านประมุขเองก็จนใจ ไม่รู้จะบอกลูกชายอย่างไรว่าเลิกเอาของเเปลกๆ (พ่วงความวิปโยค) เข้าบ้านข้าสักที!!! เสือดำเอย ช้างเอย งูเห่าเอย เจ้าคิดจะเปิดสำนักมารสาขาย่อยหรือไร!
"เจ้าถูกใจหมอนั่นมาก?"
"เเน่นอนสิ" นัยน์ตาคู่สวยทอประกายวิบวับ
ตงฉินเเค่นหัวเราะ "ถูกใจมาก เเต่กลับยืนดู ปล่อยให้ข้าโจมตีเขาน่ะหรือ?"
"อืม" โจวเจว่ยไม่มีท่าทีกระอักกระอ่วนที่ถูกจับได้เลยสักนิด ตรงกันข้ามรอยยิ้มหวานกลับทวีความร้ายกาจ
แท้จริงเเล้วโจวเจว่ยรู้มาตลอดว่าตงฉินจะมาหาเขาตอนไหน เเละก็รู้ดีว่าหากตงฉินไม่เห็นเขาจะต้องโจมตีสือโถวแน่ ดังนั้นเขาจึงเลือกออกจากศาลเจ้าโดยอ้างว่าจะออกไปหาอาหารมาให้
หึๆ สือโถวตอนหน้าซีดปากสั่นก็น่ารักดีไม่หยอก
เอาล่ะ ตัดสินใจเเล้ว
"เจ้าไปแจ้งหน่วยอินทรีโลหิตให้เตรียมตัว อีกสองวันเราจะเดินทางไปจวนเศรษฐีที่เมืองจิ้นหยาง"
"เพื่อ?" ตงฉินขมวดคิ้วมุ่น
โจวเจว่ยแย้มยิ้มจนตาหยีโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว
"ข้าจะไปรับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของข้าน่ะ"
....................
"ฮัดชิ้ว!!"
"เดินทางแค่นี้ก็ป่วยเเล้วหรือไอ้หนู!"
"อย่างน้อยข้าก็แข็งแรงกว่าตาแก่อยากเจ้าก็เเล้วกัน!"
สือโถวโต้กลับอย่างหงุดหงิด หลายวันก่อนกว่าเขาจะหาทางลงจากภูเขาได้ก็แทบแห้งเหี่ยวเป็นศพให้อีกาแถวนั้นแทะเล่น สภาพตอนไปถึงโรงน้ำชาบอกเลยว่าโคตรโทรม แทนที่เพื่อนร่วมขบวนจะเป็นห่วงกลับพากันหัวเราะเอิ้กอ้าก หยอกล้อว่าเขาโดนแม่หม้ายลากเข้าพงหญ้า
แม่หม้ายป้าแกสิ เป็นฝีมือคนงามที่มีช้างน้อยติดอยู่หว่างขาต่างหาก!
บทเรียนนี้สอนให้รู้ซึ้งแล้วว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าไว้ใจคนงาม ฮืออออ
"สงสัยน้องหลี่หลงของเจ้าคงบ่นคิดถึงอยู่กระมัง"
"เป็นไปได้ๆ อีกไม่นานก็ถึงจวนเเล้ว เจ้าช่วยทนหน่อยแล้วกัน" หนุ่มหน้าบากตบไหล่เขาดังป้าบ!
สือโถวทำหน้าบู้บี้ เจ้าพวกนี้ทำเหมือนมู่หลี่หลงเป็นเมียเขาไปได้ เมื่อไหร่จะสำนึกได้สักทีว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กอายุสิบเอ็ดขวบ!
"หืม? ที่จวนมีอะไรกัน" หัวหน้าถงพึมพำ พวกเขาหยุดสนทนากันชั่วคราวพลางเอียงตัวมองอย่างสงสัย
หน้าจวนที่เคยเต็มไปด้วยของซื้อของขายหลากหลายตั้งเเต่สากกะเบือยันเรือรบ บัดนี้มีผู้คุมทาสที่ทั้งคุ้นและไม่คุ้นหน้ายืนจังก้าอยู่
สือโถวสบตากับฝู่อี้ รู้สึกหนังตากระตุกชอบกล
"หยุด!" ผู้คุมบ่าวทาสร่างใหญ่โตประกาศก้อง ผู้คุมที่เหลือวิ่งมาล้อมขบวนของพวกเขา ทั้งหมดพร้อมใจยกอาวุธในมือขึ้นขู่ คนในขบวนต่างทำหน้าเลิ่กลั่ก หัวหน้าถงเองก็โมโหจนหนวดเเทบลุกเป็นไฟ
"อาต้วน! นี่มันเรื่องอะไรกัน!!"
ผู้ที่ถูกเรียกว่าอาต้วน หรืออีกนัยคิอหัวหน้าผู้คุมบ่าวทาสกอดอกเชิดหน้าอย่างถือดี แผดเสียงคำรามก้องถนน "ลงจากม้า! พวกเจ้าต้องได้รับการไต่สวนตามคำสั่งของนายท่าน"
"หา"
"ไต่สวน?"
"พวกข้าไปไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำมะ-"
หัวหน้าถงยกมือห้าม เสียงโวยวายของเหล่าชายฉกรรจ์ในขบวนจึงหยุดลง
ร่างสูงใหญ่ของถงซวี่ตวัดขาลงจากหลังม้า คนขบวนขนส่งรวมถึงสือโถวจึงกระโดดลงจากม้า ทั้งสองฝั่งยืนประชันหน้าอย่างไม่มีใครยอมใคร ด้วยความที่ร่างสูงใหญ่เหมือนกันจึงยากที่จะเดาว่าหากตีกันขึ้นมาเเล้วฝ่ายไหนจะเป็นผู้ชนะ
ถงซวี่ยืนจ้องหน้าหัวหน้าผู้คุมทาส ก่อนกดเสียงต่ำ "พี่น้องของข้าเดินทางมาเหนื่อยๆ อยากจะไต่สวนอะไรก็รีบทำหน่อยแล้วกัน"
หัวหน้าผู้คุมทาสแอบกัดฟันกรอด สำหรับตำแหน่งผู้คุมบ่าวทาสกับคนคุ้มกันขบวนสินค้า ทั้งคู่นับว่ามีความสำคัญต่อจวนไม่ต่างกัน เช่นเดียวกับความไม่ชอบขี้หน้าที่ดูจะรุนแรงขึ้นทุกวัน
แท้จริงแล้วอ้าต้วนคิดจะยั่วให้ศัตรูคู่เเค้นอย่างถงซวี่โกรธ ตนเองจะได้ถือโอกาสเหยียบอีกฝ่ายให้เละ ทว่าไม่เพียงแต่หายโมโหอย่างรวดเร็ว ถงซวี่กลับรับมืออย่างมีสติทำให้ตนรู้สึกเดือดผลาญในใจจนเเทบกระอักเลือด!
ชายหนุ่มถ่มน้ำลาย "เหอะ ถ้าพวกเจ้าบริสุทธิ์ก็ใช้เวลาไม่นานหรอก ไป!"
สิ้นเสียงพวกผู้คุมทาสก็พร้อมใจกันออกเเรงผลักคนคุ้มกันขบวนสินค้าราวกับต้อนปศุสัตว์เข้าคอก...แต่คิดหรือว่าพวกเขาจะยอมง่ายๆ !
สือโถวกับพรรคพวกผลักเจ้าผู้คุมหน้าวอกพวกนี้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ เสียงฮึ่มเเฮ่ดังเป็นระยะตลอดทางเดินไปห้องสอบสวนที่ตั้งขึ้นมาชั่วคราว
"หึ นั่งรออยู่ในนี้ไปก่อนเเลัวกัน เดี๋ยวข้าจะเรียกมาสอบสวนรายตัว!!"
ปึง!!
หลังจากต้อนมาถึงห้องโถง หัวหน้าผู้คุมทาสก็ปิดประตูเสียงดังใส่หน้าพวกเขา
"เก่ง! ทำเป็นเก่งจริงๆ ! คิดว่าตัวเองเป็นนายของจวนนี้หรือไรกัน ถุย!" ชายหนุ่มคนหนึ่งในขบวนสินค้าสบถ คนที่เหลือต่างมีสีหน้าไม่พอใจเช่นกัน
"สรุปแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!" ฝู่อวี่หันมาถามเด็กหนุ่มหน้าหนวด
สือโถวส่ายหัวตอบ ถามความเห็นชายร่างใหญ่กลางห้อง "หัวหน้าคิดอย่างไรขอรับ?"
ถงซวี่ยกมือกุมคางครุ่นคิด "พวกเจ้าสังเกตหรือไม่ว่าระหว่างทางไม่มีทาสเด็กเลยสักคน"
พวกสือโถวพากันคิดตาม เมื่อกี้เอาแต่คำรามฮึ่มแฮ่ ร่างกายหวิดปะทะกับไอ้พวกผู้คุมหน้าเหม็น ไหนเลยจะไปสนใจสภาพเเวดล้อม เเต่ถ้าย้อนคิดดูอย่าถี่ถ้วนแล้วก็ต้องสะดุ้งในใจเมื่อพบว่าเป็นอย่างที่หัวหน้าพูด ภายในจวนนี้มันเงียบผิดปกติเกินไป
"หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่จวน" ใครสักคนเอ่ยเเทนความในใจของทุกคน
สือโถวตัวเเข็งทื่อ ใจนึกถึงหน้ามู่หลี่หลงกับอาเยี่ยนขึ้นมาเป็นอันดับเเรก
"เรื่องนั้นเรายังบอกไม่ได้หรอก มีทางเดียวคือต้องรอต่อไป"
"หวังว่าพวกนั้นคงจะไม่โยนขี้ให้พวกเราหรอกนะ!"
"ลองดูสิ! ข้าเองก็มีมือมีเท้า ขืนมันทำอะไร ข้าไม่ยอมเเน่"
เสียงจอแจเหมือนผึ้งแตกรังดังขึ้นทันที เรื่องอะไรจะต้องยอมให้เจ้าพวกนั้นกดขี่ พวกเขาเองก็มีมือมีเท้าไว้ตอบโต้เหมือนกัน!
ท่ามกลางเสียงโวยวายไม่พอใจมีเพียงสือโถวที่นั่งเงียบอยู่มุมห้อง พลางครุ่นคิดเรื่องราวไปทีละส่วน
...............
"คนต่อไปรีบเข้ามา!!"
สือโถวลุกขึ้นยืน เขาเป็นคนที่หกที่จะถูกสอบสวน
เเต่พอเห็นสภาพห้องสอบสวนที่ว่าเขาเป็นอันต้องเลิกคิ้วขึ้น
ด้านหน้าห้องมีชายร่างใหญ่ยืนถืออาวุธเฝ้าอยู่สองคน ภายในห้องสี่เหลี่ยมมืดทึบมีเพียงแสงจากเทียนไขเล่มเดียวกับโต๊ะไม้ที่มีเก้าอี้สองตัว
สถานการณ์มันเลวร้ายจนต้องเล่นใหญ่เหมือนเตรียมเชือดขนาดนี้เลย?
"เข้าไปสิ มัวยืนทำหน้าโง่อยู่ทำไม!!"
"..." สือโถวปรายตามองเหยียด ไอ้นี่ก็แหกปากตะโกนอยู่ได้ กลัวบรรพบุรุษของตัวเองไม่ได้ยินรึไง
เขายักไหล่กวนตีนผู้คุมทาสไปหนึ่งทีก่อนเดินเข้าไปอย่างไม่สะทกสะท้าน หลงป่าทั้งคืนยังผ่านมาเเล้ว ห้องสี่เหลี่ยมทึมๆ เเบบนี้ทำให้จิตวิญญาณนักเดินป่าหวั่นไหวไม่ได้หรอกย่ะ!
ปึง!!
ประตูถูกปิดไล่ตามหลัง สือโถวร้องเหอะ ขยับเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ก่อนเอียงคอพิจารณาคนสอบสวนที่นั่งอยู่หลังแสงไฟ
ใบหน้าผอมตอบ ดวงตาลึกโหล ริมฝีปากเเห้งเเตก ดูทรงเเล้วควรจะพาพี่เเกไปลงโลงมากกว่ามานั่งอยู่ตรงนี้นะ
แต่ไอ้หมอนี่เเม่งหน้าคุ้นๆ เหมือนกับ...
"ของที่ฝากไปซ่อมเสร็จยัง?"
"อาเยี่ยน!!" ในที่สุดก็นึกออกว่าซากศพ (?) ตรงหน้าคือใคร สือโถวตกใจตัวลอยแทบจะโดดข้ามโต๊ะไปจับหน้าผอมตอบนั่น "เกิดอะไรขึ้น ทำไมสภาพเหมือนซอมบี้แบบนี้"
หมดกัน! อาหารตาของข้า เอ๊ย สหายของข้า
"เกิดเรื่องที่จวนนิดหน่อย ไม่สิ ร้ายเเรงมาก" อาเยี่ยนปัดมือสือโถวออก ไม่สนใจว่าซอมบี้ที่ว่าคือภาษาบ้าบออะไรอีก เด็กหนุ่มอธิบายด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยากมาก "มีคนวางยาถ่ายในจวน คนเกือบทั้งจวนขี้เเตกนอนซมลุกจากเตียงไม่ไหว"
"หะ? ยะ ยาถ่าย?"
แค่ยาถ่ายเนี่ยนะ?! ไอ้พวกคุมทำเหมือนกับพวกเขาไปฆ่าเเม่มันงั้นเเหละ!
"อา เจ้าคงคิดว่ามันร้ายเเรงตรงไหนล่ะสิ"
"เอ่อ ก็นิดหน่อย"
อาเยี่ยนหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ เเต่เเลดูโหยหวนในความคิดสือโถวมาก "ลองนึกสภาพคนกว่าสามร้อยชีวิตที่ปวดทุกข์พร้อมกันเเต่ดันมีห้องน้ำเเค่ห้าสิบห้องดูสิ..."
"..." ว้าว เห็นภาพเลย
"เเถมเป็นยาถ่ายอย่างเเรง หากไม่ได้รับยาถอนพิษที่มาจากหอสมุนไพรเจิ้นชิงก็จะไม่หยุดถ่ายเป็นเวลาสิบวัน"
"เชี่ย" สือโถวอดขนลุกไม่ได้ คนในเมืองจิ้นหยางต่างรู้ดีว่ายาที่มาจากหอสมุนไพรเจิ้นชิงเป็นเลิศพอๆ กับราคาเเพงที่ระยับมากเพียงใด ขนาดข้าวยังเจียดให้เหมือนมดกิน คิดหรือว่าสมุนไพรราคาเเพงเเบบนี้นายท่านจะยอมจ่าย
ต้องยอมรับว่าคนที่วางเเผนนี้ร้ายจริงๆ เเค่เรื่องเล็กๆ ที่เหมือนจะขำ เเต่พอเกิดขึ้นจริงกลับขำไม่ออกเลยสักนิด
"พวกเจ้าต่างออกเดินทางในวันเกิดเหตุเเถมยังอาการปกติทุกคนเลยเป็นผู้ต้องหาอันดับหนึ่งยังไงล่ะ" พูดจบอาเยี่ยนก็ยกน้ำชาขึ้นมาจิบ สือโถวรีบยกกาน้ำชาเติมให้สหายอย่างเห็นใจ โถ พ่อหนุ่มน้อย ขี้เเตกยังไม่พอต้องมานั่งสอบสวนอีก สปิริตของเจ้า ข้าล่ะนับถือจริงๆ
"เเต่ช่างเเม่งเหอะ"
"อ้าว" เดี๋ยวก่อนสิเพื่อนรัก
อาเยี่ยนถอนหายใจเฮือก คิ้วเข้มขมวดแน่นคล้ายยุ่งยากใจ "ความจริงข้าก็รู้ตัวการเเล้วล่ะนะ เเต่ยังไม่ได้บอกใคร"
สือโถวชะงัก เงยหน้าสบตากับอาเยี่ยน แววตาของสหายสนิทนิ่งเรียบ ท่าทีที่บอกคำตอบเป็นนัยๆ ทำให้สือโถวเม้มปากแน่น ถ้าอาเยี่ยนพูดเเบบนี้ก็พอเดาได้ออกแล้วว่าคนร้ายคือใคร
"จำเรื่องที่ข้าบอกเจ้าก่อนจะออกเดินทางได้มั้ย?" อาเยี่ยนถามขึ้น
"อืม" สือโถวหลุบตาลง ภาพเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนย้อนกลับมาในความทรงจำ
'เด็กนั่นมันตัวอันตราย'
นี่คือสิ่งที่อาเยี่ยนพูด ก่อนจะถีบเขาออกจากห้อง
"ที่ข้ายังไม่ได้บอกใครเพราะอยากจะบอกเรื่องนี้กับเจ้าเป็นคนเเรก" ถ้วยชาถูกยกขึ้นจิบอีกครั้ง "นายท่านสั่งให้โบยคนที่วางยาให้ตายต่อหน้าบ่าวทาสในจวนเป็นการลงโทษ"
สือโถวกำหมัดบนตักเเน่น นึกอยากหัวเราะต่อฟ้า ชีวิตของบ่าวจวนนี้ช่างไร้ค่าสิ้นดี
อาเยี่ยนกล่าวต่อ "ข้ายอมรับว่าเด็กนั่นวางเเผนมาดี เเต่ถึงอย่างไรก็ยังเหลือช่องว่างอยู่ อีกไม่นานคนอื่นก็คงจะสังเกตเห็นเช่นกัน"
"...เจ้าช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือ"
"ขอโทษที ข้าจนปัญญาเเล้วจริงๆ ครั้งนี้มู่หลี่หลงลงมือรุนเเรงเกินไป"
สือโถวถอนหายใจยาว เอนตัวไปด้านหลัง ดวงตามืดหม่นเหม่อมองเพดานไม้ อาาาา ให้ตายสิ เจ้าก้อนเต้าหู้น้อยคิดบ้าอะไรอยู่ถึงได้ลงมือเเบบนี้กันนะ?
เเล้วตัวเขาล่ะ? จะทำยังไงดี?
"..."
"..."
อาเยี่ยนปล่อยให้สหายของตนคิดให้เต็มที่ เด็กหนุ่มจิบชารอเงียบๆ
"เฮ้อ" ริมฝีปากเหยียดยิ้มขมขื่น สือโถวถอนหายใจอย่างจนใจ
ไม่ว่าจะคิดยังไง คำตอบของเขาดันมีเเค่อย่างเดียวซะงั้น
"อาเยี่ยน"
"อือ" อาเยี่ยนครางรับเสียงยานคาง
"ช่วยรายงานต่อนายท่านทีว่าคนที่วางยาคนในจวนคือข้าเอง"
น้ำชาในปากถูกพ่นพรวด!
"หา!!"
"..." สือโถวยกเเขนเสื้อเช็ดน้ำชาเเละน้ำลายบนหน้า นี่ก็พ่นแรงเป็นรถน้ำเทศบาลมาเชียว
"เจ้าโง่หรือเปล่า! รู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรออกมา!" อาเยี่ยนเบิกตากว้าง หากไม่ติดว่าสังขารอ่อนแรงเขาคงกระโดดขึ้นโต๊ะกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายไปแล้ว
ชั่วขณะหนึ่งแสงไฟจากเทียนไขส่องกระทบใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หนวดเครา อาเยี่ยนตกตะลึงจนลืมอ้าปากด่า
สือโถวคลี่ยิ้มแทนตอบ
อืม โง่สิ โง่มากเลยด้วย เพราะงั้นคำตอบของคนโง่จึงมีเพียงอย่างเดียว
"ฝากทีนะ"
"สือโถว!!"
ว่าอยากจะปกป้องเด็กน้อยคนนั้นให้ถึงที่สุด
..................
ภายในโรงครัว ร่างเล็กกำลังเคี่ยวซุปพร้อมกับทาสเด็กอีกสามสี่คน พวกเขาเป็นกลุ่มทาสที่ได้รับพิษไม่มากจึงยังทำหน้าที่ตามปกติ
เเม้ภายนอกมู่หลี่หลงจะดูปกติเเต่ภายในใจกลับร้อนรุ่มไม่อาจสงบลงได้ ผ่านมาหลายชั่วยามเเล้ว ทำไมยังไม่ปล่อยตัวไอ้บ้าหน้าหนวดออกจากห้องสอบสวนอีกนะ
ดวงตากลมโตเเอบมองออกไปนอกโรงครัวเป็นระยะ ทว่าก็ยังคงไร้วี่เเววของคนที่ชอบทำหน้าเหม็นเบื่อเเต่การกระทำกลับอ่อนโยนยิ่งผู้นั้น
ตึก! ตึก! ตึก!
หือ?
คนในครัวหันไปมองต้นเสียงพร้อมเพรียงกัน ที่หน้าประตูปรากฏร่างขนาดกะทัดรัดของซานอวี้ เด็กน้อยน่าตายที่สือโถวเคยเล่าให้ฟัง
"อ้าว วิ่งหนีอะไรมาล่ะไอ้หนู" พ่อครัวกงเป็นหนึ่งในทาสที่ได้รับพิษไม่มาก ชายหนุ่มถามซานอวี้ที่ยังหอบไม่เลิก ส่วนมือก็ยื่นน้ำให้เด็กน้อยจิบ
ซานอวี้ส่ายหัวไม่รับ หน้าตาเต็มไปด้วยความตระหนกตกใจ "เมื่อครู่ข้าเดินผ่านเรือนกลาง ได้ยินว่าจับคนร้ายได้แล้ว!"
มือที่กำลังคนซุปของมู่หลี่หลงหยุดชะงัก พวกทาสในครัวต่างวางงานในมือ รีบขยับมาล้อมซานอวี้เพื่อฟังชัดๆ "จริงหรือ! เเล้วพวกเขาจะทำยังไงกับคนร้ายล่ะ"
"ใคร! คนร้ายคือใคร!"
"ใช่คนในจวนหรือไม่!"
"ใจเย็นกันหน่อย" พวกทาสตัวน้อยเอาแต่แย่งกันพูดจนซานอวี้ตอบไม่ถูก พ่อครัวกงจึงดันให้พวกเขาออกห่างจากซานอวี้ ทว่าก็เหมือนจับปูใส่กระด้ง แต่ละคนดึงแขนซ้ายขวาเรียกหาคำตอบ
ขณะที่ห้องครัวกำลังวุ่นวายมีเพียงมู่หลี่หลงคนเดียวที่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงมุมห้อง
เป็นได้ยังไงกัน? ทำไมถึงจับคนร้ายได้ล่ะ?
ซานอวี้สะอื้นฮัก "ข้า ข้าอยากรู้มากว่าคนร้ายคือใคร เลยวิ่งตามคนอื่นไปดูบ้าง ละ เเล้ว พอมุดเข้าไปดู..." เด็กน้อยน้ำตาคลอ หวิดจะร้องไห้อยู่รอมร่อ "ก็เห็นพี่สือโถวโดนโบยอยู่ตรงนั้น!!"
"อะไรนะ!" พวกเขาเหวลั่น
เคร้ง!
มู่หลี่หลงยืนตกตะลึงอยู่หน้าหม้อที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น น้ำซุปเดือดจัดไหลนองส่งเสียงปุด ๆ เหมือนสมองของเขาในตอนนี้
สองมืออ่อนแรงยกขึ้นลูบหน้าตัวเอง ทั่วทั้งร่างรู้สึกชาวาบราวกับเป็นอัมพาต
สือโถว?
ทะ ทำไม?
พ่อครัวกงเป็นคนเเรกที่ได้สติ มือหยาบกร้านคว้าไหล่เล็กของซานอวี้เเน่น "เจ้าเเน่ใจนะว่าไม่ได้มองผิด! ถึงสือโถวจะหน้าโจรเเต่เขาไม่ใช่คนที่ทำอะไรเเบบนั้นเเน่!!"
"ฮึก ขะ ข้าก็อยากให้มันไม่ใช่เรื่องจริงเหมือนกัน ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่นอนเลือดอาบอยู่ตรงนั้นจะเป็นพี่สือโถว ฮือออออ พ่อครัวกงข้าจะทำอย่างไรดี นายท่านตัดสินโทษให้โบยจนตาย เเต่ข้าไม่อยากให้พี่สือโถว ฮึก"
"เรื่องนี้ข้- เดี๋ยว! นั่นเจ้าจะไปไหน มู่หลี่หลง!!"
หมับ!
พ่อครัวกงคว้าคอเสื้อของเด็กน้อยไว้ได้ทัน มู่หลี่หลงสะบัดตัวเพื่อให้หลุดจากการจับกุม ถึงพ่อครัวกงจะอายุมากเเล้วเเต่ก็ยังบึกบึนสมกับที่ทำงานในโรงครัว เด็กสิบเอ็ดขวบอย่างมู่หลี่หลงมีหรือจะสู้เเรงได้
"ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!! กล้าดียังไงมาจับตัวข้าไอ้คนชั้นต่ำ!!"
"เจ้าไปตอนนี้จะไปช่วยอะไรสือโถวได้ เเล้วข้าคิดว่าสือโถวคงไม่อยากให้เจ้าเห็นเขาในสภาพนั้นเเน่ๆ"
"หุบปาก!!"
ท่าทางแข็งกร้าวแฝงด้วยอำนาจทำให้พ่อครัวกงตกใจจนเผลอปล่อยมือจากคอเสื้อเด็กน้อย มู่หลี่หลงสะบัดตัวอีกครั้งก่อนจะวิ่งไปทางเรือนกลางอย่าไงไม่คิดชีวิต
'กินเเค่นี้จะไปอิ่มอะไรล่ะ เอ้า เอาไปกินอีก'
"เเฮ่ก เเฮ่ก" มู่หลี่หลงออกแรงวิ่งจนเจ็บหน้าอก ในรูหูได้ยินแต่เสียงหอบใจหายใจของตัวเอง
ทั้งที่เมื่อก่อนเรือนกลางไม่ได้ไกลขนาดนี้เเท้ๆ เเต่ทำไมเวลานี้เหมือนกับอยู่ห่างกันราวฟ้ากับเหวแบบนี้!
'ฝันร้ายเหรอ? มาๆ พี่สา- ชายจะกอดปลอบเจ้าเอง'
ท่าทางอ่อนโยนที่ไม่เข้ากับหน้าตา อ้อมกอดอบอุ่นที่มีให้ทุกคืน คำพูดจาแสนห้วนที่คอยปลอบใจในยามที่เขาท้อเเท้ เเผ่นหลังที่ปกป้องเสมอไม่ว่าจะต้องการหรือไม่
...และรอยยิ้มที่มักมีให้กันยามลืมตาตื่นทุกเช้า
'ตื่นแล้วหรือหลี่หลง'
ไม่ ไม่! ไม่!! ต้องไม่ใช่เเบบนี้สิ!!!
ข้าไม่ได้วางเเผนให้เจ้าต้องมาตายเเทนข้าเเบบนี้!
ตึง!
"อ้ะ"
โครม!
มู่หลี่หลงหงายหลังไปกับพื้น ดวงตากลมโตตวัดไปยังเด็กหนุ่มสามคนอย่างมาดร้าย
"จุ๊ๆ มาดูนี่สิพวกเรา เดินอยู่ดีๆ ก็มีคนงามวิ่งมาชนซะงั้น"
"จะรีบไปไหนเหรอ น้องชาย ให้พี่ไปส่งมั้ยจ้ะ?"
"เเต่ถ้าจะไปหาไอ้หมีควายนั่นคงจะยากหน่อยนะ เพราะตอนนี้คงขนศพไปทิ้งที่ไหนสักที่เเล้วล่ะ!"
กล่าวเยาะเย้ยจบ พวกเขาก็หัวเราะกันอย่างสะใจ มู่หลี่หลงโมโหจนร่างกายเล็กจ้อยสั่นสะท้าน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยากฆ่าใครสักคนนอกจากบุรุษคนนั้น
"ข้าไม่มีเวลามาเสวนากับคนต่ำต้อยอย่างพวกเจ้า ไสหัวไป!"
มู่หลี่หลงผุดลุกขึ้น ทาสวัยสิบเจ็ดปีท่าทางขี้โรคพุ่งมาขวางหน้าเขาไว้ "ปากดีจังนะ น้องคนงาม ไม่รู้ว่าตอนอยู่ในห้องจะปากดีอย่างน- โอ๊ย!!"
มู่หลี่หลงถีบเข้าท้องที่อีกฝ่ายเต็มเเรง บ่าวทาสหื่นกามทรุดลงไปอวดครวญกับพื้น คนที่เหลือเห็นดังนี้ก็พากันหงุดหงิดขึ้นมาบ้างเเล้ว ทาสหนุ่มด้านข้างจึงกระชากเส้นผมร่างเล็กจนหน้าหงาย
"ร้ายนักนะเจ้า พูดดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลังสินะ!"
ผัวะ!
มือใหญ่ฟาดลงบนเเก้มนวลจนปากเเตก มู่หลี่หลงล้มลงอีกรอบ เเรงตบหนักหน่วงทำเอาเด็กวัยสิบเอ็ดขวบลุกเเทบไม่ขึ้น
มู่หลี่หลงทั้งเเค้นทั้งเจ็บปวด
เกลียดที่ตัวเองมีร่างกายอ่อนเเอ
เกลียดที่ไร้กำลัง เเม้เเต่เเรงจะลุกขึ้นยังไม่มี
ทาสหนุ่มเย้ยหยัน "ข้าจะบอกอะไรให้นะ สือโถวที่รักของเจ้าโดนโบยจนกลายเป็นเศษเนื้อเละๆ ให้กากินไปแล้ว!"
"!!" หัวใจมู่หลี่หลงหล่นวูบ ดวงตากลมโตเบิกตากว้างเเทบถลนออกจากเป้า
"ฮ่ะๆ ข้ายังจำเสียงโหยหวนของมันยามโดนผู้คุมฟาดลงไปได้อยู่เลย"
"พะ พอ" มู่หลี่หลงส่ายหน้า ความรู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกฉีกกระชากเล่นพล่านไปทั่วร่าง สองเเขนสั่นเทาจนเเทบยันกับพื้นไม่อยู่
"ฮ่าๆๆ อยากฟังอีกมั้ยเล่า! สภาพตอนมันโดนลงโทษจนตายทั้งเป็นน่ะ"
พอได้แล้ว!
"โฮ่ ขอข้าฟังด้วยคนสิ"
พวกทาสหนุ่มที่เมื่อครู่ยังยืดอกรังแกต่างตัวแข็งทื่อ
เสียงทุ้มยียวนที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง มู่หลี่หลงค่อย ๆ หันกลับมองอย่างไม่เชื่อสายตา
ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายขอบตาพลันร้อนผ่าว ดวงตากลมโตสะท้อนภาพของสือโถวที่กำลังหักนิ้วดังกรอบแกรบ
"ขี้แตกอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ดันมาหาว่าคนอื่นตาย เห็นทีชีวิตเจ้าคงว่างมากกระมัง?"
...................................
ความคิดเห็น