ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เป็นเกมจีบหนุ่มแล้วไง? ข้าขอเล่นแบบเกม Action RPG แล้วกัน!

    ลำดับตอนที่ #77 : 10 ขวบ : การขัดขืนของเผ่าปีศาจล่ะ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 305
      23
      1 ก.ย. 63


    “สรุปก็คือ...เธอไม่ได้คิดจะส่งพวกเราให้พวกทหารสินะ?”


    ช่วงประมาณตี 5 กว่าๆของอีกวัน ท้องฟ้าข้างนอกนั้นยังคงมืดมิด แต่กลิ่นอายของรุ่งเช้านั้นค่อยๆล่องลอยเข้ามาแตะจมูก


    เช้าวันนี้ หลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว อาเจนโต้ก็ตื่นขึ้นมาก่อนในขณะที่เจ้าหญิงอาเรียยังคงหลับพักผ่อนอยู่บนเตียง 

    ฉันจึงใช้ช่วงเวลานี้อธิบายเหตุการณ์คร่าวๆให้อาเจนโต้เข้าใจก่อน และเริ่มการประชุมเพื่อที่จะหาแนวทางต่อไป


    “ใช่แล้วล่ะจ๊ะ อย่างที่เคยบอกไปนั่นแหละ”


    และสิ่งที่อาเจนโต้ถามขึ้นก็เป็นการย้ำคำอธิบายที่ฉันและคุณเอสเทลเรียได้บอกไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งถึงแม้จะเป็นการเสียมารยาทต่อคุณเอสเทลเลียก็ตาม แต่ฉันคิดว่านั่นก็เพื่อความสบายใจของตัวอาเจนโต้เอง ส่วนคุณเอสเทลเลียนั่นก็ดูเหมือนไม่ได้คิดอะไรด้วย เธอวางแก้วนมอุ่นต่อหน้าพวกเราและพยักหน้าตอบคำถามอาเจนโต้อีกครั้ง ก่อนที่จะนั่งลงและเล่าเรื่องราวต่างๆให้พวกเราฟัง


    จากคำกล่าวของเธอนั้น เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่เหล่าปีศาจพลัดถิ่นเข้ามาอาศัยและตั้งรกรากอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ และด้วยที่พวกเขาอยู่มานานหลายยุคหลายสมัย ทำให้ร่างกายของพวกเขานั้นไม่ต่างจากมนุษย์เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่จะบ่งบอกถึงความเป็นปีศาจนั้นก็คือ พลังเหนือมนุษย์ ซึ่งจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเมื่อยามพลบค่ำมาถึง


    นั่นก็เป็นคำอธิบายคร่าวๆของพวกเขา แต่ถึงอย่างนั้นเอง ถึงแม้จะเป็นปีศาจแต่พวกเขาก็ไม่คิดที่จะทำร้ายมนุษย์ ปีศาจพลัดถิ่นที่อยู่อาศัยกับมนุษย์นานๆนั้น ความคิดของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไป มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ทั่วไป ถ้าจะมีสิ่งที่แตกต่างนั่นก็คือพลังที่มากกว่ามนุษย์ทั่วไปก็เท่านั้น


    ทั้งๆที่ควรจะเป็นแบบนั้น แต่ทางอาณาจักรไม่ได้คิดเช่นนั้น.....


    ด้วยความหวาดกลัวต่อปีศาจและพลังของปีศาจ ทางอาณาจักรจึงส่งจอมเวทย์หลวงมาและผนึกพลังปีศาจเอาไว้ และ....ในค่ำคืนสีเลือด ปีศาจส่วนมากได้ตายลง ชาวบ้านทั่วไปโดนลูกหลงจากการต่อสู้จนตายเสียหมดสิ้น และปีศาจที่เหลือก็ถูกปิดผนึกพลังให้เหลือแค่แรงกายของมนุษย์ธรรมดา หลังจากนั้นก็ส่งทหารมาประจำการอยู่ที่นี่


    โชคดีที่ความสามารถด้านการจับสัมผัสที่สูงของเผ่าปีศาจ ทำให้พวกเขาไม่ถูกฆ่าทิ้งทั้งหมด แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ถูกใช้งานไม่ต่างจากทาส เฉกเช่นสุนัขดมกลิ่น ถูกกดขี่เหยียดหยาม และทำเหมือนของเล่น และทุกๆอย่างที่ผ่านมานั้น นั่นเองเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเลิกอดทนและลุกขึ้นสู้ในครั้งนี้


    “ดะ เดี๋ยวก่อนนะ ถึงแม้จะพูดแบบนั้น แต่ไม่ใช่ว่าปีศาจทุกตนถูกผนึกพลังเอาไว้หรอกเหรอ? และจะสู้ยังไงล่ะ”


    พอฟังมาถึงตรงนี้อาเจนโต้ก็บ่นออกมาด้วยความเป็นห่วง ใช่แล้ว ฉันก็คิดเช่นเดียวกัน เพราะว่าทุกคนถูกผนึกพลังเอาไว้ ไม่มีทางที่จะต่อกรกับทหารที่ฝึกมาอย่างดีได้แน่


    “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกจ๊ะ เพราะว่าสามีของฉันได้หลุดจากคำสาปของพวกนั้นแล้วยังไงล่ะ....”


    เธอพูดพร้อมกับใบหน้าขวยเขิน ส่วนอาเจนโต้ทำหน้างง อ่อ อาเจนโต้ยังไม่รู้สินะ


    “สามีของเธอคุณเอสเทลเลียก็คือ ตาลุงผู้ใหญ่บ้านคนนั้นน่ะ....”


    “หา?”


    อาเจนโต้หันกลับมาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความไม่เชื่อถือทันที เรื่องจริงนะคะ บอกเลย

    แล้วหลังนั้นจึงหันไปหาคุณเอสเทลเลีย


    “เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ แล้วทำไมผู้ใหญ่บ้านถึงแก้คำสาปได้ล่ะ แล้วแก้ให้คนอื่นด้วยไม่ได้เหรอ?”


    ถึงจะแก้คำสาปของผู้ใหญ่บ้านได้ก็เถอะ....น่า เราก็เห็นๆกันอยู่แล้วว่าผู้ใหญ่บ้านนั้นแข็งแกร่ง แต่...แค่นั้นมันจะพอเหรอ? ผู้ใหญ่บ้านคนเดียวจะต่อกรกับกองทัพทหารที่ประจำการอยู่บนเกาะนี้ได้จริงๆงั้นหรือ? ฉันเข้าใจในสิ่งที่อาเจนโต้ต้องการจะสื่อนะ และเมื่อถามออกไปแบบนั้น คุณเอสเทลเลียก็ส่ายหน้า


    “แก้คำสาปให้คนอื่นไม่ได้หรอกจ๊ะ ฉันแก้ให้ได้แค่สามีของฉันคนเดียวน่ะ”


    ก่อนหน้านี้คุณเอาเทลเลียเคยพูดเอาไว้ว่าตนไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็นแม่มด ถ้าหากเป็นแม่มดล่ะก็ เรื่องคำสาปน่าจะเป็นทางของเธออยู่แล้ว ประเด็นคือสิ่งที่ใช้แก้คำสาปนั่นน่ะ มีจำกัดหรือ ไม่สามารถหาเพิ่มได้แล้วหรือ


    “แสดงว่าปัญหาคือวัตถุดิบที่ใช้สร้างสิ่งแก้คำสาปสินะคะ มันหายากงั้นหรือคะ?”


    ฉันลองเสนอความคิดเห็นดูแต่คุณเอสเทลเลียก็ยังส่ายหัวอยู่ดี ไม่ใช่ว่าเป็นของหายากอะไร ถ้าเช่นนั้น ทำไมถึงไม่สามารถใช้กับคนอื่นได้ล่ะ ฉันทำหน้าสงสัย ส่วนคุณเอสเทลเลียก็หน้าแดงขึ้นมา


    “คะ.....คือ สิ่งที่ใช้แก้คำสาปคือมานาของฉันน่ะ....”


    อ๊ะ.......พูดเช่นนั้นความเป็นชายในตัวฉันก็ร้อง อ๋อ ทันที เพราะแบบนั้นถึงทำกับคนอื่นไม่ได้สินะ.....


    “ยังไงล่ะ ไม่เห็นเข้าใจเลย ถ้าเป็นมานาของเธอก็เอาไปแบ่งให้กับทุกคนก็ได้ไม่ใช่เหรอ!!!


    “หยุดนะยะ!!!!


    แต่ดูเหมือนอาเจนโต้จะไม่เข้าใจ ฉันเลยรีบเอามืออุดปากหมอนั่นเอาไว้ก่อน ก็เข้าใจอยู่หรอกว่ารีบร้อนและยังไม่เข้าใจความหมายของการถ่ายโอนมานา เพราะฉะนั้นฉันจึงหยุดหมอนั่นเอาไว้ก่อนที่คุณเอเทลเลียจะลำบากใจไปมากกว่านี้


    เธอเองก็ผงกหัวขอบคุณเช่นกัน จะให้เธออธิบายความหมายกับเด็กผู้ชายสิบขวบมันก็กระไรอยู่ล่ะนะ 

    ฉันใช้เวลาในการสงบสติอารมณ์อาเจนโต้สักพักหนึ่งก่อนที่จะประชุมกันต่อ


    “แล้ว....มีแค่ผู้ใหญ่บ้านคนเดียวที่ใช้พลังได้ใช่ไหม? ไม่ใช่ว่ามันอันตรายหรอกเหรอ? จะชนะทหารได้แน่เหรอ?”


    หลังจากที่สงบสติอารมณ์ลงแล้ว อาเจนโต้ก็ย้อนกลับมาที่เรื่องเดิมอีกครั้ง เขากอดอกและถามด้วยสีหน้าที่หงุดหงิด


    “ด้านพลังก็คงเอาชนะไม่ได้หรอก....แต่ฉันมีแผนนิดหน่อยน่ะ”


    “ยังไงรึ”


    “ก็แค่....ฉันให้คุณสามีคอยรับหน้า แล้วฉันก็แอบไปที่ฐานที่มั่นของผู้บัญชาการ ถ้าหากฆ่าหัวหน้าได้ กำลังใจของลูกน้องก็จะลดลงใช่ไหมล่ะ? หลังจากนั้นก็บดขยี้ทหารทั้งหมดแล้วก็ทำลายฐานที่มั่นซะ แค่นี้ก็จะไม่มีใครมายุ่งย่ามอีกแล้วล่ะ”


    พูดเหมือนง่ายเลย พอเห็นท่าทางที่ร่าเริมเช่นนั้นแล้ว ฉันก็อดเป็นห่วงไม่ได้นิดหน่อย ส่วนอาเจนโต้ก็ขมวดคิ้ว เขาก็คงคิดเช่นเดียวกับฉัน


    “คิดว่ามันจะง่ายเช่นนั้นหรือ? ทำอย่างนั้นฝั่งเธอเองก็ต้องมีคนตายอีกมากนะ”


    พออาเจนโต้พูดเช่นนั้นคุณเอสเทลเลียก็คิ้วกระตุก เธอหุบยิ้มลงพลางหลับตา


    “ถ้าหากมันจะให้พวกเราเป็นอิสระล่ะก็......”


    “ถึงแม้จะทำลายพวกนั้นได้ก็เถอะ แต่ถ้าทางอาณาจักรส่งกำลังคนมาเพื่อแก้แค้นล่ะ พวกเธอจะต้องสูญเสียทุกคนไปหมดนะ”


    “ถึงเป็นเช่นนั้นพวกเราก็พอใจที่ได้ต่อต้านล่ะนะ เพราะว่าพวกเขาคือเผ่าปีศาจ เผ่าพันธุ์ที่ไม่ควรอยู่ในผืนแผ่นดินแห่งนี้ ถึงแม้จะอยู่มานานก็ตาม สักวันก็ต้องหายไปอยู่ดี ขึ้นอยู่กับว่าพวกเราเลือกที่จะหายไปอย่างมีเกียรติหรือว่าจะหายไปอย่างไร้ค่ากันแน่ ล่ะนะ”


    “แต่ว่า!!!


    บทสนทนาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เป็นเพียงแค่การอธิบายแผนการสำหรับวันนี้เท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่การสนทนานี้กลายเป็นบทสนทนาที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกเยอะขนาดนี้ ทั้งคุณเอสเทลเลียที่พูดอย่างเตรียมใจ และอาเจนโต้ที่ตวาดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเจ็บใจ ฉันเข้าใจทั้งสองฝั่งนะ


    ตัวตนที่ไม่เข้ากันกับที่นี่ ถ้าไม่ทำอะไรก็ต้องหายไปอยู่ดี พวกชาวบ้านนั้นถูกทหารฆ่าเป็นว่าเล่น ประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากจะให้ตายอย่างเสียเกียรติล่ะก็ สู้ต่อสู้ให้ชนะ แล้วตายในภายหลังอย่างสมเกียรติดีกว่า


    ส่วนอาเจนโต้เอง ด้วยความที่เป็นเด็ก เป็นเจ้าชายที่เห็นความสำคัญของชีวิต การที่จะมีใครสักคนมาบอกว่าจะทอดทิ้งชีวิตอย่างง่ายดายนั้นเป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับเขา เพราะเขาเชื่อมาตลอดว่า ประชาชนคือสิ่งที่ต้องปกป้อง ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นต่างแดนก็ตาม แต่ความเชื่อของเขาก็ไม่ได้ได้เปลี่ยนแปลง


    แล้ว ทีนี้เราจะเอายังไงดีล่ะ จะยอมให้พวกชาวบ้านต่อสู้แล้วตายอย่างงันหรือ ไม่มีวิธีอื่นที่จะช่วยชาวบ้านได้แล้วงั้นหรือ?


    “ถ้าอย่างงั้นพวกเราก็ร่วมสู้ด้วย!


    แล้วจู่ๆอาเจนโต้ก็ตะโกนออกมา เขาบอกว่า ถ้าหากพวกเธอไปต่อสู้ จะต้องมีชาวบ้านล้มตายอีกมาก ถ้าเช่นนั้น ถ้าหากมีกำลังรบของเขาและฉันน่าจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ชาวบ้านรอดเพิ่มขึ้นมาได้


    และเมื่อพูดถึงตรงนั้นก็เห็นใบหน้าโกรธองคุณเอสเทลเลียเป็นครั้งแรก


    “อย่ามาพูดบ้าๆนะ คิดว่าฉันจะปล่อยให้เด็กอย่างพวกเธอออกไปเจอกับอันตรายได้ยังไงกัน!!


    เธอพูด เธอบอกว่าผู้ใหญ่บ้านไล่พวกเรามาให้เธอปกป้อง ก่อนที่จะหาโอกาสในระหว่างที่เปิดศึก ส่งพวกเราหลบหนีไปยังเกาะอื่น

    เพราะฉะนั้นถ้าหากพวกเราร่วมสู้ด้วย แผนการที่วางไว้ก็จะเสียหมด


    ได้ยินดังนั้นอาเจนโต้ก็กัดฟันแน่น


    สรุปว่าการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ สาเหตุหนึ่งก็มาจากพวกเราอยู่ดี รู้อย่างนี้แล้ว อาเจนโต้ยิ่งเถียงหัวชนฝาว่าจะสู้ให้ได้ ก็เป็นคนหัวแข็งนี่นา ผู้ชายหัวแข็งที่ยึดมั่นในคุณธรรมสูง ปากแข็ง และอวดดี แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเพื่อนที่ดีเช่นกัน


    เพราะว่าเป็นคนดีที่มักจะยุ่งย่ามกับอันตรายอยู่บ่อยครั้งแบบนั้น ฉันจึงปล่อยเอาไว้ไม่ได้ คราวนี้ฉันเห็นด้วยกับคุณเอสเทลเลีย

    ว่าแล้วก็ลุกขึ้น


    ตอนนี้อาเจนโต้หัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างมาก เถียงไม่หยุด และไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ขืนเป็นแบบนี้จะต้องไปพัวพันกับการต่อสู้ในครั้งนี้แน่ ในฐานะตัวแทนของท่านพ่อ ในฐานะบอดี้การ์ด และในฐานะเพื่อนแล้ว ถึงแม้จะต้องเป็นตัวร้ายฉันก็ยอม


    “อาเจนโต้”


    นึกแล้วฉันก็จับไหล่และเรียกอาเจนโต้ที่กำลังหัวร้อนอยู่ มือขวาของฉันร่วมรวมพลังเอาไว้เล็กน้อย Boots ส่วนอาเจนโต้นั้นได้หันมาด้วยสภาพที่ยังคงหงุดหงิดเต็มที่


    “อะไร!!!!.......อั๊ก!


    แล้วฉันก็ต่อยไปที่ท้องของอาเจนโต้ อาเจนโต้สลบลงทันทีอย่างเงียบเชียบ และไม่มีท่าทีที่จะตื่นขึ้นมาในเร็วๆนี้อีกแล้ว ในที่สุดทุกอย่างก็สงบลง ฉันหันไปหาคุณเอสเทลเลีย


    “ขอโทษนะคะ ช่วยลืมที่อาเจนโต้พูดเมื่อกี้จะได้ไหมคะ?”


    ถึงแม้เจ้าตัวจะบอกว่าอยากช่วยก็ตาม แต่ถ้าให้ฉันพูดล่ะก็ มันเสี่ยงในหลายๆความหมาย ทั้งตำแหน่งของพวกเราที่จะถูกเปิดเผย และอันตรายที่จะเข้ามาสู่พวกเรา ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ดังนั้น ถึงแม้จะใจร้าย แต่พวกเราจะเข้าร่วมสงครามนี้ไม่ได้


    ขี้ขลาดน่าดูเลยสินะ ตัวฉัน....


    พอคิดแบบนั้นพร้อมก้มหน้า ส่วนคุณเอสเทลเลียก็เอามือจับที่ปลายคางของฉันและดันขึ้น ตาของเราสบกัน


    “ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ เธอทำถูกแล้วล่ะ”


    “ขอโทษนะคะ ทั้งๆที่คุณช่วยมาตั้งเยอะแท้ๆ กลับช่วยอะไรตอบแทนไม่ได้เลย.....”


    “หุหุ ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ เด็กๆอย่างพวกเธอ ไม่เหมาะกับงานสกปรกพวกนี้หรอกนะจ๊ะ แค่เห็นพวกเธอปลอดภัย ฉันก็ดีใจมากแล้วล่ะ”


    พูดแล้วก็ลูบหัวเบาๆ ฉันสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากเธอ ไออุ่นที่ทำให้แทบจะร้องไห้ ช่วยไม่ได้จริงๆหรือ? ช่วยอะไรแล้วไม่ได้จริงๆหรือ ในขณะที่คิดอยู่นั้น ก็นึกสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้


    “เอ่อ........คุณเอสเทลเรียคะ....แต่เดิมแล้ว พวกปีศาจมาอยู่ที่นี่ยังได้ยังไงหรือคะ?”

    ***


    เวลาประมาณเที่ยงวัน รอบๆเกาะเมเทเต็มไปด้วยเสียงระเบิดและเสียงฆ่าฟัน สงครามเริ่มขึ้นแล้ว ป่านนี้คงจะมีคนตายและการสูญเสียเกิดขึ้นแล้ว สำหรับพวกเรานั้นการหลบหนีผ่านไปได้ด้วยดี


    ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครสังเกตเห็น และเราก็ออกมาสู่น่านน้ำเรียบร้อยแล้ว ฉันหันไปมองเกาะอีกครั้งหนึ่ง


    “คุณเอสเทลเลียจะไม่เป็นไรหรือคะ?”


    เสียงของเจ้าหญิงอาเรียดังขึ้น หลังจากที่ตื่นมาเธอเองได้คุยกับคุณเอสเทลเลียนิดหน่อยและได้สนิทกันอย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้บอกถึงเรื่องสงครามในวันนี้จนกระทั่งส่งพวกเราที่ชายฝั่ง


    เจ้าหญิอาเรียทำหน้าเศร้านิดหน่อยในขณะที่อยู่ในอ้อมแขนขวาของฉัน ที่จริงก็อย่างจะลูบหัวเพื่อปลอบใจอยู่หรอก แต่ติดที่ว่าในมือซ้ายนั้นก็โอบกอกอาเจนโต้มาด้วยเช่นกัน ตอนนี้หมอนี่ก็ยังสลบอยู่


    “อือ....”


    และดูเหมือนจะฟื้นขึ้นมาแล้ว


    “ทะ ที่นี่ที่ไหน.....”


    “ไกลจากชายฝั่งเกาะเมเท พวกเรากำลังจะไปเกาะถัดไปกันแล้วล่ะ....”


    ฉันตอบอย่างง่ายๆในขณะที่ขานั้นยังไม่ได้เริ่มออกตัว เรายังคงลอยอยู่กลางทะเลทั้งอย่างนั้น และเมื่อตอบไปเช่นนั้น อาเจนโต้ก็เบิกตากว้าง ดูเหมือนจะจำความได้แล้ว


    “ปะ...ปล่อยนะ ปล่อยชั้น ชั้นจะต้องไปช่วยพวกเขา!!


    ตู้มมม! เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง อาเจนโต้ค่อยๆหันมาอย่างตื่นตระหนก


    “ระ...เริ่มแล้วงั้นเหรอ....”


    ฉันพยักหน้าเบาๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้หมอนี่อาละวาดอีกครั้ง ส่วนเจ้าหญิงอาเรียที่ตกใจกับท่าทางอาเจนโต้นั้นก็เริ่มน้ำตาซึมออกมา


    “รีบกลับไปเดี๋ยวนี้เลยนะ เร็วสิ เอลิเชีย!!!! บอกให้กลับไปไงเล่า!!!!


    “ไม่กลับหรอก เราจะต้องไปแล้วล่ะ”


    “เธอไม่ไปก็ได้!!! งั้นชั้นไปเอง ปล่อยชั้นนะ!!!!


    “เลิกดื้อได้แล้ว!!!!!!


    ราวกับเด็กน้อยที่ร้องโวยวายอยากได้ของเล่น เห็นแบบนั้นฉันจึงตะคอกออกมาเสียงดัง ดังจนทำให้อาเจนโต้หยุดอาละวาด เหมือนว่าสติจะกลับมาแล้ว ที่ของตานั้นมีน้ำตาซึมเล็กน้อย


    “ฉัน...ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย..”


    “เข้าใจดีค่ะ.....”


    “สงครามนี้จะต้องมีคนตายอีกเยอะแน่..”


    “นั่นสินะคะ....”


    “ถึงแม้จะชนะในครั้งนี้ แต่ในอนาคตก็เป็นจุดจบของพวกเขาอยู่ดีนั่นแหละ”


    ฉันกัดฟันนิดหน่อย ก่อนจะตอบอาเจนโต้


    “ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกค่ะ”


    พอพูดแบบนั้นอาเจนโต้ก็เบิกตากว้าง เขาจ้องมองฉันด้วยท่าทางสงสัย


    “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ.....”


    อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนกับเริ่มมีหวังนิดหน่อย ดวงตาทั้งสองนั้นส่องประกายแห่งความสงสัย


    “ฉันทราบมาว่าพวกเขาสามารถบินได้น่ะค่ะ”


    “บิน...งั้นเหรอ?”


    “ใช่ค่ะ บินได้ แต่เดิมแล้ว พวกเขาเป็นเผ่าปีศาจที่หลงเหลือจากสงคราม บินมาเพื่อหาแหล่งที่อยู่ใหม่ แล้วก็มาตั้งรกรากที่เกาะแห่งนี้ ถึงแม้ตอนนี้ความสามารถจะใช้ไม่ได้ แต่ถ้าหากสงครามในครั้งนี้พวกเขาชนะและถูกปลดจากคำสาปล่ะก็ สิ่งที่เขาต้องทำก็คือทิ้งเกาะนี้ แล้วก็ไปหาที่อยู่ใหม่ พวกเขาก็จะสามารถมีชีวิตต่อไปได้”


    เฉกเช่นเดียวกับจุดเริ่มต้นของพวกเขาที่ไม่มีอะไรเลย และเริ่มสร้างรากฐานของชีวิต ถ้าพวกเขายอมทิ้งที่อยู่เดิมและเริ่มต้นใหม่ คาดว่าพวกเขาจะสามารถสร้างชีวิตใหม่ที่สงบสุขได้ในเวลาไม่นานแน่นอน ฉันได้แนะนำกับคุณเอสเทลเลียไปนิดหน่อย เรื่องของเกาะนอร์ออร์ที่พวกเราเพิ่งผ่านมา สำหรับพวกเรานั้นอาจจะยากเกินไปก็จริง แต่สำหรับพวกเขาที่มีพลังของปีศาจแล้วล่ะก็ มอนสเตอร์พวกนั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับลูกสุนัข ทั้งทรัพยากรพืชพรรณและอาหารที่อุดมสมบูรณ์ รวมถึงไม่มีใครเข้าไปยุ่มย่าม ที่นั่นต้องเหมาะกับพวกเขาอย่างแน่นอน


    _______ถ้าหากพวกเขายอมตัดใจออกจากเกาะนี้น่ะนะ


    “งั้นเหรอ?...เป็นอย่างนั้นเองเหรอ”


    พอพูดเช่นนั้น อาเจนโต้ก็สงบลง เขาพูดอย่างพอใจพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย


    ถึงแม้ฉันจะไม่ได้บอกก็เถอะ ว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้บอกให้ชาวบ้านรู้ ไม่แน่ว่าชาวบ้านอาจจะไม่เห็นด้วยและเลือกยอมตายอย่างมีเกียรติแบบที่เขาเคยพูดเอาไว้ก็ได้ แต่นั่นก็คือทางเลือกของเขา ไม่มีใครไปกำหนดชีวิตใครได้


    ชีวิตของเขา เขาต้องเป็นคนกำหนดเอง สิ่งที่เราทำได้ มีเพียงแค่ภาวนาให้เขาใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขเท่านั้น


    คิดดังนั้นก็กลืนความขมขื่นเอาไว้และปั้นยิ้มใส่อาเจนโต้ที่กำลังยิ้มทั้งน้ำตาอย่างโล่งใจและไร้เดียงสา


    “เอาล่ะ ถ้าสบายใจแล้วออกเดินทางกันเลยดีไหม?”


    “อื้อ”


    อาเจนโต้ตอบพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่แก้ม ส่วนฉันเองก็โฟกัสที่ร่างกาย ร่ายเวทมนตร์เสริมพลังกับร่างกาย


    เอาล่ะ สิ่งที่ต้องคิดในตอนนี้ก็คือ ความปลอดภัยของอาเจนโต้ ความปลอดภัยของเจ้าหญิงอาเรีย และหนทางที่จะเอาตัวรอดในวันต่อไปแค่เท่านั้น เพราะฉะนั้นในตอนนี้น่ะ.....


    “พร้อมแล้วนะ....Go!


    ฉันก็พุ่งตัวมุ่งไปสู่เกาะถัดไป

    ***

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×