คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ 12: The End??
TK12
ห้องนอนขนาดใหญ่สมกับฐานะที่เจ้าของเคยมี ภายในตกแต่งสีเขียวและทอง รายละเอียดต่างๆช่างดูวิจิตรละเอียดละออ เป็นใครก็คงต้องอิจฉาผู้ที่ได้ใช้ชีวิตในห้องนี้กันเสียทุกคน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ความงามทั้งหมดถูกบดบังด้วยความหนาวเน็บ ราวกับการเวลาถูกแช่ค้าง ดอกไม้ที่นำมาประดับไม่เหี่ยวเฉา ไม่โรยรา แม้จะเป็นดอกไม้ที่เกร่งเช่นกุหลาบ ก็ไม่สามารถเบ่งบางได้เช่นกัน
น่าหดหู่
ข้าเองก็คิดเช่นนั้น
ยิ่งทอดสายตาไปมองร่างของบุตรชายบุญธรรมที่นอนทอดกายบนเตียงกว้าง แม้มีม่านสีขาวโปร่งมาบดบังก็ไม่ได้ทำให้สิ่งใดดีขึ้น ชายชราผู้หนึ่งยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ใคร่ครวญ เฝ้ารอให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งกลับมา เด็กหนุ่มที่เขาได้ทำร้ายจิตใจไปแสนสาหัสโดยไม่ได้ตั้งใจ ควรจะทำเช่นไร ถึงจะทำให้รอยร้าวนั้นสมานตัวสักเล็กน้อย ตัวเขาไม่รู้เลย เมื่อยามที่ไร้อิสตรีคู่ชีวิต นางผู้ที่คอยเป็นดั่งดวงอาทิตย์ นางที่คอยปลอบประโลมบุตรชายทั้งสอง
เมื่อไร้นาง ก็ไม่รู้ควรจะทำเช่นไร
ไหนจะมาเสียบุตรไปอีกหนึ่ง ใจคนเป็นพ่อเจ็บปวดเพียงใด
หลังจากธอร์ลงไปยังมิดการ์ดชายชราลังเลอยู่นานกว่าจะมีความกล้าที่จะก้าวเข้ามาให้ห้องที่หนาวเหน็บนี้ 5 ปีแม้ไม่ยาวนานสำหรับเทพที่เวลาท้วมท้น แต่กับคนที่ต้องรอเวลาแค่เสี้ยววินาทีก็แทบฆ่ากันให้ตายได้ ทั้งเขาและธอร์ล้วนเจ็บปวด ธอร์ที่ไม่สามารถช่วยชีวิตคนที่ตนรักไว้ได้ ส่วนเขาโอดินผู้เป็นพ่อทั้งหลอกลวง เพิกเฉย ใยสิ่งที่ทำไปจะไม่ทำให้บุตรรวดร้าว คงรู้สึกราวถูกผลักลงสู่เหวไร้ก้นบึ้ง ไม่มีแสงสว่าง ไร้แม้สิ่งเหนี่ยวรั้งไม่ให้ล่วงหล่น
ความผิดนี้ช่างน่าระอายใจ
โอดินคอยแวะเวียนเข้ามาราวกับกลัวว่าร่างบนเตียงจะเหงา เมื่อบุคคลเดียวที่มักจะมาอย่างธอร์ไม่อยู่ จากวันเลื่อนผ่านเป็นหลายสัปดาห์ ที่เก้าอี้ตัวเดิมข้างเตียงสี่เสา โอดินที่ได้เพียงหวังว่าบุตรชายคนโตจะพาบุตรอีกคนกลับมาได้ ไหล่กว้างองอาจในยามออกไปทำศึก ดูไร้เรี่ยวแรงเสียแล้ว เมื่อนั่งลงตรงนี้จึงได้เข้าใจ ความเงียบที่ธอร์มักจะอยู่นี้ไม่ใช่ความสงบแต่อย่างใด มันคือความเงียบเหงา การรอคอยใกล้มาถึงจุดจบแล้วแล้วหรือยัง
ใจเริ่มที่จะคาดหวังอีกครั้ง
“กลับมาเถอะโลกิ บุตรข้า”
.
.
.
วันนี้ก็เป็นเช่นอีกวันที่ความเย็นคืบคลานแทนที่ความอบอุ่น
ไร้ชีวิต และดูคล้ายจะไร้ความหวังอยู่ในที กาลเวลาภายนอกเคลื่อนไป
ดวงตะวันลอยขึ้นเหนือหัวแล้วแต่ความร้อนจากภายนอกคงไม่สามารถทำให้น้ำแข็งละลายได้
ช่างน่าแปลก...
ใยวันนี้ถึงมีหยดน้ำล่วงหล่นมากระทบที่ไหล่กัน
โอดินมองบริเวณที่เปียกชื้นอย่างนึกสงสัย
พลันความรู้สึกอุ่นวาบก็ปรากฎขึ้นในใจ
โลกิ...
แสงสีฟ้าเรืองรองจากกายที่นอนแน่นิ่งมาเนิ่นนาน ก่อนที่ร่างจะสลายเป็นประกายเล็กๆและล่องลอยไป กลับสู่ผู้เป็นเจ้าของ ห้องที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ดอกไม้สีแดงสดเบ่งบานดั่งที่ควรจะเป็น ต้นไม้ใกล้หน้าต่างมีสีเขียวชะอุ่ม และกาลเวลากลับมาเดินอีกครั้ง
อา...ถึงคราที่เหมันต์จะจากไป และวสันต์ได้หวนคืน
.
.
.
ความวุ่นวายเข้ามาปั่นป่วนราวกับพายุแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว จากไปราวกับไร้ตัวตน
ก๊อกๆ
มีคนอีกผู้หนึ่งกำลังนั่งภาวนาให้บุตรชายของนางกลับมาอย่างปลอดภัย หวังให้เรื่องวุ่นวายเหล่านี้เป็นเพียงอุปสรรคที่ก้าวผ่าน ไม่ใช้กำแพงที่ขวางกันให้ทั้งคู่ต้องแยกจากกันอีกครา เธอเงยหน้าจากมือซึ่งประสานกันไว้แน่น ผุดลุกจากเก้าอี้ไม้รวดเร็วจนมันล้มลงกับพื้นห้องครัวเสียงดัง แต่นั่นไม่ได้รั้งความสนใจของเธอได้เท่าเสียงเคาะแผ่วเบาที่แจ่มชัดในโสตประสาท
สองขาก้าวเดินออกไปได้ช้ากว่าที่นางหวัง เวลารอบกายเชื่องช้านักยามที่ต้องการให้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดประตูไม้สีเข้มก็กระชากเปิดออก แสงสว่างยามเช้าสาดเข้ามาภายใน ไล่ไปตามกำแพงสีอ่อน ทางเดินแคบ จนถึงภาพถ่ายของบุตรชายผู้มีผมสีดำขลับแตกต่างจากมารดาที่มีผมสีทองสว่าง แม้แตกต่างแต่รอยยิ้มบนใบหน้าของคนที่กำลังกอดกันในรูปนั้นดูสดใส
เด็กน้อยสองคนที่มักจะทะเลาะกันอยู่ร่ำไปไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด
เด็กน้อยที่เข้มแข็งกว่าใคร แต่ก็ยังมีมุมอ่อนแอเสียจนน่าเอ็นดู
เด็กน้อยที่นางรักสุดหัวใจแม้หนึ่งในนั้นจะไม่ใช่บุตรของนางอย่างแท้จริง แต่ไหนเล่าเมื่อเป็นมารดาแล้วจะเลิกเป็นได้อย่างไรกัน
เด็กน้อยที่ไม่ได้สูงเพียงเอวนางอีกต่อไป ตอนนี้เติบโตเสียจนน่าใจหาย เด็กน้อยของนางในตอนนั้นกลายเป็นชายหนุ่มเสียแล้ว
ร่างของชายหนุ่มสองคนที่ตอนนี้สามารถบดบังแสงจนเกิดเงาทาบทับบนใบหน้าของนาง ชายหนุ่มสองคนที่ความสูงต่างกันอยู่เล็กน้อย ชายหนุ่มสองคนที่ต้องแยกจากกันไปอย่างไม่มีวันหวนคืนแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้มือคู่นั้นกระชับกันไว้แน่นไม่ยอมให้สิ่งใดมาพรากกันไปได้อีก บนในหน้านั้นที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นนั้นกำลังส่งยิ้มสดใสเช่นในภายความทรงจำของนาง ภาพในอดีตซ้อนทับกับภาพตรงหน้าพร้อมกับเสียงที่ทุ้มขึ้นนั้นเอ่ยเรียกนาง
“.... ท่านแม่ ”
“ข้ากลับมาแล้ว”
“โลกิ....”
“ข้าเองท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว” น้ำเสียงและท่าทางที่นางคุ้นเคยกลับมาแล้ว น้ำตาค่อยไหลลงอาบแก้มผู้เป็นมารดา มือสั่นเทาเอื้อมขึ้นสัมผัสใบหน้าหวาน
“โอ้ โลกิ ลูกรัก...เจ้ากลับมาแล้ว” มารดาแห่งทวยเทพโผเข้ากอดบุตรชายคนเล็กเพียงหนึ่งของนางแน่น ทั้งคู่ต่างร้องไห้ในอ้อมกอดของกันและกัน คนหนึ่งพร่ำบอกรัก อีกคนพึมพัมว่าตนกลับมาแล้วเพื่อย้ำเตือนต่อตนเองและมารดา
“ข้าพาน้องกลับมาแล้ว ท่านแม่” ฟริกาผินใบหน้ามองบุตรชายอีกคน เทพแห่งสายฟ้าส่งยิ้มอบอุ่นมาให้นางเช่นเสมอมา มือบางเอื้อมคว้าอีกคนเข้ามาในอ้อมกอดเช่นดัยวกัน เหล่าบุตรของข้า ข้าดีใจนักที่เจ้าได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก
“บุตรของข้า พวกเจ้ากลับมาพร้อมหน้าเสียที”
.
.
.
“โอเค ขอสรุปแบบสั้นๆนะ เรื่องบ้าบอทั้งหมดนี่--”
“โทนี่ ใจเย็นก่อน---”
“มันเกิดจากที่ไททันตัวนึงอยากเอาใจเมียเนี่ยนะ!? เอาจริงดิ!?” สตาร์กแทบจะอยากเอาสวมชุดเกราะแล้วบินขึ้นฟ้า ก่อนจะทิ้งตัวเอาหัวโหม่งโลกให้รู้แล้วรู้รอด! ไหนจะสองพี่น้องคู่รักนี่อีก มีแต่ปัญหาๆๆๆ
แน่นอนว่าตอนไหนที่โทนี่อาละวาดแบบนี้ ก็คงมีแค่สตีฟที่คอยพูดให้อีกฝ่ายใจเย็นลงได้ ถึงตัวเขาเองจะยังไม่เข้าใจเรื่องก็ตามที แต่จะปล่อยให้อีกฝ่ายโวยวายให้คนอื่นรำคาญเพราะฟังอีกฝ่ายอธิบายไม่รู้เรื่องต่อไปก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่นัก
“เอาน่าโทนี่ อย่างน้อยก็ไม่ได้ก่อนเรื่องอะไรที่เลวร้ายกว่านี้ และมันจะจบลงด้วยดี” ถึงจะเป็นแบบที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ก็ตามที
ถ้าถามว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนก็แน่นอนว่าเจ้าเก่าเจ้าเดิม บนตึกระฟ้าของโทนี่ สตาร์ก พร้อมด้วยอาหารและเครื่องดื่มชนิดที่เจ้าของสถานที่แทบจะขนออกมาจากสต๊อกทั้งหมด หลังจัดการความวุ่นวายที่กองทัพของธานอสมาสร้างความวุ่นวายแล้วอยู่ๆก็หายตัวไปแบบรวดเร็ว ทิ้งไว้แค่สองพี่น้อง คู่รักคู่กัดนี่แหละที่ลอยกลับมาที่ยอดตึก
“ก็จบด้วยดี ถ้าไม่นับรวมความเสียหายในเมือง มาแล้วก็ไปแบบไม่ทันตั้งตัวน่ะนะ แคป” บรูซพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของนาตาชา
“เรื่องเป็นแบบนี้จะให้ฉันรายงานกับพวกคนใหญ่คนโตว่ายังไงละ สงครามรักของเอเลี่ยนอย่างงี้หรอ บอบ้า!”
“นั่นค่อนข้างเกินกว่าจะรับไหวนะ นอกจะไม่ปลื้มแล้วคงได้โดนด่าซ้ำชัวๆ”
ทั้งฟิวรี่ และบรูซได้แต่กุมขมับคิดหาข้ออ้างในการตอบคำถามทั้งสื่อ ประชาชน ไหนจะพวกกองทัพอีก ข้ออ้างร้อยแปดข้อคงถูกยกขึ้นมาจนสีข้างคงไม่เหลือเนื้อให้ถลอก ถ้ายังไม่อยากโดนตะโกนกลับมาว่ารายงานนี้เหมือนนิยายหลังข่าว ก็เรื่องมันเป็นแบบนี้จะให้ทำอย่างไรได้กัน ถึงเมืองจะได้รับความเสียหาย แต่โชคดีจนเรียกได้ว่าปฏิหาริย์ที่ไม่มีผู้เสียชีวิตแม้แต่คนเดียว
“จะว่าไร้สาระหรือ เกินจริงไปก็ไม่ผิดหรอก”
“หมายความว่าไง?” คลินท์หันมองเทพคนน้องที่ลดแก้วเครื่องดื่มในมือลงอย่างุนงง “ฉันคิดว่านายจะแก้ตัวสะอีก ว่าไม่ใช่ความผิดของนาย”
“ทำไมต้องเอ่ยคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นด้วยเล่า เพราะอย่างไรส่วนหนึ่งก็มาจากข้าเป็นต้นเหตุ แต่ความจริงพวกเจ้าควรขอบคุณข้าด้วยซ้ำไปนะ ไม่เช่นนั้นจักรวาลคงได้พังทลายอีกครา ดินแดนทั้ง 9 จักเสียสมดุล เมื่อเทียบกับตอนนี้ สิ่งที่ต้องจ่ายมันมากขนาดที่พวกเจ้าคาดไม่ถึง” โลกิขยับแก้วไวน์ในมือให้วนป็นจังหวะ ปัญหาครานี่ใหญ่กว่าที่ตัวเขาจะแก้ได้ การที่เทพยื่นมือมาช่วยดูออกจะผิดแผก แต่พวกเขาคงเห็นว่าคุ้มค่าสินะ...
“เหอะ พวกเทพเอาแต่ใจ”
เจ้านายเก่าของเขาบ่นอุบอิบไม่หยุด จนเขาหลุดขำหึออกมาเบาๆ จะทำอย่างไรได้ถึงแม้ชาวเอสการ์ดจะเรียกตนเองว่าเทพกลับไม่ต่างจากมนุษย์โลกสักนิด แต่เทพและเทพีที่ถือตนเป็นกลางอย่างแท้จริงนั้นเข้าใจยากยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่เคยคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะทำอะไร คงเพราะไม่เคยพบกันได้โดยง่าย เป็นความโชคร้ายหรือความโชคดีกันนะที่เด็กเหล่านี้ได้รับการช่วยเหลือ
“เจ้าว่าข้าหรอ สหาย” ส่วนเทพที่ยังคงโง่งมก็ยังเหมือนเดิมอยู่วันยังค่ำ โถ่ธอร์...
“คิดว่าไงละหะ พ่อคุณณณณ”
“โอ้ ไม่ใช้ข้าสินะงั้นข้าสบายใจ”
“หมายถึงนายนั่นแหละ!!”
การโต้เถียงระหว่างหนึ่งมิดการ์เดี้ยน และหนึ่งแอสการ์ดเดี้ยนเรียกเสียงหัวเราะครืนใหญ่ สร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้กับเหล่าผู้ที่เหน็ดเหนื่อยจากการปกป้องบ้านที่เป็นที่รัก บ้านที่เรียกว่าโลก แม้จะขัดแย้งกันบ้าง ทะเลาะกันด้วยเนื่องไร้สาระบ้าง แต่คนเหล่านี้คือทีมที่รักใคร่กันและเข้าใจกันมากที่สุด แตกต่างกันบ้างจะเป็นอะไรไป จริงมั้ย
มือบางยกแก้วขึ้นจิบขณะซึมซับบรรยากาศตรงหน้าไว้ ช่วงเวลาของพวกเขาแตกต่างกันเสียจนหน้าใจหาย เช่นนั้นขณะที่นาฬิกาเหล่านี้ยังเดินต่อไปก็ขอสลักภาพไว้เป็นความทรงจำช่วงหนึ่งอันมีค่า ใช้เวลาไปด้วยกัน
“วันนี้คุณดูเงียบๆนะ”
“ข้าแค่เหนื่อยนิดหน่อยนะ” โลกิยกยิ้มส่งให้อีกฝ่าย ดูท่าสตีฟหมดแรงที่จะห้ามไม่ให้โทนี่ตีกับธอร์ ถึงได้หนีทัพมาอยู่ข้างๆเขาได้ ยิ่งพอต่างฝ่ายต่างเหนื่อยกับการกล่าวโต้เถียง จึงเปลี่ยนมาดวลด้วยแอลกอฮอล์แทนว่าใครที่ล้มไปก่อนคนนั้นแพ้ คนที่ไม่ถูกกับของมึนเมาก็หนีแทบไม่ทันด้วยกลัวว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย ให้ทำอะไรก็ได้แต่เรื่องของมึนเมาคนคออ่อนต้องขอผ่าน ส่วนพวกที่เหลือเริ่มเดิมพันว่าใครจะชนะสนุกสนานไปตามๆกัน
“นั่นสินะ เกิดเรื่องตั้งมากมายแค่ในวันๆเดียว แล้วหลังจากนี้พวกคุณจะทำอย่างไร”
“ก็คงกลับแอสการ์ด ต่อจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นคงยากจะบอกได้ชัดเจน ไม่แน่ข้าอาจจะถูกจับขังอีกก็ได้” รอยยิ้มหยันปรากฎบนใบหน้าหวาน
“ทำไมคุณคิดแบบนั้น มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายก็ได้นะโลกิ”
“โลกของเราไม่ได้ดำเนินไปอย่างสวยงามนักหรอกนะ คุณปู่”
“ฮ่าๆๆๆ นึกว่าจะไม่ได้ยินคำนี้จากปากคุณแล้ว เอาจริงๆคุณน่าจะอายุมากกว่าผมอีกนะ”
“หึหึ โอ้ เป็นอย่างนั้นหรอกหรอเจ้าหนู” โลกินึกสนุกที่ได้หยอกล้อคนรักของสตาร์กไม่น้อยเลย สตีฟเป็นคนดี ดีเสียจนน่าสงสารที่สุดท้ายมาลงเอยกับเจ้ามหาเศรษฐีตัวแสบนี่ และก็ต้องแปลกใจเมื่อมือหนาเลื่อนมาตรงหน้าเขา โลกิมองอีกฝ่ายอย่างุนงง
“ทำไมผมชักเริ่มอยากกลับไปแก่แล้วนะ... เอาเถอะยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันแล้วถูกมั้ย ไม่ว่าคุณจะเป็นทอมหรือว่าโลกิ สุดท้ายทั้งคู่ก็คือส่วนนึงของคุณ เพราะยิ่งได้รู้จะทอมนั่นยิ่งทำให้ผมรู้ว่า คุณก็ไม่ได้ร้ายไปเสียหมดหรอก ก็ยังพอมีด้านดีๆหลงเหลืออยู่บ้าง” รอยยิ้มอ่อนโยนมักปรากฎบนใบหน้าของชายหนุ่มเสมอ
“และผมเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าธอร์จะปกป้องคุณได้ โลกิ”
ทุกถ้อยคำทำให้เทพแห่งคำลวงไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดออกไปได้ นานแล้วที่ไม่มีใครพูดกับเขาเช่นนี้ พูดกับ ‘โลกิ’ เช่นนี้ ถ้อยคำที่ได้หากไม่ใช้เพื่อหวังใช้เขาเป็นสะพานไปยังธอร์ ก็เป็นคำพูดหยามเหยียด ไม่ก็ว่าร้ายลับหลัง เขาไม่มีวันขึ้นเป็นกษัตริย์แล้วอย่างไรกัน เขาไม่เคยต้องการบัลลังก์นั่น สิ่งที่โลกิต้องการคือเป็นที่ยอมรับของบิดา เป็นที่รักของมารดา และที่สำคัญคือได้เป็นคนสำคัญของเชษฐา
ถึงไม่รู้ว่าสุดท้ายมันแปรเปลี่ยนเป็นความรักตั้งแต่เมื่อไหร่
ลึกๆเขาอาจจะดีใจอยู่ก็ได้เมื่อรู้ว่าเขาและธอร์ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ
หลังความจริงตีเข้าแสกหน้าพร้อมกับความสิ้นหวังผสมปนเปกันไปหมดยิ่งยามที่เห็นว่ากำลังมีคนมาแย่งที่ข้างๆธอร์ไปจากเขา
ทุกอย่างตีรัวกันจนเป็นเคียดแค้นทุกสิ่งอย่าง ความมืดบดบังเสียจนไม่เห็นสิ่งใด
ความพยายามที่ไร้ผู้ซึ่งมองเห็น ความรักที่ไร้ซึ่งคนต้องการ
นึกดีใจพอๆกับเสียใจที่ชีวิตนี้จักจบเสียที การใช้ชีวิตช่างเหนื่อยสู้จบมันลงตรงนี้แล้วเริ่มต้นใหม่คงจะดีกว่า และยังคงไม่แน่ใจในปฏิหาริย์ว่าเขาได้รับชีวิตนี้คืนมา จนได้พบกับคนเหล่านี้ ได้พบกับธอร์อีกครั้ง
หลังจากที่มือนี้พยายามไขว่คว้ามานานเนิน ในที่สุดก็มีคนที่ยื่นมือกลับมาหา
“...ไปมาเจ้าเหมาะกับคำว่าคุณปู่จริงๆนั่นแหละ พูดจาอย่างกับคนแก่” มือบางเลื่อนไปจับมือที่ยื่นมาของสตีฟในที่สุด
“ฮ่าๆๆๆๆ ส่วนนึงมาจากโทนี่น่ะ เขาอยากพูดอะไรหลายอย่างกับคุณ แต่ก็เจ้าศักดิ์ศรีเกินไป” สตีฟยิ้มรับขำๆ
“ขอบคุณ สตีฟ” โลกิตอบไปเพียงสั้นๆ ดวงตามรกตเลื่อนกลับไปมองวงสนทนาครื้นแครงอีกครั้ง ชายที่เขารักยังคงไม่ล้มไปแบบที่โทนี่ต้องการ แต่ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มไม่มีสติ จนสุดท้ายก็เป็นคนที่ท้าเองนั่นแหละที่น็อคไปแล้ว
“ด้วยความยินดี โลกิ”
.
.
.
“โลกิ! น้องข้าาาาา” เป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่เขา โลกิเทพแห่งคำลวงคนนี้ออกแรงยันหน้าของเชษฐาต่างมารดาให้ออกห่าง
“หุบปากธอร์”
ให้ตายสิเขาถอนคำพูดที่ว่ารักเจ้าพี่บ้านี่ได้มั้ย!?
ย้อนกลับไปเล็กน้อยผลของการดวลแอลกอฮอร์เมื่อช่วงค่ำผลเป็นเอกฉันท์ว่าบุตรแห่งโอดินเป็นฝ่ายชนะ แต่ก็มีสภาพไม่ต่างจากศพเดินได้ ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นชวนมึนเมา ไร้สติแถมยังเอาแต่เรียกชื่อเขาไม่หยุดปาก ลำบากเขามานั่งเช็ดตัวให้ เพราะจะให้ลากไปอาบน้ำก็ใช่เรื่อง ดูขนาดตัวเขากับธอร์เสียก่อน ถึงเขาจะเรียกได้ว่าตัวสูงเมื่อเทียบกับมนุษย์ทั่วไป แต่อีกฝ่ายก็ยังสูงกว่าเขาไหนจะกล้ามเนื้อที่เจ้าตัวภูมิใจนักหนาอีก
ดีที่บอกท่านแม่แล้วว่าคืนนี้คงไม่ได้กลับบ้าน
“นี่ โลกิ”
“อะไรอีก”
หลังจากที่เช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อให้แล้วร่างโปร่งทิ้งตัวนั่งตรงปลายเตียงอย่างคิดไม่ตกว่าคืนนี้จะไปนอนที่ไหนดี เพราะพี่ชายเขาเล่นทิ้งตัวนอนแผ่ไปเสียเต็มเตียงคิงไซส์ จะดันให้ไปนอนแค่ฝั่งเดียวเขาคงหมดแรงก่อน หรือเขานอนที่โซฟาดี แต่นี่มันห้องเขานะ! ถึงจะเป็นห้องชั่วคราวก็เถอะ เพราะห้องเดิมกำแพงยังเป็นรูจากแรงระเบิดครั้งก่อน...
“ข้าดีใจ...ที่เจ้ากลับมาแล้ว”
“ธอร์ เจ้าเป็นคนพาข้ากลับมาเอง”
โลกิไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมพี่ชายของเขาถึงยังมีแรงมาพูดอะไรไร้สาระนี้อยู่ได้ ทั้งๆที่ไม่มีแม้แต่แรงจะเดินให้ตรงด้วยซ้ำ แม้เสียงจะเริ่มยานเสียจนฟังไม่รู้เรื่อง แต่เทพคนพี่ก็ยังไม่หยุดพูด เขาจะปล่อยให้พูดต่อไปอีกสักครู่ หากยังไม่หยุดเขาจะร่ายเวทให้หลับไปเสีย คิดได้แบบนั้นโลกิก็ย้ายตัวเองมายืนที่ข้างเตียงเพื่อให้ง่ายต่อการร่ายเวท
“ช่ายยยย พาเจ้ากลับบ้าน…ข้าน่ะ คิดถึงเจ้ามากๆเลยยยยย”
“เพ้อเจ้อ เจ้าจะคิดถึงข้าทำไมกัน”
“เพราะข้ารักเจ้าไง น้องข้าาาาา”
กึก
“...”
“ข้ารักเจ้าาาาา”
“เฮ้อ...คนเมานี่มักพูดไปเรื่อยหรืออย่างไรกัน” โลกิทิ้งตัวนั่งพร้อมถอนหายใจอย่างหมดแรง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเสยผมที่ปรกหน้าออก เขาไม่เข้าใจเลยเสียจริงๆ ใครเขาให้พูดเรื่องแบบนี้ตอนเมากันหะ!
“ข้าพูดจริงงงงง ข้ารักเจ้าาาาา โลกิ รักเจ้ามากๆ...จน..เจ็บแทบตายเลยย...พอรู้ว่าเจ้า..ตาย....” รอยยิ้มจางหายไป แทนที่ด้วยสีหน้ารวดร้าว
ใจของเขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน ยามเห็นแววตาที่ส่งมา เขาลืมเลือนไปชั่วขณะหนึ่งว่าควรจะเอื้อนเอ่ยออกไปอย่างไร แต่ริมฝีปากก็ขยับเปิดขึ้นอีกครั้ง
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ท่านก็ลืมว่ากล่าวสิ่งใดไว้บ้าง”
“ข้าไม่มีทางลืม!” ธอร์ขมวดเข้าหากัน ไม่พอใจสิ่งที่โลกิตอบเท่าไหร่นัก ทั้งยังเอ่ยกลับเสียงดัง
“...”
มรกตคู่นั้นเบิกโพลง จะว่าตกใจที่อีกฝ่ายอยู่ๆก็ตะโกนใส่เขาก็ได้
แต่คำพูดที่ส่งกลับมานั้นต่างหากที่ทำให้ใจเต้นระรัว
แม้พอจะจับความรู้สึกบางอย่างได้แต่ก็ไม่อยากคิดไปเอง
ไม่อยากฝันกลางวันว่าทุกสิ่งจะเป็นตามที่ต้องการ
“ไม่ร้องสิ”
หือ?
“ไม่ร้องสิ ดวงใจของข้า”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ภาพตรงหน้าช่างพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตา จนเมื่อธอร์ดึงเข้าไปกอดไว้
ไม่รู้ตัวเลยว่าคิดถึงคำปลอบโยนเช่นนี้ จนเมื่อได้สัมผัสถึงมัน
“เจ้ามัน...งี่เง่า”
“ข้าอยู่นี่แล้วโลกิ”
“...เชื่อไม่ได้”
“จะไม่แยกจากเจ้าไปไหนแล้ว”
“...ฮึก..”
ไร้เสียงสะอื้น ไร้คำว่าร้าย ยามที่ริมฝีปากบางนั้นถูกทาบทับด้วยจุมพิตอ่อนหวาน มรกตปรือปิดลงปล่อยให้ใจเป็นผู้ฟังคำบอกรักไร้เสียงนี้ ปล่อยให้ริมฝีปากทั้งสองบดเบียดเข้าหากันตามความปราถนา น้ำตาที่ไหลข้างแก้มเองก็ไม่สามารถปลุกให้ตื่นจากห้วงฝันนี้ได้ ทุกอย่างเป็นอย่างที่ควรจะเป็น ลิ้นร้อนไล่ต้อนและฝ่ายถูกไล่ต้อน จนน้ำใสปริ่มจากริมฝีปาก ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่จนเมื่อปากหนาผละออก มือทั้งสองยังคงประคองใบหน้างดงามเอาไว้ราวกับสิ่งล้ำค่า
“ข้ารักเจ้านะ”
“...”
“แล้วเจ้าล่ะ โลกิ” ท้องนภานั้นกำลังเว้าวอนขอความรัก แต่เขายังไม่อยากตอบ ไม่ใช่ตอนนี้
“...ข้า”
“...”
“ถาม...ถามอีกครั้งเมื่อท่านตื่น ตอนนั้นข้าจะฟังทุกเรื่องตอบทุกคำถาม เพราะงั้น...นอนได้แล้ว พี่ข้า”
เทพแห่งสายฟ้าดึงให้คนในอ้อมกอดทิ้งตัวลงนอนไปพร้อมกัน ไม่ลืมขยับจัดท่าให้เทพแห่งลำลวงนอนได้สบาย แต่อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมืออีกข้างที่ยังคงกอดอีกฝ่ายไว้ ไม่ยอมให้หนีไปจากอ้อมแขนนี้ และโลกิเองก็ไม่คิดจะหนีไปไหนเช่นกัน ซุกหน้าเข้าหาไออุ่นเพียงหนึ่งที่ตนโหยหามาเนิ่นนาน
“อือ ราตรีสวัสดิ์ โลกิ”
“ราตรีสวัสดิ์ ธอร์”
.
.
.
บางคราเราไม่ได้ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าความชัดเจน แม้การกระทำแม้จะสื่อออกมาให้เห็น แต่ยังคงต้องการคำพูดเพียงประโยคสั้น ประโยคที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นมากมายที่ต้องการจะสื่อไปให้ถึงอีกฝ่ายที่กำลังรับฟัง เพื่อให้การเฝ้ารอนี้คุ้มค่า เพียงเท่านั้นเอง
อย่างที่มีใครสักคนเคยกล่าวไว้ เวลามักเดินช้าเสมอสำหรับผู้ที่รอคอย คงจะดีไม่น้อยหากที่ปลายทางมีสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ยามมรกตงดงามคู่นั้นปรือเปิดขึ้นอีกครั้งในยามเช้า
สิ่งแรกที่มองเห็นคือท้องฟ้าสดใส
ท้องฟ้าของเขาเพียงผู้เดียว และเขาเองก็จะเป็นมรกตที่งดงามที่สุดให้แก่ท้องนภานี้เพียงผู้เดียวเช่นกัน
“โลกิ”
“...”
“ข้ารักเจ้า”
“ข้าก็รักเจ้าธอร์”
END.
.
.
.
OR TBC??
Talk:: สวัสดีอีกครั้งค่าาา ในที่สุดก็เดินทางมาถึงได้พบกันอีกตอนแล้ววที่ไม่แน่ใจว่าจะมีตอนต่อไปอีกรึเปล่า55555 ด้วยความตั้งเป้าหมายของปีนี้ว่าจะต้องจบนิยายมหากาพย์นี้สักทีTT ไม่รู้อ่านแล้วรู้สึกคุ้มกับเวลาที่รอมามั้ย แต่เขียนด้วยความตั้งใจเต็มร้อยเลยย หวังว่าจะชอบกันน้าาา คอมเม้นกันมาได้เลยเรารออ่านเสมอ รอๆๆๆ ส่วนตอนถัดไปจะมีจริงๆรึเปล่าคงต้องลุ้นกันน หรือจะมาคุยเล่นกันในทวิตกันได้น้าา<3 BlackWolfs_life
ความคิดเห็น