คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : จุดเริ่มต้น
บทที่ 1 จุดเริ่มต้น
แอ๊ด...
เสียงเปิดประตูของชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง เรียกดวงตาของหญิงสาวที่นั่งอ่านหนังสืออยู่หลังเคาน์เตอร์ไม้สีเขียวอ่อนให้เงยหน้ามองไปยังที่มาของเสียง หญิงสาวเปิดรอยยิ้มกว้างก่อนจะลุกขึ้นยืนต้อนรับคนที่เดินเข้ามา จากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นไปแตะทักทายกับมือของเด็กหนุ่มหน้าหวาน
“โย่ว!! ‘พี่ป๊อก’ วันนี้มีหนังสือใหม่ ๆ มาแนะนำผมไหมครับ”
“เฮ้โย่ว!!! ‘แกงส้ม’...วันนี้ยังไม่มีหนังสือใหม่ ๆ เข้ามานะ เพราะฉะนั้นเราคงต้องไปเลือกหาอ่านเอาเอง อ้อ! แต่เมื่อวานมีน้องคนหนึ่งบอกว่าเขาชอบหนังสือที่เราเอามาให้พี่นะ”
“เล่มไหนวะพี่? ผมให้พี่ไว้หลายเล่มเลยนะ เกือบเป็นร้อยมั้ง”
“ก็ไอ้เล่มที่เราทำหน้าปกเองนั่นไง”
“อ๋อ...อ้อ ก็ดีครับ งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปเลือกหนังสือก่อนนะครับ” พูดจบ คนพูดก็เดินหายเข้าไปทางชั้นหนังสือที่ตั้งเรียงราย ทิ้งให้ป๊อกมองตามก่อนที่เธอจะทรุดตัวนั่งลงที่เดิม
ร้านหนังสือร้านนี้มีชื่อว่า ‘แบ่งปัน’ เป็นร้านหนังสือที่เหมือนไม่ใช่ร้านหนังสือ เพราะหนังสือทุกเล่มที่นี่ เจ้าของร้านอย่างป๊อก แทบจะไม่ได้ซื้อมา แต่เธอได้มาจากการบริจาคของคนรู้จักและคนที่ไม่รู้จักแต่อยากแบ่งปันหนังสือดี ๆ ให้คนอื่นได้อ่าน และหากว่าคนที่เข้ามาสนใจอยากจะซื้อเล่มไหนก็สามารถซื้อกลับไปอ่านได้ หรือจะยืมแบบฟรี ๆ ทางร้านก็ไม่ได้หวงห้ามอะไร แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อนำหนังสือออกไปหนึ่งเล่ม เวลานำกลับคืนมาก็ต้องมากกว่าเดิมหนึ่งเล่ม เป็นการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
นิ้วเรียวที่ไล่ไปตามสันหนังสือในหมวดดนตรี กำลังทำให้เจ้าของนิ้วมือคิดหนัก เพราะเวลาผ่านไปนานหลายสิบนาทีแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้หนังสือที่ถูกใจ อาจจะเพราะหนังสือทั้งชั้นนี้ เขาอ่านมาจนเกือบหมดแล้ว...
“เฮ้อ...ไม่มีหนังสือเล่มไหนที่น่าสนใจเลยเว้ย โอ๊ย!”
บ่นยังไม่ทันจบประโยคดี หนังสือเล่มหนึ่งก็หล่นลงมากระแทกเต็ม ๆ กลางศีรษะทุย มือบางยกมือขึ้นมาคลำบริเวณที่เกิดเหตุ พลางทำหน้ายู่อย่างรู้สึกเจ็บทันที จากนั้นสายตาของแกงส้มก็เหลือบไปเห็นซองจดหมายสีชมพูอ่อนโผล่ออกมาจากหนังสือที่หล่นอยู่ที่พื้น ชายหนุ่มย่อตัวลงไปหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา ก่อนจะเอามือปัดเศษฝุ่นที่หน้าปก
“แค่ก ๆ ... ‘ส่องชีวิตหมี’...หนังสืออะไรวะ ชื่อประหลาดชิบ...เอ๊ะ...แล้วนี่ซองจดหมายอะไรหว่า...” แกงส้มหยิบซองจดหมายสีชมพูออกมา แล้วเขาก็เปิดซองจดหมายนั้น พลางหยิบกระดาษสีเดียวกับซองออกมา
กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ลอยออกมาจากกระดาษแผ่นนั้น ทำให้เขารู้สึกเหมือน ‘ต้องมนต์’
ถึง คุณคนที่ฉันไม่รู้จัก
วันนี้อากาศร้อนมากกกกกกก ทำไมอากาศเมืองไทยมันถึงได้ร้อนแบบนี้นะ เฮ้อ...อยากให้ฝนตกลงมาจัง มันคงทำให้อากาศเย็นดีเนอะ คุณคิดเหมือนฉันไหม...?
บนโลกใบหนึ่งที่มีผู้คนอาศัยอยู่มากมายหลายร้อยล้านคน ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการและขวนขวายหาสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ‘เนื้อคู่’...น่าแปลกนะที่หนึ่งในคนเหล่านั้นไม่มีฉันอยู่...เพราะเนื้อคู่สำหรับฉันมันไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด...
ไม่มีเนื้อคู่...ฉันก็หาเงินกินข้าวได้
ไม่มีเนื้อคู่...ฉันก็ยังหัวเราะได้
ไม่มีเนื้อคู่...ฉันก็ยังมีความสุขดี
ไม่มีเนื้อคู่...ก็ไม่เห็นจะตาย...เพราะฉันยังหายใจได้อยู่
ฉันยังอยู่ได้ด้วยตัวฉันเอง...
ฉันยังยิ้มได้แม้อยู่เพียง ‘ลำพัง’
แต่ถ้าถามว่า ‘เหงาไหม’...หากบอกว่าไม่เหงา ก็คงจะเป็นการโกหกตัวเองเกินไป เพราะบางครั้งการอยู่คนเดียว...มันก็ ‘เหงานะ’...
เฮ้อ...นี่ฉันเป็นคนที่สับสนในตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!?!
บ้าไปแล้ว...ไอ้หมีเอ๊ย...
เอาเป็นว่า...วันนี้ฉันบ่นให้คุณฟังแค่นี้ก็แล้วกันนะ ไว้วันหลังมาฟังฉันบ่นใหม่ล่ะ...?
บาย ๆ ๆ ๆ
จาก คนที่คุณไม่รู้จัก
ยิ้ม...
ตอนนี้ใบหน้าของคนอ่านกำลังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ทั้ง ๆ ที่ตัวอักษรเหล่านี้จากจดหมายฉบับนี้ ไม่ได้มีความพิเศษอะไร เพราะมันก็เป็นแค่จดหมายจากคนเพ้อเจ้อคนหนึ่ง แต่น่าแปลกที่สิ่งที่คนเพ้อเจ้อคนนี้เขียนมา มันดันตรงกับสิ่งที่เขาคิด...ความสับสนที่คน ๆ นี้เขียนบรรยายมา มันตรงกับเขามาก...มากจนเขารู้สึกแปลกใจ
หรือคน ๆ นี้...จะคือ ‘คนที่เขาตามหา’...
บ้าน่าแกงส้ม! นายยังไม่รู้จักเขาเลยสักนิด อ่านแค่ตัวอักษรที่เขาเขียนเท่านั้นเองนะ!
แต่เขาอยากรู้จักกับเจ้าของจดหมายฉบับนี้จัง!
คิดได้แบบนี้แกงส้มก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พลางสาวเท้ายาว ๆ เดินไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์
“พี่ป๊อก...พี่รู้ไหมว่าใครเป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้”
“ไหน...อ้อ! หนังสือของคุณหมี”
“คุณหมี?”
“อือ...คุณหมี...คุณหมีคือเจ้าของหนังสือหมวด ‘หมี’ ทั้งหมดตรงชั้นหนังสือสีชมพูด้านในสุดไง คุณหมีเค้าชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับหมี แล้วเค้าก็จะเอาหนังสือมาบริจาคที่นี่ทุกวันอาทิตย์ ว่าแต่...เราอยากรู้ไปทำไมว่าเจ้าของหนังสือเล่มนี้เป็นใคร”
“อ๋อ...พอดีหนังสือเล่มนี้มันหล่นใส่หัวผมตอนที่ผมไปหาหนังสือหมวดดนตรีน่ะครับ แล้วผมเห็นว่ามันไม่น่าจะมาอยู่ที่หมวดนี้ได้ ผมก็เลยสงสัยแล้วก็อยากรู้น่ะครับ ว่าแต่...คุณหมีของพี่นี่...เค้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายครับ”
แกงส้มถามพลางยืนมองหน้าป๊อกอย่างลุ้นในคำตอบ
“ผู้ชายจ้ะ...หล่อ คม หุ่นดี ดีกรีเชฟมือทอง ยิ้มทีหนึ่งบาดใจมากกกกกก ไม่อยากจะบอกหรอกนะแกง ว่าคนนี้น่ะ...พ่อของลูกพี่ในอนาคตเลยนะ!” ป๊อกไม่พูดเปล่า แต่เธอยังยกหนังสือที่เธออ่านค้างอยู่ขึ้นมากัดแทะแก้อาการเขินที่เกิดขึ้น เมื่อนึกถึงรอยยิ้มหวานของชายหนุ่มสุดหล่อที่เธอแอบปลื้มมานาน
“เค้าน่ะพ่อของลูกพี่ แต่พี่น่ะจะได้เป็นแม่ของลูกเค้าหรือเปล่า...?” แกงส้มเอ่ยแซวเบรกความคิดของป๊อก จนหญิงสาวสะดุดความเขินจนหน้าทิ่ม หญิงสาวหยุดเขินแล้วทำท่าแยกเขี้ยวใส่หนุ่มรุ่นน้อง
“แรง!!! ปากคอเราะร้ายนะยะ”
“โอ๋ ๆ ๆ ผมก็แซวพี่เล่นหรอกน่า...ว่าแต่ว่าพี่รู้จักกับคุณหมีเป็นการส่วนตัวหรือเปล่าครับ”
“ไม่อ่ะจ้ะ พี่กับเค้าได้คุยกันแค่ตอนที่เค้าเอาหนังสือมาบริจาค ซึ่งนั่นก็แค่ 4 ครั้งเอง แถมคุยกันแต่ละครั้งก็ไม่เคยจะเกิน 4 ประโยค เฮ้อ...สวยเซ็ง!”
ป๊อกว่าก่อนจะทำหน้ายู่เมื่อนึกถึงเรื่องเธอกับหนุ่มหล่อที่แอบปลื้ม
“4 ครั้ง...แต่หนังสือเต็มชั้นเลยเนี่ยนะฮะ!?!”
“ก็แต่ละครั้งที่คุณหมีเค้ามา...เค้าหอบหนังสือมาเต็มรถเข็นซุปเปอร์มาเก็ตเลยจ้ะ! แต่เอ๊ะ! รู้สึกแกงจะถามเรื่องคุณหมีนี่เยอะเกินไปแล้วนะ คิดจะมาแย่งคุณหมีของพี่หรอ...!”
ป๊อกถามพลางหรี่ตามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างสงสัย
“จะบ้าหรือไงพี่ป๊อก ผมน่ะผู้ชายแมน ๆ นะครับ แล้วคุณหมีของพี่ก็เป็นผู้ชายแมน ๆ ด้วย ผู้ชายจะไปแย่งผู้ชายด้วยกันได้ไงเล่าพี่!” แกงส้มโวยวายออกมาทันทีที่ได้ยินประโยคก่อนหน้านี้ของหญิงสาวตรงหน้า
ให้ตายเหอะ! ทำไมคุณหมีอะไรนี่ถึงต้องเป็นผู้ชายด้วยนะ...ถ้าเป็นผู้หญิงล่ะก็...
เสร็จแกงส้ม!
“ใครจะไปรู้ล่ะแกง ผู้ชายสมัยนี้น่ะไว้ใจได้ที่ไหน เห็นแมน ๆ ไอ้เราก็นึกว่าจะได้มาเป็นสามี ก็ได้มาเป็นสามีนะ แต่ไปเป็นสามีของสามีคนอื่นน่ะสิ! เฮ้อ...สวยเซ็ง!”
“อ้อหรอสวยเซ็ง...แต่ได้ข่าวว่าพี่เป็นสาววายไม่ใช่หรอ แล้วสาววายเนี่ยเค้าชอบจิ้นให้ผู้ชายกับผู้ชายได้กันไม่ใช่หรือไง...” แกงส้มว่าพลางส่งสายตาเหมือนรู้ทันไปให้ป๊อก หญิงสาวเบะปากกลับมา ก่อนจะเอาสันหนังสือในมือทุบหัวทุยเบา ๆ หนึ่งที
“พี่ชอบจิ้นให้ผู้ชายได้กัน แต่ยกเว้นผู้ชายของฉันย่ะ!!!”
“พี่ป๊อก! อยากกินนมเย็นปั่นอ่ะ”
“ก็ไปกินดิ...บอกพี่แล้วได้กินหรอ”
“ได้ดิ๊! ผมรู้ว่าพี่ใจดี นะ ๆ ๆ ๆ ทำให้กินหน่อย” แกงส้มไม่พูดเปล่าแต่ยังส่งสายตาอ้อนไปให้หญิงสาวตรงหน้าอีกด้วย แน่นอนว่าป๊อกต้องแพ้สายตานี้ของแกงส้ม หญิงสาวยกมือขึ้นมาเกาหัวตัวเองก่อนจะเดินหายเข้าไปทางประตูไม้ด้านหลังเคาน์เตอร์
เมื่อเห็นร่างโปร่งเดินหายเข้าไป แกงส้มก็หยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กสีส้มขึ้นมา ก่อนที่เขาจะจรดปากกาเขียนข้อความบางอย่างลงไป...
เมื่อชายหนุ่มเขียนข้อความเหล่านั้นเสร็จ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ป๊อกเดินออกมาพร้อมแก้วน้ำทรงสูงที่บรรจุน้ำสีชมพูหวานน่ากิน
“เสร็จแล้ว...ว่าแต่เราทำอะไรอยู่น่ะแกง”
“อ๋อ...เขียนจดหมายครับ เอ้อ...พี่ป๊อกมีซองจดหมายป่ะ เอามายืมหน่อยดิ”
“โอ๊ย! ไม่มีหรอก นี่มันยุคไหนแล้ว ใครเค้าจะมานั่งเขียนจดหมายกัน มีแต่ซองผ้าป่า เอาไหม?”
“เอา!”
“ไอ้บ้าแกง...นี่ตกลงแกเขียนจดหมายหาใครเนี่ย” ป๊อกถามก่อนจะต้องตกใจเมื่อแกงส้มโชว์หนังสือที่อยู่ในมือขึ้นมา เป็นเชิงบอกให้เธอรู้ว่า...คนที่เขาเขียนจดหมายถึงคือเจ้าของหนังสือเล่มนี้!
“ไหนแกบอกว่าไม่สนใจคุณหมีเค้าไง แล้วเขียนจดหมายหาเค้าทำไมยะ”
“ผมยังไม่ได้พูดสักคำว่าผมไม่สนใจคุณหมีของพี่ ผมแค่บอกว่าผมจะไม่แย่งคุณหมีจากพี่...” แกงส้มว่าพลางทำหน้าแบบที่ป๊อกเห็นแล้วนึกอยากจะเอาเล็บไปข่วนให้มันหายเคือง
ไอ้แสบแกงส้ม!
“เออ ๆ ๆ ๆ แล้วตกลงว่าแกจะส่งจดหมายหาคุณหมีของฉันจริง ๆ ใช่ไหม...?”
“ก็จริงน่ะสิครับ เพราะฉะนั้นพี่เอาซองผ้าป่ามา...” แกงส้มไม่พูดเปล่า แต่ยังแบมือเป็นเชิงสนับสนุนคำพูดของตัวเองอีกด้วย ป๊อกเห็นแล้วอดที่จะส่งสายตาเอือมกับความอินดี้ของชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ หญิงสาวก้มลงไปรื้อ ๆ ค้น ๆ ในลิ้นชักของตัวเอง ก่อนจะหยิบซองจดหมายสีส้มชาออกมา
“เหลือซองสุดท้ายพอดี ไม่ใช่ซองผ้าป่าอย่างที่แกต้องการนะ แค่ซองจดหมายธรรมดา”
“ฮ่า ๆ ๆ โอเคครับ” แล้วแกงส้มก็หยิบซองจดหมายในมือคนเป็นพี่มา จากนั้นเขาก็หย่อนกระดาษที่เขาเขียนข้อความลงไปในนั้น แต่ก่อนที่ซองจะถูกปิดผนึก ชายหนุ่มก็คว้าขวดแป้งฝุ่นยี่ห้อแคร์มา แล้วเขาก็เทแป้งฝุ่นลงไปในซองจดหมายนั้น
“เฮ้ย!!! แกทำอะไรแกเนี่ยแกงส้ม!!!”
“ก็เพิ่มความหอมให้จดหมายไงครับ”
“นี่แกจะใส่เสน่ห์ด้วยแป้งฝุ่นยี่ห้อแคร์เนี่ยนะ”
“บ้าหรอพี่ป๊อก ใส่เสน่ห์อะไรล่ะ นี่มันคือการแกล้งต่างหาก ฮ่า ๆ ๆ พี่ลองนึกสภาพตอนที่เขาหยิบกระดาษออกมาจากซองดิ แป้งได้ฟุ้งกระจายเปื้อนไปหมดแน่ ฮ่า ๆ ๆ แค่คิดก็สนุกแล้ว” แกงส้มว่าพลางทำหน้าเจ้าเล่ห์จนป๊อกอดที่จะนึกสงสารคุณหมีของเธอไม่ได้
แกงส้มไม่น่าไปเจอ ‘หนังสือเล่มนั้น’ ของคุณหมีเลย...ถ้าเป็นคนอื่น คุณหมีอาจจะโชคดีกว่านี้ แต่ก็นะ...โชคชะตาคงกำหนดแล้วว่าคนที่คุณหมีจะได้ทำความรู้จักก็คือเจ้าตัวแสบนี่...
เฮ้อ...โชคดีนะคะคุณหมี (ที่รักของป๊อก)...
“แล้วแกจะไปแกล้งคุณหมีเค้าทำไมเนี่ย พี่ไม่เข้าใจ”
“...ไม่รู้สิครับ แค่รู้สึกว่าอยากแกล้ง...พี่ห้ามบอกคุณหมีนะว่าคนที่เขียนจดหมายฉบับนี้ชื่อแกงส้ม ห้ามเล่ารายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับตัวผมให้เค้ารู้เด็ดขาด ที่สำคัญ...พี่ห้ามเปิดจดหมายที่ผมเขียนถึงเค้าหรือเค้าเขียนถึงผมอ่านเป็นอันขาด...ไม่งั้นผมจะแช่งให้พี่ขึ้นคานอยู่แบบนี้ทั้งปีทั้งชาติเลย...ตกลงตามนี้นะพี่...”
“เออ! แค่แกไม่แช่ง ฉันก็ยังหาทางลงจากคานไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถามหน่อยเหอะ ฉันยอมเป็นทางผ่านให้แกคุยกับพี่หมีนี่...ฉันได้อะไรบ้างยะ?”
“ไม่ได้อะไรเลยพี่ ฮ่า ๆ ๆ เอ้า! ผมฝากจดหมายด้วยแล้วกันครับ ผมคงต้องไปทำงานแล้ว เดี๋ยวสาย...เอ้อพี่...ผมยืมหนังสือเล่มนี้กลับไปอ่านนะ...ผมรักพี่นะพี่ป๊อก จุ๊บๆ” พูดจบ แกงส้มก็ดูดน้ำนมเย็นปั่นเข้าไปอึกใหญ่ ก่อนจะยื่นซองจดหมายในมือกลับไปให้หญิงสาวที่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ
“แกรักฉัน แต่ฉันไม่รักแกโว้ย!” ป๊อกตะโกนไล่หลังคนที่เดินเปิดประตูออกไป ก่อนที่เธอจะมองซองจดหมายในมือพลางทำหน้าปวดใจ
“คุณหมีกับแกงส้มเนี่ยนะ...เฮ้อ...สวยเซ็ง...อีกแล้ว!”
แอ๊ด...
หลังจากที่แกงส้มออกจากร้านไปไม่ถึงห้านาที ประตูร้านก็ถูกเปิดอีกครั้ง คราวนี้คนที่เดินเข้ามาเป็นผู้ชายรูปร่างสูง นัยน์ตาคมถูกซ่อนไว้หลังแว่นสีชา ใบหน้าติดจะดูดี กำลังส่งยิ้มโปรยเสน่ห์มาให้กับเจ้าของร้านที่กำลังยืนมองซองจดหมายในมือ
“จะส่งจดหมายรักหาใครหรือครับคุณป๊อก”
“อ้าวคุณหมี...มาได้ไงคะเนี่ย วันนี้ยังไม่ถึงวันนัดเอาหนังสือมาให้นี่คะ” ป๊อกว่าพลางขมวดคิ้วมุ่นมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
ปกติคุณหมีจะมาที่ร้านแค่วันอาทิตย์วันเดียว แต่นี่เพิ่งจะวันพุธเองนะ!
“อ๋อ...พอดีว่าผมมีลางสังหรณ์ว่าวันนี้คุณป๊อกจะมีของบางอย่างให้ผมน่ะครับ”
“เอ๋...นี่คุณหมีรู้ได้ยังไงคะ อย่าบอกนะคะว่าเป็นคนมีจิตสัมผัสอะไรทำนองนั้น”
“ผมไม่ได้อยู่รายการคนอวดผีนะครับ จะได้มีจิตสัมผัส แต่มันเป็นความรู้สึกมากกว่าครับ แล้วตกลงว่า...คุณป๊อกมีอะไรจะให้ผมหรือเปล่าเอ่ย...?”
‘ฮั่น’ ไม่พูดเปล่า แต่เขายังถอดแว่นที่ใส่อยู่ออก จากนั้นสายตาคมของชายหนุ่มก็เหล่มองไปยังสิ่งที่อยู่ในมือของป๊อก หญิงสาวขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
คุณหมีนี่...ท่าทางจะ ‘เซนส์’ แรงจริงแฮะ
“นี่ค่ะ ของคุณหมี ว่าแต่...คุณหมีไม่ได้มีจิตสัมผัสจริง ๆ นะคะ เพราะถ้ามีป๊อกจะขอให้ดูดวงให้หน่อยว่าเนื้อคู่ป๊อกเกิดหรือยัง” ป๊อกว่า ก่อนจะยื่นซองจดหมายในมือไปให้คนที่ยืนมอง หญิงสาวพลางส่งสายตามีความหมายไปให้ชายหนุ่มที่ยืนยิ้ม
“เนื้อคู่คุณป๊อกไม่ใช่ผมหรอกครับ แต่เค้าเป็นคนที่ป๊อกนึกไม่ถึง บางทีคนที่อยู่ใกล้กันเกินไป อาจทำให้เรามองข้ามความสำคัญของเค้าไปได้นะครับ เพราะฉะนั้น...คุณป๊อกต้องลองมองคนใกล้ตัวดูบ้างนะครับ แต่...คนใกล้ตัวที่ว่า...ผมไม่ได้หมายถึงคนที่เขียนจดหมายฉบับนี้ให้ผมนะครับ...”
คำพูดของคนที่รับซองจดหมายไปถือ ทำให้หญิงสาวถึงกับอ้าปากค้าง
เขาพูดเหมือนเขารู้ว่าใครเป็นส่งจดหมายฉบับนี้ให้เขา...!
“คุณหมีรู้ใช่ไหมคะว่าใครเป็นคนส่งจดหมายฉบับนี้ให้คุณ”
“ผมไม่รู้หรอกครับ แต่ผมเดาเอาจากการที่เขาสามารถขอให้คุณป๊อกส่งจดหมายฉบับนี้ให้ผมน่ะครับ ก็ถ้าไม่ใช่คนที่ใกล้ตัวคุณป๊อก เค้าก็คงจะไม่กล้าไว้ใจขนาดนี้ ผมพูดไม่ผิดใช่ไหมครับ...?”
“คุณหมียิ่งพูด ป๊อกยิ่งคิดว่าคุณหมีมีจิตสัมผัสนะคะ”
“ฮ่า ๆ ๆ เอาเป็นว่า...ขอบคุณสำหรับการเป็น ’คนส่งสาร’ นะครับ ผมขอตัวไปทำงานก่อน แล้วเจอกันวันอาทิตย์นี้ครับ” พูดจบ ชายหนุ่มก็หยิบแว่นสีชาที่ถอดเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมาใส่ ก่อนจะพับและสอดซองจดหมายที่อยู่ในมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อยีนส์ของตัวเอง
แผ่นหลังกว้างที่พ้นประตู ทำให้ป๊อกต้องทำหน้าเหมือนคนปวดใจขนาดหนัก พลางพึมพำเบา ๆ กับตัวเองว่า
“สาบานได้ว่าฉันไม่อยากเป็นคนส่งสารสักนิด...!”
กิ๊งก่อง~
ทันทีที่ร่างสูงเปิดประตูกระจกร้านอาหารที่ชื่อ ‘หรรษา’ เข้าไป ร่างของหญิงสาวหน้าสวยในชุดสีแดงเพลิงก็วิ่งถลาเข้ามากอดเขาแบบเต็มแรง
“น้องฮั่นนี่ของพี่คิม...คิดถึงที่สุดในสามโลกเลย!” หญิงสาวไม่ได้แค่กอด และพูดแค่นั้น แต่เธอยังทำท่าจะคว้าแก้มใสของ ‘ฮั่น’ มาจุ๊บอีกด้วย แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ทำตามใจต้องการ มือเรียวของหญิงสาวในชุดสีขาวบ่งบอกว่าเป็นกัปตันประจำร้านนี้ก็ดึงแขนของหญิงสาวออกไปเสียก่อน
“เยอะตลอดเลยนะคุณคิม ปล่อยไอ้ฮั่นเพื่อนจ๋าเลยนะ ไม่งั้นจ๋าจะเอาแมลงสาบไปยัดในซุบไข่ข้นแล้วเสิร์ฟให้คุณกินเดี๋ยวนี้เลย!” คำขู่ของหญิงสาวที่ชื่อ ‘จ๋า’ ดูเหมือนว่าจะได้ผล เพราะ ‘คิม’ ยอมปล่อยมือที่โอบรัดร่างของฮั่นออกทันที
“ยัยมารหัวใจ!”
“แล้วไงคุณคิม”
“อ๊ายยยยยยย ฮั่นนี่ดูสิ ยัยจ๋าเพื่อนฮั่นนี่ปากร้ายมากเลย ฮั่นนี่ต้องจัดการให้คิมนะ” เสียงออดอ้อนที่มาพร้อมกับอาการออเซาะแบบถึงเนื้อถึงตัวของหญิงสาวหน้าสวย ทำให้คนที่ยืนกอดอกมองอย่างจ๋าถึงกับทนไม่ได้ต้องเดินเข้าไปยืนแทรกกลางระหว่างฮั่นกับคนพูดทันที
“นี่คุณคิม...เลิกอ้อนเพื่อนจ๋าสักทีได้ไหม เห็นแล้วรับไม่ได้ว่ะ เพื่อนจ๋าต้องมาทนโดนคุณแทะโลมแบบนี้ทุกวัน....ไม่ไหวเลยอ่ะ” จ๋าไม่พูดเปล่า แต่ยังส่ายหน้าไปมาแบบคนรับไม่ได้เป็นการสนับสนุนคำพูดของเธออีกด้วย อาการนี้ของหญิงสาวทำให้คนโดนว่าถึงกับควันออกหู ต้องยกมือขึ้นมาเท้าเอว
“มากไปแล้วนะยัยจ๋า เดี๋ยวฉันจะตัดเงินเดือนเธอ”
“งั้นจ๋าจะลาออก”
“เออ...ลาออกไปเลย”
“โอ๊ะ! แต่ลืมบอกไปนะว่าถ้าจ๋าลาออก ไอ้ฮั่นก็ต้องออกด้วย!”
“ว้ายยยยยยย ไม่ได้นะยะ หล่อนจะออก หล่อนก็ออกคนเดียวสิ ทำไมต้องลากฮั่นนี่ของฉันออกไปด้วยล่ะ” คิมโวยวายขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินว่าจ๋าจะพาฮั่นนี่ที่รักของเธอออกจากงานไปด้วย
“อ้าวคุณคิม...จ๋ากับไอ้ฮั่นเนี่ยเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่อนุบาล บ้านก็อยู่ข้างกัน เรียนก็เรียนที่เดียวกันมาตลอด พอมาทำงานที่นี่ก็ยังพักอยู่คอนโดเดียวกัน ห้องเดียวกันอีก ถ้าจ๋าออก ไอ้ฮั่นก็ต้องออกเหมือนกัน เพราะว่าเราสองคนคงอยู่ห่างกันไม่ได้หรอก...”
“อ๊ายยยยยยยย ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหม ว่าห้ามพูดว่าเธออยู่ห้องเดียวกับฮั่นนี่ของฉัน ฮึ่ย! ฉันรับไม่ได้ รับไม่ได้ รับไม่ได้!”
อาการกระทืบเท้าไปมาของคิม ทำให้ฮั่นถึงกับต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ ไหนจะเพื่อนสาวตัวดีของเขาอีก ไม่รู้ว่าจะไปพูดยั่วอารมณ์คุณคิมเขาทำไมนักหนา
แต่ละคน...ชวนปวดกบาลเสียจริง...หนีเข้าครัวไปทำกับข้าวดีกว่า!
“ฮั่นนี่...นั่นตัวจะไปไหนอ่ะ...?”
“นั่นดิไอ้ฮั่น แกจะรีบไปไหนวะ ฉันกับคุณคิมยังเถียงกันไม่จบเลยนะเว้ย”
“ไปทำงาน! ไม่ต้องตามมานะทั้งสองคน ไม่งั้นจะลาออกจริง ๆ ด้วย!”
เมื่อได้ยินคนหน้าคมพูดเสียงเข้มหนักแน่น หญิงสาวทั้งสองก็ถึงกับหุบปากฉับ พลางหันมามองหน้ากันแบบไม่มีใครยอมใคร
“เพราะเธอคนเดียว/เพราะคุณคนเดียว”
พูดจบ ต่างคนก็ต่างสะบัดบ็อบใส่กัน
“เฮ้อออออออออออออ”
“ถึงกับถอนหายใจเลยหรอฮั่น...ยังไม่ชินอีกหรือไง”
“ก็ชินนะสุ แต่เราก็แค่รู้สึกว่า...เราอยากอยู่สงบ ๆ บ้าง ไม่อยากต้องมานั่งเป็นกรรมการห้ามทัพแบบนี้ทุกวัน มันน่าเบื่อนะ สองคนนั้นก็ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไรกันมา ทำไมถึงได้ห้ำหั่นกันได้ทุกวันไม่มีเบื่อแบบนั้น ไม่อยากจะนึกเลยว่าสามีในอนาคตของสองคนนั้นจะต้องปวดหัวแค่ไหน เวลาที่อยู่กับสองคนนั้นอ่ะ” ฮั่นว่าพลางเดินเข้าไปหยิบเสื้อเชฟสีขาวจากในตู้ล็อกเกอร์ออกมา จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อยีนส์ที่สวมอยู่ออก แล้วเขาก็ใส่เสื้อเชพสวมทับเสื้อยืดสีขาวของตัวเอง
“แรงอ่ะฮั่น ถ้าสองคนนั้นมาได้ยิน รับรองได้ว่า...ฮั่นโดนกระจุยแน่” ‘สุ’ ว่าพลางถอดหมวกที่สวมบนศีรษะออก
“โดนด่ากระจุยน่ะหรอสุ...”
“ใช่...โดนจ๋าด่ากระจุย แต่โดนคุณคิมจูบกระจุยนะฮ่า ๆ ๆ “ พูดจบ สุก็หัวเราะออกมา ฮั่นเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาก็ทำแหยงทันที
“หยุดพูดอะไรที่มันไม่สมควรจะต้องเกิดขึ้นดีกว่าสุ วันนี้เราอารมณ์ดี เดี๋ยวเราทำสปาเก็ตตี้ขี้เมาหอยลายไปฝากแฟนสุนะ อ้อ...ฝากเด็กแกงส้มที่เป็นดีเจเพื่อนแฟนสุด้วย”
“อ่ะจ้ะ...ดีเลย งั้นเดี๋ยวเราช่วยเตรียมเครื่องปรุงแล้วกัน ว่าแต่...ฮั่นอารมณ์ดีมาจากไหนล่ะเนี่ย”
“ความลับจ้ะสุ...ไว้ฮั่นพร้อมแล้วฮั่นจะบอกสุนะ...”
แล้วคนมีความลับ ก็อมยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกถึงจดหมายที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อยีนส์
“แกงส้มมมมมมม มาแล้วหรอน้องรัก ทำไมมาช้าจังวะ พี่รอนานมากเลยนะเนี่ย!” ชายหนุ่มที่สวมแว่นตากรอบดำตะโกนประโยคนี้ออกมา ก่อนที่เขาจะเอาหูฟังออกจากศีรษะของตัวเอง
“โทษที ‘พี่หนึ่ง’ พอดีว่าผมทำธุระส่วนตัวนิดหน่อย ว่าแต่...พี่สุแฟนพี่ยังไม่มารับกลับบ้านอีกหรอ นี่ก็จะสองทุ่มแล้วนะ” แกงส้มถามพลางหยิบกระเป๋าสีดำที่ตัวเองสะพายออกจากบ่าแล้ววางไว้ที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องคอนโทรล
แกงส้มเป็นดีเจคลื่นวิทยุชุมชนคลื่นหนึ่ง ชื่อเสียงของเขาโด่งดังมากในหมู่คนฟังที่อยู่ใต้ดิน เพราะเขาเป็นดีเจคลื่นเพลงฮิพฮอพและอาร์แอนด์บี โดยคลื่นนี้มีดีเจอยู่สองคนคือเขากับพี่หนึ่ง...เราสองคนจะมาผลัดเปลี่ยนหน้าที่กันในช่วงเวลาสองทุ่ม คือเขาจะอยู่ช่วงสองทุ่มถึงหกโมงเช้า ส่วนพี่หนึ่งจะอยู่ช่วงหกโมงเช้าแล้วลากยาวถึงสองทุ่ม
“โย่ว! สวัสดีจ้ะหนุ่ม ๆ”
“โหพี่สุ...พี่นี่ตายยากชะมัด ผมเพิ่งจะถามถึงพี่ไปเมื่อตะกี้เองนะครับ พี่ก็โผล่หน้ามาแล้ว”
“น้องแกง...ระวังปากจะมีสีแดงนะลูก” สุว่าพลางทำตาดุใส่คนที่ยืนส่งยิ้มหวานมาให้
“ขอโทษคร้าบบบบบบบ ว่าแต่วันนี้พี่สุมีของอะไรอร่อย ๆ มากระแทกปากผมบ้างครับเนี่ย” แกงส้มไม่ถามเปล่า แต่ยังเดินไปด้อม ๆ มอง ๆ ถุงสีขาวสวยในมือของสุอีกด้วย
“สปาเก็ตตี้ขี้เมาหอยลายจ้ะ”
“ว้าว! ของโปรด ว่าแต่...ฝีมือใครครับเนี่ย พี่สุ? หรือว่าเชฟฮั่น?”
“เชฟฮั่นจ้ะ วันนี้เค้าอารมณ์ดีลงมือทำให้พี่เอง โดยที่พี่ยังไม่ได้ขอด้วยซ้ำ ถามว่าไปอารมณ์ดีมาจากไหนก็ไม่ยอมบอก...ไปหนึ่ง...กลับบ้านกันดีกว่า” พูดจบ สุก็ดึงมือแฟนหนุ่มให้ลุกขึ้นยืน
“งั้นพี่ไปก่อนนะแกง ฝากดูแลทางนี้ด้วยนะ” หนึ่งว่าพลางเอามือไปตบแปะ ๆ ที่ศีรษะรุ่นน้องเป็นเชิงฝากฝังเหมือนทุกครั้ง แกงส้มยิ้มรับคำพูดของคนเป็นพี่
“รับทราบครับพี่หนึ่ง กระผมนายแกงส้มจะดูแลทางนี้ให้เป็นอย่างดี พี่ไม่ต้องเป็นห่วงครับ...กลับบ้านกันดี ๆ นะฮะพี่ทั้งสอง ไอเลิฟยูเบบี้~” แกงส้มไม่พูดเฉย ๆ แต่เขายังทำท่าไอเลิฟยูส่งไปให้หนึ่งและสุอีกด้วย
“ยูเลิฟไอ แต่ไอไม่เลิฟยูนะ เพราะไอเลิฟคนที่ยืนข้าง ๆ...” หนึ่งพูดจบ เขาก็เอาแขนไปโอบไหล่แฟนสาวให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขน แกงส้มเห็นดังนั้นเขาก็แกล้งเอามือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาแล้วร้องโวยวายทันที
“หวานแบบเวอร์ ๆ เห็นแล้วทนไม่ได้ เชอะ ๆ ๆ พวกพี่รีบกลับกันไปเลย ผมไม่อยากคุยด้วยแล้ว”
“เออ ๆ ๆ ๆ ไปแล้ว ๆ”
เมื่อหนึ่งกับสุออกไป ทั้งห้องคอนโทรลก็ตกอยู่ในความเงียบ...
แกงส้มทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ พลางหยิบหนังสือที่อยู่ในกระเป๋าออกมา จดหมายสีชมพูที่สอดอยู่ในหน้าแรก ทำให้ใบหน้าหวานถูกแต้มด้วยรอยยิ้ม
“...ป่านนี้คุณจะอ่านจดหมายผมหรือยังนะคุณพี่หมี...”
01.33 น.
“อ๊ากกกกกกกก เหนื่อยชิบ! ไม่น่าไปกวนประสาทยัยคุณคิมเลย แม่ง! ใช้งานอย่างกับทาสเลยทีนี้! กูเป็นกัปตันใช้งานอย่างกับกูเป็นลูกเรือ!” จ๋าบ่นพลางโยนกระเป๋าสะพายตัวเองไปที่โซฟา ก่อนจะกระโดดลงไปนอนแผ่หลาบนนั้นอย่างเหนื่อยล้า
“สมน้ำหน้าไอ้จ๋า ก็บอกแล้วว่าอย่าไปเยอะกับคุณคิม เป็นไงล่ะ เจอเค้าแกล้งกลับมา สู้ไม่ได้เลยสิ”
“ไม่ต้องไปเข้าข้างยัยนั่นเลยนะ! ฮึ่ย! ก็เพราะแกนั่นแหล่ะ ไปยอมให้ยัยนั่นแทะโลมอยู่ได้ เห็นแล้วรับไม่ได้เว้ยยยยยยยยย”
“ทำไมต้องรับไม่ได้ด้วยล่ะป้าจ๋า...เป็นเมียพี่ฮั่นหรอ...?” เสียงของเด็กสาวที่ดังออกมาจากในครัว เรียกดวงตาสองคู่ให้หันไปมอง
ร่างที่โผล่อออกมาจากห้องครัวมืด ๆ ทำให้คนสองคนที่คุยกันอยู่ ต้องหันมามองหน้ากันแบบหวาด ๆ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นคนกันเอง ทั้งสองคนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
นึกว่าจะเจอผีต้อนรับวันใหม่ซะแล้ว!
“ไอ้หมิว! นี่แกจะโผล่ออกมาให้มันเหมือนคนปกติเค้าหน่อยได้ไหม แล้วแกไปทำอะไรในห้องครัวมืด ๆ แบบนั้นวะ แล้วฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้แกเรียกฉันว่าพี่จ๋า...ไม่ใช่ป้าจ๋า! ฉันอายุน้อยกว่าแม่แกโว้ย!!!!”
“แต่ถ้านับลำดับกัน ป้ามีศักด์เป็นป้าหนูนี่นา...” เด็กสาวที่ชื่อ ‘หมิว’ ตอบพลางส่งสายตาซื่อใสมาให้จ๋า
“โว้ย! มีน้องร่วมชายคาคอนโดเดียวกันสักคนหนึ่ง ทำไมมันถึงได้กวนได้ใจขนาดนี้วะ หงุดหงิดจริง ไปฟังน้องแกงของเจ้คุยดีกว่า...” แล้วจ๋าก็ลุกขึ้นจากโซฟาเดินหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง ทิ้งให้หนึ่งหนุ่มและหนึ่งสาวยืนมองหน้ากัน
“มองหน้าหนูทำไมคะพี่ฮั่น”
“เอ่อ...ก็มองเฉย ๆ จ้ะ เวลาเรามองหน้าใครเราต้องมีเหตุผลด้วยหรอหมิว”
“มันก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอกค่ะ เพียงแต่ว่า...ถ้าพี่มองเหมือนคนปกติ หมิวก็คงจะไม่ถาม”
“อ่า...แล้วพี่มองไม่เหมือนคนปกติตรงไหนจ๊ะ”
“ก็ตรงที่พี่มองแล้วทำหน้าเหมือนกับว่า...หมิวไปเหยียบตาปลาพี่ไงคะ”
“หา! พี่เนี่ยนะมองหมิวแบบนั้น” ฮั่นถึงกับตกใจเมื่อได้ฟังคำตอบของญาติเพื่อนสนิทตัวเอง
“ก็ใช่น่ะสิคะ นี่พี่คงคิดใช่ไหมว่าหมิวมันอินดี้เกินไป จนพี่รับไม่ได้อ่ะ เฮอะ! ผู้ชายก็งี้แหล่ะ...” พูดจบ คนพูดก็เชิดหน้าใส่ฮั่น แล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง (อีกคน)
คนที่ยืนมอง ได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาศีรษะตัวเองอย่างงุนงง
“นี่กูคิดแบบนั้นหรอวะเนี่ย เฮ้อ...แต่ละคน...ปวดตับจริงโว้ย!”
02.28 น.
นิ้วเรียวที่หยิบซองจดหมายออกมาจากกระเป๋าเสื้อยีนส์ ค่อย ๆ บรรจงแกะซองจดหมายสีส้มชา กลิ่นแป้งเด็กที่ลอยออกมา ทำให้คนเปิดต้องเผยรอยยิ้มออกมา...
ถึง คนที่ผมรู้จักแล้ว (พี่หมี)
ก่อนอื่นผมต้องอนุญาตเรียกคุณว่า ‘พี่หมี’ นะครับ เพราะว่าผมรู้แล้วว่าคุณชื่อพี่หมี...
ผมชอบประโยคต่าง ๆ ที่คุณเขียนจัง...ดูมันเป็นคำบ่นที่เพ้อเจ้อแต่โคตรจะตรงใจผมเลย!
ผมคิดว่าจะมีแต่ผมคนเดียวซะอีกที่คิดว่าเนื้อคู่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับผม แต่ก็นะ...ไม่มีเนื้อคู่ก็ไม่ตาย แต่แม่งเหงาเนอะ...ในเมื่อคนเหงาอย่างเราได้มาเจอกัน...
เราลองมาเขียนจดหมายคุยกันเพื่อบรรเทาความเหงาไหมครับ...?
แต่คุณอย่าเพิ่งคิดว่าผมมีจิตพิศวาสอะไรคุณนะ...แต่ผมแค่รู้สึกว่า...เราน่าจะคุยกันได้
เพราะฉะนั้น...ถ้าคุณตอบจดหมายผมกลับมา แปลว่าคุณอยากคุยกับผม...แต่ถ้าคุณไม่ตอบ...ผมก็คงจะคิดว่า...ผมคิดไปเองว่าเราน่าจะ ‘เข้ากันได้’
หวังว่าผมคงจะได้รับจดหมายตอบกลับมานะครับ...
‘KS’
ปล. หากโชคชะตากำหนดแล้วว่าให้ผมเจอจดหมายของคุณ ผมก็หวังว่าคุณจะคงเชื่อในโชคชะตานั้น แล้วทำให้เราได้มาคุยกันอีกนะครับ...
ลายมือน่ารักที่เขียนขยุกขยิกมาเป็นประโยคยาว ๆ ทำให้คนอ่านถึงกับเปิดยิ้มกว้าง
เขาว่าเขาเจอแล้วกับคนที่เฝ้าตามหามาทั้งชีวิต...
ขอบคุณที่วันนี้เขาเชื่อสัญชาตญาณตัวเองแล้วไปที่ร้านหนังสือ...เพราะถ้าเขาไม่ไปร้านหนังสือวันนี้ ตอนนี้เขาอาจจะไม่ได้ยิ้มและรู้สึกดีแบบนี้ก็เป็นได้...
แค่ตัวอักษรจากจดหมายฉบับนี้ไม่กี่ประโยค ทำไมถึงมีอิทธิพลต่อการเต้นของหัวใจได้ขนาดนี้นะ!
“เคเอส...พี่เองก็อยากรู้จักนายให้มากกว่านี้เหมือนกัน...”
คิดได้แบบนี้ ฮั่นก็หยิบกระดาษเขียนจดหมายสีชมพูของตัวเองออกมาจากในลิ้นชัก ก่อนที่เขาจะจรดปากกาเขียนข้อความบางอย่างลงไป...
ข้อความที่ต้องการจะส่งกลับไปหาคนที่ตอบจดหมายเพ้อเจ้อของเขาฉบับนั้น...
//ผ่านไปแล้วหนึ่งตอนแบบใช้เวลาเขียนที่ยาวนานมากกกกกกกกก อ๊าก...เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไปนะเนี่ย...เดาไม่ถูกจริง ๆ ขนาดเค้าเขียนเอง เค้ายังเดาเรื่องไม่ถูกเลย (เพราะเค้ายังไม่ได้คิดพล็อตเอาไว้ล่วงหน้า ฮ่า ๆ ๆ)
...เพิ่งหัดเขียนเรื่องยาวแบบนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าจะถูกใจกันมากน้อยแค่ไหน...แอบหวั่นใจจัง...แต่หวังว่าคนอ่านคงจะสนุกกับฟิคเรื่องนี้นะคะ...//
ปล. ไม่รับปากว่าจะอัพทุกวัน เพราะคิดว่าจะอัพสลับกับเรื่องสั้นค่ะ...แต่จะไม่ทิ้งเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้ค้างเติ่งแน่นอนค่ะ ^^
//เม้นกันสักนิด เพื่อให้เค้าได้นำไปปรับปรุงแก้ไขนะคะ...แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^!~
ความคิดเห็น