ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BL] เป้าหมายของข้าคือ HaRem!!

    ลำดับตอนที่ #7 : ย้อนยุค 6 : คนงามเเห่งต้าฉิง (2) (Rewrite)

    • อัปเดตล่าสุด 26 ม.ค. 66


     

    "มารดามันเถอะ! ช่างวิ่งเร็วเสียจริง!"

    "รีบตามหาเร็วเข้า หากโจวเจว่ยหนีไปได้พวกเราตายเเน่!!"

    ตึก ตึก ตึก

    เสียงฝีเท้าหลายคู่ใกล้เข้ามาทุกขณะจิต โจ่วเจว่ยเเนบตัวกับกำเเพงเก่า สองตาสอดส่องดูพวกชายฉกรรจ์ รอยยิ้มสวยเจือเเววอำมหิตปรากฏขึ้นบนใบหน้างามล่มเมือง นิ้วเรียวยาวขยับแตะแผ่นเหล็กเย็บเฉียบใต้เเขนเสื้อ

    หมับ!

    "อื้อ!"

    จู่ ๆ ก็มีฝ่ามือหยาบกร้านเอื้อมมาปิดปากจากด้านหลัง โจวเจว่ยสะดุ้งสุดตัว เกือบเหวี่ยงพัดฟาดหน้าอีกฝ่ายไปแล้ว ถ้าไม่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยเเทรกขึ้นมาก่อน "คุณชายโจว มาทางนี้ขอรับ"

    โจวเจว่ยเลิกคิ้วขึ้น ลดมือข้างซ้ายลง

    "เจ้า...?" บ่าวที่ตำหนักเมื่อครู่?

    "ข้าชื่อสือโถวขอรับ ตอนนี้ท่านเข้ามาหลบตรงนี้ก่อน"

    สือโถวลากคนงามลัดเลาะซอกซอยจนมาถึงตรอกเเคบๆ ตรอกหนึ่ง ตรงสุดทางเดินแห่งนี้เต็มไปด้วยฟางเเห้ง โจวเจว่ยขมวดคิ้ว ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม สือโถวก็ลากคนตัวสูงกว่าเข้าไปนั่งอยู่กลางกองฟางก่อนหยิบฟางเเห้งมากลบโจวเจว่ยจนมิดศีรษะ

    "อยู่ตรงนี้ท่านจะปลอดภัย ข้าจะไปล่อพวกมันไปไกลๆ ให้นะขอรับ!"

    "เดี๋ยว..."

    สือโถวไม่สนใจโจวเจว่ย เขาหมุนตัววิ่งออกจากตรอกทันที

    อย่าเพิ่งพูดทั้งนั้นเพราะแค่นี้เขาก็อยากเอาหัวโขกกำเเพงตายเเล้ว!

    ให้ตายเถอะ หลังจากเอามู่หลี่หลงมาเลี้ยงดูเหมือนหัวจะเพี้ยนกว่าเดิมถึงได้มายุ่งเรื่องชาวบ้านแบบนี้

    "เจอตัวรึยัง!"

    "มันมีปีกหรือไรกัน!"

    สือโถวเบรกเท้าแทบไม่ทัน ไอ้พวกนี้เเม่งวิ่งไวกันจังเว้ย! 

    เอายังไงดี อีกฝ่ายมีตั้งหกคน เขาคงรับมือไม่ไหวเเน่ หรือจะเเยกพวกมันออกจากกลุ่มก่อน?

    ในระหว่างที่ครุ่นคิดเสียงย่ำเท้าหนักๆ ก็ขยับใกล้เข้ามา เขาเหงื่อเเตกพลั่กๆ เป็นไงเป็นกันว่ะ!!

    "เฮ้ย พี่ชาย!"

    พรึบ!!

    อุ้ยตาย หันมาพร้อมกันหมดเลยเหรอตัวเอง

    ตัวร้ายเบอร์หนึ่งตวาด "มีอะไร! ข้ายุ่งอยู่!!"

    "เเฮ่ม!" สือโถวยกกำปั้นกระแอมไอก่อนปั้นหน้าเหี้ยมโหด กดเสียงแหบต่ำเลียนแบบพวกตัวโกงในหนัง "ข้าได้ยินว่าพวกพี่ชายกำลังหาตัวคนงามอยู่หรือ"

    ในเมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ใช้เเผนหลอกล่อปล่อยข่าวลวงให้พวกมันเดินหลงทางไปไกลถึงแปซิฟิก (?) เลยเเล้วกัน!

    ตัวร้ายเบอร์สองยกดาบขึ้นชี้หน้า "พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เจ้าเห็นมันงั้นรึ!!"

    พูดขนาดนี้คงไม่เห็นมั้ง ไอ้โง่เอ๊ย!!

    แม้ในใจจะด่าไปแล้วสิบบท แต่ภายนอกก็ยังเเสยะยิ้ม สือโถวบังคับให้ดวงตาเบิกกว้างเหมือนคนหื่นกระหาย

    "เเน่นอนสิพี่ชาย! ใบหน้างดงามเเบบนั้นข้าเห็นเเวบเดียวก็จำได้ไม่ลืม เห็นพี่ชายตามหาเเบบนี้ในฐานะคนดีข้าเลยอยากจะบอกว่าคนงามวิ่งไปทางนู้น" เขาชี้ไปทางขวา

    เหล่าตัวประกอบค่าตัวถูกหันหน้าตามทิศทางที่ถูกชี้ เขารีบพูดต่อ "หลังจากนั้นก็เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเลี้ยวขวาตีลังกาขึ้นกำเเพงวิ่งวนไปทางเหนือ กระโดดลงทางตะวันออก กระดืบไปทะ-"

    "หยุด!!!" ตัวร้ายเบอร์อะไรสักอย่างตะโกนขัด สือโถวหุบปากฉับ ในใจร้องว่าแย่แล้ว พวกมันรู้ตัวแล้วเหรอ?!

    "เอาใหม่อีกที ข้าฟังไม่ทัน"

    สือโถว "..."

    ต่อให้แกฟังทัน ทางนี้ก็จำไม่ได้หรอกเว้ย!!

    สือโถวอึกอัก "เอ่อ หลังจากนั้นก็เลี้ยวขวา ตรงไปห้าร้อยเมตร กระดืบไปทางตะวันออก มุดไปทางตะวันตก กระโดดกำเเพงไปทางใต้"

    "ทำไมมันไม่เหมือนเดิม!"

    "อ่า"

    "เจ้าจะบ้าเหรอ! มันไม่เหมือนเดิมตรงไหน!" ตัวร้ายเบอร์สามประท้วง

    "หา? เเต่ตอนเเรกมันเป็นทางซ้าย-"

    "เจ้าหูเพี้ยนไปมากกว่า ข้าได้ยินอยู่ชัด ๆ ว่าไปทางขวาก่อน! ถ้าสมองไม่สามารถฉลาดไปมากกว่านี้ก็หุบปากไปซะ!!"

    ว้าย แรงงงงงงงงง

    สหายร่วมนรกไม่ยอมให้โต้เถียงตัวร้ายเบอร์อะไรสักอย่างก็ได้แต่เงียบปาก พลางทำหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม ตัวร้ายเบอร์หนึ่งตบบ่าสือโถวด้วยความซาบซึ้งใจ "ขอบใจเจ้ามาก บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืมเลย!"

    "อ้อ ไม่เป็นไรขอรับ" ช่วยลืมๆ มันไปเถอะเนาะ เอาให้เหมือนว่าไม่มีเหตุการณ์นี้อยู่ในความทรงจำได้ยิ่งดี

    "เจ้าช่างถ่อมตัวนัก" หัวหน้าตัวร้ายประทับใจ "ดูจากลักษณะน้องชายเเล้วหน่วยก้านไม่เลว หากอยากร่วมกองโจรดิ่งพสุธาของพวกเราก็มาหาข้าได้เสมอนะ!" กองโจรดิ่งพสุธาฉีกยิ้มอวดฟันเหลืองอ๋อย อ้าแขนพร้อมต้อนรับสมาชิกใหม่เต็มที่ "พวกเรายินดีต้อนรับ!!"

    ก่อนจะไปต้อนรับชาวบ้านเขา รบกวนไปเเปรงฟันไม่ก็เปลี่ยนชื่อกลุ่มดีมั้ย 

    ดิ่งพสุธา? ตอนตั้งชื่อนี่ละเมอเดินตกเหวอยู่เหรอ

    "ฮ่า ฮ่า ขอบคุณพี่ชายทั้งหลายที่ชวน หากมีโอกาสน้องชายคนนี้ต้องไปเยือนแน่นอน" สือโถวหัวเราะด้วยเสียงโมโนโทน เเม้จะดีใจที่แผนดูเหมือนจะไปด้วยดี แต่ลึก ๆ ก็ยังโคตรสงสัยว่าคนพวกนี้เชื่อที่เขาพูดจริงดิ?

    "เอาละ ไปตามล่าโจวเจว่ยกัน!!" กองโจรจอมดิ่งเหวร้องตะโกนปลุกไฟแห่งความฮึกเหิม

    ก่อนวิ่งย้อนกลับทางเดิม...

    "..." โอเค หมดข้อสงสัยละ

    สงสัยค่าตัวที่พวกพี่แกได้มาคงจะไม่รวมถึงสมองด้วยล่ะมั้ง

    “ไปกันหมดเเล้วหรือ?"

    เฮือก!

    "คะ คะ คุณชายโจวเจว่ย!" สือโถวยกมือลูบอก จู่ๆ มากระซิบข้างหูใครไม่ตกใจก็ไม่ใช่คนเเล้ว ขณะที่คิดจะตำหนิอีกฝ่ายเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเพิ่งฝัง- หมายถึง เอาฟางบังคนงามอยู่อีกตรอกหนึ่งไม่ใช่เหรอ

    "เหตุใดท่านถึงมาอยู่นี่ล่ะขอรับ!" มันอันตรายไม่รู้หรือไง!

    "ก็ข้าเป็นห่วง" คนงามทำหน้าสลด

    เหมือนโดนลูกศรยิงเข้าอย่างจัง สือโถวยกมือกุมอก ขอล่ะพี่ชายคนงาม อย่าทำหน้าสวยเรี่ยราดไปเรื่อยสิ!

    สือโถวพยายามตั้งสติ เขาสูดลมหายใจลึกเรียกความเคร่งขรึมกลับมา "ตัวข้าทั้งสูงใหญ่เเละบึกบึน ไม่มีใครทำอะไรข้าได้หรอกขอรับ"

    "สูงใหญ่บึกบึน?" โจวเจว่ยกวาดสายตาขึ้นลง คนงามอมยิ้มจนดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว ไม่รู้ทำไมสือโถวรู้สึกว่าอุณหภูมิในตรอกสูงขึ้นพรวดพราด มือไม้เเลดูจะเกะกะแปลก ๆ

    "อะ เอ่อ ท่านนัดกับลูกน้องไว้หรือเปล่าขอรับ ข้าจะได้ไปส่ง"

    "หืม? เจ้าจะคุ้มกันให้ข้าหรือ?"

    สือโถวพยักหัวหงึกๆ นัยน์ตาหงส์หรี่ตาลง โจวเจว่ยลากเสียงยาว "อืมมม งั้นก็ได้ ตามข้ามาสิ"

    พี่ชายคนงามหันหลังเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับกองโจรตกเหวเมื่อครู่ สือโถวรีบสาวเท้าตาม เรียกอีกฝ่ายอึกอัก "คะ คุณชายโจว คือ..."

    "ว่าไง"

    "...มือ" ไม่จำเป็นต้องจับก็ได้มั้ง!!

    มือของโจวเจว่ยไม่ได้เนียนนุ่มเหมือนเหล่าผู้ดีทั้งหลาย ตรงกันข้ามฝ่ามือของชายหนุ่มทั้งใหญ่ทั้งแข็งแกร่ง ข้อต่อแต่ละนิ้วเรียวยาวสวยทำเอาสือโถวอดอายสภาพมือของตัวเองไม่ได้

    "อ้อ" คนงามนิ่งไปชั่วครู่คล้ายกำลังประมวลผลก่อนหันกลับมาขยิบตาให้ "ข้ายังรู้สึกกลัวอยู่เลยน่ะ อีกอย่างจับมือเเบบนี้จะไม่ได้หลงกันด้วย"

    "..." ตรอกเเคบขนาดนี้ จะไปหลงกันได้ไง แม่งไม่ได้อยู่ในป่าวงกตกันซะหน่อย สือโถวเเอบค่อนขอดอยู่ในใจ

    เขาปล่อยให้โจวเจว่ยกุมมือจนกระทั่งเดินออกไปถนนใหญ่ คนงามเดินฮัมเพลงในลำคอไม่สนใจสายตาของชาวบ้านเลยสักนิด ผิดกับสือโถวที่หน้าเริ่มซีดสลับเเดง

    เเหงล่ะ ภาพคนงามจูงมือเด็กหนุ่มที่หน้าเหมือนโจร เเค่คิดก็รู้สึกสะเทือนใจแล้ว

    "คุณชายโจว" เขากระตุกมืออีกฝ่าย "ปล่อยเถอะขอรับ คนเยอะเเบบนี้ท่านไม่ต้องกลัวเเล้วล่ะ"

    "คนเยอะเช่นนี้อาจจะพลัดหลงกันง่าย จับมือกันไว้แหละดีเเล้ว"

    โจวเจว่ยยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป สือโถวชักสงสัยเเล้วว่าต่อมประสาทรับความรู้สึกของคุณชายโจวน่าจะมีปัญหา คนมองเยอะขนาดนี้ไม่รู้สึกอะไรเลยจริง ๆ เหรอ?

    สือโถวแอบถอนหายใจ

    เอาว่ะ ขนาดคนงามยังไม่อาย เขาจะอายทำไม คิดซะว่ามาเดินเที่ยวกับคุณแม่ก็เวอร์ชันมีช้างน้อยแล้วกัน!

    ...............

    กว่าจะเดินมาถึงสถานที่นัดหมายของโจวเจว่ย สือโถวก็แทบหมดลม

    เขาคู้ตัวหอบเเฮ่ก เสื้อตัวในเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เบื้องหลังคือดวงตะวันที่ใกล้จะลาลับฟ้า ส่วนเบื้องหน้าคือศาลเจ้ารกร้างที่เริ่มถูกความมืดมิดของยามวิกาลปกคลุม 

    สถานการณ์ที่เหมือนพร้อมมีวิญญาณบรรพบุรุษของใครสักคนออกมาทักทายทำให้เขาตะลึงจนหายเหนื่อย

    คนของหุบเขาเหมยลี้คิดบ้าอะไรอยู่ถึงได้นัดคนงามล่มเมืองมาเจอกันที่วัดผีสิงเเบบนี้ฟะ คิดจะทดสอบความกล้าฉบับหน้าร้อนกันรึไง!

    "ว้าว ศาลเจ้ายังไม่พังอีกเหรอ"

    "หะ?"

    สือโถวหันขวับ โจวเจว่ยแย้มยิ้มราวกับเมื่อครู่ไม่ได้เอ่ยคำพูดชวนน่าสงสัย ขายาวก้าวเข้าไปในศาลเจ้าอย่างไม่กลัวเกรง ทิ้งให้ใครอีกคนเลิ่กลั่ก

    เดี๋ยวก่อน พี่สา- เอ๊ย พี่ชายคนงาม ใจคอจะไม่จุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางหน่อยเหรอ ขืนมี 'อะไร' โผล่มาได้วิ่งป่าราบลงเขาเลยนะเออ!

    คิดเเล้วอยากตีลังการ้องไห้ ศาลเจ้านี่ตั้งอยู่บนยอดภูเขา ถ้าเจอบรรพบุรุษของใครขึ้นมาจริง ๆ เขากลัวว่าจะตัวเองจะสติแตกกระโดดลงผาแทนที่จะได้วิ่งลงเขาเหลือเกิน

    เห็นคนอายุน้อยกว่ายังยืนนิ่ง โจวเจว่ยจึงกวักมือเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "เข้ามาสิสือโถว"

    "ขะ ขอรับ" เขาหันซ้ายหันขวา

    เวรละ ไม่มีธูปเลยสักด้าม งั้นเเค่ไหว้บอกก็พอมั้ง?

    สือโถวตบมือดังป้าบ ขยับปากพึมพำขอขมาเจ้าที่ก่อนจะเดินตัวสั่นเข้าไปในศาลเจ้าร้าง โจวเจว่ยยังยืนรออยู่ที่เดิม ในดวงตาคู่สวยปรากฏแววขบขัน

    "ใกล้จะมืดเเล้ว คนของข้าคงจะมาสาย เรามาตั้งกองไฟก่อนเเล้วกัน"

    "ได้ขอรับ" สือโถวพยักหน้า เขาแยกกับโจวเจว่ยช่วยกันหาเศษไม้เเห้งเเถวนั้นเอามากองไว้กลางห้องโถงกลางศาลเจ้า โจวเจว่ยใช้เวลาชั่วครู่ ประกายไฟก็ปรากฏขึ้น

    เห็นคนตรงกันข้ามนั่งเขี่ยกองไฟเงียบๆ ไม่หือไม่อือ โจวเจว่ยจึงส่งเสียงทัก “สือโถว”

    คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้น “ขอรับ?”

    โจวเจว่ยยกมือเท้าคาง “เจ้าไม่คิดจะถามข้าหรือว่าคนพวกนั้นเป็นใคร ทำไมถึงตามล่าข้า”

    “อ้อ” สือโถวร้องคำหนึ่ง เกลี่ยกองไฟไม่ให้ดับ “ท่านเองก็ไม่ถามข้าเช่นกันว่าทาสอย่างข้ามาช่วยท่านทำไมไม่ใช่หรือ”

    โจวเจว่ยนั่งอึ้ง ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะย้อนตนเช่นนี้ ความเงียบปกคลุมพวกเขาสองคนสักพักก่อนโจวเจว่ยจะหลุดหัวเราะพรืด “ตอบได้ดี"

    ดวงตาคู่สวยหลุบลง "อืมม นั่นสินะ ที่พวกเขาตามล่าข้าเพราะข้าคือโจวเจว่ยกระมัง เอาล่ะ ข้าตอบแล้ว ถึงตาเจ้าตอบข้าบ้าง”

    แบบนี้ก็ได้?

    สือโถวเงยหน้ามองท้องฟ้าดำสนิทที่ถูกความมืดมิดครอบครอง ทำไมถึงได้ช่วยน่ะเหรอ  

    “เพราะไม่อยากวิ่งหนีอีกแล้ว...ล่ะมั้ง”

    เหตุการณ์บางอย่างผุดขึ้นมาในความทรงจำ ร่างเล็กที่นอนหายใจแผ่วเบาบนพื้นท่ามกลางช่อดอกตูมเลือด แววตาที่มองมาด้วยอารมณ์หลากหลายและความตายที่มาเยือนในเวลารุ่งสาง

    “หือ? เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

    สือโถวหลุดออกจากภวังค์ เขาเบือนหน้าหนี “พอดีที่บ้านมีคนที่ชอบเกิดเรื่องแบบนี้บ่อยๆ น่ะขอรับ พอรู้สึกตัวอีกทีก็พุ่งเข้าไปช่วยซะแล้ว”

    โจวเจว่ยร้องหืมในลำคอคล้ายสนใจ “เด็กผู้หญิง?”

    “ไม่ใช่ๆ ผู้ชายขอรับ” ถึงแม้จะน่ารักกว่าผู้หญิงเป็นล้านเท่าก็ตาม เห็นคนงามทำหน้าสนใจไม่เลิก เขาเลยรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ท่านไม่กลัวข้า เอ่อ ทำร้ายท่านหรือขอรับ พวกเราเพิ่งเจอกันครั้งที่สองเองนะ”

    ยิ่งหน้าโจรแบบนี้แล้วด้วย พี่ชายคนงาม ท่านจะคิดน้อยไปหน่อยหรือเปล่า? เล่นจูงมือคนแปลกหน้ามาอยู่ที่เงียบสงัดกันสองคนแบบนี้

    “ทำร้าย? เจ้าน่ะหรือ?” โจวเจว่ยเงยหน้าหัวเราะขึ้นฟ้า ทำราวกับเพิ่งได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดมา

    "..." ปกติคนสวยเขาเส้นตื้นกันแบบนี้เหรอวะ ถึงหัวเราะได้ทั้งวัน

    โจวเจว่ยกลั้วหัวเราะ “ข้าคิดว่าข้ารับมือเจ้าได้สบายเลยล่ะ”

    “อ้อ?” 

    “เจ้าคงจะหิว ข้าจะออกไปหาผลไม้แถวนี้มาให้นะ” จู่ ๆ โจวเจว่ยลุกขึ้นพลางปัดฝุ่นที่ปลายเสื้อ สือโถวรีบลุกขึ้นบ้างแต่อีกฝ่ายกลับยกมือห้าม “นั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้แหละ เจ้าเพิ่งเคยมาครั้งแรก ขืนโดนเสือแถวนี้คาบไปกินคงน่าเสียดายแย่”

    “หา?”

    สะ เสือ!

    ข่มขู่ (?) เสร็จ คุณชายสำนักเหมยลี้ก็หายไปในความมืด สือโถวขยับร่างแข็งทื่อนั่งลงตามเดิม กวาดตาสอดส่องไปทั่วบริเวณอย่างหวาดระแวง

    โครกกกกกก

    “อา ให้ตายสิ” เขาอวดครวญฝังหน้ากับหัวเข่า รู้สึกปวดแสบบริเวณท้องขึ้นมา จะว่าไปแล้วก็ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยงเลยนี่นา

    ใบหน้าภายใต้เส้นผมหยักศกมู่ลง สือโถวคู้ตัวเพื่อบรรเทาความหิวพลางยกมือลูบท้อง

    จะว่าไปแล้วเขาผอมลงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย 

    สงสัยเจียดข้าวไปให้เด็กนั่นมากไป

    กึก

    ขณะที่กำลังนั่งรอคุณชายโจว จู่ ๆ ความเย็นยะเยือกก็แล่นขึ้นตามไขสันหลัง ขนอ่อนพลันลุกชันทั่วร่าง มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวก่อนจะโดนลอบทำร้ายเหมือนที่โดนมาตลอดหลายเดือน

    ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแอบมองลอดผ่านช่องว่างของแขนที่ซบอยู่ ทว่าสิ่งที่สะท้อนเข้าสู่สายตากลับมีเพียงห้องโถงกว้างที่เต็มไปด้วยหยักไหย่ หน้าต่างห้อยต่องแต่งที่ใกล้จะหลุดออกมาจากกรอบอยู่รอมร่อ

    ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่ต่าง ทว่าสัญชาตญาณกำลังร้องเตือนว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาราวกับผูล่าที่กำลังเฝ้ารอเพื่อตะครุบเหยื่อ

    หัวใจของสือโถวเต้นระรัว

    อย่าบอกว่าพวกมันตามมาเจอแล้ว!

    เขาเปลี่ยนท่าทางทำเป็นเขี่ยกองไฟเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ความจริงแอบคว้าไม้ท่อนใหญ่ที่ดูแข็งแรงมาไว้ในมือ น้ำลายเหนียวหนืดถูกกลืนลงคออย่างฝืดเคือง

    หวังว่าคุณชายโจวจะยังไม่โดนลากเข้าพงหญ้าไปฆ่านะ

    พรึบ

    มาแล้ว!

    สือโถวพลิกตัวไปด้านข้างทันที สองมือยกไม้ขึ้นตั้งรับการโจมตีที่หมายเอาชีวิต

    ฉึก!

    เสียงดาบฝังเข้าไปในเนื้อไม้ดังลั่นศาลเจ้า ดวงตาสีดำสนิทภายใต้ผ้าคลุมสีเดียวกันเบิกกว้าง ผิดกับสือโถวที่หน้าซีดจนแทบเปลี่ยนเป็นสีเขียว

    แม่งเอ๊ยยยย หัวเกือบเบะเป็นแตงโมแล้วมั้ยยยยยยย!!

    ยังไม่ให้ศัตรูได้ตั้งตัว สือโถวยกเท้าเตะตวัดขาอีกฝ่ายเต็มแรง ร่างในผ้าคลุมชะงักไปเสี้ยววินาทีก่อนกระโดดหลบวูบด้วยความเร็วที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำได้ ทันใดนั้นอีกฝ่ายก็ฟาดดาบลงมาอีกครั้ง สือโถวรีบยกท่อนไม้ขึ้นตั้งรับ ทว่าครั้งนี้ท่อนไม้เก่าไม่สามารถทนแรงกระแทกได้อีกต่อไป มันจึงหักเป็นสองท่อนทันที!

    โครม!

    ผู้บุกรุกยกเท้าถีบกลางลำตัวจนร่างของสือโถวกระเด็นไปติดฐานรองรูปปั้นพระพุทธรูป ร่างสูงใหญ่ภายใต้เสื้อคลุมสะบัดดาบเล่มยาวไปข้างตัวก่อนดีดเท้าพุ่งเข้าหาด้วยความเร็วที่ตามองไม่ทัน

    “หยุดนะตงฉิน!!”

    กึก

    “อึก!” สือโถวแทบลืมวิธีการหายใจ ปลายดาบคมกริบอยู่ห่างจากดวงตาเพียงเสี้ยวใบไม้กั้นเท่านั้น

    โจวเจว่ยก้าวออกมาจากความมืด ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแต่ดวงตากลับส่องประกายหงุดหงิด ผู้บุกรุกภายใต้ผ้าคลุมเก็บดาบ โค้งตัวให้โจวเจว่ยอย่างนอบน้อม “คุณชาย”

    “อย่าได้คิดทำร้ายผู้มีพระคุณของข้าเชียว” โจวเจว่ยเข้ามาประคองสือโถวที่ยังคงมึนงงให้ลุกขึ้นยืน กวาดสายตาขึ้นลงเพื่อหาบาดแผล “เมื่อครู่ได้บาดเจ็บหรือไม่?”

    สือโถวส่ายหัว

    เห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่เป็นไร โจวเจว่ยก็ถอนหายใจโล่งอก หันไปหาตัวต้นเหตุที่ยืนทำหน้าทะมึนห่างออกไปไม่ไกล

    “คนนี้คือผู้ติดตามของข้า ชื่อตงฉิน ต้องขอโทษด้วยที่เขาทำร้ายเจ้า”

    ‘ตงฉิน’ ที่ว่าปลดผ้าคลุมออก ใบหน้าดุดันหล่อเหลาสมชายชาตรี คิ้วเข้มพาดเฉียงแลดูเป็นคนเข้มงวด ดวงตาคมปลาบเรืองรอง จมูกโด่งจัดรับกับริมฝีปากหยักลึก เส้นผมสีดำบดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง...ถ้ามู่หลี่หลงกับโจวเจว่ยถือว่าตรงหลักสูตรอุเคะน้อย คนตรงหน้าก็คือตัวแทนของเซเมะโดยแท้จริง!

    ว่าแต่ที่แท้ไอ้โม่งดำก็คือพ่อหนุ่มหน้าโหดที่แหกปากเสียงดังตอนเช้านั่นเอง

    สือโถวมองโจวเจว่ยสลับกับตงฉิน หลังจากวิเคราะห์ท่าทีของตงฉินตั้งแต่เช้าจนถึงเมื่อกี้ สถานะของอีกฝ่ายพุ่งแวบขึ้นมาในหัวโดยไม่ต้องมีใครกระซิบบอก

    สามี!

    ที่เเท้ก็เป็นสามีคนงามนี่เอง!!

    “ไอ้หมอนี่เป็นใคร?”

    สือโถวสะดุ้งเฮือก มาแล้วไง คำถามเปิดประเด็นหึงหวง หลังจากได้เห็นคนรักผู้งดงามของตนอยู่กับไอ้หนุ่มหน้าหนวดที่ไหนก็ไม่รู้ ในใจของผู้ชายคนนี้ต้องเกิดความโกรธแค้นขึ้นมา พอทะเลาะกันไปได้สักพักก็จะอุ้มคนตัวเล็กกว่าไปที่เตียง กระชากเสื้อผ้าออกจนหมด ใช้เชือกมัดปาก แล้วก็ ติ๊ด (เซนเซอร์) ติ๊ด (เซนเซอร์) ตามด้วย ตี๊ดดดดดด (เซนเซอร์)

    “ทาสที่เจอตอนเช้าไง” โจวเจว่ยตอบ

    “ทาส?” ดวงตาคมกริบหรี่ลงอย่างพิจารณา "ทำไมถึงมีทาสมาอยู่ที่นี่"

    "เรื่องนี้" สือโถวรีบเก็บอาการ เขากระแอมเสียงเบา “ข้าเข้าไปช่วยคุณชายที่กำลังโดนไล่ทำร้าย พอเห็นว่าเขาอยู่คนเดียวอาจจะเป็นอันตรายเลยขออาสาอยู่เป็นเพื่อน” เจตนาโคตรจะบริสุทธิ์ไม่ได้คิดจะแอ้มคนรักของพี่ชายเลยสักนิด!

    “อย่างเจ้านี่นะ? ช่วยคุณชาย?” ตงฉินมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา สือโถวชักไม่พอใจขึ้นมาบ้างเลยเเอบบ่นพึมพำในลำคอ “คิดว่าทาสต่ำต้อยอย่างข้าไม่อาจเอื้อมไปช่วยเจ้านายเจ้าได้อยู่ล่ะสิไอ้กร๊วก”

    "เจ้าว่าอะไรนะ!"

    "..." สัตว์ประเสริฐ เสือกได้ยินอีก!

    “เอาน่าทั้งสองคน” โจวเจว่ยรีบเข้ามาแทรกกลาง “พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะตงฉิน เขาเป็นคนส่วนน้อยที่สามารถรับดาบของเจ้าได้เชียวนะ”

    ตงฉินชะงัก ใบหน้าคมคายมึนตึงถลึงตาใส่สือโถว

    สือโถว "..." โดนเมียดุแล้วพาลนี่หว่า

    “ตอนนี้ผู้ติดตามข้าก็มาแล้ว เราคงต้องแยกกันแล้วนะ” โจวเจว่ยหันมายิ้มสดใสให้คนที่อายุน้อยที่สุดในนี้ สือโถวหันหน้ากลับ ตอบรับคำของนายน้อยหุบเขาเหมยลี้เสียงเบา "ขอรับ"

    "น่าเสียดาย ข้ายังไม่ทันได้ทำอาหารให้เจ้ากินเลย"

    "ไม่เป็นไรขอรับ เรื่องกินไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ขอแค่ท่านปลอดภัยก็พอแล้ว"

    "หึ ช่างพูดจาน่ารักเสียจริง ทาสตัวน้อย" คนงามแจกรอยยิ้มหวานที่มาพร้อมกับรังสีฆ่าฟันของตงฉิน

    "เอ่อ" สือโถวโอดครวญในใจ พี่ชายคนงาม ก่อนจะชมใครรบกวนหมุนคอไปดูคนด้านหลังด้วย สามีของท่านจ้องเหมือนจะฉีกเลือดเนื้อข้าออกมากินสดๆ แล้วนะ ได้โปรดโปรยเสน่ห์ให้น้อยลงหน่อย!

    “หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้งนะสือโถว”

    “ขอรับ”

    แม้ปากจะตอบรับเเต่ในใจกลับกรีดร้องขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย หรือถ้าต้องกันอีกก็รบกวนอย่าหิ้วสามีกล้ามแน่นมาด้วยก็พอ!

    โจวเจว่ยโบกมือลา ทันใดนั้นสายลมแรงก็พัดเข้ามาในห้องโถงจนต้องหลับตาปี๋ ครั้นลืมตาอีกครั้งคนทั้งสองก็หายไปเสียแล้ว

    สือโถวตะลึง สักพักน้ำตาก็เอ่อคลอหน่วยตา

    “คุณชาย...”

    ท่านลืมไปหรือเปล่าว่าข้าเพิ่งมาที่ภูเขานี้ครั้งแรก

    ข้าไม่รู้ทางกลับเข้าในเมืองนะ!!

    ..................................................

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×