คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6 : บางทีฝนตก...มันก็ดีเหมือนกันนะ
บทที่ 6 : บางทีฝนตก...มันก็ดีเหมือนกันนะ
แปะ ๆ ๆ ๆ เสียงของหยดน้ำที่ดังเบื้องหน้าเรียกดวงตาของคนที่นั่งกอดเข่าให้เงยขึ้น ใบหน้าหวานที่มาพร้อมกับร่มสีใส ทำให้ใบหน้าคมมีรอยยิ้มแต่งแต้มขึ้น...
“มานั่งทำอะไรตรงนี้ครับพี่ชาย...ฝนตกแล้วไม่กลับห้องหรอ แล้วโดนละอองฝนสาดใส่หน้าแบบนี้ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกครับ”
คำถามที่มาพร้อมกับยิ้มหวานของคนที่ยืนถือร่ม ทำให้คนที่กำลังรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ได้รู้สึกดีขึ้นมา
“พี่มานั่งรอใครบางคน...”
“อ๋อ...แล้วเค้ายังไม่มาหรอครับ”
“ไม่รู้สิ...พี่รอเค้าตั้งแต่ 8 โมงเช้า แต่ตอนนี้เค้ายังไม่มาเลย” ฮั่นว่าด้วยใบหน้าที่เศร้าสลดลงเมื่อนึกถึงคนที่เขานั่งรอมาหลายชั่วโมง
แกงส้มซึ่งเป็นคน ๆ นั้น...ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับคนที่นั่งหน้าเศร้า ก่อนจะยกมือขึ้นไปตบที่บ่ากว้างเบา ๆ สองสามที พลางวางมือนั่นแช่ไว้บนบ่า
“อย่าคิดมากพี่ เค้าจะติดธุระสำคัญอะไรอยู่ก็ได้ หรือไม่...เค้าก็อาจจะจำวันเวลาผิด หรือมีเหตุอะไรฉุกเฉินบางอย่าง พี่อย่าเพิ่งไปจิตตกเลย พรุ่งนี้ก็ลองรอเค้าดูใหม่สิฮะ เผื่อพรุ่งนี้เค้าอาจจะมาก็ได้” แกงส้มว่าพลางส่งยิ้มหวานเป็นกำลังใจให้กับคนตรงหน้า ฮั่นยิ้มรับก่อนจะจับมือที่วางบนบ่าของเขามากุมไว้หลวม ๆ
“ขอบคุณสำหรับคำปลอบใจดี ๆ เหล่านี้นะ นายทำให้พี่รู้สึกดีขึ้นจริง ๆ”
“ไม่เป็นไรครับ เรื่องแค่นี้เอง”
“ว่าแต่เราเถอะ มาทำอะไรแถวนี้”
“อ๋อ...ผมเพิ่งกลับจากทำงานน่ะครับ วันนี้เหนื่อยมากเลย ทำงานแทนรุ่นพี่ด้วย แถมตอนนี้ก็โคตรจะหิวข้าวเลย” แกงส้มบ่นพลางดึงมืออกจากเกาะกุมของคนตรงหน้า ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงระเรื่อนิด ๆ เมื่อเขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากสัมผัสเมื่อสักครู่นี้
แค่จับมือแบบไม่ได้ตั้งใจ...ทำไมทำให้เราใจเต้นแรงขนาดนี้นะ!?!
“งั้นไปกินข้าวกัน”
“หืม?” แกงส้มตกใจกับคำชวนของคนที่ลุกขึ้นยืนเป็นอย่างมาก เขารีบลุกขึ้นยืนตาม พลางเอียงคอมองหน้าอย่างนึกสงสัย
“งงอะไร ก็เราบ่นว่าหิวไม่ใช่หรอ พี่ก็เลยชวนเราไปกินข้าวไง” ฮั่นว่าพลางส่งยิ้มตาใสไปให้คนที่ยืนทำหน้างง
คนที่ทำหน้างงอยู่แล้ว ยิ่งทำหน้างงหนักขึ้นไปอีก
“แล้วพี่ไม่รอ ‘คนนั้น’ แล้วหรอครับ?”
“เค้าคงไม่มาแล้วล่ะ เพราะถ้าเค้ามา...พี่ก็ต้องเจอเค้าแล้ว” ฮั่นพูดก่อนที่เขาจะเงยหน้ามองไปที่ท้องฟ้าซึ่งมีสีดำสนิท...
แม้เขาจะรู้ว่าถึงคนที่เขารอจะมาตอนนี้...เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าน้องคือคนไหน...
เฮ้อ...เขาอยากมีคาถาอ่านใจคนได้จัง เขาจะได้รู้ว่าคนที่เขารอคอยคือใคร...
แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ใช่ ‘เจ้าตัวแสบ’ ที่ยืนทำหน้างงอยู่ตอนนี้แน่ ๆ ...เพราะถ้าใช่...มันคงจะโลกกลมเกินไป
ฮั่นคิดในใจ...โดยลืมนึกไปว่า...
บนโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่า ‘ความบังเอิญ’ อยู่ทั้งนั้น ทุกสิ่งล้วนแต่มีที่มาที่ไปเสมอ การที่เราได้พบเจอใครสักคน มันไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ หรือเพราะความที่โลกมันกลม แต่มันเกิดขึ้นเพราะความตั้งใจ...ความตั้งใจของสิ่งที่มองไม่เห็น และความตั้งใจของ ‘ตัวเรา’ เอง...
หากความรักเดินทางมาทักทายหัวใจของใครแล้ว ก็ยากนักที่รักนั้นจะถอนตัวออกไปจากหัวใจของใครคนนั้น เพราะความรักหากได้ลองหยั่งรากลึกลงไปในหัวใจแล้ว...รากลึกนั้นก็ยากที่มันจะหายไปเพียงชั่วข้ามคืน....คนบางคนถึงไม่ยอมลืมความรักที่เกิดขึ้นและเขาอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อลบลืมความรักนั้น...
“ถ้างั้นก็ไปกินข้าวกันครับ ว่าแต่...แล้วเราจะไปกันยังไงล่ะเนี่ย ร่มก็คันนิดเดียวเอง” แกงส้มว่า พลางมองร่มที่ตัวเองถืออยู่ในมืออย่างนึกปลงในใจ
เขากับพี่ชายคนนี้ตัวโตอย่างกับหมี ขืนเดินไปในร่มคันเดียวกัน คงได้เปียกหมดแน่ ๆ
“ไปกินที่ร้านข้าวต้มลุงแทนกันไหม อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้หรอก วิ่งฝ่าฝนไปไม่ถึงห้านาทีก็ถึงแล้ว ฝนตกปรอย ๆ อย่างนี้เราไม่น่าจะเปียกกันนะ” ฮั่นเสนอความคิด พลางเบนสายตาไปมองสายฝนที่ตกพรำ
“อืม...ความคิดของพี่ก็ไม่เลวนะ ร้านนั้นผมก็รู้จัก งั้นเราไปกินร้านนั้นกัน ว่าแต่ว่า...แล้วเราจะวิ่งฝ่าฝนกันไปดื้อ ๆ แบบนี้อ่ะนะครับ ไม่คิดจะมีอะไรบังหัวกันสักนิดเลยหรอฮะ” แกงส้มถาม พลางเบนสายตามองสายฝนที่ตกพรำ (เหมือนกับคนที่ยืนข้าง ๆ)
“เอาเสื้อพี่คลุมหัวกันไปแล้วกัน ตัวใหญ่ น่าจะบังฝนได้อยู่...” พูดจบ ฮั่นก็ถอดเสื้อยีนส์ที่สวมอยู่ออก แกงส้มรีบหันหน้าหนีทันที
“เฮ้ย! หันหน้าหนีทำไม พี่ไม่ได้แก้ผ้าซะหน่อย แค่ถอดเสื้อตัวนอกเองนะ” ฮั่นถาม พลางหยุดการถอดเสื้อไว้ ทำให้ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในสภาพที่เสื้อยีนส์ถูกถอดไปแค่ครึ่งแขน และค้างอยู่อย่างนั้น
“เฮ้ย! ก็แล้วทำไมพี่ไม่ถอดให้มันเสร็จ ๆ ไปวะ ผมเขินนะเว้ย” แกงส้มไม่พูดเปล่า แต่เจ้าตัวยังมีอาการหน้าแดงก่ำสนับสนุนคำพูดของตัวเองอีกด้วย
“เขินอะไรวะ...”
“เออน่า...พี่จะถามให้มันมากความทำไม รีบ ๆ ถอดให้มันเสร็จ ๆ เลย หิวแล้ว!” แกงส้มไม่พูดเปล่า แต่เขายังส่งใบหน้าเหวี่ยงไปให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รับรู้อีกด้วยว่า หากเขายังมัวแต่ทำเป็นเล่นอยู่แบบนี้ อาจจะโดนงับหูเอาได้ง่าย ๆ ฮั่นจึงรีบถอดเสื้อยีนส์ออก ก่อนจะสะบัดสองสามทีเพื่อไล่กลิ่น
“ไป...ไปกันได้แล้ว” ฮั่นว่าก่อนจะยกเสื้อขึ้นเหนือหัว พลางพยักหน้าเรียกคนที่กำลังพันร่มเก็บ คนโดนเรียก หันหน้าไปมองคนเรียก ก่อนที่เขาจะต้องตกใจ เมื่อเห็นว่าเขาจะต้องเข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับคน ๆ นี้
คิดถูกหรือคิดผิดนะที่จะใช้เสื้อยีนส์บังฝนแล้ววิ่งไปร้านลุงแทนเนี่ย...
“เอ้า! ยืนมองอะไรอยู่ล่ะ หิวไม่ใช่หรอ รีบ ๆ เข้ามาสิ” เสียงเรียกของคนเป็นพี่ ทำให้แกงส้มค่อย เขยิบเดินเข้าไปใกล้ จากนั้นฮั่นก็ดึงไหล่ของคนที่ร่างบาง (กว่าเขานิดหน่อย) ให้เขยิบเข้ามาชิดมากขึ้น ก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงไปกระซิบที่ข้างหูคนที่ยืนข้าง ๆ ว่า
“พอพี่นับ 1 2 3...เราก็ออกวิ่งกันเลยนะ โอเคไหม...”
แกงส้มไม่ตอบอะไรแต่พยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงว่ารับรู้
“เอาล่ะ...1 2 3...วิ่ง!!!!”
แล้วคนสองคนก็วิ่งฝ่าสายฝนที่ตกพรำ ๆ ออกไปจากจากชายคาของร้านหนังสือแบ่งปัน...ร่างสองร่างที่วิ่งออกไปนั้นได้ทำให้เกิดความรู้สึกดี ๆ ขึ้นภายในหัวใจของคนทั้งสอง
ในวันที่สายฝนตกพรำ ๆ เราคงนึกอยากจะมีใครสักคนมายืนกางร่มให้แล้วบอกว่าเดินไปด้วยกันภายใต้ร่มคันนั้นไหม...แต่ก็ยังมีใครอีกหลายคนที่ไม่ได้อยากจะมีใครสักคนมากางร่มให้ แต่อยากมีใครที่พร้อมจะจับมือแล้วบอกว่า...เราเดินฝ่าสายฝนไปด้วยกันเถอะมากกว่า
และหนึ่งในคนเหล่านั้นก็คือคนสองคนที่เพิ่งจะวิ่งออกไปนั่นเอง
ฮั่นทิ้งความเหงาและความอ้างว้างไว้เบื้องหลัง...เพื่อจะออกวิ่งไปเจอกับสิ่งที่เขาคิดว่ามันน่าจะดีกว่า...เขาไม่ได้เลือกที่จะทิ้งความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อคนในจดหมาย แต่เขาเลือกที่จะทิ้งสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีไว้ที่นี่ต่างหาก
เขาจะไม่ขอนัดเจอกับน้องเคเอสอีกแล้ว...
จะไม่ขอนัดเจอจนกว่าเขา...จะทำใจได้กับเรื่องที่ต้องถูก ‘ผิดนัด’...
ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ย่อมไม่ต้องการเป็นคนที่ถูก ‘ทิ้ง’ ด้วยกันทั้งนั้น!
และเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น...
“รถเยอะจัง นี่ขนาดสองทุ่มกว่าแล้วนะเนี่ย” แกงส้มบ่นออกมาเมื่อเขายืนรอสัญญาณไฟจราจรเพื่อจะข้ามถนน ร่างสูงที่ยืนชูเสื้ออยู่ เงยหน้าจากการเผลอมองใบหน้าหวานของคนข้าง ๆ ไปมองถนนที่มีรถติดไฟแดงยาวเหยียด
“มันก็เรื่องปกตินะ แถวนี้รถก็ติดเป็นประจำอยู่แล้วนี่...อุ๊ย!” ฮั่นอุทานออกมา เมื่อมีแรงกระแทกจากด้านหลังส่งผลทำให้หน้าอกกว้างของเขากระแทกเข้ากับไหล่ของคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า รวมทั้งใบหน้าของเขาก็ยังซบลงไปที่กลุ่มผมหนาของคนที่อยู่ด้านหน้าแบบพอดิบพอดีอีกด้วย การกระทำนี้ของเขา ทำให้แกงส้มหันหน้ามามอง ก่อนที่คนมองจะก้มหน้าหลบสายตาที่เขามองกลับไป
คงเพราะเราใกล้กันเกินไปสินะ...ถึงได้รู้สึกเขินกันเองแบบนี้
ใช่...ตอนนี้เขากำลังรู้สึกเขิน...เขินอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน ทั้ง ๆ ที่แค่แตะสัมผัสกันเพียงแผ่วเบาเท่านั้นนะ แต่ทำไมมันทำให้รู้สึกเขินได้แบบนี้ก็ไม่รู้
แถมกลิ่นหอมของแชมพูจากผมของคนตรงหน้าก็เหมือนจะติดจมูกเขาไปเสียแล้ว...
คราวก่อนก็โดนมนต์แป้งเด็ก คราวนี้โดนมนต์ยาสระผมเข้าไปอีก...
เอาเข้าไปไอ้ฮั่น...มึงจะโดนมนต์น้องเขาทุกอย่างเลยใช่ไหม!!!
“พี่ครับ...เดินได้แล้ว ไฟเขียวแล้วครับ” เสียงเรียกของคนที่อยู่ด้านหน้าเรียกสติของฮั่นให้กลับคืนมา ชายหนุ่มรีบสาวเท้าตามคนข้างหน้าไปอย่างรวดเร็ว อากัปกริยานี้ของเขาเรียกดวงตาของคนที่เดินข้ามถนนพร้อมกันหลายคนให้หันมามอง
ภาพของผู้ชายร่างสูงใหญ่หุ่นสมชายชาตรี เดินถือเสื้อยีนส์ตัวใหญ่กันฝนให้กับผู้ชายอีกคนที่มีรูปร่างสูงโปร่งและมีขนาดความสูงพอ ๆ กัน แถมระยะห่างของร่างกายผู้ชายสองคนนั้นก็แทบจะเรียกได้ว่า ‘ไม่มี’...
เจอกันตรง ๆ ชัด ๆ แบบนี้...ไม่ให้พวกเขาคิดก็ไม่รู้ว่าจะว่าอย่างไรแล้ว...
“สั่งอะไรดีอ่ะพี่” เมื่อมานั่งที่โต๊ะในร้านข้าวต้มซึ่งตั้งอยู่บนฟุตบาธริมถนน แกงส้มก็เอ่ยถามคนที่นั่งพลิกเมนูในมือไปมา
“อืม...แกงส้มล่ะกัน”
“ฮะ!?!”
คนโดนสั่งเป็นกับข้าวสะดุ้งขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง
“พี่บอกว่าพี่จะกินแกงส้ม ทำไม...ตกใจอะไร” ฮั่นถามพลางมองหน้าคนที่นั่งตรงข้ามเขาอย่างงง ๆ
“ปะ เปล่าครับ แล้วนอกจากแกงส้มพี่จะกินอะไรอีกครับ”
“อืม...ไข่เจียวแล้วกัน แกงส้มก็ต้องคู่กับไข่เจียว กินคู่กันอร่อยดีนะ เอายำปลาดุกฟูด้วย ชอบ...อืม เอาอะไรอีกดี...” เมื่อได้พูดถึงของกิน ฮั่นก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมา
ก็เขาชอบเรื่องของอาหารเป็นชีวิตจิตใจนี่นา...
“อืม...เอาต้มยำเพิ่มแล้วกันพี่ ผมอยากกิน”
“โอเคตามนั้น...ลุงแทน...สั่งอาหารหน่อยคร้าบบบบ”
เมื่อได้เมนูอาหารที่ต้องการ ฮั่นก็ตะโกนเรียกคนเป็นเจ้าของร้านให้ออกมารับออร์เดอร์ของเขา...เจ้าของร้านที่ทำผมทรงโมฮอกสีขาวเงินเดินออกมาพร้อมสมุดจดเล่มเล็ก ๆ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเรา หายหัวไปไหนมาล่ะ”
“ผมไปทำงานอยู่ร้านอาหารครับ ก็เลยไม่ได้มาเลย คิดถึงลุงจะแย่แล้วเนี่ย” ฮั่นพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนคนที่เดินมาถึง แน่นอนว่าอากัปกิริยานี้ของเขาทำให้คนที่มาด้วยต้องตกตะลึงจนนั่งอึ้ง
ผู้ชายตัวโตกำลังทำเสียงอ้อนผู้ชายที่ตัวโตกว่า...คุณพระ!
“ไม่ต้องมาทำเป็นอ้อนเลยไอ้ตัวแสบ นี่อย่าบอกนะว่าแอบขโมยสูตรที่ร้านลุงไปน่ะ”
“ง่ะ! ใครจะกล้าทำแบบนั้นครับลุง ผมไปเป็นเชฟอาหารอิตาเลี่ยนคร้าบบบบบบบ” ฮั่นว่าก่อนจะต้องอมยิ้มขำเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่มากับเขา
“นี่...จะนั่งอ้าปากค้างให้ยุงมันเข้าไปไข่หรือไง”
“อ่ะ...ผมไม่ได้เป็นแบบนั้นซะหน่อย” แกงส้มว่าพลางรีบงับปากของตัวเองทันที
“อ้อหรอ ๆ ๆ เห็นนั่งอ้าปากค้างแบบนั้นก็นึกว่าจะให้ยุงมันไปเพาะพันธุ์ ฮ่า ๆ ๆ โอ๊ย ๆ ๆ เออ ๆ ไม่แซวแล้วก็ได้” ฮั่นเลิกแซวคนตรงข้ามทันที เมื่อโดนมือบางฟาดมาที่ไหล่
อาการหยอกล้อของคนสองคน ทำให้คนที่ยืนมอง รู้สึกได้ถึงความพิเศษบางอย่างที่ลอยวนอยู่รอบ ๆ คนทั้งคู่...เขาไม่ได้มีญาณวิเศษอะไร แต่แค่สังเกตจากสายตาและท่าทางของคนสองคน มันก็สามารถบ่งบอกได้แล้วว่า...อะไรเป็นอะไร...หึ ๆ
“เอ้า ๆ เลิกเล่นกันสักที ตกลงว่าจะกินอะไรกันมั่งล่ะ”
“ก่อนจะสั่ง ผมขอแนะนำให้เจ้าเด็กคนนี้รู้จักลุงก่อนนะครับ นี่นาย...ลุงคนนี้เขาชื่อว่าลุงแทนนะ เป็นเจ้าของร้านที่นี่ แล้วก็มีศักดิ์เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของพ่อฉัน หรือเรียกสั้น ๆ ว่ามีศักดิ์เป็นลุงนั่นเอง โอ๊ย! ลุงอ่ะมาตบหัวผมทำไมเนี่ย เจ็บนะ”
“ก็แล้วแกจะแนะนำฉันให้มันเหมือนคนปกติเค้าหน่อยได้ไหมเล่า ไอ้นี่...กวนตลอด”
“เชอะ! ผมงอนลุงแล้ว!”
“เออดี...งั้นไม่ต้องสั่งอะไรนะ”
“โอ๋ย ๆ ๆ ๆ ผมขอโทษคร้าบบบบ เอาเป็นว่าผมเอา แกงส้มผักรวม ไข่เจียว ยำปลาดุกฟู แล้วก็ต้มยำครับ” สั่งเมนูอาหารเสร็จ ลุงแทนก็หันไปยิ้มให้คนที่มากับคนที่เป็นหลานชายของเขา ก่อนจะก้มหน้าลงไปกระซิบที่ข้างหูของคนหน้าหวานว่า
“ลุงไม่อยากจะบอกหรอกนะว่า...ไอ้บ้านั่นอย่าให้มันทำตัวอ้อนเราเป็นอันขาด ไม่งั้นเราจะ ‘เสร็จ’ มันแน่นอน หมอนี่มันอ้อนเก่ง...” พูดจบ ลุงแทนก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะยักคิ้วไปให้แกงส้ม คนที่รับรู้เรื่องราวนี้ อมยิ้มขึ้นมาก่อนต้องเอากระดาษเมนูที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาปิดหน้าตัวเองแล้วยิ้มแบบกว้างสุดปาก
พี่ชายใจดีคนนี้...มีมุมน่ารักแบบนี้ด้วยหรอ...
อ๊ากกกกกกกก น่ารักว่ะ!
หลังจากที่ลุงแทนรับออร์เดอร์ไปแล้ว เขาก็ไปทำอาหารตามที่ได้รับออร์เดอร์มา ทิ้งให้คนที่นั่งรอที่โต๊ะต้องหันมามองหน้ากัน โชคดีที่ตอนนี้ฝนหยุดตกไปแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ได้มานั่งกินข้าวกันด้านนอกแบบนี้ สายลมที่พัดเอื่อยให้ความรู้สึกที่เย็นสบาย ท้องฟ้าที่เปิดกว้างมากขึ้น ทำให้พอมองเห็นดวงดาวที่ส่องประกายบนท้องฟ้า
“พี่เชื่อในเรื่องของพรหมลิขิตไหมครับ...?”
“หืม...พรหมลิขิตหรอ ?”
“ใช่ครับ พรหมลิขิต”
“ไม่รู้สินะ...แต่ก่อนพี่ก็คงไม่เชื่อ แต่พอพี่ได้พบกับใครคนหนึ่ง...พี่ก็เริ่มจะเชื่อแล้วว่าพรหมลิขิตมีจริง...” ฮั่นว่าพลางนึกไปถึงคนที่เขาเขียนจดหมายถึง
ไม่ว่าอย่างไร...คนที่อยู่ในห้วงความคิดของเขาก็คือน้องเคเอส...
“เหมือนผมเลยครับ แต่ก่อนผมคิดเสมอว่า...การที่คนสองคนจะได้มาเจอกันนั้นมันก็คงไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไร แต่พอผมได้พบกับใครคนนั้น...ผมก็รู้เลยว่า...สิ่งที่ยากที่สุดของการได้พบกันก็คือ...’จังหวะเวลา’...จังหวะเวลาที่ไม่รู้ว่าจะได้ตรงกันเมื่อไหร่...”
คำพูดของคนที่นั่งตรงข้าม ทำให้ฮั่นรู้สึกฉุกใจขึ้นมา...
จังหวะเวลาอย่างนั้นหรอ...
นั่นสินะ...หรือว่าจังหวะเวลาของเราสองคนยังไม่ตรงกัน...
วันนี้เขาถึงยังไม่ได้เจอกับน้องเคเอส...
หรืออาจจะมีบางอย่างผิดพลาดจริง ๆ...
“มาแล้ววววววววว” แล้วเสียงของลุงแทนที่มาพร้อมกับอาหารกลิ่นหอมฉุย ก็ทำให้ผมพุ่งความสนใจไปที่อาหารหลายอย่างบนโต๊ะ
“โห...น่ากินทั้งนั้นเลยฮะ”
“ไม่ใช่แค่น่ากินนะ แต่รสชาติก็ยังอร่อยเหาะอีกด้วย ไม่เชื่อลองชิมสิ” ฮั่นไม่พูดเปล่า แต่เขายังตักยำปลาดุกฟูใส่จานให้แกงส้มอีกด้วย คนถูกตักอาหารให้รู้สึกเขินขึ้นมานิดหน่อย
ปกติไม่เคยมีใครมาทำอะไรแบบนี้ให้เขา...
และเขาก็ไม่คิดว่าการโดนทำอะไรแบบนี้ มันจะให้ความรู้สึกที่ดีได้ขนาดนี้...
การเป็นคนที่ถูกดูแล...มันก็ดีไปอีกแบบหนึ่งแฮะ
แล้วคนสองคนก็ผลัดกันเป็นคนดูแลและผู้ถูกดูแลไปพร้อม ๆ กัน...บรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่ไม่จำเป็นต้องมีอาหารที่ราคาแพงใด ๆ ก็ทำให้ความสุขลอยอบอวลรอบตัวคนทั้งสองได้
ความสุขในมื้ออาหารไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ราคาของอาหาร...แต่มันขึ้นอยู่ที่...’คนที่มาทานอาหารกับเรา’ มากกว่า!
“โอ๊ย...อิ่มจนท้องจะแตก” ฮั่นพูดพลางเอามือมาลูบท้องตัวเอง จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าคนที่เขาพามาด้วย กำลังนั่งซดน้ำต้มยำช้อนสุดท้ายเข้าปาก
“ถ้าจะซดขนาดนั้นนะ คราวหน้าพี่ว่าเราเอาหลอดมาดูดเลยดีกว่า”
“ไม่เอาอ่ะพี่ ใช้หลอดดูดแล้วมันทำให้สำลัก เอาช้อนตักแบบนี้แหล่ะดีแล้ว...เง้อ! พี่อ๊า...”
ฮั่นขำออกมาทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่กำลังทำหน้าตาน่ารัก...เสียงหัวเราะของเขาทำให้คนที่กำลังทำหน้าน่ารัก ต้องหันมาทำท่าแยกเขี้ยวใส่เขา
“ชอบแซวผมตลอดเลยนะพี่ เดี๋ยวเหอะ!”
“ฮ่า ๆ ๆ กลัวจังเลย ว่าแต่ว่า...ตกลงเราไปทำอะไรที่คอนโดพี่อ่ะ”
“ถ้าผมบอกพี่อย่าตกใจนะ”
“อืม...ลองบอกมาสิ”
“ผมย้ายไปอยู่ที่นั่นชั่วคราวครับ”
“ฮะ...ว่าไงนะ ย้ายมาอยู่ที่นั่นชั่วคราวหรอ” เมื่อได้ยินว่าคนตรงหน้าย้ายมาอยู่ที่คอนโดเขา ฮั่นก็ตกใจปนดีใจจนแทบจะลุกขึ้นยืนเขย่าตัวคนพูด
น้องย้ายมาอยู่ที่คอนโดเขา!!!!
แปลว่าเรา...จะได้เจอกันบ่อยขึ้นน่ะสิ...
เยส!
“ครับ...ก็คอนโดที่ผมเคยอยู่ เค้าปิดปรับปรุงชั่วคราว ผมก็เลยต้องย้ายไปอยู่ที่คอนโดพี่อ่ะ เออจริงสิ...พี่อยู่ห้องอะไรอ่ะ...?”
“เฮ้ย! อยู่ดี ๆ มาถามเลขห้องเค้า เค้าเขินนะ...” แล้วคนที่พูดว่าเขินก็ทำท่าบิดไปบิดมา จนคนที่มองต้องเบ้หน้า
“พี่อย่าทำท่าแบบนี้เลยครับ ไม่เข้ากับพี่สักนิด” เมื่อเจอเบรกซะจนหัวแทบทิ่มขนาดนี้ ฮั่นก็เลิกทำท่าเขินแบบแอ๊บแบ๊วทันที
“ก่อนจะถามเลขห้องคนอื่น บอกเลขห้องตัวเองมาก่อนสิ”
“ไม่เอา...พี่บอกก่อนสิ”
“ไม่เอา...เราบอกก่อน”
“พี่บอกก่อน”
“เราบอกก่อน”
“พี่...”
“เรา...”
“งั้นบอกพร้อมกัน/งั้นบอกพร้อมกัน” แล้วทั้งสองคนก็เอ่ยประโยคนี้ออกมาพร้อมกัน
“เอ่อ...”
“เอ่อ...”
พอจะพูดประโยคต่อมา ก็เกิดอาการติดอ่างพร้อมกันอีก...เอาเข้าไป
“งั้นผมนับ 1 2 3 แล้วเราก็พูดพร้อมกันเลย โอเคไหมครับ”
“อืม...”
“1 2 3...828 ครับ...” แล้วคนนับก็เป็นฝ่ายพูดออกมา โดยที่ไม่มีเสียงของอีกฝ่ายที่ไม่ได้นับพูด แกงส้มมองหน้าคนที่นั่งอมยิ้มกริ่มด้วยดวงตาที่เอาเรื่องทันที
“ทำไมพี่ไม่พูดพร้อมผมล่ะ!”
“ก็พี่ยังไม่ได้บอกว่าตกลงแล้วพี่จะพูดพร้อมกับเรานี่”
“แต่พี่รับคำว่าอืมแล้วนะครับ” แกงส้มโวยวายออกมา ก่อนที่คำตอบของคนที่นั่งอมยิ้มจะทำให้เขาเหมือนคนที่เสียรู้
“อืมของพี่หมายถึงรับรู้แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำตามนี่ครับ”
“อ๊ากกกกกกกกก พี่มันชั่วร้าย!” แล้วแกงส้มก็เอาส้อมที่วางอยู่บนโต๊ะมาจิ้มไปที่ต้นแขนของคนที่นั่งเอามือกุมท้องหัวเราะอย่างเคืองสุดขีดทันที
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ โอ๊ย...ก็เราอยากซื่อเองทำไมล่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
เสียงหัวเราะและเสียงโวยวายของคนทั้งคู่ ทำให้คนที่เป็นเจ้าของร้านต้องส่ายหัวเบา ๆ
มันคิดว่ามันมีกันอยู่สองคนบนโลกใบนี้หรือไงวะ...
ไอ้พวกบ้าเอ๊ย!
เกรงใจลูกค้าโต๊ะอื่นที่เขามองมึงแบบอิจฉาบ้างก็ได้เว้ย!
“ตกลงพี่จะไม่บอกผมจริง ๆ ใช่ไหมว่าพี่อยู่ห้องไหน...” แกงส้มเอ่ยถามเมื่ออยู่กันตามลำพังในลิฟต์กว้าง ฮั่นส่ายหัวก่อนจะอมยิ้มกรุ้มกริ่ม...
เรื่องอะไรจะบอกว่าเราอยู่ห้องตรงข้ามกัน...ขืนบอกไปแบบนั้นก็ไม่เซอร์ไพร์สน่ะสิ!
“เออ...ไม่บอกก็อย่าบอก จำไว้เลย”
“จำอะไรหรอ...”
“ไม่รู้ไม่ชี้ ผมไม่พูดกับพี่แล้ว” พูดจบ ลิฟต์ก็เปิดที่ชั้น 8 พอดี แกงส้มรีบสาวเท้าออกไปก่อนจะหันมาแลบลิ้นใส่คนที่อยู่ในลิฟต์ จากนั้นฮั่นก็เปิดประตูลิฟต์ค้างไว้...
“พี่จะเปิดประตูลิฟต์ค้างไว้ทำไม เผื่อคนอื่นเรียก เดี๋ยวเค้าก็บ่นพี่หรอก”
“พี่อยากเปิดดูเพื่อให้รู้ว่าเราเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว”
“เพื่อ?”
“เพื่อที่พี่จะได้ไม่ต้อง ‘เป็นห่วง’ เราไง...” แค่ถ้อยคำสองพยางค์นี้ที่ทำให้คนถูกเป็นห่วงต้องยกยิ้มขึ้นมาก่อนที่เขาจะรีบก้าวเท้าเร็ว ๆ เดินไปที่ห้องตัวเอง แต่ก่อนที่เขาจะเดินเข้าห้องไป แกงส้มก็หันมาโบกมือให้กับคนที่อยู่ในลิฟต์พลางตะโกนออกไปเสียงดังว่า
“พี่ก็กลับห้องตัวเองดี ๆ ล่ะ อย่าไปกวนประสาทใครเค้านัก บาย ๆ ครับ...”
แล้วร่างของแกงส้มก็หายเข้าไปในห้อง....ทิ้งให้คนที่มองตามอย่างฮั่นต้องยิ้มกว้างออกมาอย่างอารมณ์ดี
ขอบคุณนะ...ที่ทำให้ค่ำคืนที่พี่รู้สึกเกลียดฝน กลายเป็นค่ำคืนที่พี่รู้สึกรักฝนขึ้นมา...
น้องเคเอสครับ...พรุ่งนี้พี่จะไปรอเราอีก...
พี่จะไม่หมดหวังที่จะไปเจอเรานะครับ...รอเจอพี่นะ...
“เห...?”
ทันทีที่ย่างเท้าเข้ามาภายในร้าน ป๊อกก็ต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นว่ามีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่บนเคาน์เตอร์ของเธอ หญิงสาวตะโกนเรียกน้องสาวที่อยู่ภายในห้องหลังเคาน์เตอร์ทันที
“มีไรพี่?”
“จดหมายนี่...ใครเอามาวางไว้”
“อ๋อ...ไอ้แกงมันฝากให้พี่อ่ะ มันรีบมาแต่เช้าเลย บอกว่ามันสลับเวรกับพี่หนึ่งอ่ะ” เมื่อป๊อกได้ยินดังนั้น หญิงสาวก็พยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ และยังไม่ทันที่เธอจะได้ทำอะไร ร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา
“คุณป๊อก อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ผมมีอาหารญี่ปุ่นมาฝากครับ”
“อาหารญี่ปุ่น...มาม่าหรอคะ?”
“โหย...มาม่ามันไม่มีประโยชน์ครับ ทานนี่ดีกว่า...ราเม็งสูตรพิเศษของผม รับรองว่าคุณป๊อกจะต้องติดใจ เอ้อ...ผมเอามาฝากน้องสาวคุณป๊อกด้วยนะครับ” ฮั่นไม่พูดเปล่า แต่ยังส่งกล่องที่บรรจุราเม็งให้กับหญิงสาวหน้าสวยที่ยืนมองเขาตาเยิ้ม
“ชะ เชฟฮั่นทำมาเผื่อเกรซด้วยหรอคะ”
“ครับ...ตอบแทนที่คุณไปทานอาหารที่ร้านผมทุกวันไงครับ”
“ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ เกรซคงมีความสุขไปอีกหลายวันเลย อ๊ายยยยยย ดีใจเวอร์ค่ะ” แล้วคนดีใจเวอร์ก็คว้ากล่องราเม็งไปถือไว้แนบอก จากนั้นหญิงสาวก็วิ่งเข้าไปในห้องหลังเคาน์เตอร์อย่างรวดเร็ว
“อย่าไปสนใจยัยเกรซมันเลยค่ะ มันก็บ้า ๆ ของมันแบบนี้แหล่ะ ว่าแต่...วันนี้เจ้าเด็กนั่นเอาจดหมายมาส่งแต่เช้าเลยนะคะ คงไม่เข้ามาที่นี่แล้วล่ะค่ะ” ป๊อกชี้แจง ก่อนจะส่งจดหมายที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์มาให้กับชายหนุ่มที่บัดนี้ยืนทำหน้านิ่งเป็นรูปปั้นไปเรียบร้อยแล้ว
“งั้นหรอครับ...ถ้าอย่างนั้น...ผมฝากราเม็งไว้ให้น้องเค้าด้วยนะครับ...เผื่อน้องเค้าจะแวะเข้ามา....”
“ค่ะ ได้ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนแล้วกันครับ...” พูดจบ ฮั่นก็วางกล่องราเม็งอีกสองกล่องไว้บนเคาน์เตอร์ จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินออกไป ร่องรอยความเศร้าที่ปรากฏชัดในดวงตาคู่นั้น ทำให้ป๊อกนึกสงสารชายหนุ่มขึ้นมา
ท่าทางว่างานนี้เธอจะต้องออกโรงสอบถามไอ้ตัวแสบแกงส้มซะแล้ว...ว่าทำไมถึงไม่ยอมไปตามนัด!
แอ๊ด...
เสียงเปิดประตูอีกครั้ง เรียกดวงตาของป๊อกให้หันไปมอง แล้วเธอก็พบกับชายหนุ่มรูปร่างสูงสมส่วนที่อยู่ในชุดนักศึกษาสีขาวสะอาดตา ใบหน้าคมสันรับกับสันจมูกโด่ง บวกกับริมฝีปากสีชมพูอ่อน ทำให้คนที่มองถึงกับต้องยกมือขึ้นตบเบา ๆ ที่แก้มตัวเอง
นี่เธอกำลังฝันอยู่หรือเปล่า...ทำไมรู้สึกเหมือนเจอเทพบุตรตอนเช้าเลย!
“ขอโทษนะครับ...คือผมจะเอาหนังสือมาบริจาค ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของร้านครับ” เสียงทุ้มน่าฟัง ทำให้คนที่กำลังเคลิ้ม ต้องรีบสะบัดศีรษะตัวเองไปมา ก่อนที่ป๊อกจะเดินไปที่หลังเคาน์เตอร์เพื่อแสดงตัวให้ชายหนุ่มคนนี้รู้ว่า...เธอนี่แหล่ะ...เจ้าของร้าน
“ฉันเองค่ะ”
“อ่อ...ผมเอาหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยามาบริจาคน่ะครับ ไม่ทราบว่าผมต้องทำยังไงบ้างครับ”
“ก็เดี๋ยวกรอกข้อมูลลงในนี้นะคะ...” แล้วป๊อกก็แนะนำวิธีการกรอกข้อมูลต่าง ๆ ให้ชายหนุ่ม (ที่เธอแอบเล็งไว้ในใจ) หญิงสาวอาศัยจังหวะที่หนุ่มคนนี้กำลังกรอกข้อมูลสำรวจตรวจตราบนใบหน้าหล่อนั้นอีกครั้ง...เฮ้อ...ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้หล่อจัง!
ถ้าได้เป็นแฟนสักวัน...ให้ป๊อกทำอะไรก็ยอมนะคะ...~
“เอ่อคุณครับ...”
“คะ คะ...”
“เรียบร้อยแล้วครับ เอ่อ...ถ้ายังไงผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ค่ะ” แล้วคนที่ปกติจะชอบพูดยาวเป็นหางว่าว ก็ทำได้แต่เพียงโบกมือให้กับคนที่เพิ่งเดินออกไป หญิงสาวหยิบกระดาษที่มีข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือที่บริจาคขึ้นมาดู จากนั้นดวงตาของป๊อกก็เบิกโตขึ้น เมื่อเธอเห็นตัวหนังสือขยุกขยิก ๆ เล็ก ๆ ที่เขียนไว้ที่ด้านล่างสุดของกระดาษ
...ผมแอบมองคุณมานานแล้วนะครับ...รู้ตัวบ้างหรือเปล่าครับคุณบรรณารักษ์...><
“กรี๊ดดดดดดดดดด นี่มันคือความจริงใช่ไหม...?”
ป๊อกกรี๊ดออกมาเบา ๆ กับตัวเอง ก่อนที่เธอจะหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาส่องใกล้ ๆ อีกครั้ง
เธอไม่ได้ฝัน ตัวหนังสือพวกนี้มันมีอยู่จริง ๆ ผู้ชายคนเมื่อกี้...เขาเขียนประโยคนี้จริง ๆ
กรี๊ด!
ปล.แต่ฉันไม่ใช่บรรณารักษ์นะยะ! บรรณารักษ์เขาไว้ใช้กับห้องสมุดย่ะ! แต่ก็เอาเถอะ...คนสวยให้อภัย
ป๊อกคิดในใจ ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง...อีกครั้ง...และอีกครั้ง...
ถึง พี่หมี
แถวบ้านผม ฝนก็ตกหนักมากเลยครับ...ตกได้ตกดี ตกทั้งวี่ทั้งวัน เฮ้อ...ผมเบื่อฝนชะมัด พี่หมีครับ...ผมอยากรู้จังว่า...พี่จะมาเจอผมวันไหน ? เราจะได้เจอกันไหม ? ที่ผมถามไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ...
แต่ผมแค่อยากเจอพี่หมีตัวเป็น ๆ เพื่อขอบคุณสำหรับไก่ตุ๋นยาจีนที่อร่อยที่สุดในสามโลกน่ะครับ...มันอร่อยจริง ๆ นะพี่!!!! โคตร ๆ เลยอ่ะจริง ๆ...ไม่เคยกินไก่ตุ๋นที่อร่อยแบบนี้มาก่อนเลย...ขอบคุณมาก ๆ ครับที่ทำให้ผมได้กินของอร่อย ๆ แบบนี้ ถ้าใครได้พี่ไปเป็นแฟน...คงโชคดีสุด ๆ ไปเลยเนอะ...
จริงสิพี่...จดหมายที่ส่งมา ผมทำมันเปื้อนน้ำกับหมึกอ่ะ มันเลยใจความเหมือนขาดหายไป ถ้าหากผมตอบอะไรพี่ไปไม่ครบทุกสิ่งที่พี่ถามมา ผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ สัญญาว่าจดหมายฉบับหน้าจะเก็บรักษาให้ดีกว่านี้ พอดีผมยุ่ง ๆ กับการย้ายที่อยู่และงานที่ทำน่ะครับ อาจจะไปส่งจดหมายไม่เป็นเวลานะฮะ พี่อย่างอนผมล่ะ...ผมไม่ได้อยากจะทำให้พี่ต้องรู้สึกไม่ดีนะครับ...
เพราะว่าผม ‘แคร์ความรู้สึก’ ของพี่มาก ๆ แม้เราจะไม่ได้เจอกัน แต่ผมก็อยากให้พี่รู้ว่า...พี่ยังมีผมที่อยู่ไกล ๆ คอยเป็นห่วงและเป็นกำลังใจให้พี่เสมอ...ผมอยากให้ทุกตัวอักษรของผมทำให้พี่รู้สึกดีแบบนี้ไปตลอด เพราะผมเองรู้สึกดีกับทุกตัวอักษรที่พี่เขียนมา...
ไม่อยากจะเชื่อเลยนะครับว่าผมจะได้มาทำอะไรแบบนี้...เป็นเพราะพี่คนเดียวเลยรู้ไหมครับ ที่ทำให้ผมได้มารู้จักกับโลกที่ผมไม่เคยได้พบเจอ...ขอบคุณที่พี่พาผมให้มารู้จักโลกนี้ของพี่ แล้วพี่ล่ะครับ...อยากลองมารู้จักโลกของผมดูบ้างไหม...? โลกของผม...คือโลกแห่งเสียงดนตรีครับ...จดหมายฉบับหน้าผมจะเขียน ‘เพลงของเรา’ มาให้พี่ลองอ่านดูนะครับ...
แล้วพบกันใหม่ครับพี่หมี...ที่แสนดีและน่ารักของผม
จาก น้องเคเอส
ปล. ความห่วงใยของผมอาจมองไม่เห็นด้วยสายตา แต่ทว่ามันสามารถรับรู้ได้ด้วยความรู้สึกจากข้างในหัวใจนะครับ ขอให้พี่เชื่อในความรู้สีกที่เรามีต่อกัน...ไม่ว่าจะเกิดอะไร...พี่คือคนที่ผม ‘รู้สึกดี ๆ’ ด้วยครับ...
นิ้วเรียวค่อย ๆ บรรจงพับจดหมายเข้าซอง ชายหนุ่มยกซองจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาแล้วบรรจงจูบไปเบา ๆ ที่จดหมายฉบับนั้น
เขารู้แล้วว่าทำไมน้องถึงไม่ไปตามนัดของเขา...คงเพราะข้อความนั้นของเขามันหายไปสินะ...
เขาเข้าใจแล้ว...และเขาก็จะเชื่อในความรู้สึกของเขาเช่นเดียวกัน...
ว่าไม่ว่าอย่างไร...คนที่ทำให้หัวใจของเขากำลังรู้สึกดี ๆ ด้วยมากที่สุด ก็คือ ‘คนที่อยู่ในจดหมาย’...
แม้ว่าคนที่อยู่ในโลกแห่งความจริงกำลังจะทำให้เขาหวั่นไหว...แต่สุดท้ายแล้วคนที่ทำให้เขายิ้มได้และทุกข์ได้ไปพร้อม ๆ กันก็ยังเป็นคน ๆ นั้น...คนที่อยู่ในจดหมายอยู่ดี...
หากความรักเริ่มต้นด้วยความรู้สึกดี ๆ...ความรักนั้นก็จะค่อย ๆ เติบโตไปอย่างงดงามในหัวใจ แม้ว่าจะต้องพบเจอกับอะไร แต่ความรู้สึกดี ๆ ที่มีนั้นจะสามารถลบทำลายสิ่งเลวร้ายได้...เพราะ...’ความรักชนะทุกสิ่ง’...
//มะ มะ มาอัพเรื่องนี้อีกแล้ววววววว เค้าไม่ได้ลืมฟิคสั้นแต่อย่างใด เพียงแต่ว่า...หลังจากที่สอบเสร็จแล้วนั่งรถเมล์กลับบ้าน พล็อตตอนนี้ก็วิ่งตุบตับ ๆ อยู่ในหัว จนทำให้กลับมาบ้านต้องปั่น ๆ ๆ อย่างรวดเร็ว แต่ก็มาดึกอยู่ดี 555+ เอาเป็นว่า...ขอโทษนะคะที่ไม่สามารถทำให้พี่น้องได้รับรู้กันได้ว่าเขาคือคนในจดหมายของกันและกัน ย้ำชัดๆ ว่าไม่ได้ทรมาณคนอ่านแต่อย่างใด แต่แค่อยากให้คนสองคนได้ค่อย ๆ ผูกพันถักทอสายใยกันไปเรื่อย ๆ ค่ะ ^^
หวังว่าตอนนี้จะทำให้ยิ้มได้นะคะ ไม่ต้องกลัวว่าเค้าจะเขียนดราม่านาน,,,เค้าไม่ชอบเขียนหรอก มันบีบคั้นหัวใจ...หุหุ เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ (หากมีคำผิดต้องขออภัย)....
ความคิดเห็น