คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4 (100%)
Chapter 4
หลังจากที่เมื่อคืนเขาสองคนทะเลาะกันใหญ่โตจนเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่ และที่คริสบอกจะมารับฟานฟ่านไปตรวจ DNA วันนี้เขาสองคนเลยขับรถมารับฟานฟ่านที่บ้านตระกูลอู๋ตั้งแต่เช้า โดยที่ไม่ได้ปริปากพูดอะไรกันเลยสักคำเดียวตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อคืนที่อี้ชิงได้ยินคริสพูดแบบนั้นก็ล้มทั้งยืน ทั้งเสียใจ ทั้งไม่เข้าใจและทั้งผิดหวังที่คริสไม่เชื่อเรื่องลูกทั้งๆที่อะไรๆมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ที่คริสพูดมันก็ถูกว่าแค่ความรู้สึกอย่างเดียวมันคงไม่พอ...ก็ได้ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
“สวัสดีครับคุณแม่..” เมื่อลงจากรถได้อี้ชิงก็ไม่รอช้ารีบเดินเข้ามาทักทายคุณนายเจ้าของบ้านทันทีพร้อมกับเข้าไปอุ้มลูกรักที่นั่งเล่นตุ๊กตาอยู่ที่พื้น
“อ่าว..อี้ชิงลูก ทำไมมาเช้าจังเลยละ.แล้วตาคริสล่ะ?” คุณนายอู๋เงยหน้าจากการหัวเราะต่อกระซิกกับหลานรักขึ้นมาเมื่อลูกสะใภ้สุดที่รักเอ่ยทักทาย แต่เมื่อเห็นอี้ชิงเดินเข้ามาคนเดียวก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงลูกชายตัวดี
“อยู่นี้ครับคุณแม่..” แต่ยังไม่ทันที่อี้ชิงจะได้พูดอะไรออกไปเจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยถึงก็เดินเข้ามาเสียก่อน
“ทานอะไรกันมารึยังละ..”
“ไม่เป็นไรครับ..ฟานฟ่านดื้อมั้ยครับคุณแม่..แกงอแงรึเปล่า?” เป็นคนตัวขาวที่ตอบคำถามเพราะคริสตอนนี้พอเดินมาถึงก็ทิ้งตัวนั่งที่โซฟาทันที แต่อี้ชิงก็สังเกตตลอดเวลาตั้งแต่คริสเดินเข้ามาแล้วว่าคริสเพียงแค่ปรายตามองฟานฟ่านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“โอ๊ย! ไม่ดื้อหรอกลูก แต่ตอนกลางคืนนี่เอาแต่ร้องเรียกม๊าม๊า ป๊าป๊าอย่างเดียว กว่าจะพาหลับได้นี่ก็เหนื่อยกันทั้งบ้านเลยล่ะ ฮ่ะๆ” พูดไปก็หัวเราะไปเมื่อนึกถึงความแสบซ่าของหลานสาวตัวน้อยนั่นก็รวมถึงอี้ชิงเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกับฟัดแก้มยุ้ยๆของลูกสาวไปหลายๆที
คริสเองใช่ว่าจะนิ่งเฉยอย่างที่แสดงออก ตอนที่ก้าวเข้ามาในบ้าน เพียงแค่ได้ยินเสียงร้องเรียกของฟานฟ่านหัวใจดวงนี้ก็เต้นโครมครามมากมายแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย และที่สำคัญคือตอนที่คุณนายอู๋บอกว่าฟานฟ่านร้องเรียกหาป๊าป๊าเขาก็แทบจะพุ่งไปฟัดแก้มลูกสาวเหมือนกัน อดที่จะดีใจไม่ได้ ก็ฟานฟ่านยังไม่เคยเรียกเขาว่าป๊าเลยสักครั้ง เรียกได้แค่ม๊าอย่างเดียว ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับคริสอู๋
“เอ่า..เราสองคนนี่ทะเลาะกันหรือยังไง...มีอะไรกันห๊ะ?” คุณนายอู๋ที่ก็พึ่งสังเกตได้ถึงท่าทางของอี้ชิงกับลูกชายตัวแสบที่ตั้งแต่เดินเข้ามาก็ยังไม่เห็นจะพูดอะไรสักคำเดียว ท่าทางดูก็รู้ว่าต้องทะเลาะกันมาแน่ๆ
“ช่างเถอะครับ..มันไม่สำคัญ..งั้นเราสามคนขอตัวก่อนนะครับคุณแม่พอดีผมมีธุระ” เป็นคริสที่เป็นฝ่ายตอบคำถาม แต่ไอคำว่า ไม่สำคัญ นั้นมันก็ทำให้คนฟังอย่างอี้ชิงใจกระตุกขึ้นมา นึกน้อยใจเข้าไปใหญ่..นี่คริสเห็นว่าเรื่องของเขาสองคนไม่สำคัญแล้วหรือไง?
“ธุระ? ธุระอะไร? ให้ฟานฟ่านอยู่นี่กับแม่ก่อนก็ได้นะ เสร็จธุระค่อยมารับกลับก็ได้นี่นา” ที่จริงไม่อยากให้ฟานฟ่านไปไหนเลย เพราะว่าเขาเองก็ต้องบินไปทำงานที่ต่างประเทศแล้ว ก็อยากจะใช้เวลาที่เหลืออีกวันสองวันอยู่กับหลาน เพราะว่าจะกลับมาอีกทีก็อีกเป็นเดือนสองเดือน
“ธุระเรื่องฟานฟ่านน่ะครับ..ขอตัวนะครับคุณแม่....อ่อ ถ้าคุณแม่จะไปวันไหนก็บอกนะครับเดี๋ยวผมไปส่ง” พูดตัดบทไปสะดื้อๆ เขาไม่อยากให้ใครมารับรู้เรื่องนี้โดยเฉพาะแม่ของเขา เขาไม่ได้อยากจะทำแบบนี้เลยแต่เหตุผลเดียวที่ทำเพื่อแก้แค้นที่อี้ชิงพูดอะไรไม่ชัดเจนก็เท่านั้น
“เอ้อ! ไล่กันจริงๆนะ..ฟานฟ่านลูก ไว้เจอกันใหม่นะค่ะคนเก่งของย่า..ฟอด!” บ่นเล็กบ่นน้อยตามประสาและก็ไม่ลืมที่จะฟัดแก้มแดงๆของหลานรักเป็นการตบท้าย
“คริส..ฉันถามจริงๆนะ นายคิดจะทำแบบนี้กับลูกของเราจริงๆเหรอ?” เป็นครั้งแรกตั้งแต่ตื่นมาตอนเช้าที่อี้ชิงเอ่ยปากพูดกับคริสขณะที่เขาทั้งสามคนกำลังเดินทางมาที่โรงพยาบาล อี้ชิงเองทนกับความอึดอัดไม่ไหวอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“อืม..” และก็มีเพียงเท่านั้นที่เป็นคำตอบสำหรับคำถาม ไม่คิดจะลังเลที่จะตอบเลยหรือยังไงกันนะ..ก็ได้แต่นึกน้อยใจอยู่ข้างใน และในเมื่อคริสยืนยันเจตนาแล้วเขาก็ไม่อยากจะพูดหรือถามอะไรไปอีก เขาไม่ได้กลัวเรื่องผลตรวจเพราะฟานฟ่านเป็นลูกคริสแน่นอนเขารู้ดี แต่เขาก็นึกเป็นห่วงจิตใจของฟานฟ่านแม้ว่าจะยังเด็กแต่ก็อดที่จะสงสารลูกไม่ได้
“ม๊า..ม๊ามัมมัมมัม..” เสียงเล็กๆของเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนตักของผู้เป็นแม่ดังขึ้นเรียกความสนใจจากอี้ชิงได้ดี..ไม่ใช่แค่อี้ชิงแต่เป็นคริสด้วย
“ค่ะคนเก่งของมะม๊า? ว่าไงลูก หิวเหรอค่ะ?” ไม่รู้หรอกว่าฟานฟ่านน้อยจะฟังคำถามเขารู้เรื่องรึเปล่าแต่ด้วยสัญชาตญาณก็ทำให้เขาต้องถามออกไปแบบนั้นพร้อมๆกับอุ้มเจ้าตัวน้อยลอยขึ้นมายืนบนตักแทน
“มัมมัม..คิกๆ” พูดอ้อแอ้ไปก็หัวเราะไปเพราะถูกแม่อุ้มขึ้นลงๆอยู่บนตัก ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะของอี้ชิงได้ด้วยเช่นกัน
เสียงเด็กน้อยกับเสียงของอี้ชิงที่ดูจะมีความสุขกับการหยอกล้อกันนั้นแทบทำให้คริสอยากจะจอดรถแล้วเข้าไปร่วมเล่นด้วยใจจะขาดแต่ก็ทำไม่ได้ เขาอยากจะเข้าไปอุ้ม เข้าไปหอมฟานฟ่านเหมือนๆกับที่อี้ชิงทำแต่ก็ไม่กล้าพอเพราะสิ่งที่พูดไป ก็ได้แต่นั่งปั้นหน้านิ่งทำเหมือนกับไม่ได้มีสองแม่ลูกอยู่บนรถด้วยแต่มันก็ยาก จนกระทั่งเสียงเรียกเล็กๆนั้นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหันมาทันที
“ป๊า! ปะป๊า..ป๊าป๊าป๊า!..” เสียงเรียกจากเด็กน้อยที่ฟังแทบไม่เป็นคำแต่ก็รู้ว่าเอ่ยเรียกใครทำให้คริสเผลอเหยียบเบรกกะทันหันจนอี้ชิงที่ไม่ทันตั้งตัวและกลัวว่าลูกจะเป็นอะไรก็กระชับอ้อมกอดปกป้องลูกรักเอาไว้จนหัวไปกระแทกที่คอนโซลรถด้วยแรงค่อยข้างมาก
“โอ๊ย!!” เสียงร้องที่หลุดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ทำให้คริสเหมือนมีสติขึ้นมารีบขับรถต่อมาจอดที่ริมทางเพราะตอนที่เบรกอยู่กลางถนน ดีที่เวลานี้รถไม่ค่อยมากทำให้ไม่มีรถคันหลังมาชนจากการเบรกกะทันหัน
“อี้ชิง! ฟานฟ่าน!!” คริสรีบเปิดประตูลงมาจากฝั่งคนขับลงมาเปิดประตูฝั่งที่อี้ชิงนั่งอยู่ทันที พออี้ชิงเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าที่หน้าผากมีเลือดไหลเพราะแรงกระแทกที่หัวทำให้หัวแตก แต่ฟานฟ่านไม่เป็นอะไรเพราะอี้ชิงกอดเอาไว้แน่น แต่ด้วยความตกใจก็ระเบิดเสียงร้องออกมาลั่น
“แงงงงง!!!! ฮึก ฮือออ ฮึก แงงง!”
“ฟานฟ่าน...โอ๋ ไม่ร้องนะค่ะคนดีไม่เป็นไรนะ” อี้ชิงเองแม้จะทั้งเจ็บ ทั้งปวดและก็ทั้งมึนหัวไปหมดแต่ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่เรื่องความปลอดภัยของลูกต้องมาก่อนความเจ็บปวดของตัวเอง เพียงแค่เห็นฟานฟ่านร้องไห้จ้าก็รีบสำรวจว่าบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า แต่เมื่อไม่เห็นว่ามีบาดแผลก็โล่งใจที่อย่างน้อยก็ร้องเพราะความตกใจ
“อี้ชิง...เจ็บมากมั้ย? คือ ฉันขอโทษที่เบรกกะทันหันแบบนั้น ฉันตกใจที่ฟานฟ่านเรียก..” คริสเองเมื่อเห็นว่าฟานฟ่านไม่ได้บาดเจ็บอะไรก็โล่งอกไปเปราะหนึ่ง แต่พอเงยขึ้นมาเห็นอี้ชิงเลือดไหลไม่หยุดก็ยิ่งเพิ่มความเป็นห่วงเข้าไปอีก อี้ชิงต้องมาบาดเจ็บเพราะความงี่เง่าของเขาแท้ๆ
“ตกใจอะไร? เขาเรียกป๊า..ไหนนายไม่เชื่อยังไงล่ะว่าฟานฟ่านเป็นลูกของนาย แล้วจะตกใจทำไม เขาอาจไม่ได้เรียกนายก็ได้นะ” แต่คำตอบของอี้ชิงก็ทำเอาเขาไปไม่ถูกเลยเหมือนกัน เคยแต่พูดทำร้ายให้คนอื่นใจกระตุก แต่คราวนี้เป็นเขาบ้างแล้วที่เป็นฝ่ายจุกกับคำพูดของคนรัก
“..ก็..เช็ดเลือดสะเดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว” ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป ไม่กล้าที่จะพูดออกมาต่างหาก ทำได้เพียงยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้คนตัวขาวซับเลือดที่หน้าผากไปพลางๆก่อนจะเดินกลับมานั่งประจำฝั่งคนขับและขับรถต่อไปที่โรงพยาบาล อี้ชิงเองก็รับผ้าเช็ดหน้ามาแต่โดยดีโดยไม่พูดอะไรออกมาแม้กระทั่งคำขอบคุณ ค่อยๆซับเลือดไปแม้จะไม่เห็นว่าแผลใหญ่มั้ยแต่อาการมึนๆที่ตอนนี้เข้ามาเล่นงานก็แทบจะนั่งทรงตัวไม่อยู่ แต่ก็ยังคอยโอ๋ลูกในอ้อมกอดที่ตอนนี้เงียบเสียงลงแล้ว
“ไอหมอ..” เมื่อมาถึงโรงพยาบาลก็ไม่รอช้าตรงดิ่งมาที่ห้องของเพื่อนรักทันทีแม้จะไม่ได้นัดมาก่อนแต่ก็ใช้อภิสิทธิ์ความเป็นเพื่อนเข้ามาได้โดยมีอี้ชิงอุ้มฟานฟ่านตามเข้ามา เขาให้อี้ชิงไปทำแผลก่อนแล้วแต่คนดื้อก็ไม่ยอมไปทำให้ต้องเดินตามมาด้วยอาการมึนๆ
“แหม..มาเร็วเชียวนะ..อ้าวอี้ชิง! หน้าผากไปโดนอะไรมาครับ ทำไมไม่ไปทำแผล..ให้ผมเรียกพยาบาลให้นะ..” เอ่ยทักเพื่อนที่ไม่ค่อยได้เจอกันตั้งแต่งานแต่งงานของเขาพอเป็นพิธีเหลือบไปเห็นอี้ชิงยืนอุ้มฟานฟ่านอยู่โดยที่มีแผลอยู่ที่หน้าผากก็อดที่จะห่วงไม่ได้ แต่ก่อนที่ชานยอลจะได้เดินออกไปเรียกพยาบาลให้มาทำแผลอี้ชิงก็ห้ามขึ้นก่อน
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้อง...ผมจะอยู่กับลูก” พูดจบก็ค่อยๆเดินมานั่งที่โซฟาตัวยาวที่อยู่มุมห้อง เขาเป็นห่วงฟานฟ่าน ไม่มีทางที่จะให้คริสมาทำอะไรตามใจชอบได้ง่ายๆหรอก
“จะดีเหรออี้ชิง..เลือดออกไม่หยุดเลยนะ ทำแผลก่อนดีหว่า..ฟานฟ่านไอคริสก็อยู่นี่ไง ไม่ต้องห่วงน่า” ด้วยความเป็นหมอก็ห่วงแต่ห่วงในฐานะเพื่อนมากกว่า อี้ชิงท่าทางดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ทั้งๆที่เลือดไหลออกมายังจะทนอยู่อีก แม้จากที่ดูๆแผลมันไม่ใหญ่แต่เพราะเป็นที่หัวยิ่งสำคัญ ดูจากสีหน้าแล้วอี้ชิงหน้าซี้ดมากแต่ก็ยังทน
“นั่นแหละครับที่เป็นห่วง” ปล่อยให้ฟานฟ่านนั่งเล่นคนเดียวอยู่ในห้องยังเป็นห่วงน้อยกว่าให้อยู่กับคริสสะอีก
“อะไรกัน?...ตามใจนะอี้ชิงแต่ถ้าไม่ไหวก็บอกอย่าฝืนรู้มั้ยมันไม่ดีหรอกนะ” เอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงซึ่งอี้ชิงก็พยักหน้ายิ้มรับอย่างดี
“ว่าแต่แกมีอะไร..โทร.นัดสะเร่งด่วน” เมื่อป่วยการที่จะบังคับให้คนดื้อไปทำแผลก็หันมาสนใจเพื่อนตัวสูงต่อ ไม่อยากจะเดาเลยว่าเพื่อนเขากับอี้ชิงจะทะเลาะกันมาอีกแน่ๆ
“ฉันอยากให้แกช่วยตรวจ DNA ของฉันกับฟานฟ่านหน่อย” เหมือนสำลักอากาศก็ไม่ปราน นี่เขาหูฝาดไปหรือว่าเพื่อนของเขาเพี้ยนไปแล้วกันแน่ที่อยู่ๆจะมาให้ตรวจ DNA แบบนี้ ไม่บ้าก็เพี้ยนมีอยู่สองอย่าง นี่สินะที่ทะเลาะกัน
“แกบ้าหรือไงห๊ะ!? อยู่ๆจะมาตรวจ DNA ....ถามจริงๆเถอะแกบ้าไปแล้วหรือไง คิดว่ามันตรวจกันง่ายๆหรือไงห๊ะ?” อยากจะบ้า นี่เพื่อนเขาคิดอะไรอยู่หรือว่าตรวจเพราะความสนุก? แต่แม้ว่าปากจะพูดกับเพื่อนตังสูงแต่สายตากลับมองไปที่คนตัวขาวที่นั่งอุ้มลูกเงียบๆ นึกเป็นห่วงอี้ชิงกับฟานฟ่านขึ้นมาทันที
“จะง่ายหรือยากก็จะตรวจ..แกมีหน้าที่แค่ตรวจก็ตรวจจะถามมากเพื่อ?”
“ไม่เพื่ออะไรหรอก แต่เพราะฉันเป็นเพื่อนแกไง..ถามจริงเถอะ นึกยังไงถึงอยากตรวจ DNA ฟานฟ่าน..หรือว่าเกิดเพี้ยนคิดว่าฟานฟ่านไม่ใช่ลูกขึ้นมา?”
“เออ! มึงจะตรวจมั้ย? กูขอให้มึงช่วยแค่นี้เองนะเว่ย!” เริ่มโมโหไอเพื่อนหูกางขึ้นมาเรื่อยๆ ถามเซ้าซี้อยู่ได้ ใจเขาเชื่อเต็มล้านด้วยซ้ำว่าฟานฟ่านเป็นลูกแต่ก็อย่างที่บอกว่าเขาต้องการจะแก้แค้นอี้ชิงก็เท่านั้น ยิ่งถามมากเดี๋ยวเขาก็หลุดไต๋ออกมาหรอก
“แล้วอี้ชิงยอมรึไง?...ว่ายังไงล่ะอี้ชิง ยอมให้ฟานฟ่านตรวจกับมันมั้ย?” คราวนี้ชานยอลหันมาพูดกับอี้ชิงตรงๆซึ่งดูแล้วอี้ชิงเองก็ดูคิดหนักอยู่เหมือนกัน แต่ในเมื่อมาขั้นนี้แล้ว และคริสอยากตรวจมากนักก็ตามใจ
“ยอมครับ”
“อี้ชิง..ฉันว่านายไปทำแผลก่อนเถอะ ไม่ต้องห่วงฟานฟ่านหรอกน่า ไอหมอก็อยู่ข้างในด้วยนะ” คริสพูดแกมบังคับให้อี้ชิงไปทำแผล แม้ว่าเลือดจะไหลน้อยลงมากแล้วแต่ก็ยังซึมๆออกมาอยู่และดูท่าทางอี้ชิงก็ไม่น่าจะไหวแล้วด้วย แต่อี้ชิงก็ดื้อไม่ยอมไปไหนนอกจากหน้าห้องตรวจที่ตอนนี้ฟานฟ่านเข้าไปเจาะเลือดข้างในแต่ทำไมชานยอลถึงไม่ให้เขาเข้าไปด้วยก็ไม่รู้ เป็นห่วงลูกจะแย่ ฟานฟ่านกลัวเข็มมากแค่ฉีดวัคซีนยังร้องลั่นแล้วนี่เจาะเลือดไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง
“ไม่..ฉันเป็นห่วงลูก..” พูดจบก็ลุกเดินไปกำลังจะเปิดประตูห้องแต่ชานยอลก็อุ้มฟานฟ่านออกมาพอดี ไม่รอช้าอี้ชิงรีบเข้าไปรับฟานฟ่านมาอุ้มทันที
“เรียบร้อยมั้ยว่ะ?” เป็นคริสที่เอ่ยถาม ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ห่วงลูกแต่เมื่อเห็นว่าฟานฟ่านไม่ได้ร้องจ้าออกมาก็เบาใจไปเปราะหนึ่งแล้วอีกอย่างอี้ชิงก็ดูแลอยู่ก็เลยไม่ห่วงอะไรมาก
“เออ..นี่ ฉันถามแกจริงๆเถอะคริส คิดยังไงถึงจะตรวจ DNA แบบนี้ว่ะ?” เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาตั้งแต่ที่คริสบอกตั้งแต่มาถึง
“เรื่องมันยาว..ว่าแต่จะรู้ผลตรวจเมื่อไหร่?” ที่อ้างว่าเรื่องยาว ถ้าเขาจะเล่าก็เล่าได้แต่เพราะว่ายังไม่พร้อมที่จะพูดเรื่องนั้นตอนนี้ก็แค่ไม่อยากบอกแต่ที่อยากรู้คือผลตรวจมากกว่า เขารู้อยู่เต็มอกนั่นแหละว่าผมตรวจออกมายังไงฟานฟ่านก็เป็นลูกเขาร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ที่ถามเพราะเขาเห็นอี้ชิงมองมาที่เขาอยู่และก็ถามตามสิ่งที่ควรจะถามก็เท่านั้น
“อย่างเร็วก็ประมาณสองอาทิตย์..จะพยายามเร่งให้ก็แล้วกัน แต่เชื่อสิว่าฟานฟ่านเป็นลูกแกร้อยล้านล้านเปอร์เซ็นต์ แกจะมาตรวจให้เสียเวลาทำไม? แล้วความรู้สึกแกนี่มันไม่ได้บอกอะไรบ้างหรือยังไง หรือโง่ไม่รู้อีกว่ะ” เป็นคำถามที่ถามได้เจ็บแสบมากแต่ตอนนี้เขาไม่อยากตอบอะไรออกมาทั้งนั้นก็ได้แต่พยักหน้าส่งๆไปเพื่อตัดปัญหา
“เออน่า..แล้วเดี๋ยวเล่าให้ฟัง”
“ฟานฟ่านหลับแล้วเหรอ?” หลังจากที่อี้ชิงทำแผลเสร็จเขาก็ขับรถกลับมาที่คอนโดเลย วันนี้วันหยุดเขาก็ไม่ได้ไปทำงานอยู่แล้ว พอกลับมาถึงจนถึงตอนนี้ก็มืดแล้วอี้ชิงยังไม่ปริปากพูดอะไรกับเขาสักคำ เขาเองทั้งๆที่อยากจะเข้าไปกอดปลอบ เข้าไปหอม เข้าไปจูบจนแทบทนไม่ไหวแต่ก็ต้องห้ามใจเอาไว้ก่อน เอาเข้าจริง ๆเขาเองก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่คิดแก้แค้นบ้าๆแบบนี้กับอี้ชิง อยากจะขอโทษอยากจะย้อนเวลาไปเพื่อจะได้ไม่ทำมันแต่ก็ทำไม่ได้และไม่กล้าพอ ยังไงตอนนี้ก็รอแค่ผลตรวจที่ก็รู้ว่าเป็นยังไงออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“อืม..สงสัยจะเพลีย พอหัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ยเลย” อี้ชิงเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่โกรธคริสบ้างเลยที่ทำแบบนี้ อาจเป็นเพราะเขาเองก็เข้าใจคริสละมั้งว่าเจอสิ่งที่เซฮุนพูดไปแบบนั้นมันก็ต้องมีระแวงกันบ้าง และอีกอย่างมันก็ดีเหมือนกันเพราะตอนแรกที่เขามาบอกว่าท้องกับคริส คริสเองก็ไม่เชื่อแถมยังอยากจะพิสูจน์อีก ก็ใช้โอกาสนี้แหละจะได้เลิกระแวงกันสักที
“ยังเจ็บแผลอยู่มั้ย? ปวดหัวหรือเปล่า? กินยารึยัง?” แม้ว่าตอนแรกคิดไว้แล้วว่าจะทำเป็นไม่สนใจไปสักพักแต่เขาเองก็อดไม่ได้ เขาไม่สามารถอยู่แบบอึมครึมกับอี้ชิงได้นานเลย ก็เป็นเขาเองที่ต้องเริ่มพูดก่อนเพราะเขารู้ว่าอี้ชิงมีความอดทนสูง อี้ชิงจะไม่พูดกับเขาเป็นอาทิตย์ๆเลยยังทำได้แต่เขานี่สิ นาทีสองนาทีก็แทบขาดใจ
“ไม่แล้ว..ฉันกินยาแล้วล่ะ” ที่จริงก็อยากจะพูดให้มากกว่านี้นะแต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าคริสกำลังคิดอะไรอยู่ เดาอารมณ์ไม่ออกจริงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายสู้ให้คริสเป็นฝ่ายพูดก่อนแบบนี้แหละดีแล้ว
“ก็ดี...เออ คือเรื่องวันนี้ที่จริง..” อยากจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพอ เขาต้องรอให้ได้สิแค่สองอาทิตย์เท่านั้นเรื่องทุกอย่างมันก็จะลงตัวเองน่า พูดไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก
“ช่างเถอะ...โอ่ย!” เขาไม่รู้ว่าคริสจะพูดอะไรแต่ก็ยังไม่อยากฟังอยู่ดี แต่จู่ๆก็รู้สึกปวดตัวจี๊ดขึ้นมาที่แผล รู้สึกปวดมากและเวียนหัวอีกต่างหาก
“อี้ชิง!! ปวดหัวเหรอ?..เห็นมั้ยบอกให้ไอหมอมันเช็คให้ละเอียดก็ไม่ยอม ดื้อ!!” เมื่อเห็นว่าคนตัวขาวร้องออกมาพร้อมๆยกมือขึ้นกุมหัวก็รีบไปช่วงประคองให้มานอนที่เตียงดีๆ ไม่พอยังดุอย่างไม่จริงจังนักอีก ตอนทำแผลเขาก็พยายามพูดให้เช็คให้ละเอียดแล้วก็ไม่ยอม ดูสิผลเป็นยังไงละทีนี้
“ไม่ดื้อนะ!โอ่ย..ปวดหัว” อยากจะตะคอกเถียงกลับมากกว่านี้แต่พูดทีก็ปวดหัวที ปวดเหมือนมันจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆเลย
“ไม่ต้องพูดเลย..แปบนะ” เอ่ยห้ามพอเป็นพิธี ยิ่งเห็นก็ยิ่งสงสาร เขาอยากจะเจ็บปวดแทนอี้ชิงจริงๆ เพราะเขาเป็นต้นเหตุแท้ๆอี้ชิงเลยต้องมาเจ็บตัวแบบนี้
“อ่ะ..กินสะ” คนตัวสูงเดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับยาแก้ปวดที่ชานยอลบอกว่าถ้าปวดเมื่อไหร่ก็กินได้ทันทีเลย ยื่นมาให้อี้ชิงที่นั่งพิงหัวเตียงสีหน้ายู่ยี้ด้วยความเจ็บปวด
“ขอบคุณ” รับมากินอย่างว่าง่าย แอบดีใจลึกๆว่าอย่างน้อยเขากับคริสก็ไม่ได้โกรธกันรุนแรงเท่าเมื่อวาน หรือที่จริงเขาก็กังวลไปเอง
“เป็นไงบ้างหืม? ไหนดูสิครับว่าคนเก่งของคริสหายปวดหัวรึยังนะ” ไม่พูดเปล่ายังค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนตัวขาวที่อยู่ๆหน้าก็แดงขึ้นมาทันทีกับการกระทำของคนตรงหน้า จะถดหนีก็ไม่ได้ในเมื่อติดหัวเตียงแล้ว
“หะ หายแล้ว..ออกไปเลยฉันจะนอน” ไม่ได้อยากเขินเลยแต่ก็รู้ว่ามันห้ามไม่ให้เขินไม่ได้ ไหนจะใจที่เต้นแรงโครมครามจนดังออกมาจนได้ยินนี่อีก น่าอายชะมัด
“อะไรกัน..จะนอนง่ายๆหรือไง?” พูดเพียงเท่านั้นก็เท้าแขนทั้งสองข้างคร่อมร่างบางเอาไว้ไม่ให้หลีกหนีไปไหนได้ ยังไม่พอ ยังยื่นใบหน้าคมเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้นมากกว่าเดิมจนปลายจมูกโด่งสัมผัสกับปลายจมูกของอีกคน ถูไปมาด้วยความอยากแกล้ง
“งื้อ..คริส..ออกไปนะฉันปวดหัวจะนอน!” เผลอตะคอกออกไปเพราะไม่พอใจที่ถูกแกล้งไม่พอยังหนีไปไหนไม่ได้อีก แต่ก็หารู้ไม่ว่าการที่ตะคอกไปแบบนั้นก็ไม่ได้เป็นผลดีกับตัวเองเลยสักนิด
“หืม? พูดไม่เพราะเลยนะครับ..พูดใหม่สิ” จากทีแรกแค่ถูปลายจมูกไปมาตอนนี้กลับทำมากกว่านั้น ปลายจมูกโด่งจากที่เคยอยู่แค่ปลายจมูกของอีกคนตอนนี้กลับเลื่อนตำแหน่งต่ำลงมาอยู่ที่ซอกคอขาว ซุกไซร้ไปมาจนอีกคนต้องถดคอหนี
“คริส! ออกไปนะ ก็บอกว่าปวดหัวๆไม่รู้เรื่องหรือยังไงกัน แกล้งอยู่ได้!” พยายามที่จะผลักอกแกร่งออกไปแต่แรงที่มีปกติก็สู้ไม่ได้อยู่แล้วแล้วนี่อาการปวดหัวก็ยังไม่หาย ตะคอกทีก็จี๊ดขึ้นมาทีแต่ดูเหมือนว่าคนตัวสูงขี้แกล้งจะไม่หยุดแกล้งเอาสะเลย
“..ตะคอกอีกแล้วนะครับ..พูดเพราะๆสิแล้วจะหยุดแกล้ง..” พูดออกมาทั้งๆที่หน้าก็ยังซุกอยู่ที่ซอกคอขาวเนียน แถมตอนนี้ยังเลื่อนขึ้นมางับใบหูอีกคนเล่นๆอีกต่างหาก
“อ๊ะ! คริส!...จะแกล้งฉันทำไมเนี่ย?” มือที่พยายามดันอกแกร่งออกตอนนี้ถูกมือหนาทั้งสองรวบไปขึงไว้ที่ผนังหัวเตียงเรียบร้อย คราวนี้จะดิ้นยังไงก็ไม่หลุดแถมอีกคนก็ยังไม่หยุดแกล้งกันเสียที
“พูดเพราะๆสิครับคนดี..ตะคอกแบบนี้ก็ปวดหัวแย่” ที่เขาแกล้งก็เพราะไม่อยากให้อี้ชิงตะคอกหรือพูดเสียงดังเพราะมันจะสะเทือนไปถึงหัวแล้วอี้ชิงก็ไม่หายปวดหัวสักที แต่คนดื้อก็ชอบไม่ฟังอะไรก็คงต้องใช้วิธีนี้
“อ๊ะ! คะ คริส..พะ อ๊ะ! พอแล้ว พะ พอแล้วนะ..” เผลอครางออกมาเมื่อคนขี้แกล้งไม่หยุดอยู่ที่ซอกคอขาว แต่ตอนนี้กลับเลื่อนต่ำลงมาที่หน้าอกเนียนแทน
“บอกให้พูดเพราะๆ..ไม่ได้ให้ครางสักหน่อย ....พูดสิครับคนดีแล้วจะหยุด” แม้ปากจะบอกว่าจะหยุดแต่ก็ไม่ได้หยุดอย่างที่พูด ตอนนี้ก็ใช้ทั้งจมูกโด่งคมกับปากเรียวลวมลามคนตัวขาวไม่หยุด
“อ๊ะ! คริส อะ อา..คริส!อึก ครับ..อ๊ะ คริสครับ..พะ พอก่อนนะครับ..อ๊า! อ๊ะ เค้า..เค้าปวดหัว..เค้าปวดหัวมากเลย พอก่อนนะครับ..ฮ๊ะ! อ๊ะ อื้มมม..ละ เลิกแกล้งเค้านะครับ..ขอร้อง....” คราวนี้อี้ชิงเผลอครางออกมาสะเสียงดังเพราะคริสชักจะมากเกินไปแล้ว เลยยอมพูดดีๆและคริสก็หยุดอย่างที่พูดจริงๆ ใบหน้าคมเงยขึ้นจากร่างกายขาวที่ตอนนี้มีรอยรักอยู่ไม่น้อย สบตากับหน่วยดวงตากลมที่มองเท่าไหร่ก็ยังคงหลงใหลอยู่แบบนั้น แม้ว่าอยากจะทำอะไรมากกว่าการแกล้งคนตัวขาวแต่ก็เพราะเป็นห่วงว่าเดี๋ยวอี้ชิงจะยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิมเลยจำยอมต้องหยุด แต่ก็ไม่ลืมที่จะพูดอะไรให้อีกคนได้เขินก่อนนอน
“..ฮึ ก็เท่านั้น กว่าจะพูดได้ทำฉันเกือบเสร็จเหมือนกันนะอี้ชิง..ฮึ ฝันดีครับ..ที่รัก”
Rrrr Rrrr
เสียงสั่นของโทรศัพท์เครื่องหรูดังขึ้นปลุกให้คนที่นอนหลับฝันหวานอยู่บนเตียงกว้างต้องตื่นขึ้นมาอย่างหัวเสียที่มีคนโทร.มาตั้งแต่เช้าแบบนี้ นึกอยู่ว่าถ้าไม่มีเรื่องสำคัญแต่โทร.มาละก็ได้เห็นดีกันแน่
“ฮัลโหล!” เสียงทุ้มกรอกออกไปหลังจากที่กดรับสายโดยที่ยังไม่ทันมองหน้าจอเลยด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนโทร.มาปลุกเขาแต่เช้า
“คริส..เออ นายตื่นรึยังน่ะ ฉันโทร.มาปลุกรึเปล่า?” เสียงเล็กตอบกลับมาอย่างกล้าๆกลัวๆแถมยังเกรงใจคนตัวสูงอีกด้วยที่โทร.หาในเวลาเช้าๆแบบนี้ แต่เมื่อคริสได้ยินเสียงที่คุ้นหูก็มองเบอร์บนหน้าจอโทรศัพท์ว่าเป็นใครโทร.มา ที่แท้ก็เพื่อนตาโตของเขานี่เอง....เกือบด่าไปแล้วมั้ยล่ะ
“อ้าว..คยองซูเองเหรอ เปล่าหรอกๆฉันกำลังจะตื่นพอดี ว่าแต่มีอะไรรึเปล่าโทร.มาเช้าเชียว” โกหกคำโตออกไปเพราะไม่อยากให้คนตาโตต้องลำบากใจ
“เออคือวันนี้นายว่างรึเปล่า พอดีฉันมีเรื่องจะให้ช่วยน่ะ”
“ช่วย?..ว่างๆ วันนี้ไม่ได้ไปไหน ว่าแต่มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
“ออกมาหาหน่อยสิเดี๋ยวส่งที่นัดไปให้..แต่อย่าบอกอี้ชิงนะ”
“โอเค”
พอวางโทรศัพท์จากคยองซูแล้วคริสก็ตัดสินใจลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอกตามที่นัดกันไว้ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อนตัวเล็กของเขามีเรื่องอะไรแต่ก็เนื่องด้วยไม่ได้เจอกันสักพักเพราะที่บริษัทก็ยุ่งๆก็ขอถือโอกาสนี้ไปเจอกันหน่อยก็ดี หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วจังหวะที่กำลังจะเดินออกมาจากห้องนอนก็เห็นลูกสาวสุดที่รักค่อยๆคลานเข้ามาหาเขาที่ยืนอยู่
“ป๊า..ป๊าป๊า” เสียงเด็กอ้อแอ้ส่งเสียงเรียกปะป๊าที่ยืนมองอยู่ก่อนที่คนตัวสูงจะเข้ามาอุ้มลูกสาวขึ้นมากอดแถมด้วยการฟัดแก้มยุ้ยๆไปหนึ่งทีแรงๆ
“ครับลูกของปะป๊า..มะม๊าไปไหนละค่ะหืม? ทำไมหนูอยู่คนเดียวน้า..” ปากก็ถามไปแต่สองขาก็สาวเท้าเดินมาทิ้งตัวนั่งที่โซฟาห้องรับแขก หูก็ได้ยินเสียงก๊อกๆแก๊กๆในครัวไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอี้ชิงคงกำลังทำอาหารอยู่ ที่พื้นห้องก็มีทั้งตุ๊กตาสีหวานแหววกับของเล่นมากมายกระจายอยู่บนพื้นคงจะเป็นฝีมือน้อยๆของลูกสาวเขานั่นแหละ
“ม๊า..ม๊ามัมมัม..” นิ้วน้อยๆของเจ้าตัวน้อยชี้เข้าไปในครัวพร้อมกับส่งเสียงเรียกผู้เป็นแม่เป็นเชิงบอกให้ปะป๊าตัวสูงรู้ว่าอี้ชิงอยู่ในนั้น
“ค่ะ ปะป๊ารู้แล้วค่ะว่าคุณม๊าอยู่ในครัว...ลูกสาวใครน่ารักไปพอยังฉลาดเหมือนใครน้า?...” เสียงทุ้มลากยาวเป็นการหยอกล้อเด็กน้อยบนตักที่มองเขาตาไม่กระพิบก่อนที่จะตอบเสียงดังฟังชัดเรียกเสียงหัวเราะจากคนตัวสูงได้เป็นอย่างดี
“ป๊า!”
“ฮ่ะๆๆๆ! เก่งมากค่ะฟานฟ่านของคุณป๊า ฮ่าๆๆๆ” คริสอู๋ละภูมิใจสุดๆกับลูกสาวคนนี้ นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ที่เขาไม่ได้นั่งเล่นจริงๆจังๆกับฟานฟ่านแบบนี้ เพราะเวลาส่วนมากก็ทำงานพอกลับมาเล่นด้วยได้ไม่นานก็ถึงเวลาที่ลูกสาวตัวน้อยจะต้องนอนหลับแล้ว นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็อดที่จะอิจฉาอี้ชิงไม่ได้
เสียงหัวเราะทุ้มๆที่ระเบิดลั่นห้องบวกกับเสียงเล็กๆของเด็กน้อยที่ก็กำลังหัวเราะมีความสุขไม่แพ้กันเรียกความสนใจจากคนตัวขาวที่วุ่นวายกับอาหารเช้าได้เป็นอย่างดี อี้ชิงเดินออกมาดูแต่ก็ต้องหยุดฝีเท้าไว้ที่ประตูครัวเมื่อเห็นว่าคริสกำลังเล่นอย่างมีความสุขกับลูกสาวอยู่ก็ไม่อยากที่จะเข้าขัดจังหวะ...ขอแอบมองห่างๆแบบนี้ดีกว่า ใบหน้าหวานที่ตอนนี้ไม่สามารถกลั้นยิ้มได้เลยลอบมองสองพ่อลูกกำลังต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข เป็นภาพที่มีความหมายมากมายจริงๆ
“ได้เวลาอาหารเช้าแล้วครับคุณป๊าคุณลูก” ยืนยิ้มอยู่ได้ไม่นานก็ตัดสินใจเดินเข้าไปเรียกสองพ่อลูกที่นั่งเล่นกันอยู่ที่พื้นห้องเพราะว่านี่ก็เกือบจะสายแล้ว
“ม๊า!” เสียงเล็กตะโกนขึ้นเรียกให้ผู้เป็นแม่เดินเข้ามาอุ้มซึ่งอี้ชิงก็เดินเข้าไปอุ้มลูกสาวจากพื้นขึ้นมาในอ้อมกอดแต่ก็ต้องชะงักงันเมื่ออยู่ๆก็รู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆที่ริมฝีปากในจังหวะที่เงยตัวขึ้น
“morning kiss ครับ ..ที่รัก” คริสฉวยโอการตอนที่อี้ชิงก้มลงอุ้มฟานฟ่านขโมยจูบจากริมฝีปากอวบอิ่ม
“เอ่อ..ดะ ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว..ไปกินข้าวกินเถอะครับคนเก่ง” ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ชินสักทีกับการกระทำแบบนี้ อยู่ด้วยกันมาก็เกือบจะปีแล้วแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงยังรู้สึกเขินแบบนี้อยู่อีกก็ไม่รู้
“คริส วันนี้นายจะไปไหนเหรอ?” หลังจากเสร็จสิ้นมื้อเช้าและทำความสะอาดจานชามเสร็จแล้วอี้ชิงก็เห็นคริสกำลังใส่รองเท้าเตรียมออกไปข้างนอกทั้งๆที่วันนี้ก็เป็นวันหยุดอีกหนึ่งวัน
“เอ่อ..เออ..ไปธุระน่ะ ว่าแต่นายอยากได้อะไรมั้ยเดี๋ยวฉันจะได้ซื้อเข้ามาให้” เกือบหลุดปากบอกอี้ชิงไปแล้วว่ากำลังจะออกไปหาคยองซูแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าคนตาโตสั่งห้ามไว้ไม่ให้บอก เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ให้บอกก็ไม่รู้
“ไม่..รีบไปรีบกลับนะ” ส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงปฏิเสธ ก็ไม่ได้อยากรู้หรอกว่าคริสจะออกไปไหนเพราะอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากให้เขารู้เขาก็จะไม่เซ้าซี้อะไรแต่ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
“ครับ..ฟอด! แล้วป๊าจะรีบกลับมานะครับม๊า..ฟานฟ่านค่ะเดี๋ยวปะป๊าซื้อขนมมาฝากนะค่ะ...ไปนะอี้ชิง” ตบปากรับคำเสร็จก็ไม่ลืมที่จะหอมแก้มขาวเนียนของคนรักไปฟอดใหญ่ๆก่อนจะเดินออกไป
“คริส..มารอนานมั้ย?” คยองซูที่พยายามรีบสุดตัวเมื่อรู้ว่าตัวเองที่เป็นคนนัดแต่กลับมาสายสะเองเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าคริสนั่งจิบกาแฟสบายใจอยู่ในร้านที่นัดกันเอาไว้
“อ่าว..ไม่นานหรอก..ว่าแต่มีอะไรนั่งก่อนมั้ย?” ที่จริงเขาก็ไม่ค่อยซีเรียสเรื่องเวลาเท่าไหร่ถ้ามีกาแฟให้เขาจิบรอไปพลางๆ เอ่ยทักอีกคนกลับแค่เห็นสภาพก็คงจะเดาได้ไม่ยากว่าคยองซูคงจะรีบวิ่งมาแน่ๆ
“ไม่หรอก ไปกันเลยดีกว่าเดี๋ยวนายจะได้รีบกลับไปหาอี้ชิงกับฟานฟ่าน” ส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะบอกเป็นเชิงให้คริสรีบดื่มกาแฟให้หมดแล้วจะได้รีบไปเป็นเพื่อนเขาจะได้รีบกลับบ้าน เพราะเขาเองก็เกรงใจอี้ชิงด้วยเหมือนกันที่ลากสามีเขามาแบบนี้ แต่ที่ไม่ให้คริสบอกว่าไปไหนเพราะเขาไม่อยากให้อี้ชิงระแวงเขากับคริส
“ไปก็ไป..ว่าแต่นายมีอะไรเนี่ยทำไมไม่บอกสักที” วางเงินค่ากาแฟไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินตามอีกคนออกมาจากร้านกาแฟ
“เออ..พอดีพรุ่งนี้วันเกิดจงอินน่ะ ฉันเลยอยากซื้อของขวัญให้แต่ฉันไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรเลยอยากให้นายช่วยเลือกหน่อย” บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงไป เขาอยากจะเซอร์ไพรส์คนผิวเข้มสักหน่อยแต่ก็เลือกไม่ถูกและที่ให้คริสช่วยมาเลือกเพราะดูจากบุคลิกกับรสนิยมแล้วก็คล้ายๆกัน
“ที่แท้ก็ซื้อของให้แฟนนี่เอง” พูดถึงเรื่องจงอินแล้วคริสก็ออกจะสนับสนุนเต็มที่ถ้าหากว่าคยองซูกับจงอินจะคบเป็นแฟนกัน เพราะจงอินเป็นคนดีมากและเหมาะสมกับคยองซูที่สุดและที่สำคัญเขาก็สารถที่จะวางใจให้ดูแลเพื่อนเขาได้
“บ้าหรือไงคริส! ฉันไม่ได้เป็นแฟนกับหมอนั่นสักหน่อยนะ...บ้าจริง”
“ฉันว่าอันนี้เหมาะกับหมอนั่นนะ” คริสหยิบเสื้อลายเรียบๆสีกลมท่าขึ้นมาดู เสนอให้คยองซูเอาไว้เป็นตัวเลือกอีกทาง
“เสื้อ? นายคิดว่าฉันควรซื้อเสื้อให้หมอนั่นเหรอ?” มือบางเอื้อมมาหยิบเสื้อที่คริสยื่นให้ พิจารณาดูจะว่าไปก็เหมาะกับจงอินดีนะ แต่อยู่ๆก็เหมือนมีความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัว
“ไม่สวยเหรอ?” เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคยองซูเก็บเสื้อแขวนเข้าที่เดิมก็แปลกใจ
“สวย..แต่ฉันนึกอะไรออกแล้วว่าจะซื้ออะไรให้หมอนั่นดี ไปเร็ว!” พูดจบก็คว้าข้อมือหนาให้เดินตามไป แม้จะทั้งงงทั้งแปลกใจกับการกระทำของคนตาโตแต่ก็อดที่จะหลุดยิ้มออกมาไม่ได้ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เห็นคยองซูจะแลดูมีความสุขแบบนี้ ตั้งแต่มีจงอินเข้ามาดูเหมือนว่าชีวิตของเพื่อนตาโตของเขาก็สดใสมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
“เสื้อคู่?” เดินมาได้ไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่ร้านเสื้อผ้าอีกร้านที่อยู่ถัดลงมาอีกชั้นหนึ่ง แต่ที่น่าแปลกคือคยองซูหยิบแต่เสื้อคู่หลายๆลายมาให้เขาช่วยเลือก
“อื้ม! เสื้อคู่นี่แหละ...ตอนนั้นจงอินซื้อสร้อยคู่ให้ฉัน ฉันเลยอยากซื้ออะไรที่มันคู่ๆกันบ้างให้เขา..เป็นไง นายว่าลายไหนสวย?” นึกถึงสร้อยคู่ที่จงอินเคยซื้อให้กันตอนที่ไปดูหนังด้วยกันคราวนั้นก็ยิ่งเขิน เขาไม่รู้ว่าจงอินจะยังสวมมันอยู่รึเปล่าแต่เขาสวมมันไว้ตลอดเวลา ไม่เคยเลยที่จะถอดมันออก
“หึ..แล้วไหนบอกว่าไม่ได้เป็นแฟนกัน ขนาดฉันกับอี้ชิงเรายังไม่มีอะไรคู่ๆกันเลยนะ แต่นายสองคนนี่ชักจะยังไงๆแล้วนะคยองซู” คำพูดสั้นๆของคริสก็ทำเอาคยองซูถึงกับไปไม่ถูกเหมือนกัน มันก็จริงอย่างที่คริสพูดว่าเรื่องของเขากับจงอินนี่ก็ชักจะยังไงๆแต่จะยังไงเขาเองก็ไม่รู้ เรื่องระหว่างเขาสองคนมันเป็นแบบไหนเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
“เออน่า..นายว่าลายไหนสวยล่ะ”
“ถ้านายคิดจะซื้อเสื้อคู่ของนายกับหมอนั่นนายก็ต้องเลือกเองสิ มาให้ฉันเลือกทำไมนายไม่ได้ซื้อไว้ใส่กับฉันสักหน่อย....นายคิดว่าลายไหนสวย คิดว่าลายไหนที่เหมาะกับความสัมพันธ์ของนายสองคนก็ลายนั้นแหละ” เป็นคำตอบที่ดีไม่มีที่ติ แต่ที่คริสพูดมันก็ถูกทุกอย่าง เรื่องแบบนี้มันให้ใครมาช่วยเลือกไม่ได้หรอก เขาต้องเลือกออกมาจากความรู้สึกของเขาเอง
“กลับกันเลยมั้ย?...แล้วนายซื้ออะไรมาด้วยน่ะ” หลังจากตัดสินใจเลือกลายเสื้อที่คิดว่าเหมาะกับทั้งเขาเองกับจงอินได้แล้วก็เอ่ยปากชวนเพื่อนตัวสูงกลับเพราะเขาเองก็มีงานถ่ายแบบตอนเย็นเหมือนกันเหมือนกัน แต่ก็เหลือบไปเห็นในมือของคริสที่ถือถุงอะไรสักอย่างอยู่ที่เหมือนกับถุงของเขา
“ฉันก็พึ่งนึกได้เหมือนกันว่าฉันกับอี้ชิงก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นของคู่กันเลย ฉันเลยซื้อมาด้วย..มีของฟานฟ่านด้วยนะ!” ตอนที่คยองซูเข้าไปลองเสื้ออยู่ สายตาคมของเขาก็ดันเหลือบไปเห็นเซทเสื้อที่ใส่หุ่นโชว์อยู่ มีเสื้อของพ่อ แม่และก็ลูกดูน่ารักมากเขาเลยตัดสินใจซื้อกลับมาฝากอี้ชิงกับฟานฟ่านด้วย
“ฮ่ะๆ นายนี่เป็น Family man มากเลยนะคริส”
“ชัวร์” เสียงหัวเราะเล็กๆบังเกิดขึ้น เขามีความสุขมากที่เรื่องของเขากับคยองซูมันจบลงด้วยดีแบบนี้ ตอนแรกเขาก็กลัวและกังวลมาก กลัวว่าคยองซูจะเปลี่ยนไปเพราะเสียใจจากเขาแต่เรื่องมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขากลัวสักนิด เขาได้เพื่อนที่น่ารักของเขากลับมาแล้วอีกครั้ง
“โอ๊ย! เฮ้ย..คริส!!” เขาสองคนเกือบจะเดินมาถึงรถอยู่แล้วเชียวแต่อยู่ๆคริสก็ได้ยินเสียงคยองซูร้องขึ้นเสียงหลงก็หันกลับมามอง เห็นว่ามีโจรมันวิ่งกระชากกระเป๋าของคยองซูไปก็ไม่รอช้ารีบวิ่งตามไปทันที
“รออยู่นี่นะ ห้ามตามไป!!”
“ระวังตัวนะคริส!”
“มึง!!” จังหวะที่โจรมันกำลังกระโดดข้ามกำแพงเตี้ยๆที่กั้นเลนรถหนีไปคริสก็ไวกว่ารีบหยิบกรวยแถวนั้นขว้างไปที่หลังของมันจนมันเสียหลักล้มลงไปกับพื้น ไม่รอช้าสองขายาวรีบวิ่งเข้าไปหยิบกระเป๋าของคยองซูคืนทันที แต่ไอโจรนั่นก็ดันตัวขึ้นมากระโดดถีบที่ท้องของคริสจนเสียหลักล้มไปกับพื้นเช่นกัน
“เอามานะมึง!” แต่แทนที่มันจะหนีไปมันกลับหยิบมีดที่ซ่อนเอาไว้ขึ้นมาขู่ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้คริสที่ค่อยๆลุกขึ้นตั้งหลักได้แล้ว
“หึ..แน่จริงมึงก็เข้ามาเอาเองสิ” แม้ว่าคู่ต่อสู้จะมีมีดอยู่แต่คริสก็ไม่ได้กลัวเลยสักนิดเดียว เขาไม่ปล่อยมันไว้หรอกคนชั่วแบบนี้ต้องจับส่งตำรวจ และไอโจรนั่นก็หลงกลเดินเข้ามาหวังจะกระชากกระเป๋าไปอีกครั้งแต่คริสก็สามารถต่อสู้กับมัน พยายามที่จะจับมันให้ได้แต่ก็ต้องคอยระวังเพราะมันถือมีดอยู่
“คริส! จับมันเลยครับ จับมันเลย!!” คยองซูที่วิ่งไปตามรปภ.มาได้ก็รีบวิ่งมาช่วยคริส แต่จังหวะที่คยองซูเอ่ยเรียกนั้นคริสหันมาทำให้พลาดท่าถูกมีดที่มันถือฟันมาที่ท้องจนต้องเผลอปล่อยมือที่พยายามจับโจรอยู่ออกมากุมที่ท้องแทน แต่รปภ.ที่คยองซูพามาช่วยก็สามารถจับไอโจรชั่วได้
“คริส!! เป็นอะไรมั้ย?..เฮ้ย เลือด! ไปโรงพยาบาลเร็ว..คุณรปภ.ครับรบกวนฝากมันส่งตำรวจด้วย แล้วนี่นามบัตรผม มีอะไรให้คุณตำรวจติดต่อมานะครับ ขอบคุณมาก” พูดจบก็พยุงคริสให้เดินมาที่รถก่อนจะขับออกไปที่โรงพยาบาลแต่คริสก็ห้ามเสียก่อน
“ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอกคยอง..มันเล็กนิดเดียวเองน่าเดี๋ยวฉันไปให้อี้ชิงทำแผลให้ก็ได้”
“อยากให้อี้ชิงรู้ก็ตามใจ...แต่เดี๋ยวฉันไปทำแผลให้เอง ที่คอนโดนายนะ”
“อืม”
“ค่อยๆเดินนะ” คยองซูอาสามาส่งคริสที่คอนโดเพื่อจะได้มาทำแผลให้ พลางก็นึกโทษตัวเองที่นัดเพื่อนมาให้โดนทำร้ายแท้ๆ แล้วนี่เขาจะหาข้อแก้ตัวยังไงกับอี้ชิงดีละทีนี้ พาสามีเขามาเจ็บตัวแบบนี้อี้ชิงจะฆ่าเขามั้ยเนี่ย
“ประตูล็อค?..สงสัยอี้ชิงไปข้างนอก..” กดกริ่งเรียกเมื่อเห็นว่าไม่มีใครออกมาเปิดก็ลองเปิดประตูดูแต่มันล็อคแสดงว่าอี้ชิงไม่อยู่ที่ห้อง คงคิดว่าเขาจะไม่กลับมาเร็วขนาดนี้คงออกไปซื้อของละมั้ง?
“ค่อยๆเดิน..ไปนั่งรอในห้องเลย กล่องยาอยู่ไหน?” เมื่อเดินเข้ามาในห้องได้คยองซูก็ออกคำสั่งให้เจ้าของห้องตัวโตที่บอกว่าไม่เจ็บๆแต่เดินตัวงอให้ไปรอในห้องพลางถามหากล่องยา
“ในตู้” ชี้ไปทางตู้เตี้ยๆที่ตั้งอยู่ข้างๆโทรทัศน์แล้วก็ค่อยๆเดินเข้ามารอในห้องตามคำสั่ง ก็ดีเหมือนกันที่อี้ชิงไม่อยู่ เขาก็ไม่อยากให้อี้ชิงรู้เหมือนกันแต่ก็ไม่อยากไปโรงพยาบาลเดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่ แผลที่ท้องก็เล็กนิดเดียวแต่ทำไมเจ็บเป็นบ้าก็ไม่รู้ ช่วงนี้ก็คงต้องระวังไม่ให้อี้ชิงเห็นสินะ
“ถอดเสื้อสิ...อายอะไรฉันเคยเห็นของนายมาหมดแล้วน่า” พอเดินเข้ามาในห้องพร้อมกล่องยาก็ออกคำสั่งให้คริสที่นั่งอยู่บนเตียงถอดเสื้อ แต่คนตัวสูงอยู่ๆก็หน้าแดงขึ้นมาเสียดื้อๆ เขารู้หรอกนะว่าคริสอายเขา เขาก็อายเหมือนกัน..แต่อายที่พูดไปแบบนั้นมากกว่า
“คยองซู!..” เขาเองก็ไม่นึกว่าคยองซูจะกล้าพูดแบบนั้น แต่เขาก็อายจริงๆนั่นแหละ นานแล้วนะเรื่องระหว่างเขาสองคน หลายเดือนมานี้ที่อยู่กับอี้ชิงก็มีอี้ชิงคนเดียวที่เห็นร่างกายของเขา
“เออน่า..เร็วสิเดี๋ยวอี้ชิงมาก็เห็นหรอก หรืออยากให้อี้ชิงรู้?”
“ก็ได้ๆ”
“โอ่ย! คยองซู เบาๆหน่อยสิเจ็บนะ!” เสียงทุ้มร้องออกมาเสียงหลงทันทีที่สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดลงมาที่แผลแถมมือคนตาโตก็หนักชะมัด ไม่คิดจะเบาๆกันบ้างเลย
“ทีเมื่อกี้ละทำเป็นเก่ง..โอเคๆ เบาๆก็เบาๆ” นึกขำเพื่อนตัวโตที่โตแต่ตัวจริงๆ แผลเล็กนิดเดียวร้องเสียงหลงยังกะจะขาดใจ ทีเมื่อกี้ละทำเป็นบอกว่าแผลแค่นี้ไม่เจ็บๆ มันน่าแกล้งให้เข็ดจริงๆคนอวดเก่ง
“โอ่ย! ซี๊ดดด..คยองซู! อ่า..เบาๆสิ” เกือบผลักคนตัวเล็กล้มไปกับพื้นแล้วมั้ยล่ะ นี่เขาอยากจะรู้จริงๆว่าตั้งใจจะช่วยหรือจะแกล้งกันแน่ ชุบสำลีกับแอลกอฮอล์ที่ก็ชุ่มไปหมด ทำแบบนี้แทบจะราดแอลกอฮอล์ลงมาที่แผลเลยนะ ทั้งแซบทั้งเย็นที่แผล
“นี่ก็เบาแล้วนะ..ยังไม่ทันได้ลงแรงอะไรเลย อ่อนว่ะ” ปากก็บ่นไปแต่สายตานี่ยิ้มร่าที่ได้แกล้งคนตัวโต ใจจริงก็อยากจะราดลงไปที่แผลเลยนั่นแหละ
“เร็วๆสิ...เสร็จรึยังเดี๋ยวอี้ชิงกลับมาเห็น” เร่งเร้าเมื่อเห็นว่าตอนนี้คยองซูกำลังตัดผ้าปิดแผลอยู่ สายตาก็คอยระแวงกลัวว่าอี้ชิงจะกลับมาเห็นว่าเขาเจ็บตัวมา
“ใกล้แล้วๆ...นี่ ช่วยจับหน่อยสิมันเอาไม่ออกอ่ะ” ก็อยากจะเสร็จเร็วๆหรอกนะเพราะว่าเขาต้องรีบไปที่สถานีตำรวจต่อแล้วจะได้ไปทำงาน แต่ไอกรรไกรนี่ก็คมสะเหลือเกินแค่ตัดผ้าปิดแผลบางๆยังไม่ออกเลย คริสยื่นมือมาจับอีกฝั่งของผ้าให้มันตึงจะได้ตัดได้ แต่ในเมื่อมันตัดไม่ได้ก็ไม่ต้องตัดมัน
“จับคนละข้าง..ดึงเลย ทำแบบนี้มันไม่ออกหรอก” ปากรรไกรที่แสนจะไร้ประโยชน์ทิ้งผ้ามันใกล้จะขาดแล้วดึงอีกนิดเดี๋ยวก็ขาด คยองซูพยักหน้ารับให้สัญญาณนับสามพร้อมกันแล้วก็ดึง
“โอ๊ย!!/อ๊ะ!!” แต่ด้วยแรงที่ดูเหมือนว่าจะมากเกินผ้าที่เกือบขาดมันขาดง่ายกว่าที่คิดทำให้คริสที่ดึงแรงมากไปหงายหลังล้มไปที่ที่นอน แผลที่ยังทำไม่เสร็จก็เจ็บขึ้นมาอีก ส่วนคยองซูก็หงายหลังก้นจ้ำเบ้ากระแทกพื้นเหมือนกัน
“ออกแล้ว! ลุกขึ้นมาเลยคริสเร็วจะได้เสร็จๆ” คนตาโตดึงอีกคนที่นอนหงายอยู่ให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ เช็ดเชือดที่ไหลออกมาอีกครั้งออกและลงมือปิดแผล
“โอ่ย!คยองซู นายนี่รุนแรงจังนะ..” บ่นไปเรื่อย ก็คยองซูนั่นแหละเห็นตัวเล็กแค่นี้แต่มือหนักเป็นบ้า ทำแผลทีนี่ทำเอาเกร็งไปหมด จะร้องมากก็ไม่ได้เดี๋ยวหาว่าสำออย
“เอ้า! เสร็จแล้ว..กินยาแก้ปวดด้วยละแล้วก็นอนพักสะ..ฉันต้องไปธุระต่อ ขอบคุณมากนะที่วันนี้นายช่วยฉันได้เยอะเลย และก็ขอโทษด้วยที่ทำให้นายเจ็บตัวแบบนี้”
“ยินดี..ขอบคุณมากนะที่ช่วยฉันเหมือนกัน” พูดพร้อมๆกับชี้ไปที่แผลที่ท้องที่คนตาโตพึ่งผิดแผลเสร็จสดๆร้อนๆ แม้จะดูไม่เรียกร้อยเท่าอี้ชิงกำก็เถอะแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยมันไว้
“อื้ม..ไปล่ะบาย..”
คยองซูเปิดประตูออกมาจากห้องนอนแล้วก็ใส่รองเท้าเดินออกจาห้องไปโดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าอี้ชิงกลับมาแล้ว อี้ชิงกลับมานานแล้วด้วย...นานพอที่จะได้ยินบทสนทนาทั้งหมดของเขากับคริสที่อยู่ในห้องนอน แต่ก็ได้ยินแค่เสียงเท่านั้นไม่ได้เห็นภาพด้วยว่าที่แท้จริงแล้วคริสกับคยองซูทำแผลกันแต่สิ่งที่อี้ชิงคิดมันไม่ใช่แบบนั้น... สิ่งที่อี้ชิงได้ยินมันทำให้เขาคิดว่า....
คริสกับคยองซูมีอะไรเกินเลยกัน!!
.................................
TBC.
แท๊นแทนแท้นนนนนนนนนนนนนนน!!!!!
มาต่อภาคสองแล้วน้า ตามที่ใครๆต้องการรรรรรรรรรรรรรรรร (ใครย่ะ??)
มาต่อแล้วววว มาช้ามากกกกก ขอโทษมากจริงงงๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!
ทุกคนก็รู้เรื่องพี่คริสกันใช่มั้ยละค่ะ..นั่นแหละไรท์ร้องไห้ไปสามวันติดเลย ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร จะแต่งทีก็นึกถึงหน้าพี่คริสลอยมามันก็จุก
แต่ตอนนี้ไรท์พอทำใจได้แล้วเพราะไรท์มีความหวัง!! ไรท์หวังและเชื่อพี่คริสค่ะ!!!
ไรท์รู้นะคะว่ามีบางคนอาจจะว่ามันเพ้อเจ้อที่จะหวังอะไรลมๆแล้งๆ หรือบางคนจะบอกให้ไรท์เลิกมโน!!! แต่ไรท์รักและเชื่อใจพี่คริสเสมอ และไรท์ก็อยากให้ทุกคนรักพี่คริสเหมือนเดิม...ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นไรท์ไม่อยากให้ทุกคนลืมพี่คริส พี่คริสผิดจริงมันก็จริงที่ทำแบบนี้แต่เราก็ต้องเข้าใจเหตุผลของพี่เขาด้วย
บางคนอาจจะเลิกรัก เลิกสนับสนุนพี่คริสไปแล้วแต่ไรท์อยากบอกว่ายังมีไรท์คนนี้ที่จะรักพี่คริสเสมอไม่ว่าจะเป็นคริส exo หรือจะเป็นเพียงอู๋ อี๋ฟานคนธรรมดา ไรท์ก็จะรักอยู่แบบนี้ อาจจะว่าไรท์เหลวไหลไร้สาระ ไรท์รู้ว่าสักวันเรื่องนี้มันก็จะเป็นอดีต สักวันเราก็ต้องเติบโตขึ้นและลืมเรื่องที่เคยพูดไว้ไป แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ค่ะ...
บางคนอาจจะหยุดแต่งเรื่องคริสเลย์ไปเพราะเรื่องนี้ ไรท์ยอมรับค่ะว่าไรท์เองก็เคยคิดว่าจะปิดเมื่อรู้ข่าววันแรกไม่ใช่เพราะไรท์ไม่รักพี่คริสแต่เพราะการแต่งนั้นมันต้องนึกถึงหน้า นึกถึงโมเม้นท์ของเขาแล้วไรท์ทำใจไม่ได้ แต่อย่างที่บอกว่าไรท์ทำใจได้แล้วว่าพี่คริสยังอยู่ตรงนี้เสมอไม่ได้ไปไหน
และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า ความจริงคือพี่คริสอยู่หรือไปแต่ไรท์ก็จะแต่งฟิคคริสเลย์เรื่องนี้จนจบ แม้ว่าจะไม่มีคนอ่านแล้ว แต่ไรท์ก็ไม่สามารถลบพี่คริสออกจากการเป็นพระเอกในฟิคและในชีวิตจริงได้ค่ะ...
รักรีดทุกคน..และอยากให้รีดไม่ต้องรักพี่คริสมากแต่ขออย่าเกลียดและทอดทิ้งพี่เขานะคะ....
ฝากแชร์ ฝากโหวต และที่สำคัญ
อย่าลืม เม้นท์!!!!!!!
@eiraklay
ความคิดเห็น