คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : สงคราม
ในห้องโถงของคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่นั้นแน่นขนัดไปด้วยการาสุเทนกุมากมายที่สวมชุดเกราะเพื่อที่จะออกไปทำสงครามเช่นกัน ไดกิสวมชุดเกราะเหล็กก่อนจะหยิบเกราะหมวกขึ้นมาที่มีหน้ากากเทนกุดูน่าเกรงขาม จากนั้นมือใหญ่จึงนำดาบขึ้นมาเช็ดก่อนจะเก็บเข้าฝักรอบข้างของเขานั้นมีเหล่าการาสุเทนกุที่คำนับเขาอยู่ที่พื้นอยู่นาน มายุเพียงนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหลังสุดของห้อง จากตรงนี้เธอมองเห็นท่านไดกิเล็กลงถนัดตาด้วยความห่างไกล หญิงสาวนั่งอย่างสงบเสงี่ยมและมองภาพเบิ้องหน้าเท่านั้น วันนี้ไดกิต้องออกไปรบเสียแล้วสิ หญิงสาวเองก็อดที่จะเป็นห่วงอีกฝ่ายหนึ่งไปเสียไม่ได้
“ข้าจะทำให้พวกข้ากลับมายิ่งใหญ่ครั้ง พวกท่านอย่าได้เป็นกังวลไป”ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
“ขอรับ/เจ้าค่ะท่านไดกิ”การาสุเทนกุทั้งเก้าคำนับเขา รวมถึงการาสุเทนกุตนอื่นๆด้วยกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน ส่วนมายุก็คำนับเขาด้วยเธอมองพิธีเบื้องหน้าดำเนินต่อไปจนเสร็จสิ้นอยยู่สักพัก ในใจนั้นเต้นระรัวไปด้วยความหวาดกลัวสงคราม เมื่อรู้สึกตัวอีกทีชายหนุ่มที่ทำพิธีสำเร็จเสร็จสิ้นแล้วก็เดินมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าของเธอ
“ข้าเชื่อว่าเจ้าจะดูแลที่นี่ได้หากข้าไม่อยู่ มายุ ข้าตีดาบขึ้นมาให้เจ้า”ทาโร่ส่งดาบเล่มหนึ่งให้เขา ก่อนชายหนุ่มจะส่งให้เธอ มายุรับมา
และจ้องมองเข้าไปภายในดวงตาของเขา
“ขอบคุณค่ะท่านไดกิ ดิฉันจะไม่ทำให้ท่านไดกิต้องเป็นห่วงค่ะ”
“ข้ามีของจะให้เจ้า...แต่ไม่คิดว่าจะเอามาให้ตอนที่ข้ากำลังจะไปรบเช่นนี้
เมื่อเจ้าเห็นปิ่นปักผมนี้จงนึกถึงข้า”ชายหนุ่มหยิบปิ่นปักผมสีทองอร่ามขึ้นมาจากในแขนเสื้อของตน
ที่ถูกแกะสลักลวดลายสวยงามและปราณีตยิ่งนักเป็นรูปหงส์ที่สง่างามยิ่ง
“ผมของเจ้ายาวขึ้นมากพอที่จะเกล้าผมได้แล้วนะ”เขาลูบเส้นผมของเธอที่ตอนนี้เกือบจะมีสีดำสนิทแล้ว
“ปิ่นปักผมอันนี้เป็นปิ่นปักผมแทนใจของข้า
เจ้าดูแลให้ดีเสียล่ะ อย่าให้ห่างจากเจ้า”
“ขอบคุณท่านไดกิมากเลยค่ะ
ปิ่นปักผมสวยมากเลยค่ะแล้วดิฉันจะดูแลอย่างดีค่ะ”กล่าวจบร่างกำยำได้หันไปกล่าวกับเหล่าการาสุเทนกุ
“นี่คือนายหญิงของพวกเจ้า นางจะเป็นตัวแทนของข้ายามข้าไม่อยู่”เขากล่าวออกมาด้วยสุรเสียงที่แข็งกร้าว
“เจ้าค่ะ”
“ขอรับ”การาสุเทนกุคำนับ แม้เธอจะทราบดีว่ายังมีคนไม่สะดวกใจนักที่เธอจะมาเป็นนายหญิงของเขา แต่มายุเองก็คำนับกลับอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ไดกิหันมามองอีกฝ่ายเขารู้ดีว่ามีเวลาร่ำลาอีกฝ่ายไม่นานนัก
"มายุ ให้ที่นี่เป็นบ้านของเจ้า จงอยู่ที่นี่การาสุเทนกุจะดูแลเจ้าอย่างดี"
"ค่ะ ท่านไดกิ"มายุตอบรับอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย ก่อนไดกิจะต้องนำทัพไปสมทบกับทัพของเซริวเขาเดินนำเหล่าการาสุเทนกุไปในทันที ก่อนมายุจะมองปิ่นปักผมเบื้องหน้าและรีบวิ่งตามอีกฝ่ายไป
“ท่านไดกิคะ”มายุเรียกอีกฝ่ายไว้ ที่หน้าคฤหาสน์
“ระวังตัวด้วยนะคะ ดิฉันจะรออยู่ที่นี่ รอท่านกลับมาค่ะ”
ร่างนั้นเมื่อได้ฟังจึงหันมา ดูเหมือนเขาจะหัวเราะในลำคอเพื่อกลบเกลื่อนความกังวลของตนเอง
“ถ้าข้าแพ้ เจ้าห้ามทำพิธีจิไกตัวเองเด็ดขาด แต่นั่นแหละ
ข้าไม่แพ้หรอก”เขาแสยะยิ้มออกมา
“ค่ะดิฉันเชื่อค่ะ”มายุกล่าวออกมา เธอยิ้มออกมาให้เขาได้เห็นและสบายใจขึ้นมาบ้าง
“ข้ารักเจ้า ข้าต้องกลับมาให้ได้”
“ดิฉันก็รักท่านค่ะ”เธอดึงปิ่นปักผมออกมา และส่งให้เขา
มิใช่ว่าเธอไม่อยากได้แต่อยากให้เขาเก็บเอาไว้เพื่อจะมามอบให้เธออีกครั้งหนึ่ง
“ท่านต้องกลับมาให้ได้นะคะ และเอาปิ่นปักผมนี้มาคืนดิฉันให้ได้นะคะ”ชายหนุ่มเพียงรับปิ่นปักผมของเธอมามองและเก็บไว้ เขายิ้มออกมาที่มุมปาก
ก่อนจะทะยานขึ้นท้องฟ้าไปพร้อมกับการาสุเทนกุจำนวนมาก เธอมองอยู่อย่างนั้นก่อนจะลับตาไป เมื่อหันไปก็ผงะเข้ากับอายุมุ จนเธอต้องคำนับอีกฝ่าย
“หลานชายข้า ต้องออกไปรบอีกแล้ว ทั้งๆที่เขาเพิ่งจะหายดีแท้ๆ การาสุเทนกุที่เจ้าช่วยไว้นั่นแหละ…”เธอมองไปบนท้องฟ้า ด้วยความกังวล
“เขาจะต้องไม่เป็นไรค่ะ”
“ข้าไม่ชอบมนุษย์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าช่วยชีวิตท่านไดกิไว้…”เธอพึมพำกับตนเอง
“ถ้าเช่นนั้นมาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมคะ”
“ข้ากลัวว่ามันจะเป็นเช่นเดิมแบบที่ข้าเคยพบ”อายุมุกล่าวขึ้น เพราะเหล่าการาสุเทนกุอาวุโสไม่มีใครรู้เรื่องของเธอว่าเป็นมิวะมาก่อน
มายุตัวแข็งทื่อก่อนจะกล่าวออกมา
“ดิฉันเป็นหนี้บุญคุณท่านไดกิค่ะ ดิฉันจะไม่ทำอะไรให้ท่านไดกิเป็นกังวลเด็ดขาดค่ะ”อายุมุเพียงยิ้มกระตุกมุมปากก่อนจะเดินจากไป มายุเองก็ทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่ายนักก่อนทั้งสองจะแยกจากกันไป
ไดกิรีบเดินทางจนมาถึงค่ายทางทิศตะวันออก กำแพงไม้มีป้อมที่คอยสอดส่องสังเกตการณ์ตั้งอยู่กลางป่าเขาเขียวขจี ภานในประกอบไปด้วยลานโล่งขนาดใหญ่และเพิงผ้าใบสีขาวจำนวนมาก ก่อนผู้ที่เห็นจะรีบส่งข่าวให้เทพมังกรฟ้านั้น ออกมาต้อนรับเขา ด้านหน้าของค่าย ที่มีเต๊นท์สีขาวขนาดใหญ่เป็นที่บัญชาการ ส่วนเต๊นท์อื่นๆที่มีขนาดเล็กลงมาก็เป็น เพิงพัก และที่เก็บอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ และเต๊นท์พยาบาล ด้านหน้าที่เป็นลานดินมีจำนวนทหารมากมายก่ายกอง ที่กำลังซ้อมรบอยู่อย่างขยันขันแข็ง ชายหนุ่มเมื่อมาถึงก็รีบก้าวเข้าไปในเพิงบัญชาการทันนที เขาพบเซริวนั่งอยู่บนเก้าอี้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นแม่ทัพ กำลังนั่งอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเวลาที่ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้น
“เจ้ามาถึงช้ากว่าที่ข้าคิด”เซริวกล่าวขึ้น เหมือนจะแกล้งอีกฝ่าย
“ขออภัยครับ แต่เมื่อข้าทราบ ก็รีบมาในทันทีเลยขอรับ”
“เช่นนั้นรึ? ทางนี้เดี๋ยวจะมีทัพของ อาโอะยูกิมาอีก”เซริวอธิบายออกมา
“อาโอะยูกิ? ยูกิอนนะรึ ไม่นึกว่าพวกนางจะต่อสู้เป็น”ไดกิถามขึ้น
“เจ้าประมาทนางเกินไปแล้ว”เซริวกล่าว
และโดยที่ไม่ทันระวังตัว นางก็โผล่ขึ้นมาพอดี ร่างนั้นเดินเข้ามาใน เต๊นท์อย่างสง่าผ่าเผย
“ที่นี่ช่างร้อนยิ่งนัก… ท่านเองรึ?นามว่าไดกิ”หญิงสาวผมสั้นผู้สวมเกราะหมวกและหน้ากากเหล็กครึ่งหน้า กับชุดเกราะที่ดูหนักอึ้งกล่าวขึ้น ก่อนจะเดินผ่านเขาไปแต่เธอก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
“เจ้ารู้จักนาง?”เซริวถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย
“ไม่ขอรับ”เขาสงสัยเช่นกันว่าทำไมอาโอยูกิถึงต้องยิ้มมอย่างมีเลศนัยเช่นนั้น
“ถ้าเช่นนั้นก็จงรีบเข้ามาประชุมกันเสียเถอะ”เซริวรีบกล่าว ก่อนทั้งสามจะนั่งลง
“พวกนั้นมีคุโระเฮียว คุโระทสึรุ
คุโระเฮะบิ แถมยังมีอากะโอนิอีก”
“เช่นนั้นพวกเราเสียเปรียบด้านกำลังพล แต่พวกปิศาจที่ถูกเกณฑ์มา ก็มิได้เก่งกาจการต่อสู้แต่อย่างใด”อาโอะยูกิกล่าวขึ้น วิธีการพูดด้วยถ้อยคำสมัยใหม่เช่นนี้หวนให้ไดกินึกถึงคนรักอย่างน่าประหลาด จนเขาต้องสลัดความคิดฟุ้งซ่านออก
“ยังไงคุโระเฮะบิที่อ่อนแรง คงไม่ได้ออกมาเป็นทัพหน้าหรอกขอรับ ข้าคิดว่าน่าจะอยู่เป็นทัพหลัง ไม่ก็แอบสอดแนมหรือรอตลบหลังอยู่ห่างๆ”ไดกิออกความเห็น โดยที่ไม่ทันสังเกตุว่าหญิงสาวผู้มีผิวขาวผ่องประดุจหิมะก็แอบมองเขาก่อนจะยิ้มออกมา
“ดีมาก เช่นนั้นทัพใหญ่เช่นนี้ ข้าคิดว่า
คุโระเฮียวจะนั่งบังคับบัญชาอยู่หลังสุด คอยสั่งทัพ
เช่นนั้น พวกนั้นที่มีจำนวนมากกว่า คงจะพยายามปิดล้อมพวกเราอย่างแน่นอนเช่นนั้นจงระวังให้ดี”
“ขอรับ/ค่ะ”ไดกิรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของอีกฝ่ายนัก หรือแท้จริงคนอื่นๆอาจจะใช้คำสมัยใหม่หมดแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะต้านทัพของคุโระทสึรุเองขอรับ การต่อสู้บนฟ้าข้าไม่เป็นรองใคร”เขากล่าวออกมาอย่างทระนงตน
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะต้านทัพของอากะโอนิเอง”เซริวกล่าวอย่างมั่นใจ
“ดิฉันจะไปสู้กับคุโระเฮะบิเองค่ะ”ไดกิเองที่มีความแค้นกับปิศาจงู จึงต้องจำใจยอมให้อีกฝ่ายไปสู้แทน แม้ที่จริงแล้วเขาอยากจะจัดการอีกฝ่ายเอง
“หากเช่นนี้แล้ว เราต้องเน้นการโจมตีไปที่พวกขุนพล แล้วชนะให้รวดเร็วที่สุด และค่อยๆรวมทัพกันไปโจมตีคุโระเฮียวดีไหม”
“ข้าคิดว่าหากใครอยู่ทัพ ทางปีกซ้ายปีกขวานั้น ควรจะอ้อมไปจับคุโระเฮียวดีกว่าขอรับ ไม่เช่นนั้นเจ้านั่นต้องหนีแน่ๆเลยขอรับ”
“ที่เจ้ากล่าวก็มีเหตุผลนัก”
“ดิฉันเห็นด้วยค่ะ”ชายหนุ่มเหลือบมองอีกฝ่าย อย่างสงสัย
เขารู้สึกได้ว่าเธอมีพลังปิศาจแต่เบาบางยิ่งนัก หลังจากนั้นทั้งสามจึงดื่มสาเกหนึ่งจอกเป็นการสาบาน แต่ดูเหมือนอาโอะยูกิยังคงครุ่นคิดและอยากจะถามบางอย่างออกมาจนเซริวต้องถามไถ่อีกฝ่าย
“มีอะไรสงสัยรึ?”
“คิโยะฮิเมะล่ะคะ นางไม่มาหรือคะ?”อาโอะยูกิกล่าวขึ้น
“นั่นสิขอรับ”ชายหนุ่มเองก็สงสัย
“ข้าคิดว่านางน่าจะยังอยู่กับคุโระเฮะบิ แต่นางไม่เก่งพอที่จะมาออกรบหรอก ทำไมรึเหตุใดพวกเจ้าจึงถามถึงนาง”เมื่อเทพมังกรฟ้าถามกลับทั้งสองก็เฉไฉในทันทีอย่างไม่ได้นัดหมาย
“ดิฉันแค่สงสัยเท่านั้นค่ะ นางทำร้ายมนุษย์เสียจนออกข่าวใหญ่โต ดิฉันจึงสงสัยเท่านั้นค่ะ”เธอกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด
“นั่นสิขอรับ นางเคยมาถามไถ่ข้าว่าจะเข้าร่วมกับคุโระเฮียวหรือไม่ เมื่อนานมาแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นข้าเองก็ไม่รู้”เซริวกล่าว
ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้เขากับเธออยู่ด้วยกันเท่านั้น ทั้งสองนั่งนิ่งไม่คุยกันจนกระทั่งไดกิถามอีกฝ่ายขึ้น
“เมื่อตอนเจ้ามา เจ้าถามชื่อของข้าทำไมรึ?”ไดกิหยิบดาบขึ้นมาเช็ด
“แล้วข้าถามมิได้รึ?”อีกฝ่ายตอบอย่างยียวน
“เจ้านี่ช่างแปลกประหลาด ทั้งพูดภาษาเก่าและใหม่ในเวลาเดียวกัน”
“ข้าไม่คุ้นภาษาโบราณ หากข้ากล่าวกับผู้ที่สูงกว่า ข้าจะพูดด้วยคำสุภาพของภาษาสมัยใหม่มันง่ายกว่า”
“เช่นนั้นรึ? ข้ามิเคยรู้มาก่อนว่า ยูกิอนนะจะต่อสู้เก่ง”
“แล้วท่านคิดรึว่าข้าจะใช้เวลาวันๆหมดไปการหลอกล่อผู้ชายและดูดพลังชีวิตของเขากันรึ?”เขาถึงกับชะงักเมื่ออีกฝ่ายกล่าว
“ข...ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”เขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะไถ่ถามอีกฝ่าย
“แล้วเหตุใจข้าถึงไม่รู้ถึงพลังปิศาจของเจ้ามากนัก เจ้าเหมือนมนุษย์เสียมากกว่า”หญิงสาวยิ้มเหยียดออกมาเมื่อได้ฟัง
“ก็ข้าเป็นมนุษย์ยังไงล่ะ”ไดกิมีสีหน้าที่ประหลาดใจนักเมื่อได้ฟัง
“จริงรึ?”
“ตาของข้าเป็นมนุษย์ แต่ยูกิอนนะนั้นต่อสู้ไม่เป็น…ไม่สิ
ไม่เก่งสักเท่าไหร่ เขาเลยส่งข้ามา ข้าเองก็ไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นยูกิอนนะแต่อย่างใด เพราะข้ามิได้เกิดจากหิมะ แต่จะให้ข้าทำเช่นไรเมื่อทุกคนอยากให้ข้ามาแทน ข้าก็ต้องมา”เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“เจ้าจะสู้ไหวรึ?”
“อย่าดูถูกข้านัก ท่านเทนกุผู้ยิ่งใหญ่ และท่านจะตกใจกับความสามารถของมนุษย์”
“ข้าก็รู้แล้ว…”เขาหยิบปิ่นปักผมออกมา พิจารณาดู
“ของคนรักรึ?”อีกฝ่ายถามขึ้น อย่างสงสัย
“ใช่”เขาตอบสั้นๆ ก่อนอาโอะยูกิจะยิ้มออกมา ก่อนจะมองไปทางอื่น
“ก็ตลกดี ข้าไม่ใช่ยูกิอนนะ แต่กลับได้ชื่อว่าอาโอะยูกิทั้งที่ข้าไม่มีพลังหิมะอะไรเลยก็เถอะ”เธอบ่นออกมา
ก่อนจะเดินออกจากเพิงบัญชาการไปไป
ตลอดเวลาที่เขาอยู่ที่นี่ ชายหนุ่มหมั่นฝึกฝนอย่างจริงจัง การใช้อาวุธของเขาทั้งทวน กระบอง
ดาบ นั้นไม่เป็นรองใคร รวมถึงพลังพายุที่ยิ่งใหญ่นักเพราะเขาได้รับพลังแห่งไดเทนกุกลับมาแล้ว เป็นพลังที่เขาเองก็ถึงกับประหลาดใจเช่นกัน เพียงวินาทีเดียว เขาก็บินได้อย่างรวดเร็วจนหาตัวจับได้ยาก และสามารถเคลื่อนย้ายได้ในพริบตา
“นี่คือพลังแห่งเทพ…”ไดกิยิ้มออกมา เมื่อในที่สุดเขาก็ได้กลับเป็นไดเทนกุอีกครั้งหนึ่ง คาบูโตะที่ติดตามเขามาก็มีสีหน้าตื่นเต้นและดีใจอย่างยิ่งนัก ที่ในที่สุดเวลาที่ท่านไดกิรอมาเนิ่นนานก็มาถึงสักที
“ยินดีด้วยขอรับท่านไดกิ”เขาคุกเข่า
และคำนับ
“แล้วทาโร่ล่ะ”เขาสงสัยเพราะเมื่อครู่ยังเห็นทาโร่ฝึกซ้อมอยู่กับคาบูโตะอยู่
“ไม่ทราบขอรับ”คาบูโตะกล่าว และมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นเขา
“เจ้าเงียบก่อน”ไดกิสั่ง เมื่อทุกสิ่งเงียบลงทั้งสองจึงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ และได้ยินเสียงสนทนาของทั้งสองดังอยู่ไม่ไกลนัก
“ท่านอาโอะยูกิ เรียกข้ามาทำไมขอรับ ข้าต้องไปฝึกซ้อมนะขอรับ”เสียงทาโร่ดังขึ้นน
“ข้าแค่สงสัย ไม่เคยเห็นการาสุเทนกุตัวเป็นๆมาก่อน ดูแล้วเจ้าก็น่ารักดีนี่ ขอบคุณนะที่คอยส่งจดหมายมาให้ข้าตลอดเวลาที่ผ่านมา พอเจอเจ้าจริงๆแล้ว ก็รู้สึกตื่นเต้นชะมัด…”ไดกิกับคาบูโตะมองหน้ากันอย่างฉงน ไม่รู้ว่าเขาแอบคุยกับหญิงสาวผู้นี้มานานแล้วหรือยัง ก่อนไดกิจะเลิกสนใจและกลับไปฝึกซ้อมต่อ แต่คาบูโตะยังยืนฟังอย่างฉงน
“ท...ท่านเองก็สวยกว่าที่ข้าคิดขอรับ”คาบูโตะถึงกับส่ายหัว ที่แท้เขากำลังเกี้ยวอีกฝ่ายอยู่ชัดๆ ก่อนจะเดินไปซ้อมต่อแต่ถูกไดกิเรียกเอาไว้
“เจ้ามาเป็นคู่ซ้อมให้ข้าเสีย”
“ขอรับ”คาบูโตะรีบคว้ากระบองที่เขาโยนให้ ก่อนทั้งสองจะสู้กัน คาบูโตะที่เป็นถึงคนสนิทก็ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย กระบองไม้นั้นถูกฟาดลงใส่แต่เขาเพียงใช้กระบองกันอีกฝ่ายไว้อย่างแม่นยำและดันอีกฝ่ายออกก่อนจะฟาดกระบองใส่ทางด้ายซ้ายแต่ไดกิเองก็ใช้กระบองขัดอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะสู้ต่อกันอยู่นานจนตะวันเคลื่อนต่ำลงเป็นเวลาบ่าย คาบูโตะเองนั้นก็เหนื่อยหอบยิ่งนัก แต่ไดกิยังดูไม่เหนื่อยแต่อย่างใด
“นี่รึ?
พลังของไดเทนกุ?”เขากล่าวขึ้นก่อนจะปาดเหงื่อ ก็พอดีกับทาโร่ที่เพิ่งจะเดินกลับมา อย่างงงวย
คาบูโตะที่เห็นก็เกิดโมโหขึ้นมา
“แกหายไปไหนมา ให้ข้าอยู่คนเดียว รู้ไหมว่าท่านไดกิเขาไม่มีใครจะซ้อมด้วย ทำไมแกถึงอู้งานเช่นนี้!!”คาบูโตะต่อว่าอีกฝ่าย
“ข...ข้าขอโทษ เช่นนั้นข้าจะเป็นคู่ซ้อมแทนเจ้าแล้วกัน”ทาโร่รีบกล่าวและหยิบกระบองขึ้นมา
“เจ้าจีบนางอยู่รึ?”คาบูโตะถามขึ้น
“จ…จีบ?
ข้าจีบใครรึ?”เขาฉงน
จนคนทั้งสองถึงกับถอนหายใจ
“ก็อาโอะยูกิยังไงล่ะ”คาบูโตะกับไดกิประสานเสียงกัน
“อ๋อ….
เปล่าขอรับ”ทาโร่ตอบด้วยใบหน้าที่นิ่ง
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะพูดคุยอะไรกับนางตั้งนาน”คาบูโตะกล่าว แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบ
ไดเทนกุก็รีบกล่าวขึ้นเสียก่อน
“ช่างเถอะ มาซ้อมกันต่อดีกว่า”ไดกิขัดจังหวะทั้งสอง ก่อนจะถอนหายใจออกมาและเดินไปซ้อมการต่อสู้ เมื่อนึกถึงมนุษย์แล้ว เขาย่อมนึกถึงแต่มายุคนเดียวเท่านั้น
เวลาหลายวันผ่านไป จนกระทั่งถึงวันที่คุโระเฮียวยกทัพมาถึง อาโอะยูกิรีบสวมชุดเกราะและขี่ม้าออกไปยังสนามรบในทันทีอย่างไม่เกรงกลัว พร้อมกับกองทัพของเหล่าอสูร ส่วนไดกิเองก็รีบไปตั้งรับอยู่ที่ซีกซ้าย ไม่นานนักก่อนท้องฟ้าและผืนดินเบื้องหน้าจะดำทะมึนด้วยอสูรจำนวนมาก ก่อนร่างในชุดเกราะนักรบสีดำจะปรากฏตัวขึ้น บนฟากฟ้าปรากฏตัวต่อหน้าปิศาจเทนกุ
“กระเรียนทมิฬ”เขาพึมพำกับตนเอง และให้สัญญาณฝั่งตนเองว่าเตรียมพร้อม ร่างเบื้องหน้าเองก็ส่งสัญญาณมือให้กำลังพลของเขาหยุดลง
“แล้วท่านจะรู้ว่าไม่ควรไปรับใช่ฝั่งเทพ ทำไมกันทั้งที่ท่านเป็นอสูรแท้ๆ”เสียงนั้นตะโกนขึ้นมา
“ข้าเองก็บอกเหตุผลไปหลายรอบแล้ว เลิกถามข้าเสียที!!”ไดกิกล่าวก่อนจะให้สัญญาณโจมตีอีกฝ่ายหนึ่ง และริ่งพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายก็เช่นกัน ร่างนั้นกางปีกสีขาวดำออกมา ชักดาบออกมาและพุ่งเข้ามา ดาบเล่มเรียวนั้นตวัดอย่างรวดเร็วและเดาทิศทางได้ยาก ไดกิรีบตั้งรับอย่างพอดิบพอดีจนดาบเกิดประกายไฟ
“ข้าเองเป็นถึงอดีตสัตว์เทพของอิซานามิ!!! ข้าไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!!”ร่างนั้นตีลังกากลางอากาศ และถอยหลังไปอย่างคล่องแคล่วและหยิบใบดาบขึ้นมาถือไว้อีกข้าง
“ดาบสองมือรึ?”ไดกิพยายามตั้งรับอีกฝ่ายด้วยจิตที่แน่วแน่ และตั้งรับอีกฝ่ายในทันที เมื่อมือขวาของเขาฟาดฟันลงมาเมื่อไดกิยกดาบขึ้นรับอีกมือหนึ่งก็รีบฟาดฟันลงมา ชายหนุ่มยกเท้าขึ้นถีบเข้าที่ลำตัวของอีกฝ่ายเซถลาไป ก้อนเขาเองจะเป็นฝ่ายบุกเข้าไปในทันที ดาบใหญ่ฟาดฟันลงที่คุโระทสึรุอย่างแม่นยำ ก่อนร่างนั้นจะตั้งดาบขึ้นรับแต่ถูกพลังของอีกฝ่ายดันไปไกล
“เจ้ากลับมาเป็นไดเทนกุแล้วรึ?”อีกฝ่ายกัดฟันพูด ก่อนแสยะยิ้มออกมา
“เช่นนั้นข้าจะได้ไม่ออมมือ!!!”ร่างของเขาเค้นพลังมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งมีพละกำลังพอที่จะดันดาบอีกฝ่ายกลับได้อย่างสบาย
“ข้าสะสมพลังมานานนับหลายพันปี ยังไงก็มีพลังมากกว่าเจ้าแน่นอน เด็กน้อย”ร่างนั้นพุ่งชนเขาอย่างแรงจน ไดกิเป็นฝ่ายเซ จนลงไปยืนอยู่ที่พื้น
“ปีกของเจ้า ยังไม่ดีดังเดิมสินะ”ดวงตาสีดำขลับมองเหยียดอีกฝ่าย อย่างสมเพช
แต่ไดกิยังพุ่งเข้าไปพร้อมดาบอันแหลมคม ก่อนจะใช้เพลงดาบของเขา หลบการโจมตีอีกฝ่ายและสวนกลับ แต่ดาบนั้นยังรับได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง
“เจ้าจะต้องตายเสียที่นี่ ไดเทนกุ”
“ข้าจะไม่ตาย เด็ดขาด!!!!!”ทั้งสองใช้พลังผลักดันกัน ไปมา
ก่อนลมพายุรอบข้างจะหมุนแรงขึ้น เป็นพายุลูกใหญ่ที่สุดที่เคยเห็น และทั้งสองก็อยู่ตรงกลางของตาพายุนั้นจนมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ด้านนอก และประกายไฟได้สว่างแวบเป็นจังหวะพร้อมกับเสียงเหล็กกล้ากระทบกันอย่างไม่มีใครพลาดพลั่งให้ใคร
ร่างของหญิงสาวผมสั้นสีดำนั้นหยุดมาลงเสียตรงเบื้องหน้า ก่อนจะพบกับจำนวนปิศาจที่มีมากนักหนา แต่ยูกิอนนะก็ไม่หวั่นเกรงแต่อย่างใด กระทั่งชายผู้มีเรือนผมสีขาวและดวงตาสีอำพันปรากฏตัวขึ้นในชุดเกราะ และยิ้มอย่างยียวนให้อีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อเขารู้ถึงพลังปิศาจที่บางเบาก็อดยยิ้มเยาะออกมาไม่ได้ ผู้หญิงเบื้องหน้าของเขา เขาเองคงจะจัดการเธอได้ในไม่นานนักอย่างแน่นอน
“พลังปิศาจของเจ้าช่างน้อยยิ่งนัก จะมาต่อกรกับข้าได้รึ”ร่างนั้นแสยะยิ้มออกมา
“ข้าไม่แพ้เจ้าอย่างแน่นอน คราวก่อนเจ้ามันเก่งกับมนุษย์เท่านั้น แต่ตอนนี้เจ้านั่นแหละที่จะถูกข้าบดขยี้เสียให้สิ้น”คุโระเฮะบิถึงกับหุบยิ้มด้วยภาพของหญิงสาวที่ซ้อนทับกัน แม้จะรู้เต็มอกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่เขาคำนึงอยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่าทางที่ไม่เกรงกลัวอีกฝ่ายช่างชวนนึกถึงนางผู้นั้น
“เจ้าเป็นใครกัน?”ปิศาจงูถามไถ่ขึ้น
“ข้ามิจำเป็นต้องตอบเจ้า…”ร่างของเธอเรียกทวนน้ำแข็งออกมาและถืออย่างถนัดมือ
“ตัวแทนของยูกิอนนะเองรึ? เจ้ากับเทนกุช่างคล้ายกันนัก คือชอบเพ้อฝันว่าตนเองเป็นเทพเจ้า!! แต่ตอนนี้เจ้ายังทำได้เพียงยืมพลังจากผู้อื่นเท่านั้น!!!”เขาหัวเราะออกมา ฉับพลันร่างบางก็รีบควบม้าเข้าใส่อย่างไม่ลังเล
“ข้าไม่เคยยโสโอหัง อย่าเทียบข้ากับปิศาจเช่นนั้น!!!”ทวนของเธอตวัดใส่ปิศาจมากมาย อย่างเก่งกาจ แต่คุโระเฮะบิเองเพียงยืนอยู่นิ่งเท่านั้นปล่อยให้ปิศาจชั้นต่ำเข้าไปเป็นคู่ต่อสู้กับเธอแทน ร่างของผู้ที่วิ่งเข้าหาเธอต่างปลิดปลิวอย่างใบไม้ร่วง และรีบเดินหน้าไปถึงอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด คุโระเฮะบิเองก็ไม่ได้หนีแต่อย่างใด ก่อนจะกระโดดจากหลังม้าลงไปฟาดฟันอีกฝ่าย อย่างจัง
ทว่าร่างนั้น กลับหายไปเหลือเพียงหมวกเกราะประจำตัว เมื่อนั้นเธอจึงตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมศัตรู
“ข้าไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!!! มันอยู่ที่ไหนกัน!!”ฉับพลันพื้นน้ำแข็งก็พุ่งขึ้นมาเป็นหนามแหลมคมทิ่มแทงอีกฝ่ายจนลงไปนอนเจ็บกันหลายคน ก่อนร่างเบื้องหน้าของคนทั้งสองจะปรากฏขึ้น
“เจ้ามนุษย์หน้าโง่ ทำไมจึงมาอยู่ที่แห่งนี้กัน เจ้ามันไม่ใช่แม้แต่ยูกิอนนะด้วยซ้ำ”คิโยะฮิเมะหัวเราะออกมา
“ข้าก็ไม่อยากเป็นปิศาจอยู่แล้ว”ทวนนั้นฟาดฟันอีกฝ่ายอย่างทะมัดทะแมง แต่ทั้งสองเองก็พยายามหลอกล่อให้อาโอะยูกิ หลงกล
แต่ด้วยจิตใจอันแน่วแน่เธอยังคงรักษาระยะห่างระหว่างตัวของเธอกับปิศาจทั้งสองอย่างไม่เพลี่ยงพล้ำนัก
“อะไรกัน?
ข้าจะไม่เข้าไปนะ จนกว่าเจ้าจะสู้กับลูกสมุนของข้าได้จนหมด”คุโระเฮะบิกล่าวด้วยความยียวน ทว่าทันใดนั้นร่างหนึ่งได้ลงมาข้างเธอ
“ท่านอาโอะยูกิขอรับ ข้ามาช่วยท่านแล้ว”ทาโร่กล่าวและสู้กับปิศาจอย่างรวดเร็วด้วยอย่างไม่คณามือ
“เจ้ามาได้อย่างไรทาโร่”เธอถามขึ้นแต่ดวงตายังจับจ้องที่อีกฝ่าย
“ข้าขอท่านไดกิมาขอรับ”เธอยิ้มมุมปากออกมาเมื่อได้ฟัง
"แล้วเจ้านั่นก็ให้น่ะหรอ? ตลกชะมัด”เธอกล่าว รีบรีบประชิดอีกฝ่าย คุโระเฮะบิรีบชักดาบออกมารับอย่างแม่นยำ ใบมีดทั้งสองฝ่ายที่ปะทะกันนั้นเกิดประกายไฟขึ้นมา ส่วนคิโยะฮิเมะรีบตรงเข้าหาเธอในทันที
“เจ้านี่เอง ต้นเหตุเรื่องราวในวันนั้น….”หญิงผมสั้นสีดำขลับคลับ กัดฟันกรอด ก่อนจะคำรามออกมา ฉับพลันฝ่ามือของเธอก็มีแท่งน้ำแข็งปลายแหลม ชี้ไปที่อีกฝ่ายพอดิบพอดี ก่อนจะพุ่งเข้าหาปิศาจสาวนั้น จนกระทั่งเธอได้รับบาดเจ็บ จากนั้นอาโอะยูกิจึงรีบใช้ทวนฟาดฟันชายเบื้องหน้าจนเขาล่าถอยไป
“ไม่เห็นจะเก่งเหมือนที่ทำกับมนุษย์เลย!!”ร่างบางทะลวงเข้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปาทวนใส่อีกฝ่ายจนทั้งคู่กระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
“บ้าเลือดสิ้นดี!!”คิโยะฮิเมะกล่าว และพุ่งเข้าทำร้ายอีกฝ่ายทันที หญิงสาวที่ไร้อาวุธถูกอีกฝ่ายเข้าประชิดตัวหวังจะพ่นพิษแห่งความตายให้เธอเสีย แต่ทว่ามือเรียวจับคอเสื้อและทุ่มอีกฝ่ายลงกับพื้นอย่างแรง
“คิดจะสู้ระยะประชิดพร้อมใส่เกราะไปด้วยรึ?”ชายผู้นั้นเองก็กลับมาตามตอแยอาโอยูกิไม่เลิก
ไดกิใช้พลังอย่างมากในการดันคมดาบออกจากเขาให้ได้นัก คุโระทสึรุนั้นเก่งกว่าคุโระเฮะบิหลายขุม ในการต่อสู้ด้วยฝีมือ และร่างนั้นจึงหยิบพัดขึ้นมาเมื่อโบกสะบัดเพียงครั้งเดียว คมดาบล่องหนก็ฟันทะล่วงอีกฝ่าย จนเลือดอาบที่แขน ก่อนร่างที่โมโหนั้น จะพุ่งเข้ามาชนเขาอย่างแรงจนกระเด็นไป
“ปีกของข้ากล้าแข็งกว่าของเจ้านัก ลมพายุเพียงนี้ข้าก็รอดมาได้”พูดจบก่อนจะหมุนตัวอย่างรวดเร็วประดุจใบพัด ที่พร้อมจะเฉือนทุกสรรพสิ่งที่อยู่ใกล้ ไดกิเพียงรีบบินขึ้นไปด้านบน และตั้งสมาธิให้ดี ก่อนจะฟาดฟันดาบลงมา
“มุกเก่าๆ ยังจะเล่นอยู่อีกหรือ”เขาหัวเราะออกมา ทว่าไดกิรีบพุ่งลงมาด้วยความเร็วมาที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แรงมหาศาลนั้นทำให้อีกฝ่ายถึงกับคุกเข่าอยู่กับพื้น ไดกิกระหน่ำฟาดใบมีดของตนลงไปอย่างสุดแรง หลายครั้งและรวดเร็วจนกระทั่ง ใบมีดบางของอีกฝ่ายมีรอยร้าวเกิดขึ้น เมื่อนั้นคุโระทสึรุรีบกล่าว
“ขนนกของข้า จงทิ่มแทงอีกฝ่าย!!!”ปีกของเขาได้หายไปสิ้นก่อนขนนกทั้งหมดจะพุ่งไปยังเป้าหมายที่อยู่เบื้องหน้า ไดกิเอื้อมมือออกไปและพยายามใช้แรงลงในการต้านไว้อย่างยากลำบาก จนมือของเขาเริ่มสั่นแต่ขนนกนั้นก็ยังคงพยายามจะทิ่มแทงเข้ามาใส่ให้ได้
“เจ้าบ้าเอ๊ย!!” ไดกิสบถออกมา และตัดสินใจบินทะยานขึ้นฟ้าไปเพื่อหลบการโจมตีให้ได้ ก่อนคุโระทสึรุจะยิ้มเยาะออกมา
“ขนนกเหล็ก หนีไปสิ แต่ไม่ว่ายังไง หนีไปก็เท่านั้น…”เขาแสยะยิ้มออกมาและมั่นใจในฝีมือของตนเอง
ไดกิทะยานไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ และรีบเปลี่ยนทิศทางลมให้พัดลงกับพื้นอย่างแรง เสียจนขนนกรวมทั้งคุโระทสึรุเองทรุดลงนั่งกับพื้นด้วยความหนักของเกราะเหล็กเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี จนร่างของชายหนุ่มนามไดกิจะรีบปักดาบลงมาอย่างสุดตัวใส่ผู้ที่อยู่เบื้องล่างในทันที
“ฉัวะ!!”
ร่างบางยังคงยืนหยัดต่อสู้กับสองคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ลดละกระทั่งคิโยะฮิเมะเป็นฝ่ายเหนื่อยหอบ เพราะเธอไม่ได้เก่งการต่อสู้นัก แต่ก็ใช้พลังทั้งหมดพ่นพิษออกมาเป็นไฟสีฟ้าที่แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่าง อาโอะยูกิเรียกกำแพงน้ำแข็งขึ้นมากั้นได้อย่างทันท่วงที
“น่ารำคาญชะมัด ข้าไม่ยักรู้ว่ายูกิอนนะใช้พลังได้เช่นนี้!!”คุโระเฮียวกล่าวขึ้น
“เช่นนั้นก็จงรู้เสีย!!!”
คุโระเฮะบิไม่รอช้ารีบกระโดดข้ามกำแพงน้ำแข็งไปและตวัดดาบใส่อย่างรวดเร็ว ยูกิอนนะตั้งรับดาบนั้นอย่างทันท่วงที แต่เมื่อเธอไม่ได้เฝ้ากำแพงน้ำแข็งที่ถูกพิษของคิโยะฮิเมะนั้น กำแพงก็พลันละลายอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะแพ้ไม่ได้”เธอเหลือบเห็นแผลบนฝ่ามือด้านซ้ายของอีกฝ่าย ที่เป็นแผลรอยถูกแทงจึงแสยะยิ้มออกมา แท่งน้ำแข็งที่แหลมคมปรากฎขึ้นในมือของเธอ ก่อนจะเอี้ยวตัวหลบดาบนั้นและใช้แท่งน้ำแข็งแทงไปที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ
“อ๊ากกกก!!!”คุโระเฮะบิร้องอย่างโอดโอย ก่อนจะถูกอีกฝ่ายจับทุ่มลงกับพื้นพร้อมกับปลดอาวุธของเขาเสียในทันที ยูกิหยิบมีดสั้นขึ้นมาแต่กลับลังเลใจ
“เจ้าอย่าฆ่าท่านพี่ข้า!!”คิโยะฮิเมะรีบกล่าวขึ้น ก่อนอาโอะยูกิจะลังเลอย่างหนัก
“หึ ทำไมไม่ฆ่าข้าเสียล่ะ เจ้าฆ่าคนไม่ลงรึ? ฮ่าๆ น่าขำสิ้นดี นี่เจ้ากำลังอยู่ในสนามรบนะ”คุโระเฮะบิระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“มนุษย์นี่ช่างขี้กลัวเสียจริง”ฉับพลัน ผู้มีเรือนผมสีขาวได้แปลงกายเป็นงูแล้วเลื้อยหนีไป อาโอะยูกิชะงักไปและรีบถอยออกมาตั้งหลักอยู่ห่างจากเขามากนัก
“ข้ารู้แล้ว….ว่าเจ้ากลัวงู เจ้ามนุษย์น่าโง่ ในเมื่อในสนามรบเจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ก็จงตายเสียตรงนี้ซะ!!!!”งูตัวใหญ่สีดำทมิฬแลบลิ้นสองแฉกออกมาอย่างมีชัย ลำตัวของมันขนาดใหญ่เสียยิ่งกว่ามนุษย์คนหนึ่งเสียอีก ก่อนจะพุ่งเข้าไปทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งในทันทีอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีเหลืองอำพันทอประกายการล่าเหยื่อที่สนุกสนานยิ่งนัก
ความคิดเห็น