ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : การดูหนังสือ...ดูอย่างไรจึงจะได้ผล? (ปรับปรุงแง้ว)
(เหวยยย เขียนไว้แล้วมันหายไปไหนหมดฟะ)
อืม หัวข้อนี้ จริงๆก็มีผู้เขียนไว้หลายคนแล้วนะ
แนะนำว่าน้องควรอ่านหัวข้อนี้ (ของคนอื่น) ประกอบด้วย จะได้มีวิธีการดูหนังสือเยอะๆ แล้วก็จะได้ปรับใช้กับตัวเองให้เหมาะสมที่สุด
คือ การดูหนังสือนั้น จะฟันธงลงไปไม่ได้หรอกว่า เรียนพิเศษสิ กวดวิชาสิ ดูหนังสือเองสิ ฯลฯ สารพัดวิธี จึงจะเข้าได้ มันอยู่ที่ตัวน้องมากกว่าว่า ถนัดดูแบบไหนมากที่สุด หรือที่เรียกว่า นานาจิตตัง ลางเนื้อชอบลางยา แบลบๆๆๆๆ คนมันไม่เหมือนกันหรอกน่า
ขอแนะนำวิธีของพี่ก่อนเลยละกันนะ ^^
พี่เป็นคนที่หยิ่งและความดัน(ทุรัง)สูงมากๆ แล้วก็เป็นคนที่มีประสบการณ์ฝังใจในห้องเรียนพิเศษเยอะที่สุดคนหนึ่ง ดังนั้น พี่ไม่ได้เรียนพิเศษเลยแม้แต่วิชาเดียว (ป้ารหัสบอกว่า แนวมาก 555+) ดูหนังสือเอง แล้วผลที่ได้ก็คือดั๊นไม่ดูวิชาที่ไม่ชอบ เลยต้องมานั่งอัพภาษาอังกฤษอยู่นี่ไง เอิ๊กๆ
ตอน ป.6 เรียนพิเศษ สอบเข้า ม.1 พอรู้ว่าสอบช้างเผือกไม่ติด ร้องไห้ใหญ่โต เพราะไม่อยากไปเรียนพิเศษ (ทั้งๆที่เหลือแค่ 4 วันแท้ๆก็จะจบคอร์สแระ 55+) เพราะบรรยากาศที่นั่นอึดอัดมาก ไม่มีเพื่อน ไม่มีอะไร มีแต่ห้องแอร์แคบๆกับชีทต่างๆยัดกันเข้าไป
ตอน ม.2-3-4 เรียนพิเศษเลข ง่วง จะอ้วก ไม่ไหวแล้ว ทำไมห้องแอร์มันแคบอย่างนี้
ตอน ม.6 เพิ่งผ่านมาปีก่อนๆ ค่ายวิชาการของโรงเรียน พอวันที่ 4 เริ่มไม่ไหว เพราะเช้า 3 ชั่วโมง เย็น 3 ชั่วโมง ตอนกลางวันเกือบอ้วกกลางวงข้าว ตอนบ่ายเลยกลับบ้านนอน
หลังจากนั้น...เหล่าโรงเรียนกวดวิชา ก็ไม่เคยได้เงินจากพี่เลยแม้สักบาทเดียว ฮ่า ฮ่า
พี่พบว่าตัวเองเรียนพิเศษไม่ได้แน่ เรียนๆไปมึนๆไป มันไม่ชอบบรรยากาศ แล้วก็ความมาคุในห้องเรียนพิเศษนั้น ต่อให้ครูสอนฮาแค่ไหนก็ไม่เอา กรูไม่อยากได้ความฮา ความมัน กรูจะเอาความรู้....กรูอ่านเองก็ได้ฟะ!!!
แต่พี่คิดว่าสำหรับน้องๆ หากเรียนพิเศษได้ก็เรียนไปเถอะ เพราะจะช่วยให้เรารู้แนวข้อสอบต่างๆ ข่าวอะไรต่ออะไรในแวดวงการศึกษา มันเป็นเรื่องดีอยู่ แต่ก็อย่าตะบี้ตะบันเรียน หาที่ๆเหมาะกับเรามากที่สุด หากสำหรับพี่แล้ว ห้องเรียนพิเศษมันนรกชัดๆ....ด้วยความดันทุรังสูง ก็เลยตัดสินใจดูหนังสือเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลักการง่ายๆที่พี่ใช้มี 2 อย่างคือ โน้ตย่อ-ข้อสอบเก่า
และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือความสม่ำเสมอ
ระยะเวลาไหนเหมาะสมที่จะดูหนังสือ ก็คิดว่าเป็นช่วงก่อนขึ้น ม.6 นะ เพราะความรู้ที่เราเรียนมาจะมีเกือบ 100% แล้ว หรืออ่านทำความเข้าใจล่วงหน้าของ ม.6 ไปเลยก็ได้ ก็จะเป็นดูหนังสือ 1 ปีก่อนสอบ ระยะเวลาพอดี
แต่คนไหนบ้าพลังอยากดูตั้งกะ ม.4 ก็ไม่ขัดอัธยาศัย แต่ดูไปอาจจะไม่รู้เรื่องก็ได้เพราะยังไม่ได้เรียน (เคยเห็นรุ่นพี่ที่ได้ที่ 1 สอบเอนท์เขาดูหนังสือตั้งแต่ ม.4 นะ ทำได้ยังไง เก่งจริงๆที่ควบคุมตัวเองได้)
โน้ตย่อ
โน้ตย่อนั้นพี่คิดว่าควรเป็นของใครของมัน เราอาจย่อความโดยใช้สำนวนของเราเอง ไม่ควรเอาไปให้เพื่อนยืมเพราะเสี่ยงต่อการหายเป็นอย่างยิ่ง
การทำโน้ตย่อจะถือว่าเป็นการอ่านหนังสือแบบรู้เรื่องมากๆ เพราะมันไม่อ่านอย่างเดียว มันต้องอ่าน แปล ตีความ ประมวลความคิด สรุปใจความสำคัญ ก่อนที่จะเขียนออกมา แล้วก็เป็นวิธีการอ่านหนังสือที่ไม่หลับด้วยเพราะมือจะเขียนตลอด (เว้นแต่ว่าคนทำอาจกำลังง่วง หรือปัจจัยอื่นๆก็ตาม) เสร็จแล้วเราก็จะได้สมุดสรุปความคิดของเราอีก 1 เล่ม
ก่อนสอบสักอาทิตย์ มาอ่านโน้ตย่อทวนอย่างสังเขปทั้งหมด เพื่อเป็นการทบทวนความจำเล็กน้อยก่อนเข้าสนามสอบจริง จะเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว
ข้อสอบเก่า
เขาว่าเป็นหินลับมีดชั้นยอด ทำสัก 10 ปีย้อนหลังก็ชัวร์ (อันนี้ขั้นต่ำนะ ควรจะมากกว่านี้น่ะ) เพราะตัวข้อสอบนั้นหากหลักสูตรยังเหมือนเดิม เก่าๆ วนเวียนๆ ก็มั่นใจเถอะว่ามันออกซ้ำแน่นอน ไม่ต้องไปซื้อไปหามาก คว้าเอาจากห้องสมุดโรงเรียนนั่นแหละ แต่ดูตำราดีๆหน่อยนะ เพราะพี่เคยเจอบางสำนักพิมพ์เฉลยภาษาอังกฤษผิด นั่งถกกะพ่อใหญ่เลย ("เฮ้ย สำนักพิมพ์เฮงซวย" พ่อบ่น เอิ๊กๆ)
ในการทำข้อสอบเก่า ให้จับเวลาแบบทำข้อสอบจริงๆด้วยนะ จะได้รู้ความเร็วในการทำข้อสอบและความถูกต้องด้วย ซ้อมสอบกับสนามสอบจริงนั้นแม้บรรยากาศจะต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ถ้าเราทำให้คล้ายกับการสอบจริงที่สุด (มีการจับเวลา) ก็จะช่วยให้เราชินกับการทำข้อสอบมากขึ้นและเริ่มไม่กลัวสนามสอบ
ข้อที่ผิด อ่านเฉลยให้เข้าใจ ไม่เข้าใจก็ลองไปค้นคว้า ถามอาจารย์ ให้แน่ใจว่าหากข้อสอบข้อนี้มาให้ทำอีก จะไม่มีการผิดซ้ำซาก
แล้วก็ไม่ต้องห่วง ทำๆไปน้องจะจับแนวข้อสอบได้เลยว่าเป็นยังไง อย่างภาษาไทยนี่ก็ออกทุกปี คำมูล คำประสม คำซ้ำ คำซ้อน ประโยค สำนวนต่างประเทศ ยังไงก็ยังงั้น ข้อสอบ O-NET A-NET ภาษาไทยล่าสุด พี่เจอข้อสอบเอนท์เก่าอย่างน้อยๆ ก็ 3-4 ข้อละ คือให้กำลังใจตัวเองได้ว่า อาจมีข้อสอบซ้ำนิดๆหน่อยๆ แต่อย่าหวังมาก ให้รู้ว่าถ้าเจอข้อนี้ในตัวข้อสอบจริง หวานหมู...กรูจะฟันคะแนน ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!!
แล้วก็แนะนำอีกนิดว่า พวกโครงการพรีเอนท์ โครงการที่เขาให้มีลองข้อสอบต่างๆ ถ้ามีโอกาสน้องก็ไปลองเลย บางที่ก็ฟรีด้วยนะ เพราะอาจมีการจัดเป็นแบบสนามสอบคล้ายๆของจริง ตรวจให้ ประเมินให้เสร็จสรรพ ลองไปดูนะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องทำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ แล้วข้อสอบต่อให้ยากขนาดไหนก็ไม่ยากสำหรับเราแล้วล่ะ หากให้เวลามันมากพอ เตรียมตัวมาอย่างดี อักษรไม่หนีไปไหนแน่ๆค่ะ
พระพยอมบอกว่า เอาพวงมาลัยไปไหว้ย่าโมเพื่อที่จะให้เอนท์ติดไปทำไม ในเมื่อย่าโมยังไม่จบ ป.6 ด้วยซ้ำ แล้วจะมีวิชามาช่วยม.6ให้เอนท์ติดเหรอ 555+
อืม หัวข้อนี้ จริงๆก็มีผู้เขียนไว้หลายคนแล้วนะ
แนะนำว่าน้องควรอ่านหัวข้อนี้ (ของคนอื่น) ประกอบด้วย จะได้มีวิธีการดูหนังสือเยอะๆ แล้วก็จะได้ปรับใช้กับตัวเองให้เหมาะสมที่สุด
คือ การดูหนังสือนั้น จะฟันธงลงไปไม่ได้หรอกว่า เรียนพิเศษสิ กวดวิชาสิ ดูหนังสือเองสิ ฯลฯ สารพัดวิธี จึงจะเข้าได้ มันอยู่ที่ตัวน้องมากกว่าว่า ถนัดดูแบบไหนมากที่สุด หรือที่เรียกว่า นานาจิตตัง ลางเนื้อชอบลางยา แบลบๆๆๆๆ คนมันไม่เหมือนกันหรอกน่า
ขอแนะนำวิธีของพี่ก่อนเลยละกันนะ ^^
พี่เป็นคนที่หยิ่งและความดัน(ทุรัง)สูงมากๆ แล้วก็เป็นคนที่มีประสบการณ์ฝังใจในห้องเรียนพิเศษเยอะที่สุดคนหนึ่ง ดังนั้น พี่ไม่ได้เรียนพิเศษเลยแม้แต่วิชาเดียว (ป้ารหัสบอกว่า แนวมาก 555+) ดูหนังสือเอง แล้วผลที่ได้ก็คือดั๊นไม่ดูวิชาที่ไม่ชอบ เลยต้องมานั่งอัพภาษาอังกฤษอยู่นี่ไง เอิ๊กๆ
ตอน ป.6 เรียนพิเศษ สอบเข้า ม.1 พอรู้ว่าสอบช้างเผือกไม่ติด ร้องไห้ใหญ่โต เพราะไม่อยากไปเรียนพิเศษ (ทั้งๆที่เหลือแค่ 4 วันแท้ๆก็จะจบคอร์สแระ 55+) เพราะบรรยากาศที่นั่นอึดอัดมาก ไม่มีเพื่อน ไม่มีอะไร มีแต่ห้องแอร์แคบๆกับชีทต่างๆยัดกันเข้าไป
ตอน ม.2-3-4 เรียนพิเศษเลข ง่วง จะอ้วก ไม่ไหวแล้ว ทำไมห้องแอร์มันแคบอย่างนี้
ตอน ม.6 เพิ่งผ่านมาปีก่อนๆ ค่ายวิชาการของโรงเรียน พอวันที่ 4 เริ่มไม่ไหว เพราะเช้า 3 ชั่วโมง เย็น 3 ชั่วโมง ตอนกลางวันเกือบอ้วกกลางวงข้าว ตอนบ่ายเลยกลับบ้านนอน
หลังจากนั้น...เหล่าโรงเรียนกวดวิชา ก็ไม่เคยได้เงินจากพี่เลยแม้สักบาทเดียว ฮ่า ฮ่า
พี่พบว่าตัวเองเรียนพิเศษไม่ได้แน่ เรียนๆไปมึนๆไป มันไม่ชอบบรรยากาศ แล้วก็ความมาคุในห้องเรียนพิเศษนั้น ต่อให้ครูสอนฮาแค่ไหนก็ไม่เอา กรูไม่อยากได้ความฮา ความมัน กรูจะเอาความรู้....กรูอ่านเองก็ได้ฟะ!!!
แต่พี่คิดว่าสำหรับน้องๆ หากเรียนพิเศษได้ก็เรียนไปเถอะ เพราะจะช่วยให้เรารู้แนวข้อสอบต่างๆ ข่าวอะไรต่ออะไรในแวดวงการศึกษา มันเป็นเรื่องดีอยู่ แต่ก็อย่าตะบี้ตะบันเรียน หาที่ๆเหมาะกับเรามากที่สุด หากสำหรับพี่แล้ว ห้องเรียนพิเศษมันนรกชัดๆ....ด้วยความดันทุรังสูง ก็เลยตัดสินใจดูหนังสือเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลักการง่ายๆที่พี่ใช้มี 2 อย่างคือ โน้ตย่อ-ข้อสอบเก่า
และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือความสม่ำเสมอ
ระยะเวลาไหนเหมาะสมที่จะดูหนังสือ ก็คิดว่าเป็นช่วงก่อนขึ้น ม.6 นะ เพราะความรู้ที่เราเรียนมาจะมีเกือบ 100% แล้ว หรืออ่านทำความเข้าใจล่วงหน้าของ ม.6 ไปเลยก็ได้ ก็จะเป็นดูหนังสือ 1 ปีก่อนสอบ ระยะเวลาพอดี
แต่คนไหนบ้าพลังอยากดูตั้งกะ ม.4 ก็ไม่ขัดอัธยาศัย แต่ดูไปอาจจะไม่รู้เรื่องก็ได้เพราะยังไม่ได้เรียน (เคยเห็นรุ่นพี่ที่ได้ที่ 1 สอบเอนท์เขาดูหนังสือตั้งแต่ ม.4 นะ ทำได้ยังไง เก่งจริงๆที่ควบคุมตัวเองได้)
โน้ตย่อ
โน้ตย่อนั้นพี่คิดว่าควรเป็นของใครของมัน เราอาจย่อความโดยใช้สำนวนของเราเอง ไม่ควรเอาไปให้เพื่อนยืมเพราะเสี่ยงต่อการหายเป็นอย่างยิ่ง
การทำโน้ตย่อจะถือว่าเป็นการอ่านหนังสือแบบรู้เรื่องมากๆ เพราะมันไม่อ่านอย่างเดียว มันต้องอ่าน แปล ตีความ ประมวลความคิด สรุปใจความสำคัญ ก่อนที่จะเขียนออกมา แล้วก็เป็นวิธีการอ่านหนังสือที่ไม่หลับด้วยเพราะมือจะเขียนตลอด (เว้นแต่ว่าคนทำอาจกำลังง่วง หรือปัจจัยอื่นๆก็ตาม) เสร็จแล้วเราก็จะได้สมุดสรุปความคิดของเราอีก 1 เล่ม
ก่อนสอบสักอาทิตย์ มาอ่านโน้ตย่อทวนอย่างสังเขปทั้งหมด เพื่อเป็นการทบทวนความจำเล็กน้อยก่อนเข้าสนามสอบจริง จะเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว
ข้อสอบเก่า
เขาว่าเป็นหินลับมีดชั้นยอด ทำสัก 10 ปีย้อนหลังก็ชัวร์ (อันนี้ขั้นต่ำนะ ควรจะมากกว่านี้น่ะ) เพราะตัวข้อสอบนั้นหากหลักสูตรยังเหมือนเดิม เก่าๆ วนเวียนๆ ก็มั่นใจเถอะว่ามันออกซ้ำแน่นอน ไม่ต้องไปซื้อไปหามาก คว้าเอาจากห้องสมุดโรงเรียนนั่นแหละ แต่ดูตำราดีๆหน่อยนะ เพราะพี่เคยเจอบางสำนักพิมพ์เฉลยภาษาอังกฤษผิด นั่งถกกะพ่อใหญ่เลย ("เฮ้ย สำนักพิมพ์เฮงซวย" พ่อบ่น เอิ๊กๆ)
ในการทำข้อสอบเก่า ให้จับเวลาแบบทำข้อสอบจริงๆด้วยนะ จะได้รู้ความเร็วในการทำข้อสอบและความถูกต้องด้วย ซ้อมสอบกับสนามสอบจริงนั้นแม้บรรยากาศจะต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ถ้าเราทำให้คล้ายกับการสอบจริงที่สุด (มีการจับเวลา) ก็จะช่วยให้เราชินกับการทำข้อสอบมากขึ้นและเริ่มไม่กลัวสนามสอบ
ข้อที่ผิด อ่านเฉลยให้เข้าใจ ไม่เข้าใจก็ลองไปค้นคว้า ถามอาจารย์ ให้แน่ใจว่าหากข้อสอบข้อนี้มาให้ทำอีก จะไม่มีการผิดซ้ำซาก
แล้วก็ไม่ต้องห่วง ทำๆไปน้องจะจับแนวข้อสอบได้เลยว่าเป็นยังไง อย่างภาษาไทยนี่ก็ออกทุกปี คำมูล คำประสม คำซ้ำ คำซ้อน ประโยค สำนวนต่างประเทศ ยังไงก็ยังงั้น ข้อสอบ O-NET A-NET ภาษาไทยล่าสุด พี่เจอข้อสอบเอนท์เก่าอย่างน้อยๆ ก็ 3-4 ข้อละ คือให้กำลังใจตัวเองได้ว่า อาจมีข้อสอบซ้ำนิดๆหน่อยๆ แต่อย่าหวังมาก ให้รู้ว่าถ้าเจอข้อนี้ในตัวข้อสอบจริง หวานหมู...กรูจะฟันคะแนน ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!!
แล้วก็แนะนำอีกนิดว่า พวกโครงการพรีเอนท์ โครงการที่เขาให้มีลองข้อสอบต่างๆ ถ้ามีโอกาสน้องก็ไปลองเลย บางที่ก็ฟรีด้วยนะ เพราะอาจมีการจัดเป็นแบบสนามสอบคล้ายๆของจริง ตรวจให้ ประเมินให้เสร็จสรรพ ลองไปดูนะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องทำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ แล้วข้อสอบต่อให้ยากขนาดไหนก็ไม่ยากสำหรับเราแล้วล่ะ หากให้เวลามันมากพอ เตรียมตัวมาอย่างดี อักษรไม่หนีไปไหนแน่ๆค่ะ
พระพยอมบอกว่า เอาพวงมาลัยไปไหว้ย่าโมเพื่อที่จะให้เอนท์ติดไปทำไม ในเมื่อย่าโมยังไม่จบ ป.6 ด้วยซ้ำ แล้วจะมีวิชามาช่วยม.6ให้เอนท์ติดเหรอ 555+
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น