ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1
            บัดนี้ นัยน์ตาสีนิลกำลังสะท้อนถึงอารมณ์ที่ยากจะหยั่งรู้ได้ เก้าอี้โยกที่นั่งอยู่เอนตัวไปมา ใบไม้พลิ้วไหวอย่างช้าๆตามกระแสลมราวกับว่ามันรู้ความรู้สึกของผู้นั่งเป็นอย่างดี เขาปิดหนังสือปกสีดำสนิทแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินตรงไปยังชั้นหนังสือ เขากำลังจะเอื้อมมือเก็บหนังสือหากแต่มีบางอย่างสะดุดตาทำให้ต้องหยุดกึกแล้วหันไปคว้าสิ่งของเบื้องหน้าที่มีกลิ่นไอแห่งมนต์ดำออกมาเปิดอ่านเสียก่อน
            “...มันใกล้เข้ามาแล้ว ดาวอังคารสุกสว่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อีกไม่นานสงครามแห่งความหายนะก็จะเริ่มขึ้น ผู้คนจะพากันล้มตายด้วยพลังของ‘เขา’ ผู้ปกป้องดินแดนแห่งเอลล์ฟินเดีย แต่เขาจะคงอยู่...จะอยู่ต่อไปเยี่ยงบุรุษผู้เป็นอมตะ...”
            เขาปิดหนังสือดังปึกแล้วโยนมันกระแทกลงบนเตียง เสียงหอบหายใจดังแผ่ว หัวใจเต้นแรงระรัว แววตาบ่งบอกถึงความตกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ใครกันเล่าคือผู้ปกป้องเอลล์ฟินเดีย ใครกันที่จะเป็นอมตะ และใครกันที่จะหยุดสงครามครั้งนี้ สงครามแห่งความหายนะครั้งใหญ่ของโลกที่ประวิติศาสตร์จะต้องจารึกไว้ตราบชั่วนิรันดร... เขาปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆท่ามกลางความเงียบยามราตรี เป็นเวลานานกว่าเขาจะค่อยๆเปิดเปลือกตามองนาฬิกาบนผนัง ...เที่ยงคืนแล้วสินะ เที่ยงคืน... เวลาแห่งนิทราของทุกคนแต่ไม่ใช่เวลาของเขา เคลเมส นาลเวิลล์ เวนซ์ บุรุษผู้แกร่งกล้า เงียบสงัดราวกับเทพเจ้าแห่งป่า ...หมี... - -
            เวนซ์ก้มมองแผ่นกระดาษเก่า มันมีสีน้ำตาลเหลือง กระดาษแข็งกรอบที่พร้อมจะหักเป๊าะได้ทุกเมื่อ ตัวหนังสือบนกระดาษแทบจะเลือนหาย กระดาษเก่าแก่แผ่นนี้มีมาเมื่อห้าสิบปีก่อน ห้าสิบปีที่เขายังไม่เกิด... สมบัติประจำตระกูลเคลเมสที่สืบทอดกันมาเป็นรุ่นๆไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมาได้อย่างไรและมีข้อความว่าอย่างไร หากไม่ใช่เพราะพ่อของเขาทิ้งไว้ให้เป็นปริศนาแก่เขาแล้วล่ะก็ เขาก็คงไม่มีวันพบมันเลยก็เป็นได้ สมบัติเก่าแก่ชิ้นนี้ตกทอดมาสู่มือเขาเมื่อสิบสามปีที่แล้วเนื่องจากผู้เป็นพ่อของเขาจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของเขาเอง...
            “ชีวิตต่อชีวิต... ท่านน่าจะรู้นะหากท่านไม่ฆ่าข้า ข้าก็ต้องฆ่าท่าน”
            “พระเจ้าเป็นผู้กำหนดชะตาข้า หากข้าไม่ตายวันนี้สักวันก็ต้องตาย หากเจ้าไม่ฆ่าข้าวันนี้สักวันเจ้าก็ต้องฆ่าข้า...”
            “ขอโทษนะ... ท่านพ่อ”
            แววตาแห่งความยะเยือกปรากฏบนหน้าของเด็กชาย เขาก้มลงมองกระดาษเป็นครั้งที่สองแล้วละสายตาจากข้อความสั้นๆที่ชวนสงสัยนั้น
                                        “เมื่อทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เมื่อนั้นสงครามจะยุติลง”
            คืนนี้สินะ... ปริศนาทุกอย่างจะปรากฏ คืนแห่งสงคราม... จุดเริ่มต้นของสงคราม...
            ผมสีดำพลิ้วไสวตามกระแสลมอย่างเนือยๆ นัยน์ตาสีนิลเผยความท้าทาย เวนซ์ยกมือขึ้นปัดผมที่ยาวลงมาปิดหน้า หยิบรองเท้าคู่เก่ามาใส่ เก็บกระดาษสีน้ำตาลเหลืองเข้ากระเป๋าเสื้อ คว้าดาบขนาดเหมาะมือเก็บเข้าปลอกสีดำ สูดลมหายใจลึก มองไปรอบๆห้องเป็นครั้งสุดท้าย ...ปริศนาทุกอย่างข้าจะต้องแก้มันด้วยตัวเองให้จนได้ และข้านี่แหละจะเป็นผู้ระงับสงครามนี้ตราบเท่าที่ข้าจะสิ้นลมหายใจ... เจ้าของนัยน์ตาสีนิลก้าวเท้าออกไปอย่างเยียบเย็นและเงียบสงัด ริมฝีปากโค้งลง มือกำดาบแน่น มืออีกข้างคว้าถุงสีน้ำตาลบนพื้นมาแล้วเปิดออก ใช้ปลายนิ้วแตะผงสีแดงแล้วป้ายบนหน้าผากสามครั้งเป็นเส้นตรงสั้นยาวไม่เท่ากัน สองเส้นสั้นขนาบเส้นตรงกลางที่ยาวกว่าเล็กน้อย จากนั้นก็โยนถุงทิ้งไป
            เด็กชายเดินออกจากเพิงพัง มุ่งหน้าตรงไปยังป่าลึก ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งมืดเท่านั้น ดวงจันทร์เริ่มเคลื่อนหายเข้าไปในกลีบเมฆ ...มืด... มืดเสียเหลือเกิน... ดวงตาแทบจะมองไม่เห็นทาง ...ขอเพียงแต่มีไฟ ไฟ...เพียงไฟบนกิ่งไม้กิ่งเดียวเท่านั้น... ใช่...เขาต้องการกิ่งไม้ หากไม่มีกิ่งไม้ก็หมายความว่าจุดไฟไม่ได้ และหากจุดไฟไม่ได้ก็หมายความว่าก่อนที่เขาจะพบปริศนานั้นเขาก็จะต้องหมดลมหายใจเสียก่อน
            ควับ!
            เสียงหนึ่งดังมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ที่มีเถาวัลย์พันรกรุงรัง ...อะไรน่ะ เสือ? หมาป่า? หรือว่าอะไร... เขากำดาบมั่น พร้อมที่จะชักออกมาได้ทุกเมื่อ นัยน์ตาสีนิลเบิกกว้างจ้องมองต้นเสียงไม่ละสายตา ...ข้าจะหนีหรือสู้กับมันดี หากข้าวิ่งข้าก็จะไม่มีวันรู้ว่ามันคืออะไร แต่หากข้าอยู่ข้าก็อาจกลายเป็นอาหารหรือถูกมันฆ่าเป็นได้ ข้าควรทำอย่างไร - - ไม่มีเวลาให้คิดอีกต่อไปแล้ว เงาดำกระโจนมาขวางหน้าเขาพร้อมๆกับที่ประกายแสงจากดาบเปล่งอาคมออกมาอย่างแกร่งกล้า ...ข้าต้องสู้แล้วสินะ... เวนซ์กำดาบแน่นขึ้นอีก ...รออะไรอยู่ล่ะ ทำไมไม่ฆ่าข้า หรือข้าจะต้องรุกเจ้าก่อน... สีหน้าของเด็กชายบ่งบอกถึงความกล้าและหวาดกลัวระคนกัน เขาตัดสินใจเป็นฝ่ายรุก...
            ควับ! ฉึก!
            เสียงแทงดาบอย่างไม่ยั้งมือ ระยะการย่ำเท้าทุกฝีเก้าเบาและเงียบที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แต่ทำไมเจ้าสิ่งตรงหน้าถึงหลบเขาได้ทุกครั้งล่ะ? เพราะอะไรกัน? ทำไมเขาถึงแทงไม่ถูกมันสักที? ทั้งๆที่ฝีมือดาบเขาก็ใช่ย่อย ...อาจเป็นเพราะเขาได้ฝึกเพียงแต่ที่สว่าง เพราะเขาไม่เคยได้เข้ามาในป่าลึกเช่นนี้...
            ควับ!
            เป็นอีกคราที่มันกระโจนหลบได้อย่างคล่องแคล่วแต่หนนี้มันไม่ได้หลบอย่างระมัดระวังนัก กลิ่นคาวเลือดเริ่มสาบโชยพอให้เขาได้เดาออกว่ามันคือ...
            “...มันใกล้เข้ามาแล้ว ดาวอังคารสุกสว่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อีกไม่นานสงครามแห่งความหายนะก็จะเริ่มขึ้น ผู้คนจะพากันล้มตายด้วยพลังของ‘เขา’ ผู้ปกป้องดินแดนแห่งเอลล์ฟินเดีย แต่เขาจะคงอยู่...จะอยู่ต่อไปเยี่ยงบุรุษผู้เป็นอมตะ...”
            เขาปิดหนังสือดังปึกแล้วโยนมันกระแทกลงบนเตียง เสียงหอบหายใจดังแผ่ว หัวใจเต้นแรงระรัว แววตาบ่งบอกถึงความตกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ใครกันเล่าคือผู้ปกป้องเอลล์ฟินเดีย ใครกันที่จะเป็นอมตะ และใครกันที่จะหยุดสงครามครั้งนี้ สงครามแห่งความหายนะครั้งใหญ่ของโลกที่ประวิติศาสตร์จะต้องจารึกไว้ตราบชั่วนิรันดร... เขาปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆท่ามกลางความเงียบยามราตรี เป็นเวลานานกว่าเขาจะค่อยๆเปิดเปลือกตามองนาฬิกาบนผนัง ...เที่ยงคืนแล้วสินะ เที่ยงคืน... เวลาแห่งนิทราของทุกคนแต่ไม่ใช่เวลาของเขา เคลเมส นาลเวิลล์ เวนซ์ บุรุษผู้แกร่งกล้า เงียบสงัดราวกับเทพเจ้าแห่งป่า ...หมี... - -
            เวนซ์ก้มมองแผ่นกระดาษเก่า มันมีสีน้ำตาลเหลือง กระดาษแข็งกรอบที่พร้อมจะหักเป๊าะได้ทุกเมื่อ ตัวหนังสือบนกระดาษแทบจะเลือนหาย กระดาษเก่าแก่แผ่นนี้มีมาเมื่อห้าสิบปีก่อน ห้าสิบปีที่เขายังไม่เกิด... สมบัติประจำตระกูลเคลเมสที่สืบทอดกันมาเป็นรุ่นๆไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมาได้อย่างไรและมีข้อความว่าอย่างไร หากไม่ใช่เพราะพ่อของเขาทิ้งไว้ให้เป็นปริศนาแก่เขาแล้วล่ะก็ เขาก็คงไม่มีวันพบมันเลยก็เป็นได้ สมบัติเก่าแก่ชิ้นนี้ตกทอดมาสู่มือเขาเมื่อสิบสามปีที่แล้วเนื่องจากผู้เป็นพ่อของเขาจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของเขาเอง...
            “ชีวิตต่อชีวิต... ท่านน่าจะรู้นะหากท่านไม่ฆ่าข้า ข้าก็ต้องฆ่าท่าน”
            “พระเจ้าเป็นผู้กำหนดชะตาข้า หากข้าไม่ตายวันนี้สักวันก็ต้องตาย หากเจ้าไม่ฆ่าข้าวันนี้สักวันเจ้าก็ต้องฆ่าข้า...”
            “ขอโทษนะ... ท่านพ่อ”
            แววตาแห่งความยะเยือกปรากฏบนหน้าของเด็กชาย เขาก้มลงมองกระดาษเป็นครั้งที่สองแล้วละสายตาจากข้อความสั้นๆที่ชวนสงสัยนั้น
                                        “เมื่อทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เมื่อนั้นสงครามจะยุติลง”
            คืนนี้สินะ... ปริศนาทุกอย่างจะปรากฏ คืนแห่งสงคราม... จุดเริ่มต้นของสงคราม...
            ผมสีดำพลิ้วไสวตามกระแสลมอย่างเนือยๆ นัยน์ตาสีนิลเผยความท้าทาย เวนซ์ยกมือขึ้นปัดผมที่ยาวลงมาปิดหน้า หยิบรองเท้าคู่เก่ามาใส่ เก็บกระดาษสีน้ำตาลเหลืองเข้ากระเป๋าเสื้อ คว้าดาบขนาดเหมาะมือเก็บเข้าปลอกสีดำ สูดลมหายใจลึก มองไปรอบๆห้องเป็นครั้งสุดท้าย ...ปริศนาทุกอย่างข้าจะต้องแก้มันด้วยตัวเองให้จนได้ และข้านี่แหละจะเป็นผู้ระงับสงครามนี้ตราบเท่าที่ข้าจะสิ้นลมหายใจ... เจ้าของนัยน์ตาสีนิลก้าวเท้าออกไปอย่างเยียบเย็นและเงียบสงัด ริมฝีปากโค้งลง มือกำดาบแน่น มืออีกข้างคว้าถุงสีน้ำตาลบนพื้นมาแล้วเปิดออก ใช้ปลายนิ้วแตะผงสีแดงแล้วป้ายบนหน้าผากสามครั้งเป็นเส้นตรงสั้นยาวไม่เท่ากัน สองเส้นสั้นขนาบเส้นตรงกลางที่ยาวกว่าเล็กน้อย จากนั้นก็โยนถุงทิ้งไป
            เด็กชายเดินออกจากเพิงพัง มุ่งหน้าตรงไปยังป่าลึก ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งมืดเท่านั้น ดวงจันทร์เริ่มเคลื่อนหายเข้าไปในกลีบเมฆ ...มืด... มืดเสียเหลือเกิน... ดวงตาแทบจะมองไม่เห็นทาง ...ขอเพียงแต่มีไฟ ไฟ...เพียงไฟบนกิ่งไม้กิ่งเดียวเท่านั้น... ใช่...เขาต้องการกิ่งไม้ หากไม่มีกิ่งไม้ก็หมายความว่าจุดไฟไม่ได้ และหากจุดไฟไม่ได้ก็หมายความว่าก่อนที่เขาจะพบปริศนานั้นเขาก็จะต้องหมดลมหายใจเสียก่อน
            ควับ!
            เสียงหนึ่งดังมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ที่มีเถาวัลย์พันรกรุงรัง ...อะไรน่ะ เสือ? หมาป่า? หรือว่าอะไร... เขากำดาบมั่น พร้อมที่จะชักออกมาได้ทุกเมื่อ นัยน์ตาสีนิลเบิกกว้างจ้องมองต้นเสียงไม่ละสายตา ...ข้าจะหนีหรือสู้กับมันดี หากข้าวิ่งข้าก็จะไม่มีวันรู้ว่ามันคืออะไร แต่หากข้าอยู่ข้าก็อาจกลายเป็นอาหารหรือถูกมันฆ่าเป็นได้ ข้าควรทำอย่างไร - - ไม่มีเวลาให้คิดอีกต่อไปแล้ว เงาดำกระโจนมาขวางหน้าเขาพร้อมๆกับที่ประกายแสงจากดาบเปล่งอาคมออกมาอย่างแกร่งกล้า ...ข้าต้องสู้แล้วสินะ... เวนซ์กำดาบแน่นขึ้นอีก ...รออะไรอยู่ล่ะ ทำไมไม่ฆ่าข้า หรือข้าจะต้องรุกเจ้าก่อน... สีหน้าของเด็กชายบ่งบอกถึงความกล้าและหวาดกลัวระคนกัน เขาตัดสินใจเป็นฝ่ายรุก...
            ควับ! ฉึก!
            เสียงแทงดาบอย่างไม่ยั้งมือ ระยะการย่ำเท้าทุกฝีเก้าเบาและเงียบที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แต่ทำไมเจ้าสิ่งตรงหน้าถึงหลบเขาได้ทุกครั้งล่ะ? เพราะอะไรกัน? ทำไมเขาถึงแทงไม่ถูกมันสักที? ทั้งๆที่ฝีมือดาบเขาก็ใช่ย่อย ...อาจเป็นเพราะเขาได้ฝึกเพียงแต่ที่สว่าง เพราะเขาไม่เคยได้เข้ามาในป่าลึกเช่นนี้...
            ควับ!
            เป็นอีกคราที่มันกระโจนหลบได้อย่างคล่องแคล่วแต่หนนี้มันไม่ได้หลบอย่างระมัดระวังนัก กลิ่นคาวเลือดเริ่มสาบโชยพอให้เขาได้เดาออกว่ามันคือ...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น