ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic:Thorki] Now is my turn.

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 8: ถึงเวลา **Edited 100%**

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.พ. 62



    @@@@แฮร่!! มีการเปลี่ยนเนื้อหาตอนนี้นิดหน่อย ไม่ใช่แต่งใหม่หมดแต่อย่างใดจ้าา


    บทที่ 8
     
    .
    .
    .
    .
    .
     
     
     
    "อึก!" ร่างบางสะดุ้งตัวลืมตาเมื่อมีความหนาวเย็นมากระทบข้างแก้ม 'อะไรนะ? หิมะ?' ฝ่ามือยกขึ้นแตะโดยอัตโนมัติ จะมีหิมะในฤดูนี้ได้ไงอีกอย่างนี้มันในอาคารนะ!? ทอมมองสำรวจไปรอบๆห้องที่มีหิมะเกาะอยู่พรายพราวอย่างไม่เข้าใจบรรยากาศเย็นยะเยือกรอบๆตัวนั่นสักนิด แต่แล้วดวงเนตรมรกตก็เหลือบไปเห็นร่างบางที่ยืนห่างจากเตียงที่เขานอนไปไม่ไกลนัก ช่างดูคุ้นตา...
     
     
    'กว่าเจ้าจะรู้สึกตัวนะ'
     
     
    "นายเป็นใคร!?" ด้วยความตกใจร่างบางก็ทดตัวหนีด้วยสัญชาตญาณ
     
     
    'เจ้าไม่รู้จริงรึ' แว่วเสียงฉายแววฉงนปนเหยียด
     
     
    "ฉันจะไปรู้ได้ยังไง แล้วนายทำอะไรกับห้องนี้!?"
     
     
    'อย่ามาโยนความผิดให้ข้า ทั้งที่เจ้าเป็นคนทำ' เจ้าของเสียงค่อยเยื้องย่างปรากฎกายออกมานอกเงามืด ทำเอาร่างบางผงะถอยจนชิดหัวเตียง ใบหน้า ส่วนสูงรูปร่าง สีผมทุอย่างมันเหมือนกับเขาราวกับแกะ มีเพียงสีตาและสีผิวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เขามีตาสีเขียวมรกตและมีผิวสีเฉกเช่นคนปกติแต่ร่างตรงหน้ากลับมีดวงเนตรสีแดงฉานกับผิวกายที่เป็นสีน้ำเงินเข้ม
     
     
    "ทำไมนายถึงหน้าเหมือนฉันไหนจะสีตากับผมที่แปลกประหลาดนั่น นายเป็นตัวอะไรกันแน่!?" ทอมรู้ว่าตัวเองเสียเปรียบแน่ๆถ้ายังคงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงนี้ ค่อยๆเคลื่อนตัวไปยืนอยู่อีกฝากของเตียงทันที
     
     
    'ใยต้องตั้งคำถามให้มากความ ทั้งที่คำตอบก็อยู่ตรงหน้าเราทั้งคู่นะทอม ไม่สิชื่อจริงๆของเจ้านะ.....`โลกิ` นั่นคือชื่อของพวกเรา' รอยยิ้มเหยียดค่อยยกๆขึ้น 
     
     
    "อย่ามาโกหกข้านะ!!" ไม่รู้เพราะลืมตัวหรือกำลังโมโหเหมือนกับมีพลังแผ่ออกมาจากร่างบางไปกระแทกบุคคลตรงหน้าให้ผงะถอย
     
     
    '..!?..เจ้า!?.....หึหึ เจ้านี่เป็นเทพแห่งคำลวงได้เหมาะจริงๆ หลอกได้แม้กระทั่งตัวเอง' พูดพร้อมกับหัวเราะเหยียดหยาม
     
     
    "นะ นี่มันอะไรกันนะ" ร่างบางก้มมองมือตนเองอย่างตื่นตระหนก อีกคนอาศัยจังหวะนั้นปรีเข้ามาประชิดตัวแล้วยกมือขึ้นมาบีบคอและยกขึ้นจนลอยขึ้นเหนือพื้น
     

    'เจ้านี่ช่างไม่รู้จักระวังตัวเลยนะ เช่นนั้นข้าขอร่างนี้ไปแล้วกันนะ'



    "อึก! ขะ ข้าไม่ให้ อึก แค่ก! เจ้าเอาร่างของข้าไปเด็ดขาด!!" ร่างบางดิ้นรนให้ตนลุดจากพันธนาการแต่กับไร้ผล ไม่ยอมยกร่างนี้ให้ไอ้เจ้าบ้านี่เด็ดขาด!  มันต้องมีทางหลุดจากมือที่แข็งราวกับคีมเหล็กนี่สิน่า!!?
     
     
     
     
     
    `เปรี้ยง!!!!`
     
     
     
     
     
    เสียงฟ้าร้องดังลั่น สะท้านไปทั่วบริเวณ มือที่ล็อกร่างบางไว้ก็ครายลงฉับพลัน ทอมเมื่อได้สติก็วิ่งไปดูที่ระเบียงทันที 'เกิดอะไรขึ้นด้านล่างนั่นกันนะ!?'
     
     
    'ขิ! ข้าช้าไปหรือนี่ สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว' ร่างบางสบถออกมาเสียงแผ่ว
     
     
    "นี่มันอะไรกัน!? เจ้ารู้เรื้องใช่มั้ย บอกข้ามานะ"
     
     
    'ใยข้าต้องช่วยเจ้าด้วยมิทราบ' ร่างบางเลิกคิ้วสูงทำทียี่ยวน คล้ายไม่ยี่่หรากับเหตุการณ์ตรงหน้า ทั้งที่มือที่กำลังยกขึ้นกอดอกอยู่นั้นกำเสียแน่น
     
     
    "ข้าต้องไปช่วยธอร์"
     
     
    'เจ้าหมีโง่นั่นจะตายไปก็ไม่เห็นจะเป็นอันใดนี่ ในอดีตเจ้ายังพยายามฆ่าเขาต้องหลายรอบนี่'
     
     
     
    "นั่น..มัน...." ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้น 
     
     
                     เขารู้...เขารู้ว่าสิ่งที่ฝันเห็นทุกคืนมันไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน แต่มันคือ เศษเสี้ยวของความหลังในอดีต.. ความทรงจำที่สวยงามและน่ารังเกลียด ของยักษาแดนหิมะเช่นโยธันไฮม์ ที่สิ่งมีชีวิตทั้งเก้าโลกต่างนึกรังเกลียดและหวาดกลัว แม้กระทั่งตัวเขาเองยังไม่อยากจะยอมรับ ใจที่ต่อต้านสิ่งที่พบในฝันบางสิ่งจึงเลือนลาง แต่หากเป็นความทรงจำที่มีบุรุษผู้นั้นอยู่กลับชัดเจน เดาได้ไม่ยากเลยว่าเทพแห่งสายฟ้าสำหรับตัวเขาในอดีต สำคัญเพียงใด...... จนตอนนี้ก็ยังสำคัญต่อตัวตนปัจจุบัน
     
     
                      แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น... ก็ไม่อยากจะยอมรับ ใช่ เขากำลัง "กลัว" 


    'เจ้ากำลังกลัวในสิ่งที่ไร้สาระ'


    "แล้วเจ้าไม่กลัวหรือยังไงกัน" กลัวว่าถ้าธอร์รู้ว่าเขาเป็นใครจะเกลียดจะตีออกห่าง กลัวจะต้องสูญเสียสิ่งสำคัญ กลัวจะเสียตัวตนที่เป็นอยู่... กลัวจะลืมเลือนความรู้สึกที่ตนมีต่อเจ้าในตอนนี้ ทั้งที่ไม่ควรมีความรู้สึกนี้ในตัวของเทพแห่งคำลวง เขาควรที่จะมั่นใจ เดินเชิดหน้าไปตะโกนใส่หน้าเชษฐาต่างบิดามารดาได้ว่านี่คือเขา คือโลกิ แล้วปรามาศไปอีกว่าเจ้านี่ยังโง่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน 


    'เจ้าคิดว่าอย่างไรละ'
     
     
    "ข้า ..ไม่เคยต้องการให้ธอร์ตาย" ทอมพึมพัมตอบเสียงแผ่ว ทั้งยังก้มหน้าจนเสียงแทบจะถูกกลืนไปกับอากาศ
     
     
                      ร่างบางมีท่าทีพอใจกับคำตอบไม่น้อย แทนทีจะรู้สักขัดใจ ถ้าไม่ผลักดันกันบ้างคงไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการสักทีพอดี เพราะนั่นคือตนเองย่อมเข้าใจกันได้ดีกว่าใคร ว่าเทพแห่งคำลวงนามว่าโลกิ ลาฟฟี่ซัน นั้นปากแข็งเพียงใด ขี้ขลาดต่อความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเพียงไร ไม่ว่าจะพยายามเสแสร้งว่าตนเข้มแข็ง ว่าไม่มีผู้ใดทำให้ตัวเขารู้สึกเจ็บปวดได้ 


    นั่นก็แค่เปลือกนอกที่ ทุกคนคิด ไม่ใช่โลกิที่แท้จริง โลกิ คนที่รักแอสการ์ดมากกกว่าที่ใดใน9ภพ มากกว่าแม้กระทั่งบ้านเกิดที่แท้จริง เทิดทูลโอดินและฟริกก้ากว่าผู้ใด แม้ยามรู้ว่าทั้งชีวิตถูกหลอก เป็นห่วงเชษฐาของตนเกินกว่าที่จะยอมให้บาดเจ็บทุกคราที่ต้องไปทำศึก คอยเฝ้าดูแลทำแผลให้ ถึงจะมีบ้างท่กลั่นแกล้งกัน แต่ทุกอย่างก็เพื่อให้หันมาสนใจ ไม่อยากถูกทิ้ง ไม่อยากถูกลืมเลือน


    อา... โลกิที่แท้อาจเป็นเพียงเด็กสิบขวบก็นเป็นได้ ขลาดกลัวในทุกสิ่ง
     
     
     
    'หึหึ งั้นเจ้าพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเจ้านั่นมั้ยละ?'
     
     
    "แน่นอน!'"
     
     
    'งั้นก็ช่วย... อยู่นิ่งๆ ปล่อยให้ข้าจัดการเอง' ร่างบางแสยะยิ้มกว้าง แต่กลับไร้แววเย้ยหยัน ดูกำลังชอบใจเสียมากกว่าที่ได้สิ่งตามต้องการ พร้อมสาวเท้าเข้าไปประชิดตัวในชั่วพริบตา มือเรียวสีน้ำเงินทั้งสองยกขึ้นมาประครองใบหน้างดงามและจ้องดวงเนตรมรกต ด้วยทับทิมงามสดแน่นิ่ง


    'มันอาจจะเจ็บไปสักหน่อย'
     
     
                        ราวกับมีมือขนาดยักษ์กำลังบีบหัวเขาอยู่ ร่างบางกรีดร้องอย่างเจ็บปวด แต่ไม่สามารถแม้แต่จะตะโกนร้องให้ใครช่วยได้ทำได้เพียงกู่ร้องจนสุดเสียงหวังเพียงว่ามันจะจบโดยเร็ว เขาต้องอดทน....เพื่อช่วยธอร์...ความเจ็บปวดแเพียงค่นี้น่ะ.......
     
     
     
     
     
    `อ้ากกกกกกก!!`
    .
    .
    .
    .
    .
    .
     

    บุตรแห่งลาฟฟี่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ชั้นหนังสือมากมายเรียงรายไปตามทางเดินสุดสายตา สูงเสียจนชิดเพดานสูง มากจนเกินกว่าจะคาดคะเนได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร ดูแปลกตาแต่ไม่แปลกใจ กลิ่นอับของหนังสือช่างคุ้นเคยในความรู้สึก 

    'นี่ข้าอยู่ที่ใดกัน?' ร่างบางทอดสายตาไปโดยรอบก็พบเพียงหนังสือมากมาย ทั้งที่อยู่บนโต๊ะใกล้ตัวและบนชั้น บนมือเขาก็ถือหนังสือเล่มหนาอยู่เล่มนึง `ตำราศาสตร์เวทย์ชั้นสูง` เนื้อหานี่ฟังดูยากเป็นบ้าแต่ตัวเขารู้สึกว่ามันช่างอ่านง่าย เขาเคยอ่านมันมาแล้วนิ เดี๋ยวนะ!? เล่นนั้นก็ด้วย นี่ก็ด้วย เล่มนั้นก็ใช่

     

                   มือเรียวไล่ไปตามสันกองหนังสือบนโต๊ะจนหมด พาร่างเคลื่อนผ่านชั้นหนังสือชั้นแล้วชั้นเล่า... ทุกสันเล่มล้วนเคยสัมผัส เคยอ่าน ได้ไงกันปริมาณขนาดนี้ ใช่ว่าจะสามารถอ่านได้หมดภายในพริบตา ต้องใช้อย่างน้อยเป็นสิบปี


     นั่นสิก็สมัยก่อนตัวข้าจะแอบมาหลบตอนต้องไปฝึกดาบในห้องสมุดกับท่านแม่เสมอเลยนี่นา คิดแล้วก็นึกขันช่างเป็นเด็กที่แสบเสียจริง

     

    "โลกิ? เจ้าหาหนังสือเล่มใดไม่เจอรึ" สุรเสียงที่ฟังอบอุ่นและชวนคิดถึงดังขึ้นจากด้านหลัง พอหันกลับไป ก็พบร่างระหงส์สง่างามของราชินีแห่งทวยเทพ กำลังแย้มยิ้มละมุนมาให้ งามไม่เปลี่ยนราวกับกาลเวลาไม่สามารถแตะต้องได้ ผู้ที่คอยอยู่เคียงเทพแห่งบิดร ผู้ที่คอยสั่งสอนและปลอบประโลมตนยามยังเยาว์วัย ผู้ที่ไม่เคยทำให้รู้สึกอยากจักไปไกลห่าง ผู้ที่คอยมอบความอบอุ่นทั้งกายและดวงจิต


    ช่างนาอาดูรที่ทั้งหมดได้ถูกพรากไปตลอดกาลเสียแล้ว... 


    ด้วยดาบของดาร์กเอลฟ์ใจทราม ดดยท่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย...

     

    "ท่าน... แม่?" ดวงเนตรมรกตเบิกกว้างพลางน้ำตาก็ล่วงหล่นลงอาบแก้มทังสอง เข้าโผกอดอิสตรีตรงหน้าตนทันที

     

    "โธ่ ลูกชายของแม่เป็นอันใดรึ ถึงได้ร่ำไห้ หืม" ฟริกาลูบหัวลูกชายของนางอย่างเอ็นดู 

     

    "ฮึก! ข้า ข้า อึก! คิดถึงท่านเหลือเกิน" เสียงสั่นปะปนเสียงสะอื้นจนยากจะจับใจความแต่ไม่ใช่กับนางที่คอยนั่งปรอบประโลมทั้งคู่ตั้งแต่เยาว์

     

    "แม่ไม่เคยจากเจ้าไปไหนโลกิ ทั้งพี่เจ้าและพ่อเจ้า ทั้งที่แอสการ์ดและมิดการ์ด แม่ไม่เคยไปไหน อยู่ตรงนี้มาเสมอ" มือเรียวยกขึ้นทาบบนหัวใจที่ยังขยับคล้ายตอบรับ "เจ้าเข้มแข็งมาก บุตรข้า ข้าภูมิใจและดีใจที่โอดินพาให้แม่ได้พบเจ้า" ฟริกก้าเกลี่ยน้ำตาออกจากดวงเนตรงดงาม

     

    "ข้ามันก็แค่คนอ่อนแอท่านแม่ หาใช่คนที่เข้มแข็ง" โลกิส่ายหน้า เขารู้ตนดีกว่าใคร

     

    "ไม่เลย ถึงเจ้าจะไม่สันทัดด้านการรบเช่นพี่เจ้า แต่เจ้าก็เชี่ยวชาญในด้านที่น้อยคนนักในแอสการ์ดจะทำได้เช่นเจ้า และเป็นสิ่งที่ใช่เวลานับนานสิบปีจะเชี่ยวได้"

     

    "ข้าจะช่วยธอร์ได้บ้างไหมท่านแม่" ร่างบางซบตัวกับตักมารดา ทั้งอบอุ่น ชวนถวิลหา และได้รับการเยียวยา

     

    "แน่นอนโลกิ ไปเถอะก่อนที่จะไม่ทันเวลา"

     

    "แล้วท่านละ"

     

    "ข้าไม่เป็นไร พี่เจ้าน่าเป็นห่วงกว่ามากโขนะ"

     

    "เจ้าหมีนั่นไม่มีทางเป็นอันใดอยู่แล้ว แต่ท่าน... ข้าไม่อยากเสียท่านไปอีกแล้ว"

     

    "ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ชะตาของแม่สิ้นสุดแล้วโลกิ เจ้าอาจจะยังเห็นแม่อยู่ต่อหน้าแต่อีกไม่นานแล้ว.." ฟริก้าแสร้งยิ้ม ถึงใจนางจะเกือบสลายเมื่อต้องจากเหล่าคนที่นางรักสุดหัวใจ แต่ทุกสิ่งย่อมถุกกำหนดว่ามันควรจะเป็นเช่นไร จักเกิด จักดับ ก็ไม่มีใครฝืนมันได้

     

    "เช่นนั้น--" ร่างบางต้องชะงักเมื่อได้ยินสุรเสียงของตนดังขัด ทั้งที่ไม่ใช่ตน

     

    `นี่เจ้าจะมัวเสียเวลาไปอีกนานเท่าใดกัน!? ข้าไม่ได้พาเจ้าเข้ามาที่นี่เพื่อมานั่งเอาแต่ใจนะ!` ร่างชาวโยธันไฮม์ปรากฎต่อหน้าทั้งคู่ ร่างตรงหน้าไม่เหลือเค้าความเฉยชามีแต่ความกังวล ความร้อนรนและสบสนฉายอยู่ในทับทิมคู่นั้น `เจ้าจะต้องรอให้ธอร์ตายก่อนหรือถึงจะกลับไปนะ!?`

     

    "ใจเย็นลงหน่อยเถิดโลกิ"

     

    `ท่านแม่ แต่ว่า--`

     

    "ข้ายังกลับไปไม่ได้ เจ้าน่าจะรู้ดีที่สุดไม่ใช่หรอ"

     

    `เจ้า!? มันไม่มีเวลาแล้ว หากยังไม่รีบละก็..` ทัมทิมทอประกายหยดน้ำค่อยๆไหลรินออกจากดวงเนตรทั้งสองข้าง

     

    "ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่กลับไป แต่เพียง... เจ้ายังไม่ได้มอบบางสิ่งคืนให้ข้า" โลกิพละออกจากมารดา ยืดตัวขึ้นเผชิญกันตนเอง มือเรียวยื่นออกไปด้านหน้าเขาทั้งคู่

     

    `อันใดกันละ เจ้าไม่ได้ฝากอะไรไว้กับข้าเสียหน่อย` ร่างบางมองฉงนไม่เข้าใจ ทั้งที่ต้องรีบแท้ๆ

     

    "ตัวเจ้า"

     

    `หะ!?`

     

    "เจ้าคือตัวข้าทั้งที่ข้าจำทุกสิ่งได้ แต่ข้ากลับไม่รู้สึกถึงเลือดโยธันไฮม์ในตัวข้าแม้แต่น้อย"

     

    `ชิ! เจ้าจะอยากได้ข้ากลับไปทำไม ในเมื่อเจ้าเกลียดข้ายิ่งกว่าโอดินเสียอีก`

     

    "แล้วนั่นจะเป็นตัวข้าที่แท้จริงได้อย่างไร ข้าทิ้งเจ้าไปไม่ได้หรอก" โลกิเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น ร่างบางเองก็ไม่ได้คืดจะถอยหนี พลางเลื่อนมือไปสัมผัสแก้มสีน้ำเงินเข้มงดงามแผ่วเบา แล้วยิ้มอ่อนโยน "ไม่จริงรึ ตัวข้า"

     

    `หึ นั่นสินะ........ขอบคุณ..` ร่างบางค่อยๆเลือนและแตกสลายเป็นแสงจุดเล็กๆล่องลอยหายไปในอากาศ

     

    "ข้าเช่นกัน" กล่าวเสร็จก็หมุนตัวกลับมามองมารดาตนอย่างอาวรณ์

     

    "เจ้าจะไปแล้วสินะ" ฟริก้ายิ้มละมุมกลับมาให้ ก่อนเลื่อนมือไปลูบผมสีดำขลับที่ยาวประบ่าอย่างให้กำลังใจ "เช่นนั้นก็ไว้เจอกันหลังเรื่องนี่จบลง" ริมฝีปากงดงามเลื่อนไปจุมพิตข้างแก้มขาว

     

    "เช่นกัน ไว้เจอกันท่านแม่"

     

     .

     .

     .

     
     

                     ดวงเนตรมรกตปิดลงและเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อสัมผัสข้างแก้มเลือนลางไป บรรยากาศโดยรอบก็กลับมาเป็นห้องนอนเช่นเดิม ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปแม้เพียงเล็กน้อยแววตามรกตที่ไร้ซึ่งปิดบังกลับแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง เจ้าเล่ห์อย่างหาใครเปรียบได้

     

    "ข้ากลับมาแล้ว มิดการ์ดเอ๋ย" พลางแสยะยิ้ม

     

    -------------------

     

     

     

    "เมื่อไหรไอ้เจ้าพวกแมลงเม่านี่จะหมดสักที่เนี่ย!!? เอานี่ไปกิน!!" เศรษฐีหนุ่มโวยวายผ่านอุปกรณ์สื่อสารกับสมาชิก แล้วยิงลำแสงใส่เพื่อนร่วมจักรวาลที่ไม่อยากจะเจอ แถมจำได้แม่นว่าไม่ได้ส่งการ์ดเชิญให้มาเยี่ยมเยียนทัศนศึกษาดาวของพวกเขาสักหน่อย!!

     

    "ธอร์ก็บอกอยู่นี่สตาร์ก ตั้งแต่บนยานว่าเจ้านี่มันเป็นอาชญากรระดับจักรวาลนะ จะมีลูกน้องเยอะขนาดนี้ก็ไม่แปลก" ฟิวรี่ตอบ

     

    "แต่แบบนี้ผมว่ามันก็เยอะไปนะ" กัปตันเองก็เริ่มเหนื่อยแล้วกับการฟาดและขว้างโล่วใส่เจ้าพวกนี้ "ข้างบนได้อะไรมั้ยคลิน"

     

    "ยังเลยแคป แต่รูปแบบของพวกมันดูสะเปะสะปะเกินไป อย่างกับไม่ได้ตั้งใจจะยึดโลกหรือพยายามไปที่ตึกเลย" ฮอว์คอายนั่งบนตึกสูงสังเกตการยกมือเกาหัวอย่างงงๆ นี่ธานอสมันส่งลูกน้องมาวิ่งเล่นหรือยังไง

     

    "ทำไมพวกเจ้าดูสบายกันเสียยิ่งกว่าข้าอีก" ไม่รู้เพราะอะไรเจ้าพวกนี้ถึงมารุมเขาเยอะขนาดนี้ ถ้าไม่ได้สาวแม่ม่ายดำกับพ่อยักษ์เขียวสกัดไว้ให้บ้างคงได้แผลที่มากกว่ารอยขีดข่วนเสียแล้ว "อย่ามาเกะกะน่า!! เจ้าพวกนี้นิ"

     

    "ก็นายเล่นตรงไปทางธานอสอย่างเดียวนี่ นั่นไม่ต่างจากวิ่งไปที่รังเลยนี่" นาตาชาเอ็ดธอร์อย่างนึกหมั่นไส้ ทำงี้มันลำบากคนอื่นเกินไปนะ คอยดูเถอะถ้าเรื่องจบเมื่อไหรจะเอาตัวทอมไปซ้อนให้กระวนกระวายใจตายไปเล้ย!!

     

    "ข้าขอโทษสหาย แต่ว่าอึก! นี่มันเยอะเกินไปแล้วนะ!!?"

     

    "หือ? นั่นมันคงไม่ใช่.....!?..." ร่างโปร่งมองทิศของตึกอย่างนึกฉงน

     

    "มีอะไรคลินท์" นาตาชาถามขึ้น เมื่ออยู่ๆเพื่อนสายลับพูดเสียงเบาลงจนแทบจะเรียกว่าพึมพัมกับตัวเอง

     

    "อืมมม....จะว่าไงดีละแนต ธอร์อดทนไปก่อนแล้วกันนะกำลังมีเจ้าหญิงเสด็จไปช่วยนายแล้วแหนะ"

     

     

    "หะ!?" ไม่ใช่แค่เทพสายฟ้าที่ไม่เข้าใจ โทนี่ นาตาชา ฟิวรี่เองก็ด้วย

     

     

    "เออน่า พวกนายไม่ได้มาเห็นแบบฉันจะเข้าใจอะไรละ" คลินท์จนปัญญาที่จะหาคำพูดมาอธิบาย สิ่งที่อยู่ตรงหน้า "ก็มัน.."

     

    ``คลินท์!! เจ้าพูดเช่นนั้นระวังจะโดนไม่ใช่น้อย!`` ระหว่างนั้นก็มีเสียงหนึ่งตะโกนขัดขึ้นมา เรียกความสนใจทุกคนได้เป็นอย่างดี   "ให้มันได้อย่างงี้สิน่า พวกเจ้าอายุเท่าไหรกันแน่ถึงต้องให้มีคนคอยดูแลกันนะหะ?"

     




    "ทอม/โลกิ!!?" ทุกคนประสานเสียงกันอย่างตกตลึง

     

    "จะตะโกนทำไมกันหะ!?มันแสบหูนะ" ร่างบางแว้ดตอบกลับไปใส่เครื่องสื่อสารที่ใส่อยู่ทันที ถึงจะรีบถอดเมื่อได้ยินเสียงส่อแววตกใจของทีม แต่ก็ยังไม่วายทำให้สะดุ้งไม่ได้อยู่ดี

     

    "เฮ้!ทอม นั่นนายอยู่ที่ไหนนะ" โทนี่รีบตะโกนถามกลับไปพร้อมสอดสายตามองหาเจ้าของเรือนผมสีรัติกาลและคอยโต้กลับแขกไม่ได้รับเชิญที่มากันไม่หยุดหย่อน

     

    "ไม่ไกลจากพวกนายมากหรอก กำลังไปช่วย"



    "ดีใจด้วยพ่อขุนค้อน น้องชายจอบแสบนายกลับมาแล้ว" เศรษฐีหนุ่มอดจะพูดจากวนชวนให้เท้ากระตุกไม่ได้ เมื่อคนที่เพิ่งฟื้นพยายามทำตัวเป็นฮีโร่



    "อย่ายี่ยวนกวนประสาทให้มากนักโทนี่ ข้ายังขี้เกียจดีดเจ้าปลิว" นั่นไงเขาพูดตรงไหน เทพคนน้องจอมปากคอเราะร้ายกลับมาแล้ว!


    "กลับไปรอที่ตึกเสียเดี๋ยวนี้โลกิ ทางนี้ข้าจัดการได้" ทันทีแว่วเสียงเด็ดขาดดังเข้ามาในโสตประสาท ก็แทบทำให้โลกิอยากด่ากลับไปให้รู้แล้วรู้รอด ถึงพอจะเดาได้ว่าร่างสูงเป็นห่วงตนเพียงใด... แต่ช่วยดูสภาพตัวเองก่อนจะพูดสักนิดได้มัยหะ พี่ข้า!! อีกอย่างเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นห่วงร่างสูงบ้างหรือยังไง


    "ข้าคงไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก หากท่านใช้สมองอันน้อยนิดของท่านคิดสักนิดว่าสิ่งที่ท่านทำมันช่างโง่เขลาเพียงใด ที่แอสการ์ดไม่เคยสอนเจ้าเรื่องการรบหรืออย่างไรกัน!"



    "โว้วๆ คุณใจเย็นนะทอม" กัปตันที่เริ่มเห็นเค้าลางว่าจะเกิดศึกระหว่างพี่น้องผ่านเครื่องมือสื่อสารก็รีบออกตัวห้ามทัพแทบไม่ทัน แต่ก็เหมือนว่าพี่หมีจะไม่ยอมหยุด แถมเถียงกลับอย่างไม่ลดละเช่นกันด้วยคำที่ฟังแล้วคนฟังถึงกับสะอึก สตีฟเลยได้แต่ยกมือยอมแพ้ทั้งๆที่รู้ว่ายังไงอีกสองเทพก็คงไม่เห็น



    "แต่ข้าเป็นห่วงเจ้า!"
     

    "แล้วข้าห่วงเจ้าไม่ได้หรือไง" ไม่รู้ว่าร่างบางชินกลับการเป็น'ทอม'ที่มักจะปากตรงกับใจมากกว่า'โลกิ'เสมอหรือแค่เผลอ แต่ก็ทำให้อกข้างซ้ายของธอร์รู้สึกหัวใจฟูฟ่อง และเต้นระรัวได้ไม่ใช่น้อย


     

    "หยุดพูดมาก แล้วเอาสมาธิไว้กับศัตรูตรงหน้าเจ้าซะ" คราวนี้เสียงหวานที่ได้ยินไม่ได้ดังมาจากในหู แต่ดังมาจากด้านหลังของร่างสูงที่ยืนหอบเล็กน้อย พอหันกลับไปมองคิ้วเรียวก็แทบจะผูกกันเป็นปมในทันที และที่ทำให็เขาประหลาดใจกว่าเดิมก็นเป็นร่างบางที่กำลังนั่งคร่อมอยู่บนยานพาหะคู่ใจของกัปตัน "นี่นะหรอที่บอกว่าไหว" 


    ตามตัวมีแต่รอยขีดข่วนและรอยพกช้ำอยู่เต็มไปหมด มันน่านัก! 



    “ท่านคิดว่าจะห้ามข้าได้หรอ? หรือท่านต้องการให้ข้าเป็นเป้านิ่งอยู่บนตึกนั่นกัน” โลกิว่าพลางค่อยลดความูงมาหาเชษฐาต่างบิดามารดา ดวงมรกตสบเข้ากับท้องฟ้าหม่นนั่นไม่ละกันไปไหน



    “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่ควรมาที่นี่! มันต้องการเจ้านะโลกิ!!”



    “แล้วทำไมท่านถึงไม่ยกข้าให้มันไปเลยละ” 



    “เจ้ามีเพียงหนึ่งโลกิ!! ข้าไม่อยาก...ไม่อยากจะต้องเสียเจ้าไปอีก!!” ธอร์นึกโมโหในท่าไหวไหล่ไม่ยี่หระต่อสถานการณ์ของอีกฝ่าย ไม่ว่าเขาจะพูดยังไงเจ้าตัวก็ดูไม่ได้หวั่นเกรง



    “หึหึ หากท่านมีเวลามาห่วงใยข้า ท่านก็ควรจักใช้มันปกป้องดาวของอิสตรีที่ท่านรักนักหนาหนะ”



    “โลกิ..ข้าไม่ได้....”



    “พอ! ข้าไม่อยากฟัง และข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อเถียงกับท่าน”



    “งั้นทำไม...!!!..”


    ขณะที่โลกิและธอร์ต่างจ้องหน้าอีฝ่ายอย่างกินเลือดกินเนื้อ สาวเจ้าเพียงคนเดียวของกลุ่มก็ตะโกนเรียกสติด้วยความตื่นตะหนก เมื่อด้านหลังของร่างบางมีแขกไม่ได้รับเชิญเจ้าเก่าที่สบช่องว่างกะจะประทุษร้ายผู้มาใหม่ ทำเอาเทพสายฟ้าที่กำลังก้มหน้าสำนึกผิดอยู่รู้ตัว แต่ก็เหมือนจะสายไป..


    "ทอม! ด้านหลังนาย" 


    "โอ้ ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารำคาญเสียจริง.." ถึงอย่างนั้นร่างบางก็ไม่ได้แสดงถึงความรีบร้อนหรือตกใจแม้แต่น้อย มีแต่แววความเย็นชาเท่านั้นที่ฉายอยู่ในดวงมรกตสดใสทั้งสองข้าง ไม่ทันทีใครจะได้ขยับตัว 


    ‘ตุบ!’


    เสียงยามอาวุทแหลมคมเคลื่อนเข้าฝังตัวลงไปร่างของสิ่งมีชีวิตดังขึ้นอย่างฉับพลัน ธอพร้อมกับน้ำแข็งที่แผ่ออกมากัดกินร่าง สมุนร่างสูงใหญ่ของธานอสก็ทรุดลงไปนอนกับพื้นอย่างง่ายดาย ธอร์ยกมือขึ้นแตะใบหน้าตนก็พบของเหลวสีแดงเปรอะเปื้อนติดมา ทั้งธอร์และนาตาชาเบิกตามองเทพแห่งคำลวงอึ้งสุดขีด ขนาดธอร์ยังต้องฟาดถึงสามครั้งกว่าจะล้มเจ้ายักษ์ได้ สมัยก่อนหลงคิดประเมินว่าคนตรงหน้าอ่อนแอไปได้ยังไงกันนะทั้งๆที่ตัวจริงร้ายและเจ้าเล่ห์เจ้ากลขนาดนี้แท้ๆ หญิงสาวรู้สึกโชคดีที่ตอนนี้โลกิไม่ได้อยู่ฝังตรงข้ามกันไม่งั้นคงต้องมือยากแน่ๆ


    “ข้าคงอ่อนซ้อมไปเสียหน่อยถึงได้พลาดปามันเฉียดไปโดนหน้าท่าน” โลกิควงอาวุทคู่ใจไปมาพร้อมส่งเล่มถัดมาไปปักอยู่บนร่างของผู้ที่มาขัดบทสนธนาอีกตน ไร้มารยาท! 


    “เจ้า...”


    “และข้าไม่เคยอ่อนแอ... ขนาดที่ท่านต้องมาปกป้อง!”


    ก่อนที่ใครจะคาดเดาความคิดได้ ร่างบางก็ดีดตัวดิ่งเข้าหายานของธานอสเสียแล้ว ธอร์รีบเตรียมตัวจะบินตามขึ้นไป กลับทำไม่ได้เมื่อเจ้าตัวประหลาดพวกนี้ยังคอยเข้ามาไม่เลิก เป็นใจให้ร่างบางออกห่างจากตัวเขาไปเรื่อยๆ ภายในใจธอร์บีบรัด ช่างเหมือนกับตอนที่ต้องทิ้งร่างของอรุชาไว้ที่ดินแดนมืดมิดนั่น แม้นครานั้นจะเป็นเขาเองที่เป็นผู้เดินออกมา แต่มันต่างกันตรงไหนเมื่อมือและร่างกายของพวกเขาต้องแยกไม่สามารถสัมผัสถึงความอบอุ่นของของกันและกันได้ ทำได้เพียงกู่ร้องเรียกหา



    “กลับมานี่โลกิ!!!!”












    Tbc....


    แฮร่!!


    Talk!:: สวัสดีจ้าาาาา!!~~~ คิดถึงรีดเดอร์ทุกคนจังเลย(>_< ) ( >_<)  ไม่ได้เจอกันตั้งเป็นปีแหนะ//ยังไม่สำนึก.. แหมมม ทุกคนน่าจะเข้ามรสุมชีวิจช่วงใกล้สอบเข้ามหาลัยใช่ม่าาา วุ่นวานสุดเลยเตงจ๋าาTTUTT นี่เทอม2ก็เริ่มปรับตัวกับชีวิตมหาลัยได้แล้วว ว่าไปเวาลาก็ผ่านไปเร็วเหมือนกันนะคะเนี่ย 

    รู้ตัวตัวเป็นไรต์นิสัยไม่ดีที่อัพฟิคไม่บ่อยแต่ยังไงก็ช่วยคอยเป็นกำลังใจให้ไรต์ต่อไปด้วยน้าาา อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหน แล้วก็กราบขออภัยงามๆที่มาอัพช้ามากกกกกก กไก่ล้านตัว

    เม้นเป็นกำลังใจกันด้วยน้าาา!!!!! //รีดน่าจะรู้ว่าไรต์บ้ายอ(มีคนมาเม้นมันก็อัพละ) 

    ปลล. ถ้าอยากมาคุยมาทวงนิยายก็มาที่ทวิตนี้ได้เน่ออ เปิดไว้สำหรับนิยายโดยเฉพาะเลยจ้าา 
    >>>  @BlackWolfS_Life <<<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×