คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #42 : ความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง
ไดกิที่บินทะยานอยู่บนท้องฟ้าไม่สูงนัก กำลังติดตามพยัคฆ์ขาวตัวใหญ่ที่กำลังวิ่งไปตามหุบเขา นี่เป็นเวลาสักพักแล้วที่ท้องสองต้องมาทำหน้าที่ร่วมกับ เบียคโกะที่แม้จะไม่อยากทำ แต่หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านไม้แล้ว เขาเองก็ต้องทำตัวให้สมกับเทพประจำทิศ ถ้าตัวเองมาแล้วช่วยอะไรปิศาจเทนกุไม่ได้เลย คงจะขายหน้าอย่างแน่นอน จึงต้องฝืนใจทำงานไปด้วยโดยปริยาย ทั้งสองเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วก่อนมาหยุดลงที่หน้าผาอันกว้างใหญ่ เมื่อยามพระอาทิตย์ตกดิน ทั้งสองหยุดมองอยู่อย่างนั้นอยู่นานจนตะวันลับฟ้าไป ก่อนพยัคฆ์ขาวประจำทิศตะวันตกจะกลับร่างเดิม ที่ยืนมองไปที่เบื้องหน้า อย่างไร้จุดหมาย
“อมนุษย์ พวกมันหายไปไหนกันหมด…พวกเรากำลังจะฆ่าพวกนั้นหมดแล้วสินะ พวกนั้นคงมีเหลือไม่มากแล้ว”เขามองไปรอบๆแต่ก็ไม่อาจรู้สึกถึงพลังของสิ่งที่เขาตามหาอยู่ได้ พยัคฆ์อย่างเขาเป็นนักล่า เรื่องตามหาเหยื่อนั้นไม่ยากเกินไป แต่คราวนี้กลับไม่มีเบาะแสใดๆ
“พวกเราคงกำจัดจนจะหมดแล้วกระมัง กลับเถอะ”ไดกิกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส
“ไม่ต้องมาอู้งานเลย เจ้าเทนกุ อมนุษย์มันยังมีอยู่ไม่ใช่รึ? พวกเราแค่ยังหาไม่พบ มันคงซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักที่หนึ่ง”ไดกิที่ได้ยินก็ถอนหายใจออกมา เพราะว่าอีกฝ่ายจริงจังกับการทำงานเกินไป หาตั้งใจหาจริงๆก็คงพบหญิงสาวได้ไม่ยากแน่นอน และนั่นทำให้ไดกิกังวลนัก
“เจ้าคิดว่าอมนุษย์มีสักเท่าไหร่กัน เหลือไว้แค่นี้ก็พอแล้ว ตามหาให้ตายท่านก็หาไม่พบหรอกขอรับ แผ่นดินนี้มันกว้างใหญ่เกินกว่าเราที่หาได้ทั้งหมดอยู่แล้ว”ไดเทนกุกอดอกของตนเมื่อกล่าวออกมา
“เจ้านี่มัน…จะดูถูกเทพประจำทิศอย่างข้ามากไปแล้วนะ ข้ายอมรับว่าเมื่อคราวแรกข้าไม่กล้ากำจัดพวกอมนุษย์ แต่เมื่อคราวที่แล้ว ข้ายังจัดการอมนุษย์ไปเสียหลายตน ดังนั้นจะมาบอกว่าข้าไม่ช่วยงานเจ้าไม่ได้นะ!!”
“ขอรับ ท่านเบียคโกะช่วยงานข้า ข้าไม่อาจกล่าวว่าท่านอู้งานหรอกขอรับ”ไดกิกล่าวออกมา
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบทำงานให้เสร็จ ข้าเองก็อยากจะกลับไปพักหลังงานจบแล้วเร็วๆ”ร่างนั้นบิดขี้เกียจเมื่อกล่าวออกมา เขานึกถึงวิหารที่มีเตียงนุ่มๆรอเขาอยู่ สระว่ายน้ำอันกว้างใหญ่ที่น่าลงไปแหวกว่ายเล่น แค่คิดก็อยากจะกลับไปเต็มแก่แล้ว ส่วนไดกิเงียบลงเมื่อได้ฟัง
“ได้…แต่ถ้าเจอนาง ท่านเบียคโกะอย่าเพิ่งฆ่านางนะขอรับ”
“แล้วเจ้าจะให้ข้าปล่อยนางไปรึ?”
“ไม่ขอรับ… ข้าคิดว่าเรื่องนี้ข้าควรจะจบด้วยตัวของข้าเอง…”ไดกิยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนว่าเขาต้องพบเธอสักวันหนึ่ง เพียงแต่เขาไม่วางใจให้เบียคโกะเป็นคนทำ ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่นานนักก็จะครบหนึ่งปีที่เขาแต่งงานกับเธอแล้ว
แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขายังไม่ได้ทำในสิ่งที่ใกล้เคียงกับสามีที่ดีเลย และตอนนี้เขาก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าเขาจะหลีกเลี่ยงการพบเธอไปไม่ได้ตลอด แต่จะทำเช่นไรดี เขาคงรับไม่ได้ที่ตนเองต้องทำร้ายมายุอย่างแน่นอน แต่เขาคงจะทำให้เธอทรมาณน้อยที่สุดได้
“ช่างใจกล้านัก…”เบียคโกะยักไหล่เมื่อได้ยิน เรื่องนี้เขาเองก็พอเข้าใจว่ามันคงไม่ง่ายสำหรับไดกิ แต่ก็แปลกใจที่ถึงกับออกปากว่าตนจะเป็นคนจบชีวิตของนางเอง นั่นเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายนัก
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปหาอมนุษย์ต่อเสียเถอะ”เบียคโกะกล่าวขึ้น และรีบกระโดดลงหน้าผาไปในทันที ไดกิเองก็ร่อนลงไปยังพื้นเบื้องล่างในทันที ทั้งสองยังเดินทางไปต่อ จนเห็นแสงไฟสว่างไสวจากกองไฟที่จุดไว้เพื่อความอบอุ่น ร่างอมนุษย์ทั้งสามที่กำลังผิงไฟ ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจุบจบของเขาได้มาถึงแล้วโดยมัจจุราชทั้งสอง กว่าจะรู้ตัว ร่างของอมนุษย์ทั้งสามก็แทบจะปลิดปลิวร่วงหล่นประดุจขนนกที่ตกลงสู้พื้น เบียคโกะตวัดดาบคาตานะเพื่อสลัดคราบเลือดและเก็บดาบเข้าฝักทันที
“ดูเหมือนว่าท่านจะสนุกนะขอรับ”ไดกิกล่าวออกมา นี่คือสาเหตุหลักที่ไม่อาจยอมให้อีกฝ่าย จัดการมายุได้
“การล่า มันอยู่ในสัญชาติญาณของข้า!!
ข้าไม่สนหรอกว่าเหยื่อจะเป็นใคร แต่ถ้าข้าได้ออกล่าเสียบ้าง มันก็สนุกนะ เจ้าไม่รู้สึกเช่นนั้นรึ?”
“ไม่ขอรับ อย่างน้อยข้าก็มีเลือดของมนุษย์ไหลอยู่ครึ่งหนึ่ง การล่ามนุษย์มันก็เหมือนข้าทำร้ายส่วนหนึ่งของข้าด้วยไป”
“ฮึ!! นั่นสินะ เจ้ามันไม่ใช่สัตว์นักล่านี่”เบียคโกะกล่าว และมองดูร่างทั้งสาม ก่อนจะมีสีหน้าที่ผิดหวัง
“เห้อ!! จุดไฟเสียกองโต แต่มีอยู่กันสามคนเนี่ยนะ ไฟขนาดนี้มันเพียงพอสำหรับคนทั้งหมู่บ้านได้เลยนะ!!”เทพประจำทิศตะวันตกโวยวายออกมา ก่อนจะกล่าวออกมา
“นับวันก็ยิ่งหาอมนุษย์ได้น้อยลงเรื่อยๆ แต่ข้ารู้ดีว่าพวกมันต้องซ่อนตัวอยู่สักที่หนึ่ง
และมีคนที่เป็นผู้นำ… ที่นั่นจะเป็นที่ที่เราคาดไม่ถึง หรือไม่เคยสังเกตุมาก่อน”ชายผู้มีเรือนผมสีขาวมองไปยังท้องฟ้า
“ข้าก็คิดว่าเช่นนั้น เราทลายรังของพวกมันมาหลายที่แล้ว คงจะเหลือที่ยังไม่ได้ไปหา อีกไม่กี่ที่เท่านั้น”ไดกิเสริม เสือขาวแสยะยิ้มออกมา
“งั้นก็ไปกันเลยไหมล่ะ!!!”
“ขอรับ”กล่าวจบ ทั้งสองก็รีบเดินทางไปต่อในทันที และหายไปกับความมืดยามรัตติกาลมืดมิดที่ไร้แสงเดือนและดาว ที่อยู่บนท้องนภา
ร่างบางทั้งสองยังนั่งพิงต้นไม้ในยามค่ำคืน พร้อมกับความง่วงที่ร่างกายเคยชินมาตลอด ไม่นานมายุต้องหลับแน่นอน แต่ว่า เธอควรจะเฝ้าดูว่าจะไม่มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาพบทั้งสองเมื่อยามนิทรา แต่เปลือกตาที่หนักอึ้งเริ่มปิดลงช้าๆ อย่างช่วยไม่ได้ ระหว่างที่ร่างนั้นสะลึมสะลือ มือเรียวบางก็ค่อยๆโอบหญิงสาวให้ซบไหล่เธอ
“ท่านพี่เหนื่อยแล้ว พักก่อนสิคะ”เสียงที่เจื้อยแจ้วกล่าวออกมา มายุจึงเพียงใช้ผ้าคลุมใบหน้าของตนให้มิดและเข้าสู่นิทราไม่นานนักหลังจากนั้น ร่างบางที่ถักผมเปียมองใบหน้าของอีกฝ่ายแต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เธอแค่มองใบหน้าที่หลับตาพริ้มอยู่อย่างเงียบๆเท่านั้น
“ท่านพี่ ข้าดีใจที่ท่านกลับมาตามสัญญานะเจ้าคะ”เธอหน้าแดงเมื่อกล่าวออกมา และรีบหันไปมองทางอื่น ดวงตาที่เคยสดใสแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้า
“ท่านพี่รักกับปิศาจตนนั้นสินะ… น่าอิจฉาเหลือเกิน ท่านพี่มักจะคิดถึงเขาผู้นั้นอยู่เรื่อย แต่ข้า…ไม่เคยมีใครคิดถึงเลย…”ฮิคาริพึมพำกับตนเอง
“แต่ว่าท่านพี่ก็กลับมา ตอนแรกที่ข้าเจอท่านพี่ข้าเองก็รู้สึกตกใจ แต่ว่าท่านพี่ทำให้ข้าสบายใจขึ้น ท่านพี่สอนอะไรหลายอย่างที่ข้าไม่อาจคิดได้ด้วยตนเอง แม้ว่าท่านพี่จะไม่รู้ตัว แต่ว่าท่านพี่ทำให้ข้าตาสว่าง และไม่รู้สึกผิดที่เคยถูกทุกคนตราหน้าว่าข้าเป็นหญิงที่แปดเปื้อน…
ท่านพี่ช่างเข้มแข็งยิ่งนัก ข้ารู้สึกชอบท่านจริงๆนะเจ้าคะ”ร่างบางเขินอายเมื่อกล่าวออกมา ไม่รู้ทำไมถึงต้องรู้สึกตื่นเต้นเช่นนี้ ก่อนฮิคาริจะเป็นฝ่ายตื่นและดูความเรียบร้อยให้มายุแทน แม้ว่าจะมีเสียงแปลกๆบ้างแต่ฮิคาริก็พยายามจะใจเย็น และตั้งสติ แบบที่มายุมักจะทำอยู่เสมอ ร่างบางจับจ้องไปที่ความมืดมิด ทั้งคืนช่างเป็นเวลาที่ยาวนานสำหรับหญิงสาวที่ไม่ได้ผจญโลกภายนอกมาหลายร้อยปี จนในที่สุดที่เธอเริ่มมองเห็นแสงสว่างทางตะวันออก จึงค่อยคลายความกังวลลงบ้าง ท้องฟ้ายามเช้าตรู่เป็นสีแสดสวยงาม ดวงอาทิตย์กลมโตค่อยขึ้นมาจากขอบฟ้าอย่างเชื่องช้า แสงของดวงอาทิตย์ที่กระทบกับเปลือกตาของผู้ที่นอนซบเธอทั้งคืน และทำให้มายุตื่นขึ้นในที่สุด ร่างบางค่อยผละจากฮิคาริช้าๆ และขยี้ตาด้วยความง่วงและเหนื่อยอ่อน
“ฉันซบเธอตลอดคืนเลยหรอ ขอโทษนะคงทำให้เธอลำบากสินะ”มายุกล่าวออกมา
“ไม่เลยค่ะ…ข้าไม่ลำบากสักนิดเดียวเลยเจ้าค่ะ”ฮิคาริรีบออกตัว
“ฉันคงยังไม่ชินน่ะ คราวหลังฉันควรจะฝืน ไม่ยอมนอนบ้าง”เธอยิ้มออกมา
“จ…เจ้าค่ะ”
หญิงสาวทั้งสองค่อยๆลุกขึ้นยืน ทั้งสองมองตะวันที่โผล่พ้นขอบฟ้า และเดินทางต่อไปในทันที มายุพยายามใช้ผ้าคลุมปกปิดใบหน้าของตนให้มิดชิด ส่วนหนึ่งเพราะเธอรับไม่ได้ที่หน้าตาของเธอมันไม่หลงเหลือความสวยใดๆ มีเพียงใบหน้าที่ดูน่ากลัวเท่านั้น และเดินตามฮิคาริไปในทันที
“ข้าเป็นห่วงท่านพี่จัง คำสาปของท่านพี่ดูน่ากลัว…”หญิงสาวกล่าวขึ้น เมื่อเห็นมือของมายุ แต่ก็ไม่มีทีท่าขยะแขยงอีกฝ่ายแต่อย่างใด
“ฉันคิดไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ฮิคาริจังไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกจ๊ะ”มายุยังยิ้มออกมาเช่นเดิม
“ท่านพี่คิดจะทำอะไรหรือคะ? แบบว่า…เพราะคำสาปสินะเจ้าคะ ที่ท่านพี่บอกไปเมื่อวันก่อน แปลว่าท่านพี่ถูกคำสาปเพิ่มแบบนั้น ข้าเข้าใจไม่ผิดใช่ไหม”อีกฝ่ายถามต่อด้วยความอยากรู้
“ใช่จ๊ะ”มายุตอบสั้นๆ
“เอ๋…แล้วนี่คือคำสาปของอิซานามิหรือคะ?”
“ไม่ใช่หรอก เทพอิซานากิสาปฉันเองแหละ เขาเป็นคนสั่งให้สามีของฉันกำจัดอมนุษย์น่ะ ฉันพยายามจะพูดกับเขาแต่ว่า…ดูเหมือนเทพอิซานากิจะเกลียดอมนุษย์เสียจนไม่เปิดใจฟังฉันเลยน่ะสิ”ฮิคาริกำหมัดแน่นเมื่อได้ฟัง
“แ…แปลว่า สามีของท่านพี่จะมาฆ่าท่านพี่น่ะสิคะ!!…
ท...ทำไมถึงยังดูไม่ทุกข์ร้อนอยู่ล่ะเจ้าคะ!!!”สาวผู้ถักผมเปียกล่าวออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
“นั่นแหละสิ่งที่ฉันคาดไว้ สุดท้ายแล้วฉันจะตายด้วยน้ำมือของเขา…”มายุกล่าวออกมาด้วยทีท่าไม่ร้อนรนนัก ต่างจากอีกฝ่าย
“ทำไมท่านพี่ต้องทำเพื่อเขาขนาดนั้นกัน!!!”เธอไม่อาจเข้าใจมายุได้เลย สีหน้าของฮิคารินั้นทั้งโกรธและเจ็บปวด แต่ก็ได้แต่ซ่อนเอาไว้
“มันไม่มีทางเลือก ฉันพยายามแล้ว และฉันเชื่อว่าไดกิเองก็พยายามจะช่วยฉันเหมือนกัน ถ้ามันไม่สามารถแก้ไขอะไรแล้ว เราทั้งคู่ก็ต้องยอมรับมัน”มายุอธิบายออกมา
“แต่ว่า…ท่านพี่เองก็จะตายอย่างนั้นหรอ?”ร่างบางจะร้องไห้ออกมา เหมือนกับเด็กน้อย ก่อนจะหันมากอดร่างที่เดินอยู่ด้านหลังเธอไว้แน่น
“ถ้าท่านพี่ตาย ข้าจะอยู่อย่างไร…ข้าไม่อยากเหลือตัวคนเดียว”หญิงสาวผู้ถักเปียกอดเอวมายุไว้ไม่ยอมปล่อย ซึ่งเธอก็ทำได้เพียงลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆเพื่อจะปลอบ
“และทำไมกัน…ท่านอิซานากิอีก ถึงเกลียดท่านมายุนัก…”
“เขามีเหตุผลน่ะ แต่ว่ามันไม่สำคัญแล้ว จากที่ฉันเดินทางมาไกลในที่สุดก็พบว่า ไม่มีใครจะช่วยเราสองคนได้ แบบนี้คงจะต้องให้เป็นไปตามชะตากรรมของเราทั้งสองแล้วล่ะ”มายุกล่าวออกมาเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่คนฟังกลับไม่อาจรับได้
“ท่านพี่… ไม่น่าไปรักปิศาจเช่นนั้นเลย!!!”ฮิคาริตะโกนออกมาด้วยอัดอั้น คราวนี้มายุเงียบลงในทันที เธอมีแววตาที่นิ่งเรียบ ไม่อาจทราบได้ว่าร่างนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
“เธออาจพูดถูก… ฉันไม่ควรจะขอความรักจากเขาตั้งแต่แรก ไม่งั้นก็คงไม่ต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้ ไม่ต้องมาอยู่ที่นี่คอยหลบซ่อนไม่ให้ใครมาพบ!!!”มายุนึกย้อนไปตอนที่เธอเป็นฝ่ายที่แอบชอบชายหนุ่มมาตลอด แม้ว่าจะถูกปฏิเสธไปหลายรอบเพียงใดก็ตัดใจจากเขาไม่ได้สักทีหนึ่ง
“แต่ฉันรักเขา และฉันไม่เคยเสียใจที่รักท่านไดกิแม้แต่น้อย”ฮิคาริเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่เบิกโพลง เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“แ...แต่ว่า มนุษย์กับปิศาจยังไงก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันไปได้นะเจ้าคะ พวกปิศาจทั้งน่าเกลียดน่ากลัวนำพาแต่ความชั่วร้ายมาให้แท้ๆ ท่านพี่อาจจะหลงมนต์คาถาของปิศาจตนนั้นก็เป็นได้เจ้าค่ะ”ฮิคาริกล่าวขึ้นมา เพราะเธอไม่เคยเห็นปิศาจที่จะรักมนุษย์ได้อย่างแท้จริงเลย โดยเฉพาะปิศาจที่ลงมือฆ่าหญิงชรา เธอไม่ยอมเชื่อใจปิศาจเทนกุเด็ดขาด แต่มายุเพียงเหลือบมองโดยไม่ตอบสิ่งใด และรีบเดินนำหน้าอีกฝ่ายไปในทันที ฮิคาริที่เพิ่งจะรู้ตัวว่ากล่าวในสิ่งที่ไม่ควรกล่าวออกไปก็รีบเดินตามอีกฝ่ายไปติดๆ
“ท่านพี่!!!”รีบตามอีกฝ่ายไปในทันที ขณะที่มายุยังก้มหน้าก้มตาเดินไม่กล่าวสิ่งใดกับเธออีก
“ท่านพี่ ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่น่ากล่าวเช่นนั้นไปเลยเจ้าค่ะ”ฮิคาริคำนับอีกฝ่ายเพราะรู้สึกผิดในทันที หญิงสาวที่เดินนำหน้าเหลือบมองเธออีกครั้งหนึ่งและหันกลับไป
“ช่างมันเถอะ ฉันก็ไม่ได้จะว่าอะไร ฮิคาริจังหรอก”มายุกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยหน่าย มือเรียวดึงผ้ามาปิดหน้าของตน และก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปในทันที
“รีบเดินเถอะ ไม่งั้นจะไม่ถึงที่หมายนะ”เธอรีบกล่าวออกมา จากนั้นทั้งสองก็จบบทสนทนาลงทั้งๆอย่างนั้น หญิงสาวผู้ถักเปียนึกเสียใจที่ตนกล่าวเช่นนั้นออกไป ก็เพราะเป็นห่วงอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น หลังจากที่ทั้งสองเดินต่อไปอีกหลายชั่วโมงก็ยังไม่มีใครกล่าวสิ่งใดขึ้นมา ฮิคาริรู้ตัวว่าเธอต้องทำให้มายุโกรธอย่างแน่นอน
ร่างบางจึงได้แต่เดินคอตกไปตามทางเสียเท่านั้น จนในที่สุดมายุก็ค่อยๆหยุดเดินลง หลังจากที่เธอครุ่นคิดเรื่องต่างๆมานานจึงหันมากล่าวกับฮิคาริ
“ฮิคาริจัง เป็นอะไรไปหรอ?”มายุสงสัยเพราะอีกฝ่ายเงียบลงไปนาน และเกือบจะลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายกล่าวสิ่งใดกับเธอ
หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
“ก…ก็คิดว่า ข้าทำให้ท่านพี่โกรธแน่ๆเลย…ก็เลย…”ฮิคาริมีสีหน้าสลดลง มือเรียวของมายุลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเบามือ
“อย่าคิดมากสิ เธอพูดเพราะเป็นห่วงฉันสินะ ไม่ต้องคิดมากหรอก”มายุยิ้มออกมาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายกังวลเท่านั้น ฮิคาริจึงมีสีหน้าสดใสขึ้น และรีบเดินนำทางมายุอีกครั้งหนึ่ง มายุเพียงมีสีหน้าเรียบเฉยลง และถอนหายใจออกมาอย่างเงียบงัน โดยไม่อาจทราบว่า ดวงตาสีส้มอำพันจ้องมองมาจากพุ่มไม้ และมองหญิงทั้งสองเดินผ่านไป ร่างจิ้งจอกตัวหนึ่งเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ ก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดด้วยกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์นัก
คฤหาสน์หลังใหญ่กลางหุบเขานั้น การาสุเทนกุทั้งสองสามีภริยานั่งใต้ต้นไม้ลงอย่างเบื่อหน่าย และมีสีหน้าเป็นกังวลอยู่ตลอด และตอนนี้พวกเขาเหลือเพียงสองคนแล้ว คาบูโตะมองไปยังเบื้องหน้า ครุ่นคิดว่า หากท่านไดกิกลับมาแล้วไม่พบทาโร่ล่ะก็ คงจะสงสัยอย่างหนักแน่ แต่ร่างหญิงผมดำที่นั่งอยู่ข้างๆก็นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น ไม่เหมาะสมกับอากาเนะแม้สักนิดเดียว ทั้งสองนั่งอยู่เป็นเวลานานมากโดยไม่มีใครกล่าวอะไร และรู้สึกตกใจไม่หายกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ข้าเตือนทาโร่แล้วแล้ว…”อากาเนะกล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“เจ้านั่น ไม่เป็นไรหรอก…”คาบูโตะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด แต่อากาเนะลุกขึ้นยืนเมื่อเธอตัดสินใจได้
“ข้าผิดเอง…ข้าควรจะกล่าวกับทาโร่ให้ดีๆกว่านี้ ตอนนี้เจ้านั่นบินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ข้าไม่รู้จะไปตามยังไง”อากาเนะเอามือปิดหน้าและร้องไห้ออกมา
“ทาโร่มันไม่มีที่ไปเสียหรอก
ออกไปก็คงได้ไปอยู่ตามต้นไม้ที่ชายป่าแน่ๆ เจ้าใจเย็นเสียก่อน เดี๋ยวทาโร่ก็กลับมา เจ้านั่นเป็นถึงมือขวาของท่านไดกิเชียวนะ พวกข้าไม่ละทิ้งงานทิ้งหน้าที่ไปง่ายๆหรอก!!!”สามีของนางกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ
“ข้ากล่าวไปโดยไม่ทันคิด ข้าต่อว่าทาโร่ไปว่า เขาหลงรักยูกิอนนะเสียหัวปักหัวปำ และทรยศท่านไดกิ…ข้าเสียใจที่กล่าวเช่นนั้นออกไป”อากาเนะสะอึกสะอื้นออกมา
“อย่าโทษตนเองเลย…เอาเป็นว่าถ้าทาโร่กลับมาก็ไปขอโทษเขาเสียก็สิ้นเรื่อง”ร่างนั้นลูบหลังอีกฝ่ายเพื่อปลอบใจ และนึกในใจว่า ถ้าเป็นเขาเองก็คงจะว่าทาโร่ไปเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะทั้งๆที่รู้ว่าอาโอยูกิเกลียดไดกิเข้าไส้เสียขนาดเคยท้าประลองกันในสนามรบแล้ว ก็ยังมาทำร้ายท่านไดกิ โดยที่เขาไม่ตอบโต้กลับเลยถึงในคฤหาสน์ แบบนี้มันหยามศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว แต่เจ้าทาโร่ก็ยังติดต่อกับนางอยู่ตลอด ถ้าท่านไดกิกลับมาเมื่อไหร่ นางคงไม่ตามมาฆ่าเขาเลยรึถ้ารู้ว่ามายุ ตายลงด้วยฝีมือของไดกิ
คาบูโตะครุ่นคิดและเดินไปมา
แม้อยากจะเข้าใจความรู้สึกของทาโร่ แต่หน้าที่ของตนก็ต้องทำ หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านไดกิด้วยฝีมือของอาโอยูกิล่ะก็ คนที่จะตกที่นั่งลำบากที่สุดก็คงไม่พ้นทาโร่อย่างแน่นอน แต่เมื่อหันมา ก็ไม่พบอากาเนะแล้ว
ร่างของการาสุเทนกุที่ไม่ได้กลับร่างเดิมมาเสียเนิ่นนาน ทะยานขึ้นไปบนฟ้าและเข้าไปในป่า แม้จะไม่ได้ออกบินมานาน แต่การบินก็ถือเป็นสัญชาติญาณของอากาเนะ ร่างนั้นยังบินได้คล่องแคล่วไม่เคยเปลี่ยน เพื่อตามหาสหายของตน ดวงตาสีดำกลมโตมองสอดส่องไปที่ต้นไม้แต่ก็ไม่พบวี่แววของทาโร่ แต่อย่างใด เสียงกระพือปีกของเธอดังไปทั่วบริเวณและมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นร่างหนึ่งนั่งอยู่ริมลำธารไกลๆจึงรีบทะยานไปหา แต่ก็ชะงักเสียก่อนเมื่อเห็นร่างนั้นอยู่กับหญิงสาวผมสั้น ร่างของอากาเนะจึงชะงัก แล้วรีบบินต่ำลงมาหลบอยู่หลังต้นไม้
ไม่น่าเชื่อ…ขนาดนี้ยังมาเจอกันอีกหรอ??
ทาโร่ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!!!
ร่างนั้นแอบฟังอยู่ด้านหลังต้นไม้อยู่เงียบๆ ด้วยใจระทึก เหมือนสองคนนั้นพยายามจะมาพบกันด้วยเรื่องสำคัญเสียด้วย ก่อนจะตั้งใจฟังบทสนทนาของทั้งสอง
“ท่านอาโอยูกิขอรับ...”
“เรียกฉันว่ายูกิก็พอ…นี่คือชื่อของฉัน”
“ข…ขอรับท่านยูกิ…ข…ข้ามีอะไรที่อยากจะบอกท่าน เป็นเรื่องสำคัญขอรับ”ทาโร่กล่าวขึ้นด้วยความตะกุกตะกัก
“มีอะไรก็บอกมา นายนัดฉันให้มาที่นี่ฉันก็มาตามนัดแล้ว รีบพูดเรื่องธุระเสียสิ”เสียงนั้นราบเรียบ
“ข…ข้าขอไปอยู่กับท่านยูกิได้ไหมขอรับ!!”ยูกิมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ฟัง พอๆกับอากาเนะที่เหวอออกมา ไม่นึกเลยว่าที่เธอพูดกับทาโร่ไปจะทำให้อีกฝ่ายตัดสินใจเช่นนี้
“ท…ทำไมกันล่ะ บ้านของฉันยังอยู่ในเมืองนะ นายไปอยู่ก็คงปรับตัวไม่ได้หรอก… และก็ช่วงนี้ที่เราไม่ค่อยได้พบเจอกันน่ะ…เพราะว่าฉันเองก็มีธุระ”
“กระผมเข้าใจขอรับ”
“ไม่ๆ…ที่ฉันจะบอกคือ…ธุระที่ว่า คือฉันจะต้องไปดูตัวน่ะ ฉันรู้ว่านายชอบฉัน แต่ว่าฉันไม่ได้ชอบทาโร่ในแบบคนรักนี่สิ”ทั้งทาโร่เองก็เงียบลง ส่วนอากาเนะก็รู้สึกถึงความกดดันที่ตนมาอยู่ผิดที่ผิดเวลาเช่นนี้
อะไรกัน!!!
ข้ามาทำอะไรที่นี่ ข้ามาทำอะไร~
แล้วข้าจะออกไปอย่างไรดี ไม่งั้นสองคนนั้นคงจะรู้ตัวแน่ๆ
อากาเนะกรีดร้องออกมาในใจ เมื่อน่าเชื่อว่าต้องมาพบทาโร่ที่ถูกหักอกเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกสงสารอีกฝ่ายที่ต้องถูกปฏิเสธก็ตาม
“ขอรับ ข้าเองก็ไม่ได้คิดกับท่านยูกิแบบคนรักเช่นกันขอรับ”ทาโร่กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้เศร้าสลดแต่อย่างใด จนทำให้ผู้ฟังทั้งหมดรู้สึกงุนงงไปตามกัน จนอากาเนะอยากจะรู้คำตอบเสียแล้ว
“อ...อ่าวหรอ? ฉันคิดว่าคนชอบกันเขาถึงอยากอยู่ด้วยกันเสียอีก?”ยูกิที่ไม่เคยผ่านความรักแบบหนุ่มสาวมาก่อนก็กล่าวขึ้นอย่างสงสัย เรื่องโรแมนติกเช่นนี้ไม่เคยอยู่ในหัวเธอมาก่อนเลย
“ขอรับ ข้าชอบท่านยูกิ ก็เพราะว่าท่านยูกิมีความเด็ดขาด มีความเป็นผู้นำ ทำให้ข้าเลื่อมใสขอรับ นักรบหญิงนี่ช่างมีน้อยนะขอรับ ท่านยูกิทราบไหมขอรับว่า ข้าที่เคยต่อสู้เคียงข้างกับท่าน ก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังและสติปัญญาในการวางแผนรบ ท่านยูกิสำหรับข้าแล้ว…เอ…คงต้องเรียกว่าเท่มากๆเลยขอรับ”อากาเนะกลุ้มใจ นี่มันอันตรายเสียยิ่งกว่าทาโร่ชอบอีกฝ่ายแบบคู่รักเสียอีก นี่เขาคิดจะตีตัวออกห่างจากท่านไดกิหรืออย่างไรกัน
“อ่อ…อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นก็มาสิ….บ้านของฉันน่าจะพอมีที่ว่างให้นาย จะลองไปอยู่เสียก่อนก็ได้นะ แต่ว่านายต้องอยู่ในร่างมนุษย์เท่านั้นล่ะ”ยูกิตัดสินใจในทันที ยิ่งทำให้อากาเนะถึงกับตกตะลึง ก่อนยูกิจะกล่าวต่อ
“ฉันก็ชอบทาโร่เหมือนกัน ทาโร่น่ะน่ารักจริงๆนะ ขนก็นุ่มนิ่มดีด้วย”การาสุเทนกุที่แอบฟังถึงกับสำลัก นี่เธอกำลังพูดถึงนักรบที่เก่งที่สุดของท่านไดกิ
หรือกระต่ายกันแน่ อากาเนะนึกขึ้นมาได้ เธอเข้าใจความสัมพันธ์ของทั้งสองอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
นี่มันความสัมพันธ์แบบเจ้านายกับสัตว์เลี้ยงนี่นา….ทาโร่เอ๊ย เจ้าช่วยมีสติสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ เจ้าเป็นการาสุเทนกุนะ ไม่ใช่อีกา ไปอยู่ที่บ้านคนอื่นโดยไม่คิดอะไรมากแบบนี้ได้ยังไงกันฮะ
อากาเนะถึงกับทรุดลงนั่งอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานจนทั้งสองเดินจากไปในที่สุด แต่การาสุเทนกุยังไม่ขยับตัวไปไหนจนกระทั่งคาบูโตะตามหาเธอจนพบ และเดินมาหยุดที่เบื้องหน้า แต่อากาเนะกับไม่รู้สึกถึงการมาของอีกฝ่ายแต่อย่างใด จนเขาโบกมือเพื่อเรียกสติของอีกฝ่ายกลับมา อากาเนะกระชากคอเสื้อของคาบูโตะให้เข้าไปหาเธอ จนหน้าของทั้งสองแทบจะชิดติดกัน
“…ทาโร่ เจ้านั่นได้จากไปแล้ว…”ร่างนั้นปล่อยมือออกอย่างหมดแรงกำลังใจใดๆ
“เดี๋ยวก่อน!! อากาเนะเจ้ากลับมาพูดให้รู้เรื่องก่อน!!!”คาบูโตะเขย่าอีกฝ่ายเบาๆให้ เธอได้สติ และคิดเรื่องร้ายแรงไปเสียต่างๆนาๆมากมายที่เขาจะนึกขึ้นมาได้ไปเสียแล้ว
“ทาโร่!! เกิดอะไรขึ้นกันแน่…”เขาครุ่นคิด แต่มือบางที่อากาเนะกลายร่างเป็นร่างมนุษย์แล้วรั้งแขนเสื้อเขาไว้ก่อนที่คาบูโตะจะเดินจากไป
“เจ้านั่น…ทรยศท่านไดกิไปเรียบร้อยล่ะ...”อากาเนะกล่าวออกมาด้วยความหมดอาลัยตายอยาก
และกล่าวต่อ
“เจ้านั่น…ไปอย่างไม่ลังเลเลย”เธอกล่าวออกมาเหมือนจะไม่ได้สตินัก
“อากาเนะ เจ้าเล่าออกมาให้หมดว่ามันเกิดอะไรขึ้น!!!”เสียงนั้นกล่าวด้วยเสียงอันดัง พยายามจะให้อีกฝ่ายตื่นจากภวังค์และเล่าเรื่องที่เธอรู้ทั้งหมดให้ฟัง
ร่างมนุษย์ทั้งสองของยูกิกับทาโร่เดินไปตามลำธารที่เงียบสงบ ทั้งสองเดินไปเรื่อยๆพร้อมกับมองภาพวิวทิวทัศน์รอบๆที่ดูสวยงามจนน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง ยูกิสูดหายใจเข้าลึกเพื่อรับอากาศบริสุทธ์ก่อนที่เธอจะกลับเข้าเมืองไป และหันมากล่าวกับทาโร่
“ฉันน่ะก็ไม่ได้อยากไปดูตัวสักนิด ฉันไม่เคยคิดเรื่องรัก หรือโรแมนติคมาก่อนเลย ความรักหรือการแต่งงานมันไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตของฉันเลย”เธอกล่าวออกมา
“นั่นสินะขอรับสมกับเป็น ท่านยูกิที่มีความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวจริงๆขอรับ”ทาโร่ในร่างมนุษย์กล่าวขึ้น
“แต่ว่า…ฉันน่ะ คิดว่าหากมายุไม่อยู่แล้ว ฉันจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก”ทาโร่นิ่งไปชั่วครู่แต่ก็ยิ้มออกมา
“ข้าทราบขอรับ ว่าท่านยูกิจะทำตามอย่างที่ท่านกล่าวแน่นอนขอรับ”
“แล้วนายจะไปกับฉันหรอ แล้วไดกิล่ะเขาจะไม่ว่านายหรอ?”สาวผมสั้นหันมาถาม
“ไม่ทราบขอรับ แต่คิดว่าท่านไดกิน่าจะเข้าใจข้าน่ะขอรับ อย่างน้อยพวกข้าก็เคยเป็นสหายกับท่านไดกิมาตั้งแต่เยาว์วัย ท่านไดกิคงไม่ว่ากระไรหรอกขอรับ”ทาโร่กล่าวออกมาโดยไร้ความกังวลใดๆ
“ทำไมนายถึงดูไม่กังวลเลยล่ะ
ฉันไม่เข้าใจนายจริงๆ จะไปอยู่ในเมือง นายไม่กลัวหรือไง…”
“ข้าไม่กลัวหรอกขอรับ ข้าเป็นนักรบนะขอรับ ยามสงครามข้าก็ไม่ได้กลัวตายแต่อย่างใด แค่ข้าไปอยู่เมืองมนุษย์มันไม่มีอะไรที่น่ากลัวหรอกขอรับ”ยูกิยิ้มออกมาเมื่อได้ฟังเช่นนั้น
“กล้าหาญจริงๆนะ”เธอชมเขา ทาโร่แก้มแดงนิดหน่อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“แต่ว่าถ้าไปอยู่ที่นั่นแล้ว
ข้าจะสามารถกลับมาที่นี่ได้ทุกเมื่อใช่ไหมขอรับ ท่านยูกิคงไม่ห้ามข้านะขอรับ”ยูกิมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“ฉันจะห้ามนายทำไมล่ะ? ที่นี่คือบ้านของนายนะ ฉันคิดว่ายังไงสักวันนายก็ต้องกลับมาที่นี่อยู่ดีแหละ ดังนั้นถ้าอยากกลับก็กลับมาได้ทุกเมื่อเลย”ยูกิมองอีกฝ่าย แต่เธอก็ยังเห็นแววตาของลูกหมาขี้อ้อนอยู่ภายในนั้น จนต้องใจอ่อนไปเสียทุกที
ความคิดเห็น