ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mission of Love ปฏิบัติการล่ารัก [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 9 เรื่องราวกลางฤดูฝน

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 55




    ตอนที่ 9
    เรื่องราวกลางฤดูฝน
     
     
                    “พวกนายจะนั่งสัปหงกอยู่แบบนี้อีกนานมั้ย” มะนาวที่ทนนิ่งเงียบอยู่นานถามขึ้นมาเรียบๆ ชั่วโมงแรกในรั้วมหาวิทยาลัยฮ่องเต้กับเปอร์เช่ก็ชวนกันไปเฝ้าพระอินทร์กันเป็นที่เรียบร้อย ไม่มีคำว่าเกรงอกเกรงใจอาจารย์ที่ยืนหัวโด่อยู่หน้าห้องเลยสักนิด
     
                    มีคำกล่าวไว้ว่าชีวิตในมหาลัยมีอิสระกว่ามัธยมมาก มะนาวก็ไม่คิดว่ามันจะอิสระได้มากขนาดที่ว่าทำน้ำลายหกใส่โต๊ะส่วนกลางแล้วก็ยังไม่มีใครว่า ตราบใดที่ยังไม่กรนดังๆออกมารบกวนคนอื่นก็โอเคแล้ว
     
                    ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะระบบมันหย่อนยานเพียงแต่คนอายุเท่านี้มันควรจะรู้ว่าอะไรสมควรทำอะไรไม่สมควรทำได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใครมาคอยจู่จี้ ระบบนี้มันทำให้คนเป็นผู้ใหญ่ก็จริงแต่ว่ามันก็ทำให้หวนคิดถึงไม่เรียวอาจารย์ขึ้นมาตงิดๆ
     
                    “อ้าว ทั้งสามคนไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่ บังเอิญจังเลย” เสียงหวานคุ้นหูทำให้เปอร์เช่กระเด้งตัวลุกขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อขยี้ตาอยู่หลายครั้งเขาก็มั่นใจว่าตัวเองตาไม่ฝาด
     
                    “มิ้นท์มาอยู่ที่นี่ได้ไง” เปอร์เช่อดจะถามไม่ได้ ก็ที่นี่มันมหาลัยเอกชน คนอย่างสาวสวยน่ารักประจำโรงเรียนที่ทั้งเรียนเก่งทั้งหัวดีไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้
     
                    พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเปอร์เช่ก็ออกอาการปลงขึ้นมาน้อยๆ ไม่คิดว่าผลการสอบจะออกมาในรูปแบบที่ตลกที่สุดคือทั้งเขาทั้งฮ่องเต้ที่น่าสอบตกทั้งคู่ดันสอบผ่านแต่มะนาวมันดันอุตริไม่ไปสอบเพราะคิดว่าเสียเวลาเปล่าๆยังไงซะพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่น่าจะสอบได้
     
                    แต่มันก็เป็นไปแล้ว เพราะงั้นแทนที่จะได้เรียนมหาลัยดังๆกันก็กลายเป็นว่าแห้วหมู่
     
                    ทีอย่างนี้ล่ะมาทำเป็นขี้เกียจไม่เข้าเรื่อง เปอร์เช่ อยากจะสมน้ำหน้ามะนาวมันก็ทำไม่ได้เพราะตัวเองก็ติดร่างแหไปด้วยจนขำไม่ออก
     
                    เอาก็เอาวะ เอกชนก็เอกขนอยู่ใกล้บ้านหน่อยไม่ต้องดันทุรังไปถึงกรุงเทพฯ ได้อยู่เล่นกะมินิแล้วก็อัลฟ่าด้วย เปอร์เช่พยายามขุดข้อดีของการไม่ได้ไปเรียนมหาลัยดังในกรุงเทพฯขึ้นมาในหัวทีละข้อเพื่อปลอบใจตัวเอง
     
                    ถึงจะเสียดายเวลาอ่านหนังสือไปตั้งมากก็เถอะ
     
                    “พ่อกับแม่อยากให้เรียนที่นี่น่ะเช่ แล้วเราก็ได้ทุน ตอนนี้ยังไม่รู้จักเพื่อนใหม่สักคนเลยขอนั่งด้วยคนได้มั้ยอ่ะ” เด็กสาวพูดเขินๆ ดูเหมือนคณะนี้จะมีแต่ผู้ชายเต็มไปหมดไม่รู้ว่าเธอคิดผิดหรือถูกที่เลือกเข้ามา
     
                    “นั่งเลยมิ้นท์ แล้วยัยสองคนนั้นล่ะ ไม่ได้เรียนด้วยกันรึไง” เปอร์เช่มองซ้ายทีขวาทีแบบระแวงกลัวว่าคนที่จะโผล่ขึ้นมาในมุมใดมุมหนึ่งโดยไม่ทันให้ตั้งตัว
     
                    “เรียนที่นี่เหมือนกันแค่อยู่คนละคณะ ชะเอมกันรินเค้าเรียนนิเทศน์กันน่ะ มีมิ้นท์คนเดียวมาเรียนวิศวะคอม ได้เจอพวกเช่แล้วค่อยยังหน่อย” เด็กสาวพูดยิ้มๆเล่นเอาเปอร์เช่แทบละลาย
     
                    นี่มันช่วงเวลาที่พี่เช่ใฝ่หามาทั้งชีวิตชัดๆ ได้นั่งเรียนกันสองต่อสองกับอดีตดาวโรงเรียน
     
                    “เฮ้ยเช่ น้ำลายจะหกแล้ว เดี๋ยวมิ้นท์เขาก็กลัวนายหรอก” เสียงฮ่องเต้เรียกสติเปอร์เช่จากฝันหวานกลับมาสู่ความเป็นจริงที่เด็กหนุ่มยังมีก้างขวางคออยู่อีกสองชิ้นใหญ่ๆ
     
                    “มิ้นท์ไม่กลัวฉันหรอกน่า จริงมั้ยมิ้นท์” เปอร์เช่พยายามให้สาวน้อยเข้าข้าง
     
                    “ไม่กล้วจ้า เช่ตัวพอๆกะมิ้นท์เลยมีอะไรให้น่ากลัว” คำพูดของเด็กสาวเรียกเสียงหัวเราะได้ทั้งกลุ่มแน่นอนว่ายกเว้นเจ้าตัวที่โดนหาว่าเตี้ยเท่านั้น
     
                    “แต่ว่าฉันตัวสูงกว่ามิ้นท์นะ อย่างน้อยก็ 5 เซ็นต์เข้าไปแล้ว” เปอร์เช่รีบเถียง เรื่องอื่นน่ะพอยอมได้แต่ถ้าตัวเองจะตัวเตี้ยกว่าผู้หญิงที่คิดจะจีบก็นับว่าเป็นเรื่องอัปยศสุดๆ
     
                    “ไม่มีใครเค้าบอกว่านายเตี้ยกว่าสักหน่อย มิ้นท์พูดว่าตัวพอๆกันต่างหาก” มะนาวขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าเปอร์เช่ตั้งต้นจะมีดราม่าไอ้ส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นมาจนแตะเพดานร้อยเจ็ดสิบหน่อยๆได้ไม่ได้มากมายเลยสำหรับผู้ชายปกติโดยทั่วไป แต่ในเมื่อเจ้าตัวมันภูมิใจขนาดนั้นก็ปล่อยให้มันยืดต่อไป
     
                    “จะว่าไปแล้วเช่ตัวสูงขึ้นนี่เนอะ แบบนี้มีสาวๆสนใจเยอะแล้วสิท่า” มิ้นท์เท้าคางมองอย่างสนใจ เด็กผู้ชายนี่บทจะโตก็โตเร็วซะเหลือเกิน ไม่ได้สังเกตแค่พักเดียวก็เหมือนกลับจะกลายเป็นคนอื่น
     
                    “แล้วมิ้นท์สนใจมั้ยล่ะ ตอนนี้ยังไม่มีใครมาทาบทามฉันเลยสักคน ช้ากว่านี้เดี๋ยวมีคู่แข่งนะ” ในที่สุดก็พูดออกไปจนได้ เปอร์เช่แอบเหงื่อตกอยู่ในใจถึงปากจะทำเป็นพูดดีแต่ว่าเจ้าตัวกำลังแอบจิตตกอยู่นิดๆกลัวว่าเด็กสาวจะปฏิเสธแบบไร้เยื่อใย
     
                    “สนใจสิ งั้นให้มิ้นท์เป็นแฟนเช่นะ ^ ^
     
                    “เฮ้ยยย” สามหนุ่มแทบประสานเสียงพร้อมกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งมะนาวที่ปกติจะนิ่งสนิท
     
                    “เอาจริงดิมิ้นท์ ล้อเล่นแบบนี้น่ากลัวนะ” เปอร์เช่ยิ้มแห้งๆ ถึงจะไม่อยากจะโดนปฏิเสธ แต่ก็ไม่คิดว่าจะโดนตอบรับง่ายๆเหมือนกันแต่เมื่อสาวเจ้าพยักหน้าหงิกๆ เด็กหนุ่มก็ออกอาการปลาบปลื้มแทบตัวลอย
     
                    “เดี๋ยวนะเช่ แล้วคุณฟ้าครามอ่ะนายเอาไปไว้ที่ไหน” ฮ่องเต้ที่เห็นว่าเรื่องมันจะไปกันใหญ่ก็รีบกระชากคอเสื้อเปอร์เช่ออกมากระซิบกระซาบ
     
                    “หือ? หมอนั้นเกี่ยวอะไรกับฉันจะมีแฟนอ่ะ ฉันควรต้องไปขออนุญาตมันรึไง หรือว่าควรไปปรึกษาในฐานะลูกศิษย์ที่ดี แต่ว่าขืนช้าฉันจะแห้วดิวะ ดาวโรงเรียนเลยนะเฟ้ย” เปอร์เช่มองหน้าเพื่อนที่จ้องหน้าตัวเองค้างอย่างแปลกใจ ส่วนคุณท่านมะนาวที่เขาพยายามส่งสายตาเป็นเชิงถามก็เบื่อนหน้าหนี
     
                    นี่พี่เช่ทำผิดอะไรหว่า...
     
                    เอาเข้าจริงตอนนี้เปอร์เช่ก็แอบคิดว่าแต่ละวันในช่วงหลังๆมานี่มันขาดอะไรอยู่บ้าง พอไม่มีฟ้าครามมาอยู่กวนประสาทแล้วมันก็ยังไงๆอยู่ แต่ว่าจะให้เขาทำยังไงได้ในเมื่ออีกฝ่ายมีที่ที่จะต้องกลับไป
     
                    บางทีการดำเนินตามเป้าหมายในชีวิตที่คิดจะมีแฟนสาวน่ารักกับเขาบ้างแม้ว่าจะผ่านช่วงชีวิตม.ปลายไปแล้ว แต่มาเริ่มมันพร้อมกับการเริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัยมันก็ไม่เลวเหมือนกัน
     
                    “นี่ ทำไมเงียบไปล่ะ ตกลงว่ารังเกียจมิ้นท์เหรอเช่” เด็กสาวหน้าสลดลงไปเล็กน้อย ความจริงเธอก็แอบชอบอีกฝ่ายมานานแล้วแต่ไม่มีความกล้าที่จะแสดงออก แต่พอเรียนจบและคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้วเธอกึงกับโกรธตัวเองที่เอาแต่วางเฉย
     
                    ในเมื่อพระเจ้าประทานโอกาสให้เจอกับเข้าคนนี้อีกครั้งแม้ว่าจะไม่ได้รับการตอบรับเธอก็จะไม่เสียใจอย่างเด็ดขาด
     
                    “เปล่านะมิ้นท์ ไม่ใช่อย่างนั้นเรามาลองคบกันดูดีกว่า ได้มิ้นท์เป็นแฟนโชคดีจะตาย”
     
                    ในที่สุดพี่แต่ก็จะได้มีแฟนกับเขาสักที...
     
                    แต่มันแปลกก็ตรงที่ ทำไมถึงไม่ดีใจเหมือนที่ตัวเองเคยคิดเอาไว้นะ....
     
                    ....................................
     
                    “มัวเหม่ออะไรอยู่น่ะโคลด ใจคอจะปล่อยให้ฉันพูดคนเดียวไปตลอดทางเลยรึไง” เอริกเหลือบมองคนที่นั่งอยู่เบาะด้านข้างด้วยรอยยิ้มแสยะไม่เข้ากับคำพูดที่ดูตัดพ้อ
     
                    สุดท้ายรูปสลักก็กลับมาเป็นรูปสลักตามเดิม ไม่สนุกเอาเสียเลยที่ไม่ว่าจะทำยังไงฟ้าครามก็ไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อยเล่นเอาเอริกถึงกับเซ็ง
     
                    “ฉันขี้เกียจทำงาน ขอลาพักก่อนไม่ได้เหรอ...” ฟ้าครามหลุดปากพูดออกมาก่อนจะเงียบไปเพราะรู้ว่าไม่มีทาง ก็ขนาดเขาหนีไปซะหลังเขาแบบนั้นยังตามไปลากตัวกลับมา
     
                    “365 วันต่อปีนายลาพักไปซะเกือบ 200วัน แถมเวลาทำงานนายก็ยังทำแบบตามใจตัวเองอีก นายยังจะเรียกร้องอะไรเยอะนักฟะ” เอริกพูดอย่างอิจฉา ดูเขาสิขนาดวันเสาร์หรืออาทิตย์ยังไม่มีวันหยุด ปีปีนึงจะได้หยุดสัก 2-3 วันก็ประเสริฐแล้ว
     
                    “งั้นก็ไล่ฉันออกไปเลยเป็นไง ฉันเต็มใจอยู่แล้ว เงินดงเงินเดือนไม่เอาก็ได้” ฟ้าครามยื่นข้อเสนอที่ทำเอาเอริกถึงกับส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
     
                    “นายก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ว่าแต่นายไม่คิดจะมาช่วยกันบ้างเลยใช่มั้ย นายจะชิวไปหน่อยรึเปล่าโคลด” เอริกอุทธรณ์ กระจกหน้ารถจากัวร์ที่รักของเขาแตกละเอียด ยางรถเขาก็ออกจะมั่นใจว่ามันต้องเหลือแค่สามข้าง กระสุนก็สาดมาไม่หยุดแต่เจ้าคนหน้าตายมันแค่ปรับเบาะเอนลงแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
     
                    “พวกนั้นไม่ได้กะฆ่าฉันสักหน่อย แต่กับนายน่ะไม่แน่ ฟัดกันให้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยมาปลุกฉันก็แล้วกัน” ฟ้าครามพูดอย่างไม่ใส่ใจนักมือก็เอื้อมไปเปิดเครื่องเสียงในรถเป็นเพลงที่ตัวเองพอใจเพื่อกลบเสียงปืนและเสียงไม่พึ่งประสงค์ต่างๆแล้วตั้งต้นจะหลับตัดความรำคาญ
     
                    “เฮ้ย เอางั้นเลยเหรอวะ ไอ้คนใจดำตื่นขึ้นมาช่วยกันก่อนนนน” เอริกยิ่งพูดก็ยิ่งตะโกนเพราะจำนวนรถที่ทั้งเบียดทั้งพยายามชนเข้ามาถี่ขึ้นเรื่อยๆ แค่ที่เขาเบี่ยงหลบรถที่มันพุ่งเข้ามาแล้วชนเข้ากับกำแพงแทนเสียงโครมมันก็ดังสนั่นหวั่นไหวแต่ชายหนุ่มอีกคนก็ยังคงปิดเปลือกตาสนิท
     
                    แค่ขับรถกลับยังล่อกันซะขนาดนี้แล้วลองคิดดูแล้วกันว่าปกติเขาต้องเจอหนักขนาดไหน
     
                    ลูกแกะตัวเดียวยังขนาดนี้ แต่นี่เขาต้องมาดูแลตั้งสาม ถึงอีกสองตัวจะไม่ก่อปัญหาเท่าไหร่ แต่เขาดันได้ฟ้าครามที่เป็นตัวปัญหาที่สุดในหน่วยมาไว้ในการดูแล ถึงแม้ว่าจะยกให้เขาเป็นมือหนึ่งแต่ช่วยถามเขาก่อนได้มั้ยว่าเขารับมือมันไหวรึเปล่า....
     
                    ไม่น่าเลยจริงๆให้ตาย รู้อย่างงี้น่าจะไม่ยอมทำตั้งแต่ต้นไอ้งานเป็นสุนัขเฝ้าแกะบ้าๆนี่ ใครว่ามันสบายที่สุดในหน่วย จริงอยู่ที่คนอื่นๆในองค์กรมักจะคิดว่าการคุ้มครองพวกมันสมองอย่างพวกนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ หรือพวกนักทำการทดลองมันสบาย นั่งๆนอนในอยู่แต่ในศูนย์ไม่ต้องไปผจญเวรผจญกรรมเหมือนหน่วยปฏิบัติงานอื่นๆ
     
                    แต่ไม่ใช่กับการดูแลฟ้าครามแน่
     
                    บุรุษมากปัญหาที่ขึ้นสมญานามว่าเป็นอีนิกม่าของหน่วย นักวิทยาศสตร์ที่ถูกเอามาเก็บเข้าสังกัดได้ตั้งแต่ตอนอายุ 12 ผู้ที่สร้างเรื่องได้แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างไฟดับทั้งตึกไปจนกระทั่งเรื่องใหญ่ๆที่ไม่เปิดเผยแต่เคยทำเอาท่านรัฐมลตรีกระทรวงความมั่นคงถึงกับผมร่วงด้วยความเครียดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
     
                    แต่นี่ยังถือว่าโชคดีที่เขาไม่มาเจอหมอนี่ตอนทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา แต่ก็ใช่ว่าทุกวันนี้เขาจะไม่เหนื่อย นอกจากเจ้าอีนิกม่าของหน่วยมันจะชอบค้นคว้าตามประสานักวิทยาศาสตร์ทั่วไป มันยังเป็นโอตาคุอีกด้วยเวลาส่วนใหญ่ก็เลยมักจะหมดไปกับการเล่นเกมส์ ผลงานที่ต้องเอามาออกแสดงมันก็เลยหลุดโลกอยู่บ่อยๆ ตัวผลงานน่ะไม่มีปัญหา แต่วิธีการนำไปใช่ต่างหากที่มีปัญหาเพราะมันใช้ได้ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี ก่อนที่เจ้าของผลงานจะหาวิธีล้มล้างผลงานตัวเองทั้ง 100% ออกมาได้ ข้อมูลทุกอย่างจะไม่มีการเปิดเผยทั้งสิ้น
     
                    ถึงข้อมูลหลักๆจะถูกเก็บไว้ในห้องทดลอง แต่แกนหลักทั้งหมดที่จะทำให้ข้อมูลถูกนำไปใช้ได้มันกลับถูกเก็บไว้ในหัวเจ้าตัวทั้งหมด ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสุดยอดดี หรือว่าทิฐิกันแน่ ผลก็คือการเป็นที่เนื้อหอมของบรรดาผู้ก่อการ้ายทั้งปวงที่คิดจะเอาวิทยาการที่ไม่ถูกเปิดเผยมาใช้ให้ได้ เรื่องมันคงง่ายขึ้นถ้าฟ้าครามจะรู้จักมีสามัญสำนึกอยู่แต่ในหน่วย ตรงกันข้ามซะอีกเพราะเขามักจะหนีไปเที่ยวเป็นประจำ
     
                    และถึงถูกจับตัวไปได้ สุดท้ายก็แค่นั่งถอนหายใจแล้วเดินลากขาตามออกมาตอนที่เขาบุกเขาไปรับไม่ได้คิดถึงเขาเลยว่าต้องเหนื่อยยากแค่ไหนกว่าจะตามไปช่วยมันออกมาได้
     
    แถมไม่ต้องบอกเขาก็รู้ว่าฟ้าครามแอบช่วยพวกที่จับตัว ตัวเองไปด้วยซ้ำเป็นการถ่วงเวลาเพราะยังไม่อยากกลับไปทำงานมันแต่ละครั้งที่เขาต้องไปลากตัวมันออกมามันถึงยากเย็นขนาดหนัก
     
                    ก็ขนาดกับผู้ก่อการร้ายยังโดนหลอกใช้เพื่อให้ตัวเองมีเวลาอู้มาแล้ว การปล่อยให้เขารับมือการจู่โจมตอนนี้คนเดียวก็ไม่ต่างกัน ถ้าเจ็บทั้งสองฝ่ายฟ้าครามก็คงชิ่งไปอย่างสบายใจ ถ้าโดนอีกฝ่ายจับตัวไปก็ใช่ว่าฟ้าครามจะแคร์ ส่วนถ้าเขาคุ้มครองสำเร็จขึ้นมา ก็เสียเวลากลับไปอีกมากโขเพราะกว่าจะถึงตอนนั้นทั้งรถทั้งตัวเขาคงหมดสภาพไปอีกหลายวัน
     
                    เป็นอะไรที่เจ้าคนชอบเลี่ยงงานมีแต่ได้กับได้
     
                    “โคลด ถ้านายยอมช่วย ฉันจะยอมให้ยืมดาวเทียมอันนึง” เอริกตะโกนเสียงดังแทรกเสียงเพลงขึ้นมาอย่างสุดจะทน รถเขาใกล้จะหลุดเป็นชิ้นๆอยู่แล้วขืนเป็นอย่างงี้ต่อไปเขาก็เดาได้ว่าเหตุการณ์มันจะลงเอยยังไง
     
                    งานนี้เขาไม่แคล้วโดนด่าจนหูเปื่อยแน่ถ้าไม่คิดจะหาทางทำอะไรสักอย่าง
     
                    “ดาวเทียมของนาย?
     
                    “เออ ดาวเทียมของฉัน เอาไว้ส่องดูเจ้าเด็กนั้นไง ยังไงนายก็หนีกลับไปที่นั้นไม่ได้แน่ๆทั้งฉันแล้วก็ไอ้พวกเวรพวกนี้รู้ที่อยู่ตรงนั้นกันหมดแล้ว สู้เลือกเอาดาวเทียมฉันที่ฉันเสนอดีกว่าน่า”
     
                    “ข้อเสนอยังไม่ดีพอเท่าไหร่ ของแบบนั้นฉันแฮกเอาเองก็ได้” ฟ้าครามลืมตาขึ้นมามองอีกฝ่ายอย่างสนใจว่าจะมีข้ออื่นที่เขาต้องการยื่นมามั้ยแน่นอนว่าดาวเทียมของเอริกเขาก็อยากได้ แต่ก็ยังมีอย่างอื่นที่เขาต้องการ....
     
                    “เออ รู้แล้วว่าแกเก่งแต่ฉันปิดดาวเทียมแกล้งนายก็ได้นะ”
     
                    “ถึงงั้นก็ไม่ตกลง” ฟ้าครามปิดตาลงอีกรอบ แต่เอริกที่เริ่มเข้าตาจนแล้วก็เริ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่
     
                    “โอเค ฉันจะไปช่วยเจรจากับพวกตาแก่พวกนั้นขอวันหยุดเพิ่มให้นายด้วยพอใจหรือยังเล่า” คนที่เริ่มจวนตัวกัดฟันพูดอย่างเจ็บใจ รอยยิ้มสบายๆบนใบหน้าหายไปจนหมดเปลี่ยนสีหน้าที่ดูหงุดหงิดอย่างชัดเจน
     
                    เอริกเป็นคนแบบไหนฟ้าครามทำไมจะไม่รู้ ทั้งใจร้อน ขี้แกล้ง หงุดหงิดง่าย แต่ทั้งหมดจะไม่มีวันแสดงออกมาเด็ดขาดถ้าอยู่ต่อหน้าคนทั่วไปถ้าไม่ใช่กับบรรดาเพื่อนๆ
     
                    ที่สำคัญถ้าไม่ใช่คิดว่าเขาและอีกสองคนเป็นเพื่อนอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมมาทำงานบ้าๆแบบนี้
     
                    ทั้งที่รักอิสระมากกว่าใครแต่กลับเต็มใจใส่ปลอกคอตัวเองเพื่อประเทศชาติและคนที่ตัวเองยอมรับว่าเป็นเพื่อนคิดแล้วมันก็อดนับถือไม่ได้แต่ว่าสำหรับตัวฟ้าครามแล้วไม่ว่าเหตุผลใดๆเขาก็ไม่ค่อยชอบใจที่ตัวเองต้องไร้อิสระ
     
                    คนที่ต้องทิ้งอิสระมาอยู่ในกรงขัง กับคนที่อยู่ในนั้นมาตั้งแต่ต้น ใครมันจะน่าเศร้ากว่ากัน
     
                    “ส่งคนตามเจ้านั้นให้ฉันด้วยได้มั้ย ระหว่างที่ฉันยังไม่ได้วันหยุด” ฟ้าครามต่อรองเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อของเพื่อนรักพยักหน้าลงมาเหมือนคนหมดแรง ฟ้าครามก็จัดการหยิบเจ้าอุปกรณ์สื่อสารขนาดเหมาะมือขึ้นมาจ้องมองแบบหน่ายๆแล้วจัดการฉายภาพในนั้โชว์บนกระจกหน้ารถ
     
                    “อ๊ากกกก ให้ช่วยนะไม่ได้ให้แกล้ง กระจกโดนบังไปครึ่งนึงแบบนี้ฉันจะดูทางยังไง” เอริกโวย ก่อนจะสังเกตุว่าจุดสีแดงเล็กๆที่ฉายออกมามันเคลื่อนไหวได้ด้วย
     
                    “รอดูให้จบก่อนสิ เอานี่ไปใส่ด้วย” ฟ้าครามจัดการโยนแว่นสีดำแปลกตาให้อีกฝ่ายพร้อมกับที่อุดหู เมื่อตัวเองสวมเรียบร้อยแล้วร่างสูงก็ลดกระจกรถลงแล้วโยนเจ้าลูกกลมๆสีเงินขนาดพอดีมือออกไปนอกรถจำนวนประมาณสามลูก ปิดจะจกแล้วเอามืออุดหูราวกับรอว่าจะมีเสียงดังขึ้นมาในเร็วๆนี้
     
                    ตูมมมม
     
                    เสียงระเบิดดังขึ้นลั่นแต่ว่าไม่มีแม้กระทั่งแรงสะเทือนใดๆปรากฏขึ้นมา จะมีก็เพียงแต่แสงที่จ้าขึ้นมาชั่วขณะจากนั้นก็มีควันแล้วก็ควันพวยพุ่งอยู่รอบด้านเต็มไปหมดที่ฟุ้งขึ้นมาจนมองแทบไม่เห็นอะไรเลย
     
                    เป็นการพรางตัวที่สมบูรณ์แบบ ไม่หนีไม่ซ่อน แต่เล่นงานทั้งการมองเห็นของฝ่ายตรงข้าม ถ้าไม่ได้สวมแว่นที่ฟ้าครามส่งให้เอริกก็คงจะเหมือนๆกับคนอื่นที่จะมองไม่เห็นอะไรไปเกือนครึ่งช.ม.เพราะแสงสีขาวสว่างจ้าที่ส่งผลกระทบกับตาโดยตรงซึ่งต่อให้เป็นแว่นกันแดดธรรมดาก็กันไม่ได้ หูก็คงไม่ได้ยินอะไรเพราะคลื่นความถี่พิเศษที่ปล่อยออกมาตั้งแต่เสียงระเบิดตอนแรก นอกไปจากแว่นและที่อุดหูที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อแยกแยะคลื่นความถี่ทั้งของแสงและเสียงโดนเฉพาะของฟ้าครามแล้วเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะไร้ช่องโหว่
     
                    แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อความไม่ประมาทฟ้าครามก็จัดการเพิ่มควันที่เป็นก๊าซหนักที่ไม่ว่าจะมีลมหรืออะไรก็ไม่สามารถทำให้มันเคลื่อนที่ไปจากจุดเดิมได้นอกจากจะค่อยๆแทรกมันออกไปเหมือนกับแหวกตัวอยู่ในน้ำ กันพลาดว่าจะมีใครหลับตาทันหรือว่ามีศัตรูจากมุมสูง
     
                    แว่นตาที่ออกแบบมาเพื่องานแบบนี้โดยเฉพาะก็สามารถมองผ่านควันที่ตัวเองสร้างได้สบายสมกับที่ประกาศตัวเอาไว้ว่าจะไม่ยอมสร้างอะไรที่ตัวเองม่มีวิธีแก้จริงๆ
     
     
                    “เสร็จแล้วทีนี้เราทำไงต่อล่ะ จุดสีแดงคือศัตรู สีเขียวคือคนธรรมดาสินะ นายมีอะไรแยกแยะวะ แล้วทำงี้ไม่มีลูกหลงบานเลยรึไงเนี่ย เล่นทำซะขนาดนี้” เอริกขับรถไปตามหน้าจอที่แสดงผลอยู่ ตาก็มองไปตามจุดสีเขียวดูว่าจะมีใครโดนลูกหลงจนเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ แต่ที่แน่ๆพวกหน่วยเก็บกวาดที่ต้องทำหน้าที่ปกปิดและจัดการลบร่องรอยพวกนี้ทำงานหนักแน่
     
                    “ไม่มีคนบาดเจ็บหรอกน่า ฉันคำนวณไว้หมดแล้ว เดี๋ยวนายเลี้ยวลงทางนั้นเลยนะควันมันบังด้านบนไว้แล้วนายก็เนียนๆไปกับรถด้านล่างก็แล้วกัน”
     
                    “เนียนได้บ้านนายอ่ะดิ รถฉันยังกับไปประลองกับรถถังมา ไม่เป็นจุดสังเกตก็แปลกแล้ว แถมฉันคิดว่ามันไปต่อได้อีกไม่ถึงกม.หรอก” เอริกพูดเซ็งๆ ถ้าเพียงแต่อีกฝ่ายจะยอมช่วยเสียตั้งแน่เนิ่นๆคงไม่เป็นแบบนี้
     
                    แต่อย่างว่า เขาผิดเองต่างหากที่ไม่รีบยื่นข้อเสนอในเมื่อรู้จักฟ้าครามดีขนาดนี้ไปหวังลมๆแล้งๆได้ยังไงว่าอีกฝ่ายจะยอมช่วยเปล่าๆ
     
                    “งั้นก็หมายความว่า...” ฟ้าครามทิ้งตัวลงเบาะอย่างแสนเสียดาย
     
                    “ต้องจอดรถทิ้งไว้แล้วก็เดินน่ะสิ” เอริกพูดไม่ทันขาดคำรถก็ดับสนิทลงไปจริงๆ ปีนี้เขาเปลี่ยนรถไปเป็นคันที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย โชคดีที่มันไม่ใช่เงินจากกระเป๋าตัวเองแต่ว่ามันก็ยังน่าเจ็บปวดอยู่ดี
     
                    “เฮ้อ รู้อย่างนี้ปล่อยให้ทางนั้นเอาตัวไปดีกว่าจะได้ไม่ต้องเดิน รอนายขับรถสภาพดีๆมารับทีหลังน่าจะสบายกว่า” ฟ้าครามบ่นขึ้นมาลอยเมื่อต้องเอาตัวเองลงจากรถมาเจอควัน เรื่องมองทางน่ะไม่มีปัญหาแค่อุดจมูกก็พอ แต่ว่าที่สำคัญคือขี้เกียจจะเดิน
     
                    “เออ ไม่ต้องบ่นแล้ว เดี๋ยวฉันจะรีบโทรให้ใครมารับ ตอนนี้รีบออกจากทีนี่ก่อนดีกว่า” เอริกถอนหายใจคิดถึงประโยคที่เป็นคำถามยอดฮิตของตัวเพื่อนรักที่คนอื่นๆมักจะตั้งคำถามขึ้นมาเป็นประจำขึ้นมาอย่างชีช้ำ
     
                    คุณเอลิเซ่ครับ นี่คุณเลี้ยงลูกมายังไงของคุณเนี่ย......
     
                    ....................................................

    “อ๊ะ พี่เช่กลับมาแล้ว” เปอร์เช่ยิ้มรับเมื่อน้องสาวตัวน้อยโผมารับถึงที่หน้าประตูบ้าน
     
                    ตอนนี้ก็ผ่านไปได้ประมาณเดือนกว่าแล้วสินะตั้งแต่วันที่ฟ้าครามกลับไป เปอร์เช่ยังจำได้ว่าวันนั้นเขาเล่นเกมส์กับอีกฝ่ายยันเช้า ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหนแต่ว่าตื่นขึ้นมาอีกทีฟ้าครามก็กลับอเมริกาโดยไม่คิดแม้แต่กล่าวคำลา
     
                    แล้วจะให้เขาควรทำอย่างไร บ้านที่ไม่มีร่างสูงอยู่แล้วเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อการขอกลับมาอยู่ที่บ้านตัวเองก็เลยได้รับคำอนุญาตง่ายๆ ตอนนี้เรื่องเข้ามหาลัยก็จบลงไปที่เอกชนเรียบร้อยแล้ว แฟนคนแรกก็ได้ควงกับดาวโรงเรียนอย่างที่ใฝ่ฝัน แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่
     
                    “จ้าๆ กลับมาแล้ว งั้นเดี๋ยวพี่เช่ขึ้นบ้านไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วจะลงมาเล่นด้วย” เปอร์เช่ลูบหัวน้องสาวเบาๆก่อนจะคลายอ้อมกอดออกแล้วเดินไปลูบหัวอัลฟ่าที่ยืนแอบอยู่ข้างบันไดเพื่อมารับพี่ชายอีกคน
     
                    “รีบๆลงมานะค้าพี่เช่...” มินิออดอ้อน
     
                    “รู้แล้วจ้าคนสวย เดี๋ยวพี่เช่จะรีบลงมา” เปอร์เช่รับคำด้วยรอยยิ้ม
     
                    เมื่อเปอร์เช่เดินเข้าห้องได้สีหน้ายิ้มแย้มก็สลายไปทันที ร่างบางถอนหายใจออกมายาวๆ เด็กหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้จิตตกแบบแปลกๆ แล้วก็เอาแต่เฝ้ามองไอ้เจ้าเครื่องโทรศัพท์ที่เจ้าของจริงไม่คิดจะโทรมาซะทีแบบปลงๆ
     
                    หรือว่านี่จะเป็นผลพวงจากฤดูฝนที่เขาว่ากันว่าจะทำให้จิตใจคนหมองเศร้าท่าจะเป็นเรื่องจริงแค่เริ่มต้นฤดูอะไรมันก็ดูหม่นหมองไปซะหมด ทำอะไรก็ดูจะไม่ค่อยมีกะใจเท่าไหร่ ถึงจะไม่แสดงออกมาต่อหน้าใครแต่เปอร์เช่ก็ไม่อาจจะสามารถหลอกตัวเองได้เวลาอยู่คนเดียว
     
                    “ท่าทางจะประสาทไปแล้วตู” เปอร์เช่โยนโทรศัพท์ลงกับเตียงก่อนจะทิ้งตัวตามลงไป
     
                    ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมถึงได้คิดถึงอีกฝ่ายได้ขนาดนี้อาจจะเพราะตอนนี้เขาขาดความมั่นใจในการคบแฟนเพราะไม่มีคนติวให้ก็เป็นได้....
     
                    “ชิ นายจะไม่ติดต่อกลับมาจริงๆใช่มั้ย ไอ้เสาไฟฟ้าบ้า”
     
                    ..........................
     
                    “ฮัดชิ้ว....” ฟ้าครามเอามามือถูจมูกตัวเองน้อยๆอย่างรำคาญ
     
                    “จามอีกแล้ว มีใครกำลังนินทาอยู่สิท่า จะใช่เจ้าเด็กนั้นหรือเปล่านะ” เอริกยืนยิ้มมองดูเพื่อนตัวเองที่จามติดๆกันไม่หยุด ใครจะคิดว่าติดต่อคนมารับแล้วกลับกลายเป็นว่าโดนตามล่าต่อ
     
                    ท่าทางคนในจะมีหนอนบ่อนไส้ จะเป็นใครนั้นเอริกก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่ามันคงจะมีตำแหน่งสูงพอควรถึงได้จัดการการเคลื่อนไหวของเขาและฟ้าครามได้
     
                    “รึว่านายจะเป็นหวัด...อากาศตอนนี้มันก็หนาวใช่ย่อยนี่เนอะ”
     
                    “ไม่รู้สิ แต่ที่แน่ๆ เราต้องเล่นไล่จับกับพวกมันอีกนานมั้ย เมื่อไหร่ฉันจะโทรคุยธุระกับคนอื่นได้สักที” ไม่ต้องให้ฟ้าครามสาธยายเอริกก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายจะโทรไปที่ไหนกันแน่ถึงได้ส่ายหน้าแบบเอือมระอา
     
                    รู้ทั้งรู้ว่าคงอีกนานเพราะถ้าหาเรื่องโทรหาใครตอนนี้คงโดนจับได้ก็ยังจะพูดออกมาท่าทางว่าเจ้าเด็กคนนั้นคงจะเป็นคนสำคัญเข้าจริงๆ ขนาดที่ว่าฟ้าครามยอมตามเขากลับมาเพียงเพราะคนที่ตัวเองชอบจะโดนลูกหลง ไม่สนแม้กระทั่งว่าตัวเองกำลังเป็นยังไงแต่กลับพะวงว่าคนของตัวเองจะเป็นแบบไหน เอริกคิดว่าถ้าเขาไม่หาทางทำอะไรสักอย่างในเร็วๆนี้ คนอย่างฟ้าครามคงจะลงมือทำอะไรที่มันน่ากลัวออกมาเป็นแน่
     
                    “เอางี้แล้วกันโคลด ฉันเปิดดาวเทียมให้นายใช้แทนก็แล้วกัน ถ้าเป็นวิธีนี้คงพอจะกลบร่องรอยได้ แต่ว่าจะให้พูดกันตรงๆ นายไม่กลัวพวกมันจับทางนายได้หรือไง โดยเฉพาะถ้านายโทรไปหาใคร คนๆนั้นจะไม่โดนจับตามองเหรอ” เอริกพูดเตือนสติเมื่อเขาลงเครื่องมือถือให้ฟ้าครามแล้วอีกฝ่ายทำท่าจะกดโทร
     
                    “แล้วนายจะเอามาให้ฉันยืมทำไม...” ฟ้าครามบ่นในคำคอ ถึงจะรู้วัตถุประสงค์ของการให้ยืมชายหนุ่มก็ไม่ค่อยอยากยอมรับสักเท่าไหร่ว่าตัวเองต้องมาทำตัวโรคจิตแบบที่เขาด่าเอริกเอาไว้
     
                    แอบดูผ่านทางดาวเทียมสอดแนมส่วนตัวของเอริกที่ไม่ว่าจะใครหน้าไหนก็ไม่มีทางเจาะระบบมันได้ ถึงไม่เต็มใจฟ้าครามก็ทำลงไปแล้ว ร่างสูงแอบมองเด็กหนุ่มที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ริมระเบียงห้องตัวเองอย่างสนใจ
     
                    “โห ที่เมืองไทยก็มีฝนเหมือนกันเหรอนั้น เด็กนายก็ท่าจะเพี้ยนอ่ะ กลางค่ำกลางคืนมามานั่งดูฝนถึงจะมีหลังคากั้นก็เหอะ มันก็มีละอองอยู่ดี” เอริกชะโงกหน้าเข้ามามีส่วนร่วมอดวิจารณ์ไม่ได้ ความจริงเขาก็อยากจะล้อเลียนอีกฝ่ยเหมือนกันว่าไหนล่ะที่จะคุยธุระ ไปๆมาๆก็ไม่พ้นอย่างที่เขาเดาเลยสักนิด
     
                    “ที่เมืองไทยตอนนี้น่าจะหน้าฝน ส่วนเราน่ะเจอพายุกันอยู่ เอริกนายก็อย่ามาดูกับฉันได้มั้ยยืนบังฝนต่อไปน่ะดีแล้ว ฉันกลัวน้ำเข้าเครื่อง” ฟ้าครามออกปากไล่ ตอนนี้เขากับเอริกมาหลบอยู่ในซอกเล็กๆซอกหนึ่งเพื่อหลบพายุ เรื่องกลัวเครื่องพังน่ะเรื่องรองลงมาเพราะเข้าเอาเสื้อตัวเองกันได้ แต่ปัญหาหลักๆก็คือเขาไม่ค่อยเต็มใจให้เอริกรู้ว่าเขากำลังดูอะไรมากกว่า
     
                    “ขี้งก ที่จริงฉันจะบอกให้นายรู้ก็ได้นะว่าหมู่นี้ฉันเห็นเจ้าเด็กนั้นเดินกับเด็กผู้หญิงด้วยล่ะ” เอริกแกล้งเปิดประเด็นที่ทำเอาเจ้าตัวต้องมาแอบเสียใจทีหลังที่ไปกระตุ้นฟ้าครามที่หันควับมาจ้องหน้าเขาอย่างดุดัน
     
                    “นายดูเจ้านี้โดยไม่ยอมบอกฉันมากี่วันแล้ว...”
     
                    “ก็หลายวันพอดูมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ อ๊ะๆ อย่ามาคิดว่าฉันแอบพิศวาสอะไรเด็กนายนะ แค่ตรวจสอบดูว่ามีปัญหาพวกริ้นไรอะไรหรือเปล่าตามหน้าที่ต่างหาก
     
                    “งั้นก็พูดออกมาสิว่านายเห็นอะไรบ้าง หมอนั้นแอบไปมีแฟนรึเปล่า หรือว่ามีใครมาเกาะแกะรึยัง” ฟ้าครามเริ่มกระวนกระวาย ตาก็มองไปที่ใบหน้าขาวๆที่แสดงอยู่บนจอแบบไม่สบอารมณ์นัก หรือว่าเขาจะคิดผิดจริงๆที่ทิ้งอีกฝ่ายมาแบบนี้
     
                    ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ต่อให้โดนเกลียดก็น่าจะบังคับเอาตัวมาด้วยตั้งแต่ต้นน่าจะดีกว่า
     
                    ต่อให้ไม่ได้หัวใจ แต่ขอแค่ผูกมัดทางร่างกายไว้ก็ยังดี ความคิดนี้อาจจะเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวแต่ถึงอย่างนั้นตลอดเกือบเดือนที่จากมาเขาถึงได้มั่นใจว่าตัวเองขาดอีกฝ่ายไปไม่ได้ หากจะให้ฟ้าครามยอมปล่อยมือฟ้าครามก็จะขอยืนยันว่าต้องข้ามศพเขาไปก่อน
     
                    “นายนี่ถามยังกับว่าฉันเป็นเหาบนหัวเจ้าเด็กนั้น ฉันจะไปรู้ได้ยังไงวะอยู่ก็อยู่กับนายตลอด” เอริกเถียง
     
                    “ขนาดอยู่ด้วยกัน ฉันยังไม่รู้ว่านายแอบถ้ำมองคนของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่านายไม่รู้จริงๆ ห๊ะ เอริก” ถึงปากจะว่าแบบนั้น แต่พอพูดจบประโยคฟ้าครามก็ไม่คิดจะซักไซ้เอริกต่อเพราะหมดอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงเอาดื้อๆ เพราะดูจากสภาพตัวเองในตอนนี้แล้วจะบ่นอะไรก็ดูจะเปล่าประโยชน์
     
                    ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง...
     
    จะกลับไปก็ยังทำไม่ได้ จะไปที่ไหนต่อก็ยังไม่รู้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนฟ้าครามก็คงจะลอยชายไปเรื่อยๆ มีที่ไหนน่าสนใจก็ไปอยากทำอะไรก็ทำ หนีคนอื่นๆไปตามประเทศต่างๆโดยไม่ต้องนึกถึงผลที่ตามมา แต่ว่าตอนนี้ต่อให้ไปที่ไหนก็ไม่มีความรู้สึกที่อยากจะไปเพราะใจมันยึดติดอยู่กับเปอร์เช่ไปซะแล้ว
     
    “เฮ้อ นายนี่มัน....” เอริกอ้าปากจะว่าเพื่อนบ้างแต่เห็นมันกลับไปทำตัวหดหู่เหมือนเดิมก็อดจะสงสารไม่ได้ ชายหนุ่มผมดำสนิทผู้นี้ก็ได้พิงตัวกับกำแพงแล้วเงยหน้ามองสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาพร้อมกับคิดถึงใครคนที่ไม่อยู่ตรงนี้
     
    บางทีตอนนี้ถ้าหากเขาติดต่อไปที่คนของเขาได้ล่ะก็เรื่องมันคงจะง่ายกว่านี้เยอะ....
     
    แต่ปัญหาก็คือตอนนี้เขาหาทางติดต่อใครก็ไม่ได้
     
    รถ หรือยานพาหนะก็ไม่มี อุปกรณ์ต่างๆที่พกไว้ก็เหลือแค่ไม่กี่อย่าง ซ้ำร้ายเงินสดที่พกมาก็จวนเจียนจะหมด
     
    “ฉันว่านายไม่มีทางอื่นแล้วล่ะนอกจากขโมยรถชาวบ้าน” ฟ้าครามที่เหลือบมองอีกฝ่ายทำหน้ากลุ่มใจก็เดาปัญหาที่เอริกคิดออกได้ทันที
     
    “เออ รู้แล้วน่าว่ายังไงก็ต้องขโมย...ฉันกังวลเรื่องต่อจากนี้ต่างหาก”
     
    “เรื่องที่คนในเป็นหนอนสินะ แล้วนายคิดว่ายังไงจะหอบเอาตัวฉันเข้าไปเคลียร์พร้อมกันเลยหรือว่าจะลุยเดี่ยวแล้วเอาฉันไปเก็บไว้ตรงไหนก่อนใช่มั้ย ไม่เป็นไรหรอกเอาฉันไปทิ้งไว้ที่เซฟเฮาส์ประจำก็ได้ยังไงที่นั้นก็มีแต่คนของเรา นายน่ะถ้าไม่ต้องมาคอยระวังฉันจะทำงานได้ง่ายกว่าใช่มั้ยล่ะ” ฟ้าครามเสนอ เขาคิดว่าทางออกนี่น่าจะดูดีที่สุดในตอนนี้
     
    “ก็ไม่เลวอยู่หรอก แต่นายจะไม่เบื่อแย่เหรอ เจ้าเครื่องมือถืออันนั้นมันจูนดาวเทียมไว้ง่ายๆเอง อย่างมากก็มองได้แค่รอบๆบ้านเด็กนาย ถ้าเขาออกไปข้างนอกนายก็ตามดูไม่ได้อยู่ดี”
     
    “ฉันไม่ได้โรคจิตแบบนายสักหน่อยที่มีความต้องการจะสอดรู้สอดเห็นไปซะหมด แค่นี้ก็พอแล้ว ที่สำคัญนายคงไม่ได้กะจะดองตัวฉันนานหรอกใช่มั้ย” ฟ้าครามรู้ว่าเอริกหมายถึงอะไร ในเมื่อไม่มีทั้งเกมส์และอุปกรณ์แอบดูขั้นสูงเหมือนที่เขาเคยนำเสนอ มีแค่เครื่องมือขนาดพกพาที่แอบดูได้ในจุดแคบๆที่เดียวที่เขาถือติดมือมาแล้วให้ฟ้าครามมา แล้วอีกฝ่ายจะไม่เบื่อได้อย่างไร เอริกกลัวว่ากว่าเขาจะเคลียร์ปัญหาเสร็จฟ้าครามก็หนีเขาไปอู้ที่ไหนก็ไม่รู้เรียบร้อยแล้ว
     
    “ขอเวลาสามหรือสี่วันก็แล้วกัน งั้นตอนนี้เราหาทางไปเซฟเฮาส์ฉุกเฉินกันก่อนดีกว่า” เอริกถอนหายใจ จากมือหนึ่งของหน่วยปฏิบัติการณ์ก็กลายมาเป็นคนคุ้มครองหรือที่เรียกเล่นๆกันว่าหมาเฝ้าแกะ ที่ทำหน้าที่ราวกับแม่แก่ๆไม่พอตอนนี้ยังลดตัวมาเป็นโจรขโมยรถอีก เวรกรรมจริงๆเลยตู.....
     
    “เข้าใจแล้ว ฉันจะรอนายสามวัน” ฟ้าครามยิ้มบางๆที่เอริกแอบคิดว่ามันน่าสยดสยองเอาซะเหลือเกิน
     
    นี่นายกะเตรียมตัวหนีฉันเลยใช่มั้ยนี่โคลด.....
     
    ................................
     
    “เราเลิกกันเหอะเช่ มินท์รู้แล้วว่าเราคงไปกันไม่ได้....” ประโยคเรียบๆของสาวน้อยที่เดิมอยู่ในร่มคันเดียวกันเอ่ยขึ้นมาแบบไม่มีวี่แววทำให้เปอร์เช่ถึงกับชะงัก
     
    “หา ทำไมล่ะมินท์ เราเพิ่งคบกันได้สองอาทิตย์เองนะ” เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่เข้าใจ
     
    “ไม่รู้สิเช่ มิ้นท์ว่าเช่ไม่ได้ชอบมิ้นท์ เช่ไม่ต้องฝืนก็ได้นะ” เด็กสาวจ้องหน้าเด็กหนุ่มที่ดูงงงวยเหมือนจะค้นหาอะไรบางอย่าง
     
    “ทำไมจะไม่ชอบล่ะ มิ้นท์น่ารักออกจะตายไป”
     
    “อืมมม เช่ไม่รู้ตัวจริงๆอ่ะ ว่าเช่แสดงออกขนาดไหนว่าไม่ได้ชอบมินท์ ถึงจะชอบก็คงชอบแค่เพื่อน”
     
    “ไม่จริงนะมิ้นท์ เพื่อนกันธรรมดาที่ไหนเดินจับมือกันทุกวัน” เพิ่งจะคบกันได้ไม่เท่าไหร่ พี่เช่คงไม่กล้าไวไฟขนาดนั้นแน่ๆ หรือว่าที่ฟ้าครามพูดไว้ว่าผู้หญิงชอบผู้ชายมือไว้ใจเร็วมันจะเป็นเรื่องจริง แล้วทำมก่อนหน้านี้ที่พี่เช่ทำถึงได้โดนตบกลับมาอ่ะ
     
    “เช่นี่ซื่อบื้อจริงๆนะ โทรศัพท์ก็ไม่เคยโทรมาหามิ้นท์บ้างเลยสักครั้ง เลิกเรียนเช่ก็ตรงกลับบ้าน เพิ่งมีวันนี้นี่แหล่ะที่ยอมมาด้วเพราะเห็นว่ามิ้นท์ไม่มีร่ม เสาร์อาทิตย์ก็ไปเที่ยวกับพวกเต้กะมะนาว เวลาคุยกันกับมิ้นท์ก็พูดถึงแต่เรื่องคุณฟ้าคราม เช่ยังไม่รู้ตัวอีกหรอว่าชอบใคร ถ้าเช่ยังไม่ยอมรับออกมามิ้นท์จะให้ดูหลักฐาน” เด็กสาวใช้เวลาไม่นานก็กดรูปในเครื่องมือถือรูปหนึ่งขึ้นมาส่งให้เปอร์เช่ดูแบบงงๆ
     
    ภาพที่เปอร์เช่แหล่ตามองยังไงก็เป็นตัวเองนอนซบบ่าฟ้าครามอยู่บนเตียง.....
     
    “เฮ้ยยยย ไอ้ภาพนี่มันอะไรน่ะมิ้นท์ ภาพตัดต่อเหรอ อย่าบอกนะว่ามิ้นท์เป็นสาววาย” เปอร์เช่แทบกรี๊ด เทคโนโลยีสมัยนี้ตัดต่อภาพได้โคตรเนียนจนเด็กหนุ่มขนลุก ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือมันเอารูปมาจากไหนเพื่อที่จะตัดต่อได้เนียนขนาดนี้
     
    “งั้นรูปนี้ล่ะเช่....” เปอร์เช่นิ่งมองเมื่อเห็นภาพตัวเองกำลังโดนฟ้าครามโอบจากด้านหลังเพื่อสอนเล่นเกมส์ ถ้าไอ้ภาพแบบนี้เขาพอจะคุ้นอยู่บ้างเพราะมันเป็นเหตุการณ์ปกติประจำวัน
     
    ถ้าไม่สอนแบบนี้เมื่อไหร่พี่เช่จะเล่นเป็นก็ไม่รู้.....
     
    “ก็เล่นเกมส์กันไง แปลกตรงไหนล่ะมิ้นท์”
     
    “งั้นรูปนี้ล่ะเช่ แล้วก็รูปนี้ด้วย” เด็กสาวขมวดคิ้ว
     
    “อันนั้นก็แค่มือไม่ว่าง หมอนั้นก็เลยป้อนไอติมให้ ส่วนอันนั้นเป็นแผลไอ้บ้านั้นมันก็มาอุตริเลียเอง เห็นรูปแล้วฉันยังเสียวบาทยักอยู่เลย...” ยิ่งฟ้าครามพยายามอธิบายรูปให้เด็กสาวฟังเท่าไหร่เธอก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้มากขึ้นทุกที
     
    “แล้วนี่ล่ะเช่” มิ้นท์คว้าเอานิตยสารในกระเป๋าขึ้นมากางให้เด็กหนุ่มดูอย่างสุดจะทน ในหน้านั้นนอกจากรูปฟ้าครามขนาดใหญ่แล้วที่มุมด้านซ้ายยังแอบมีรูปเล็กๆที่เขานอนซบอยู่พร้อมกับหัวข้อชวนสยอง
     
    สาวปริศนาผู้โชคดีที่ความนายแบบสุดหล่อไปครอง ยิ่งเปอร์เช่อ่านเนื้อความที่ว่าที่ชายหนุ่มหายไปช่วงนี้เพราะเรื่องของหัวใจและใกล้จะมีข่าวดีในเวลาอีกไม่นาน ให้รอดูว่าสาวน้อยท่าทางทอมบอยคนนี้เป็นใครพร้อมกับงานเปิดตัวว่าที่ลูกสะใภ้ของดีไซเนอร์คนดังอย่าง เอลิเซ่ มีลร็อง ที่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้
     
    “เฮ้ยยยยย ทำไมมันลงไว้แบบนี้ง่ามิ้นท์”
     
    “มิ้นท์ก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้ชะเอมกับรินเอามาบอกมิ้นท์ก็คงโง่อีกนาน ถ้าเช่คบกับเขาอยู่แล้วเช่ก็ควรจะบอกมิ้นตรงๆมิ้นไม่เสียใจหรอก แล้วมิ้นท์ก็ไม่ใช่คนที่จะยอมรับอะไรพวกนี้ไม่ได้ด้วย แต่การที่เช่หลอกมิ้นท์แบบนี้มิ้นท์โกรธ แล้วมิ้นท์ก็จะไม่ให้อภัยด้วย นิตยสารเล่มนั้นเช่กับไว้เลยก็ได้ มิ้นท์ไปล่ะ” เด็กสาวก้มหน้าเดินหนีเปอร์เช่ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกไปท่ามกลางสายฝน นี่เขาเรียกว่าเป็นการยัดเยียดข้อหาเพื่อสลัดรักหรือเปล่านะ....
     
    ว่าแต่รูปเนี้ยมันอะไรกัน จริงๆมันก็ดูปกติดีนี่นา...ถ้าเขาไปทำแบบนี้กับเด็กผู้หญิงอื่นๆก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มันกับผู้ชายด้วยกันมันมีปัญหาตรงไหนอ่ะ พี่เช่ไม่เข้าใจ....
     
    ที่สำคัญ บ.ก.นิตยสารเล่มนี้ท่าทางจะตาถั่วหยิบรูปใส่ลงมาผิด....
     
    ดูยังไงเขาก็ออกจะแมนชัดๆ มาหาว่าเป็นทอม หล่อขนาดนี้หาได้ง่ายๆที่ไหนฟะ....
     
    แต่หัวข้อเรื่องว่าที่ลูกสะใภ้ หรือว่าไอ้เสาไฟฟ้าบ้านั้นมันกำลังจะแต่งงาน มิน่าหายหัวเงียบไปเลย ถูกจับคลุมถุงชนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วนี่พี่เช่จะได้ค่าเสียหายเรื่องรูปผิดกับบัตรเชิญงานแต่งงานมั้ยนี่....
     
    “อ๊ะ เวรกรรมนี่ตูเพิ่งโดนบอกเลิกนะ” เปอร์เช่เพิ่งนึกประเด็นสำคัญได้ในที่สุด พวกผู้หญิงนี่ชอบคิดเองเออเองชะมัด นี่เท่ากับพี่เช่ก๊อกหักอีกแล้ว จะโทรไปง้อก็คงไม่ได้เพราะไม่เคยขอเบอร์เอาไว้....
     
    สงสัยเราคงจะไม่ได้ชอบมิ้นท์จริงๆด้วยสินะ ถึงได้ไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลย.....ส่วนนิสัยฟ้าครามหมอนั้นมันชอบโทรศัพท์ที่ไหน....
     
    คงไม่แปลกหรอกที่จะไม่โทรมา.....
     
    ..............................

                    ได้แค่นี้ก่อนนะคะ ไว้จะค่อยๆมาต่อ =_="

                    ไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องเป็นแบบนี้จะงงกันรึเปล่าว่าไหงกลายเป็นอะไรเนี้ย 

                    = w =" เหอะๆ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×