ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BL] เป้าหมายของข้าคือ HaRem!!

    ลำดับตอนที่ #6 : ย้อนยุค 5 : คนงามเเห่งต้าฉิน (Rewrite)

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.ย. 66



         บรรยากาศภายในเมืองต้าฉิงคึกคักสมกับเป็นเมืองท่าที่สำคัญของแคว้น ผู้คนมากมายต่างออกมาจับจ่ายซื้อขายกันหนาแน่น สองข้างทางเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าของเมืองต้าฉิงและที่มาจากต่างเมือง

         สองตาของสือโถวเบิกกว้าง โว้วววววว เมืองโบราณเป็นเเบบนี้นี่เอง!

         การเดินทางครั้งนี้กินเวลาไปหลายวัน สือโถวจำเป็นต้องนั่งอยู่บนม้าคอยสอดส่องคุ้มกันสินค้าร่วมกับเหล่าบุรุษหน้าโหดล่ำบึกตลอดเวลา จนตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าต่อให้มีหมีโผล่ออกมาสักร้อยตัว เขาก็สามารถล้มมันด้วยมือเปล่าได้

         สมชายกว่าใครในปฐพีสุดๆ สรุปแล้วข้ามมิติมาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่นะ...?

         ควบม้าไม่นานนักตำหนักของอดีตท่านอ๋องที่เป็นจุดหมายปลายทางก็ปรากฏต่อสายตา สินค้าในครั้งนี้เป็นผ้าเเพรราคาแพงระยับที่อดีตท่านอ๋องสั่งมาให้อนุคนโปรด

         สมกับเป็นคนรวยจริงๆ สั่งมาเยอะขนาดนี้เกรงว่าทั้งชาติอนุคนนั้นก็คงใส่ไม่หมด

         "เหนื่อยหรือไงไอ้หนู" จู่ ๆ ชายหนุ่มหน้าบากที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้างก็พูดขึ้น

         สือโถวใช้เวลาสักพักถึงได้เข้าใจว่าชายหน้าบากพูดกับตัวเอง เขาส่ายหัวปฏิเสธ "ไม่ขอรับ"

         "จะเหนื่อยก็ไม่เเปลกหรอก ไอ้หนูนี่เล่นซัดโจรลงไปกองกับพื้นตั้งหลายคน สมกับเป็นคนในหน่วยคุ้มกันของนายท่านจริงๆ !!" หนุ่มร่างบึกราวกับหมีพูดขึ้นบ้าง สือโถวยังไม่ทันตอบสนองทุกคนในขบวนคุ้มกันสินค้าก็เงยหน้าหัวเราะฮ่าอย่างสะใจ

         สือโถว"..." มันมีอะไรตลกเหรอ

         อีกอย่างใช่ว่าเขาอยากแสดงความแมนพุ่งไปซัดกับพวกโจรสักหน่อย ดีแค่ไหนแล้วที่ยั้งปากตัวเองทันไม่ให้กรี๊ดอัดหน้าพวกมันไปก่อน

         ย้อนความกลับไปเมื่อหลายชั่วยามก่อน ระหว่างเดินทางมายังเมืองต้าฉิง ขบวนสินค้าโดนโจรบุกสองครั้ง ตอนแรกพวกคนเก่ายังแอบกังวลว่าเด็กใหม่จะรับมือไม่ถูก ทว่าความกังวลใจทั้งหมดเป็นอันต้องปลิวหายไปกับสายลมเมื่อเห็นเด็กใหม่ที่ว่ากระโดดถีบขาคู่ใส่โจรอย่างสง่างาม

         พวกเขามองสือโถวที่รัวหมัดไม่ยั้งสลับกับพวกโจรที่เลือดอาบหน้าอยู่บนพื้น ก่อนพร้อมใจกันถอยหลังไปอีกสามก้าวเงียบ ๆ

         สมกับเป็นบุรุษที่ฆ่าหมีด้วยมือเปล่า ช่างโหดเหี้ยมเกินคนเหลือเกิน!

         ในที่สุดขบวนสินค้าก็หยุดอยู่หน้าประตูตำหนัก เสียงพูดคุยของคนในขบวนเริ่มแผ่วเบาลงจนเงียบสนิท หัวหน้าขบวนส่งสัญญาณให้ทุกคนเตรียมตัว

         คู่ค้าขายเป็นถึงท่านอดีตอ๋อง พวกเขาจะเสียมารยาทไม่ได้เด็ดขาด

         “…” ทันทีที่เห็นหน้าตาของกลุ่มคนส่งสินค้า พ่อบ้านวัยหกสิบปีที่รอต้อนรับอยู่หน้าประตูถึงกับคิ้วเบี้ยวไปสามส่วน บ่าวไพร่ที่อยู่ด้านหลังกลืนน้ำลายเอื้อก

         "ทะ ท่านพ่อบ้าน" คนพวกนี้คือพ่อค้าที่ท่านบอกหรือ แน่ใจนะว่าไม่ใช่กองโจรที่จะมาบ้านปล้นท่า    นอ๋องน่ะขอรับ?!

         ชายชราถลึงตาใส่บ่าวไพร่ เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไรเลย หากหน้าไม่โหดชั่ว สินค้าของท่านอ๋องได้ถูกปล้นตั้งต่ออกจากคลังน่ะสิ!

         "ท่านพ่อบ้านจาง" หัวหน้าขบวนขนส่งสินค้าตวัดขาลงจากม้า โค้งคำนับชายชราด้วยความนอบน้อม พ่อบ้านจางรีบฉีกยิ้มการค้า "การเดินทางครั้งนี้คงจะลำบากพวกเจ้าไม่น้อย"

         "ไม่เลยขอรับ คราวนี้สะดวกสบายกว่าเดิมมากเพราะได้เด็กใหม่มาน่ะ" ถงซวี่หันทางสือโถวที่กำลังเเบกหีบไม้ลงจากรถม้า พ่อบ้านจางมองตามสายตาของถงซวี่ คนที่ทำให้หัวหน้าขบวนสินค้าผู้โชกโชนกล่าวเชยชมได้คงจะมีดีไม่น้อย

         หัวหน้าถงกล่าวต่อ "แม้จะอายุแค่สิบสี่แต่ฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว"

         "…อะไรนะ?" พ่อบ้านชราเบิกตากว้างทบถลน หันกลับไปมองเด็กใหม่ที่ว่าอีกครั้ง

         อายุสิบสี่? บอกว่าสี่สิบยังน่าเชื่อกว่าเลย!

         นัยน์ตาที่เริ่มฝ้าฟางหรี่แคบ ไม่สิ หากสังเกตให้ดี ๆ เด็กที่ชื่อสือโถวอะไรนั่นดูเหมือนจะตัวเล็กกว่าทุกคนในขบวนไม่น้อย

         ถงซวี่อ่านสายตาของพ่อบ้านชราออก เขาหัวเราะ "ท่านเองก็คิดใช่รึไม่ว่าเขาตัวเตี้ย ตอนข้าอายุเท่านี้ก็สูงเทียบเท่าซานเผิง เด็กพวกนี้จะอ่อนแอเกินไปแล้ว!"

         "ฮ่า ฮ่า" พ่อบ้านหัวเราะหน้าตาย ความจริงข้าตกใจหน้าตามากกว่าส่วนสูงเด็กนั่นเสียอีก…

         "หัวหน้าขอรับ" คนงานคนหนึ่งส่งสัญญาณเชิงบอกว่าพวกเขาขนสินค้าลงมาจากคันรถหมดเเล้ว ถงซวี่ผงกศีรษะ

         "เจ้า เจ้า เจ้า แล้วก็เจ้า" ถงซวี่ชี้หนุ่มหน้าบาก สือโถวและผู้ชายร่างใหญ่อีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน "พวกเจัามาช่วยบ่าวขนของเข้าไปด้านใน"

         สายตาของคนในกลุ่มขบวนสินค้าพร้อมใจหยุดอยู่ที่พวกเขาสี่คน แต่ละคนส่งเสียงฮึ่มแฮ่ในลำคอด้วยความอิจฉา

         สือโถวเลิกคิ้วขึ้น ไม่เข้าใจว่าการโดนสั่งให้ขนของมันมีอะไรให้น่าอิจฉากัน เหนื่อยก็เหนื่อย พักอยู่ด้านนอกยังจะดีเสียกว่า

         “ไปกันเถอะ”

         “ขอรับ”

         แรงอาฆาตจากสหายร่วมทางพลันเข้มขึ้น สือโถวถลึงตาสู้ ถ้าอยากใช้แรงนักก็ยกมือบอกหัวหน้าสิยะ จะมาขู่ฟ่อแฟ่เป็นหมาทำไม เดี๋ยวแม่ตบกระเด็น!

         ฝู่อี้ใช้จังหวะที่ไม่มีใครเห็นคว้าคอสือโถวก้มลงไปกระซิบให้ได้ยินเพียงสองคน "จวนอ๋องเข้ายากจะตาย ชีวิตนี้จะได้เหยียบสักครั้งรึเปล่าก็ยังไม่รู้ แถมนี่ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าพวกเราได้รับความไว้วางใจเพียงใด อนาคตหากอยากออกจากจวนก็ง่ายเเล้ว"

         เขาแปลกใจ "จริงหรือ?"

         ดีขนาดนี้เชียว

         ฝู่อี้พยักหน้า "อืม!"

         "ถือระวังด้วย หากทำผ้าแพรเสียหายต่อให้มีอีกสิบชีวิตพวกเจ้าก็ไม่ทางชดใช้ไหว!!" พ่อบ้านชราตะโกนบอกพวกบ่าวไพร่ที่กำลังแบกหีบไม้ลวดลายวิจิตรขึ้นบ่า

         หลังจากก้าวผ่านประตูธรณีพวกเขาทั้งหมดต่างอดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ ทางเดินภายในตำหนักถูกปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน สองข้างทางประดับด้วยดอกไม้นานาพันธุ์หลากสีสัน

         สวยจนบรรยายไม่ถูก

         พวกเขาข่มความตกตะลึงเดินตามหลังพ่อบ้านจางจนมาถึงสวน ใต้สะพานโค้งสีแดงสดเป็นแม่น้ำสายเล็กคดเคี้ยว สายน้ำใสกระจ่างจนสามารถเห็นหมู่ปลาที่กำลังแหวกว่ายอวดทรวดทรงเรียวยาว ถัดจากสะพานไปไม่ไกลมีภูเขาจำลองตั้งประดับอยู่ เสียงหยดน้ำกระทบหินชวนให้จิตใจของผู้สดับฟังสงบนิ่ง

         ต้องเก็บเงินเท่าไหร่ถึงจะปลูกบ้านเช่นนี้ได้กันนะ

         "?" ขณะกำลังเหม่อมองบรรยากาศโดยรอบของสวน ฉับพลันกลิ่นหอมสดชื่นคล้ายกลิ่นของน้ำค้างยามเช้าก็ลอยกระทบจมูก สือโถวชะเง้อคอมองอีกฟากของทางเดินด้วยความสนใจ

         ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ที่เเข่งกันผลิดอกบานสะพรั่ง คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินใกล้เข้ามา

         ทันใดนั้นสายลมแรงพลันพัดผ่านวูบ กลีบบุปผาสีชมพูอ่อนปลิวว่อนกลางท้องนภาคล้ายนางอัปสรที่กำลังร่ายรำบนท้องฟ้าใส สือโถวรีบหลับตาเพื่อป้องกันเศษฝุ่นที่ลอยมากับสายลม

         ชั่วขณะที่กลีบดอกสีหวานกลีบสุดท้ายเลือนหายไปจากวิสัยทัศน์ เขาก็เผลอสบกับนัยน์ตาดอกท้อแสนงดงามคู่หนึ่ง

         สือโถวจ้องคนผู้นั้นด้วยความตื่นตะลึง

         เรือนร่างงดงามสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์คลุมทับด้วยผ้าโปร่งตัวยาวสีฟ้าลายเมฆา เส้นผมดำขลับเปียหลวมๆ ปล่อยให้ปลายผมนุ่มลื่นคลอเคลียกับใบหน้าเรียวสวย นัยน์ตาฉ่ำน้ำใสกระจ่างราวกับดวงดาวบนฟากฟ้า หางตาที่ตกเล็กน้อยขับให้ดูเย้ายวนไปในที

         แม่-เจ้า

         คนงาม! นี่มันสาวงามล่มเมืองชัดๆ!!

         สือโถวปวดร้าวไปถึงก้นกบ ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นผู้หญิงที่สวยขนาดนี้เป็นครั้งแรก ต้องโดเนทให้พระเจ้าอีกกี่สิบชาติถึงจะมีโอกาสงดงามเท่าพี่สาวท่านนี้กัน

         คล้ายกับอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าถูกวิจารณ์อยู่ นางเอียงคอส่งรอยยิ้มงดงามที่สามารถสังหารคนทั้งโลกได้ ระหว่างที่สือโถวกำลังเคลิบเคลิ้ม หนุ่มหน้าบากก็ฟาดหลังเขาดังผลัวะ!

         ฝู่อวี้กระซิบ “เจ้ามัวเหม่ออะไรอยู่ หัวหน้าถงหันมาเตือนเจ้าหลายครั้งแล้วนะ!”

         สือโถวพลันได้สติ เขาหันขวับก่อนจะสะดุ้งโหยง อุ้ยตาย มองตาเขียวเลยว่ะ

         เด็กหนุ่มรีบผงกศีรษะขอโทษหัวหน้าขบวน ถงซวี่ถอนหายใจ

         "ท่านโจว" พ่อบ้านจางโค้งตัวลงอย่างนอบน้อม พวกเขาจึงต้องพากันย่อตัวตามลงไปด้วย

         พ่อบ้านจางถามเสียงนุ่ม “จะกลับแล้วหรือขอรับ”

         “อืม หลายวันมานี้ต้องขอบคุณท่านมาก”

         “มิได้ขอรับๆ แค่ท่านโจวพอใจก็ถือเป็นเกียรติสูงสุดของข้าน้อยแล้วขอรับ!”

         "กล่าวเกินไปแล้ว"

         ท่านโจวที่ว่าคือคนงามนั่นเอง นางเอ่ยกระเช้าชายชรา บนใบหน้างดงามมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่ตลอดเวลา

         สือโถวอดเงยหน้ามองฟ้าด้วยสายตาว่างเปล่าไม่ได้

         ถึงท่านยมทูตเวรที่เคารพรัก...ความจริงแล้วแกเกลียดอะไรข้าหรือเปล่า?

         ทำไมข้าถึงไม่ได้ร่างงดงามแบบนี้บ้าง?!!

         คนงามก้าวเข้ามาใกล้ขบวนชายฉกรรจ์ที่กำลังแบกสินค้าเต็มบ่า กลิ่นหอมสดชื่นแผ่ออกมาจากเรือนร่างงดงาม ทว่าพอพี่สาวคนสวยมายืนอยู่ตรงหน้าสือโถวกลับต้องแหงนคอตั้งบ่า

         สองตากะพริบปริบ อื้อฮือ เป็นพี่สาวคนงามที่สูงชะมัด ส่วนสูงแบบนี้ถ้าหนังหน้าไม่ดีนี่จบเลยนะ

         พี่สาวคนงามคลี่ยิ้มหวาน “เจ้าน่ะ”

         สือโถวเลิ่กลั่ก ชี้หน้าตัวเอง “ขะ ข้าหรือ?”

         “ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง!!” พ่อบ้านชราสะดุ้งตัวลอยรีบกระโดดกดหัวสือโถวให้คุกเข่าลง “ขออภัยที่เสียมารยาทขอรับ! เด็กนี่เป็นเพียงทาสที่รับหน้าที่แบกหาม ขอท่านโจวอย่าโกรธเคือง!”

         “ฮ่ะๆ พ่อบ้านจางจริงจังเกินไปแล้ว ข้ายังไม่ได้ว่ากระไรเสียหน่อย” นางสะบัดพัดปิดรอยยิ้มหวาน ดวงตาคู่สวยหรี่ลงจนเป็นพระจันทร์เสี้ยว

         “มะ ไม่ได้ขอรับ เฮ้ย! เจ้าลูกเต่านี่ยังไม่กล่าวขอโทษท่านโจวอีก!”

         เอ่อ แล้วข้าทำอะไรผิดเหรอ?

         แม้ว่าจะกำลังงงแตกแต่เพื่อสวัสดิภาพที่ดีของลำคอในอนาคต เขาจึงต้องโค้งตัวให้ต่ำกว่าเดิม “ขออภัยท่านโจวขอรับ” …ถึงจะไม่รู้ว่าไปล่วงเกินอะไรพี่สาวตอนไหนก็ตาม

         นางตอบ “ทำตัวตามสบายเถิด”

         "ได้ขอรับท่าน" พอได้รับคำอนุญาต สือโถวเลยยืดตัวขึ้นตามเดิม เมินคำด่าทางสายตาของพ่อบ้านชรา

         คนงามตาเป็นประกายแวววาว นิ้วเรียวยกขึ้นจับคางที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของเขาก่อนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “อืมมมมม ใช้ได้เลยนี่”

         “คุณชาย!!!” บุรุษชุดดำด้านหลังพี่สาวคนงามคำรามโฮกจนสือโถวสะดุ้งเฮือกเกือบทำหีบไม้หลุดมือ แต่กระนั้นคนงามเบื้องหน้ากลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด นางเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

         บุรุษชุดดำกัดฟันกรอด “ได้เวลาออกเดินทางแล้วขอรับ!”

         “น่าเสียดาย" ความเสียดายปรากฏบนหน้าพี่สาวคนงาม

         "เช่นนั้นไว้เจอกันใหม่นะ” นางขยิบตาอย่างซุกซน หมุนตัวเดินฮัมเพลงในลำคอจากไป บุรุษชุดดำจิกตาใส่เด็กหนุ่มหน้าหนวดอย่างมาดร้ายก่อนเร่งฝีเท้าตามหลังเจ้านาย

         สือโถว "...?" ไอ้สถานการณ์โดนชาวบ้านเกลียดขี้หน้าทั้งที่ยังไม่ได้กวนตีนคืออะไรกันนะ

         “เอาล่ะๆ เสียเวลามามากพอแล้ว รีบขนของต่อเร็ว” รอจนแผ่นหลังของแขกสูงศักดิ์หายไป พ่อบ้านจางถึงตบมือกระตุ้นเตือน ขบวนที่หยุดชะงักไปชั่วครู่จึงเริ่มเคลื่อนไหวต่อ

         ระหว่างที่แบกหามสือโถวเอียงตัวไปหาหัวหน้าถง “คนเมื่อครู่นี้คือใครหรือขอรับ”

         หัวหน้าครุ่นคิด “…คุณชายโจวเจว่ยแห่งหุบเขาเหมยลี้ล่ะมั้ง?”

         “พวกเขาเป็นคนสำคัญมากเลยหรือ”

         “ก็นะ ตอนนี้หุบเขาเหมยลี้ถือว่ามีอำนาจเป็นอันดับต้นๆ ของยุทธภพ ตาแก่จางถึงได้นอบน้อมขนาดนั้นไง" ถงซวี่ป้องปากนินทา "เจ้าเองก็ระวังตัว อย่าได้เสียมารยาทเป็นครั้งที่สองเชียว”

         สือโถวรับคำก่อนจะชะงักกึก เพิ่งรู้สึกว่าคำตอบเมื่อกี้มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

         'คุณชายโจวเจว่ยแห่งหุบเขาเหมยลี้ล่ะมั้ง?'

         คุณ...ชาย?

         "เมื่อกี้นี้เพศผู้เรอะ!"

         กล่องไม้ร่วงลงจากบ่าตกลงใส่หลังเท้าของคนข้างตัวราวกับจับวาง หัวหน้าถงผู้โชคร้ายร้องจ้าก กระโดดหย๋องแหย๋งกุมเท้าก่นด่า ทว่าสือโถวกลับยืนอ้าปากค้าง สติหลุดลอยออกจากร่างเรียบร้อย

         พี่สาวคนงามล่มเมือง…เป็น…ผู้…ชาย

         เชี่ย สวรรค์จะลำเอียงเกินไปหน่อยมั้ย?!

    .............

         กว่าจะขนของเสร็จเรียบร้อยตะวันก็ลอยเด่นอยู่เหนือหัว แสงแดดจ้าสาดส่องมายังโรงน้ำชาสองชั้นขนาดเล็ก โดยชั้นแรกเป็นโรงน้ำชาไว้รับรองแขก ส่วนชั้นสองเปิดเป็นที่พัก

         บัดนี้โรงน้ำชาแสนสงบสุขดังกล่าวอัดแน่นไปด้วยชายกล้ามโต์หน้าหนวด เสี่ยวเออร์ที่ดูเเลอยู่เเทบจะเป็นลมอยู่รอมร่อ ได้แต่กรีดร้องในใจพลางกัดผ้าเช็ดหน้าในมือเคล้าน้ำตาไปด้วย

         สวรรค์! ที่พักก็มีตั้งมากมาย เหตุใดคนพวกนี้ต้องเลือกมาร้านข้าด้วย! ฮือๆๆ

         ถ้าบุรุษหน้าหนวดพวกนี้ได้ยินก็คงจะตอบกลับเป็นเสียงเดียวกันว่า เพราะที่พักของเจ้าถูกที่สุดในเมืองอย่างไรเล่า

         "งานของวันนี้เสร็จแล้วพวกเจ้าจะไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจอะไรก็ตามใจ เเต่ยามอิ๋นต้องมารวมตัวกันที่นี่เข้าใจหรือไม่!!" หัวหน้าถงประกาศก้อง ชายฉกรรจ์พากันเฮลั่น เปลี่ยนโรงน้ำชาให้กลายเป็นรังโจรได้ภายในเสียงคำรามเดียว เสี่ยวเออร์ที่กัดผ้าเช็ดหน้าอยู่มุมห้องปลื้มใจ (?) จนตาเหลือก

         "ไอ้หนู! สนใจไปเที่ยวหอบุปผากับข้ามั้ย?" ฝู่อวี่กอดคอสือโถวแน่น สือโถวยังไม่ทันได้อ้าปากชายหนุ่มด้านข้างก็เข้ามาผสมโรงอีกคน "พี่สาวหอบุปผางดงามทุกคน มาเมืองต้าฉิงทั้งทีถ้าไม่ไปหอบุปผาถือว่ามาเสียเที่ยวนะ!"

         "เเม่นางเจียวเจียวหรือเเม่นางเหมยดีนะ?!"

         "ต้องแม่นางลวี่เซ่!!!"

         เสียงกึกก้องดังอยู่หูสลับซ้ายขวาไปมา ทำเอาสือโถวออกอาการมึนเล็กน้อยถึงปานกลาง อยากจะตะโกนกลับไปว่าอยู่ใกล้กันแค่นี้จะตะโกนทำซากแมวอะไร กลัวคนอื่นไม่ได้ยินเหรอว่าตัวเองกำลังจะไปเที่ยวสาวอะ!

         "เจ้าคิดว่าไงสือโถว?!!!"

         พรึบ!

         ทันใดนั้นดวงตาทุกคู่ก็หันมาหาเด็กใหม่ที่อายุน้อยมากที่สุด ต่างคนต่างเฝ้าคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ สือโถวกลอกตาเป็นเลขแปด ไม่คิดอะไรทั้งนั้นแหละโว้ย!

         ผู้หญิงที่เขาคิดว่าสวยที่สุดในโลกมีแค่ตัวเองในชีวิตจริงกับตัวเองในกระจกเท่านั้น!!

         "ข้าขอผ่านดีกว่า พอดีข้าจะไปทำธุระให้อาเยี่ยน"

         "เพราะเจ้าเอาแต่เหนียมอายเช่นนี้ไงเล่าถึงได้บอบบางเป็นต้นหลิวเเบบนี้ ถามจริงว่าเจ้ากินข้าวบ้างหรือเปล่า!"

         โดนดูถูกแบบนี้ ส่วนที่เป็นลูกผู้ชายของเขาชักทนไม่ได้เช่นกัน "ข้าตัวสูงที่สุดในจวนเชียวนะ! แข็งแรงกว่าทุกคนด้วย!!" กล้าดียังไงมาบอกว่าบอบบาง ไม่เคยได้ยินฉายาสือโถวผู้เป็นศัตรูกับคนทั้งโลกเพื่อมู่หลี่หลงเหรอ หลายเดือนที่ผ่านมาข้าต้องเฉียดตายทุกวันทุกวินาทีเลยนะ?!

         "จะเอาไปเทียบกับทาสตัวน้อยผอมโซได้อย่างไร เด็กพวกนั้นแม้แต่ข้าวก็ยังกินได้ไม่ครบ ต้องมาเทียบกับพวกข้านี่" ว่าเเล้วก็พากันเบ่งกล้ามเเน่นๆ อวดสายตา

         สือโถวตอบสนองต่อความต้องการอวดเรือนร่างของเหล่าพี่ชายด้วยการทำหน้าอยากจะอ้วก

         "จะว่าไปเเล้วในจวนยังมีไอ้เด็กอาเยี่ยนที่ดูเข้าท่าอีกคนนี่" ใครสักคนพูดขึ้น

         หนุ่มหน้าบากทำท่าครุ่นคิด "เด็กคนโปรดของนายท่านน่ะหรือ? อืมๆ หน่วยก้านไม่เลวจริงๆ น่ะแหละ"

         "เห็นหรือยังไอ้หนู! ในขบวนนี้เจ้าเตี้ยที่สุดเลยนะ ไปปลดปล่อยสักน้ำสองน้ำรับรองว่าเจ้าตัวสูงชะลูดแน่!!"

         “...” ตรรกะอะไร สงสารพระเจ้าที่สร้างมนุษย์ขึ้นมาบ้าง พระเจ้าแกนั่งกุมขมับอยู่บนสวรรค์แล้วนะ!

         ตอนอยู่ในจวนไม่มีใครกล้าต่อกรยกเว้นก็ช่วงที่รับดาวมรณะอย่างมู่หลี่หลงเข้ามาดูเเล เเต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน พี่ชายไร้สมองพวกนี้ในหัวเต็มไปด้วยมัดกล้าม ไหนเลยจะรู้จักคำว่ากลัว

         "เจ้าผอมเกินไปนะ ดูสิ มีเเต่กระดูก" จู่ ๆ ก็มีมือคู่หนึ่งล้วงเข้ามาในเสื้อ สือโถวสะดุ้งสุดตัว ปัดมือนั้นออกดังเพี้ยะ!

         "ทำอะไรของเจ้า!"

         "เอ๋? จริงเหรอ?" คนที่เหลือผลัดเข้ามาลูบคลำ สือโถวหน้าเขียวสลับม่วง อยากกรี๊ดอัดหน้าคนพวกนี้

         กรี๊ดดดดด! ก่อเหตุอาชญากรรมซึ่งหน้า! ตำรวจ! ตำรวจอยู่ที่ไหนนนน!

         “โอ๊ะ ผอมจริงด้วย ทำไมเจ้าผอมขนาดนี้ล่ะเนี่ย?”

         ในที่สุดสือโถวก็ทนไม่ไหว เขากรี๊ดลั่นยกเท้ากระโดดถีบคนข้างหน้า ออกหมัดต่อยคนด้านขวา กระทืบเท้าคนทางซ้าย ก่อนจะจบด้วยการสับเท้าวิ่งหนีออกจากโรงน้ำชาแบบไม่เห็นฝุ่น

         “…???” เหล่าชายฉกรรจ์กะพริบตางงงวย ก่อนใครคนหนึ่งจะทำลายความเงียบ

         "เด็กนั่นมันขี้อายเอาเรื่องนะเนี่ย"

    ..................

         สือโถวหอบหายใจเเฮ่ก หลังจากมั่นใจว่าไม่มีไอ้บ้าที่ไหนตามมาถึงได้ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ

         เจ้าพวกบ้ากล้าดียังไงมาลูบวันเเพคอันงดงามก้อนนี้!!

         แม่งเอ๊ย ชักเข้าใจความรู้สึกหลี่หลงขึ้นมานิดๆ แล้วสิ

         เขาพ่นลมหายใจแรง หยิบเเผนที่ที่อาเยี่ยนยัดใส่มือก่อนออกเดินทางมา หลังจากกวาดตาอ่านรอบหนึ่งจึงค่อยเดินตามเส้นทางในแผนที่สลับกับสอบถามชาวบ้าน

         ไม่นานนักตึกไม้สามชั้นก็ปรากฏตรงหน้า ป้ายด้านบนสลักด้วยตัวหนังสือสีทองว่า 'ร้านหยกขาว' สือโถวก้าวเข้าไปในร้าน เวลานี้เริ่มเข้าสู่ยามบ่ายลูกค้าจึงไม่มากเท่าไหร่นัก ภายในร้านถือว่าตกเเต่งได้ไม่เลว กวาดตาเพียงรอบเดียวก็รู้ทันทีว่าเป็นสถานที่ที่รับเเต่ลูกค้าฐานะปานกลางจนถึงร่ำรวย

         ตอนเเรกเจ้าของร้านสั่งลูกน้องมาปิดกั้นทางเข้าไว้ พอเขาชูเเผ่นป้ายที่อาเยี่ยนยัดเยียดให้พร้อมกับเเผนที่ ท่าทีของพ่อค้าจึงเปลี่ยนเป็นนอบน้อมเเทน

         สือโถวก้มมองแผ่นป้ายในมือ

         อาเยี่ยนยัดอะไรใส่มือมาเนี่ย ระเบิดพกรึเปล่า ลุงเเกถึงได้รีบบริการดีขนาดนี้

         "ไม่ทราบว่านายท่านต้องการสิ่งใดหรือขอรับ?"

         "อ้อ" สือโถวกระเเอมกลบความประหม่า "เพื่อนข้าต้องการซ่อมเจ้าสิ่งนี้"

         'สิ่งนี้' ที่ว่าคือปิ่นหยกเนื้อเนียนสวย ปลายด้านหนึ่งเป็นรูปดอกเบญจมาศ ดูเรียบง่ายแต่แฝงด้วยความสูงศักดิ์ เสียเพียงอย่างเดียวปิ่นหยกงามอันนี้ได้หักเป็นสองท่อนนอนแน่นิ่งอยู่บนผ้าไหมสีขาว

         "หืม?" พ่อค้ารับไปพิจารณา "นี่มันปิ่นหยกของสตรีสูงศักดิ์นี่ขอรับ? ท่านได้มาอย่างไรกัน"

         สือโถวทำหน้าอึมครึม คือก็อยากรู้เหมือนกันว่าอาเยี่ยนไปเอาหยกที่โคตรแพงมาจากไหน เเต่ไม่ว่าจะถามเท่าไหร่อีกฝ่ายก็เอาเเต่ปิดปากเงียบน่ะสิ แถมยังใจหมาไล่เขาออกจากห้องอีก!

         อย่าให้รู้ว่าเป็นคุณหนูบ้านไหนแอบมาชิงหัวใจเด็กที่เขาเคยเล็งไว้นะ!!

         เจ้าของร้านเห็นลูกค้ามีสีหน้าเหมือนพร้อมจะหักคอคนจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง "นายท่านต้องการวันไหนหรือขอรับ"

         สือโถวถาม "ได้เร็วสุดเมื่อไหร่"

         "นั่นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณเงิน..." สือโถวยื่นตั๋วเงินให้พ่อค้าทันที พ่อค้าตาลุกวาวรีบกล่าวประจบสอพลอ "ภายในวันพรุ่งนี้นายท่านมารับได้เลยขอรับ! ข้าสัญญาว่าจะซ่อมมันอย่างดี"

         จุ๊ๆ ดูโทรมๆ แบบนี้แต่กระเป๋าหนักใช่เล่น!

         สือโถวตีหน้านิ่ง เงินนี่ก็เป็นของอาเยี่ยนเช่นกัน ทำเอาสงสัยขึ้นไปอีกว่าใครกันที่ทำให้เจ้าพ่อเดดซีลยอมควักเงินมหาศาลขนาดนี้

         หลังจากอยู่คุยเรื่องการนัดรับของวันพรุ่งนี้เพียงชั่วครู่ สือโถวก็ออกจากร้านพลางครุ่นคิดว่าควรจะไปไหนต่อ

         กึก

         ปลายรองเท้าหยุดชะงักเมื่อหางตาเหลือบเห็นชายเสื้อคลุมสีฟ้าที่คุ้นเคย

         เห็นแวบเดียวก็จำได้ทันทีว่านั่นเป็นของคนงามล่มเมืองที่มีช้างน้อยอยู่กลางหว่างขา

         “ตามไป! มันไปทางนั้น!!” เสียงโหวกเหวกดังมาจากทิศเดียวกับที่คนงามวิ่งหนีมา กลุ่มชายหน้าเถื่อนจำนวนห้าหกคนวิ่งหน้าตั้งแถมยังชนชาวบ้านแถวนั้นกระเด็นอย่างไม่รู้มารยาท

         คนงามเม้มปากเเน่น ตัดสินใจวิ่งเข้าไปในตรอกซอยเล็กๆ คนกลุ่มนั้นเห็นดังกล่าวจึงเลิกระรานชาวบ้าน ชูอาวุธวิ่งพุ่งเข้าตรอกตามหลังคุณชายหน้าสวย

         สือโถวยืนนิ่งอยู่กับที่ ศีลธรรมด้านดีกับจิตสำนึกด้านชั่วตีกันยุ่ง

         ช่วย?

         ไม่ช่วย?

         หากว่ากันตามตรง นี่ไม่ใช่เรื่องของเขาเลยสักนิดแถมพวกนั้นยังพกอาวุธ...

         สือโถวสะบัดศีรษะ “ช่างเถอะ กลับดีกว่า”

         'พี่สือโถว'

         ฉับพลันในหัวดันปรากฏภาพเด็กน้อยนัยน์ตากวางฉ่ำน้ำที่ช้อนตาขึ้นมองอย่างเว้าวอน

         ไม่

         แค่นี้ชีวิตก็ยุ่งยากอยู่พอแล้ว ดูสิ! ขนาดชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เลย

         'เจ็บ'

         คราวนี้ใบหน้าของ น้องชาย เข้ามาแทนที่มู่หลี่หลง เด็กน้อยวัยสิบกว่าปีพยายามยื่นมือสั่นเทามาข้างหน้า

         ‘พี่...ช่วยด้วย’

         ทั่วทั้งร่างเหมือนโดนสายฟ้าฟาด สองมือพลันกำแน่น สือโถวกัดฟันกรอด ตัดสินใจหมุนตัววิ่งเข้าไปในตรอกแบบไม่คิดชีวิตทันที

         จะให้ซ้ำรอยเดิมไม่ได้

         ความผิดพลาดที่เกิดจากความลังเลในครั้งนั้น…ให้มันเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว

    .......................................

    ซางเผิง* = ภูเขาสูง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×