คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : In the end
“เวอร์จิล...”สุรเสียงหวานที่คุ้นเคยในวัยเด็กเอ่ยเรียกผะแผ่ว ร่างโปร่งหันไปตามทางของต้นเสียง ภาพทุ่งดอกไม้ที่คุ้นตาในวัยเยาว์ เด็กแฝดหยอกล้อกันก่อนคนที่ท่าทางเงียบขรึมกว่าจะเดินกึ่งวิ่งไปตามเสียงเรียก
“มีอะไรเหรอฮะ คุณแม่”มือนุ่มเนียนลูบไล้ไปตามเรือนผมเงินของเสียงที่ขานรับ ผมสีทองสลวยปลิวไปตามสายลมอ่อน ริมฝีปากอิ่มยกแย้มละมุน
“สัญญากับแม่ได้ไหม...ว่าจะดูแลน้องแทนแม่”เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“คุณแม่จะไปไหน...”มิทันได้เอ่ยจบความ ดวงตากลมโตห้วงสมุทรเบิกกว้างทันทีเมื่อร่างของผู้เป็นมารดาอาบด้วยโลหิตเอนลงซบตน ปีศาจนับร้อยปรากฏขึ้น ทุกสายตาจับจ้องมายังตนและน้องชาย มือที่สั่นเทาวางร่างไร้วิญญาณก่อนเรียวขาเล็กจะออกวิ่งเพื่อหนีการไล่ล่าของปีศาจพลางตะโกนไล่ให้น้องรีบหาที่หลบ แต่มนุษย์หรือจะเทียบเคียงปีศาจ ไม่กี่อึดใจ ร่างของเด็กน้อยถูกตีกรอบรุมล้อมก่อนดึงเข้าสู่อีกห้วงมิติที่เพียงปีศาจเท่านั้น
“อ่ะ...อ่ะ...”บุคคลที่สามผู้มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างทำได้เพียงเปล่งเสียงเบาๆอย่างตื่นตะหนก นัยน์เนตรมหาสมุทรเบิกค้าง หยาดน้ำใสไหลอาบนวลแก้ม‘อดีต’เบื้องหน้ากำลังทำร้ายเขา แขนทั้งสองยกขึ้นโอบกอดตนเองคล้ายต้องการการปลอบโยนตนเอง
“เวอร์จิล...กลัวเหรอลูก...”ครานี้เสียงละมุนนั้นดังจากด้านหลังของเวอร์จิล ก่อนสัมผัสอบอุ่นจะโอบอุ้มร่างที่สั่นเทา เวอร์จิลทำได้เพียงตอบรับสัมผัสนั้นทั้งน้ำตาอาบหน้า
“มันเป็นบาปเวอร์จิล...บาปที่พ่อและแม่สร้างขึ้น...”เธอกอดเวอร์จิลแน่นขึ้น
“...”
“ได้โปรด...แม่ไม่อยากเห็นลูกของแม่...เป็นแบบนี้”สิ้นคำ ร่างของหญิงสาวค่อยๆจางหายไปทิ้งไว้เพียงกลีบดอกไม้สีอ่อนก่อนมันจะปลิวหายไปกับสายลม
“ไม่ต้องห่วง...ข้าเองก็ตั้งใจจะให้ทุกอย่างจบตั้งแต่แรกแล้ว...”
“อ๊าก!!!!!” เสียงคำรามอย่างเจ็บปวดดังขึ้นพร้อมเสียงบางอย่ากระทบกับพื้นอย่างรุนแรง ดวงหน้าคมมองร่างที่พยายามปลิดชีพตนอย่างปวดร้าว มือข้างที่เว้นว่างจากคมดาบยกขึ้นกุมแผลฉกรรจ์อันเกิดจากคนที่เขารักก่อนขายาวจะค่อยๆยันตัวขึ้นตั้งรับดาบที่ฟาดฟันลงมาอีกครั้ง
“มีฝีมือเพียงเท่านี้เองหรือ?”เสียงแหบพร่าที่ทรงอำนาจเอ่ยอย่างเหยียดหยาม
“เฮอะ!ตาแก่อย่างแกน่ะหุบปากไปซะ!!”ดันเต้คำรามเสียงดัง ก่อนเสียงหัวเราะน่าสะอิดสะเอียนจะดังก้อง
“เลิกเล่นเสียที...เวอร์จิล...”พลันรังสีอำมหิตแผ่ซ่านทั่วเรือนร่างสีหมนแต้มลวดลายแห่งมนตร์ ร่างนั้นก้มต่ำเล็กน้อย ก่อนเหยียดดาบวิ่งตรงเข้าหาผู้เป็นน้องในทันที ร่างแกร่งยกดาบขึ้นตั้งรับในทันทีโดยหวังเพียงปัดอาวุธของคู่ต่อสู้ทิ้งเพื่อให้ฝ่ายนั้นสิ้นฤทธิ์ไปบ้าง...หากแต่...
!!!!
นัยน์ตาเรียวยาวสีครามใสเบิ่งกว้าง ใบหน้าคมเข้มที่เหนื่อยแรงจากการต่อสู้อันยาวนานนั้นซีดเผือดกับภาพเบื้องหน้า โลหะคมยาวสีเงินเสียบแทงทะลุกลางลำตัวของคนเบื้องหน้า...คนที่ตนต้องการปกป้องตลอดมา และยิ่งเบิกกว้างยิ่งขึ้น เมื่อมือเรียวบางของคนแฝดคนข้างหน้ากำลังยื่นมาจับที่มือของตนและดึงคมดาบนั้นเข้ามาตัวเองลึกขึ้นอีก บาดแผลฉีกกว้างราวกับจะฉีกเรือนร่างนั้นเป็นสองซีก โลหิตอาบเคลื่อนจากหน้าท้องไหลรินสู่หน้าขาลงสู่พื้นดิน ฉาบย้อมพื้นซีเมนท์ขาวหยาบเป็นสีชาด
“เวอร์จิล...” เสียงทุ้มที่มักอาบด้วยสำเนียงหยอกล้อ บัดนี้แห้งแหบด้วยความรู้สึกมากมายเคลื่อนมาจุกเสียดที่คอ มือกร้านกำลังสั่นระริกราวไร้การควบคุม
เจ้าของหยาดชาดแดงฉานส่งยิ้มจางบางๆให้ผู้เป็นน้อง มือเรียวกุมด้ามดาบแน่นก่อนดึงกกระชากเรือนดาบที่ปักลึกกลางลำตัวออก ก่อนเอนซบอย่างไร้เรี่ยวแรงบนไหล่ผู้อยู่ใกล้ๆและกระซิบแผ่วหวิว“...เป็นอะไรอีก...เจ้าเด็กบ้า...”
“นาย...?” น้ำเสียงสงสัยเอ่ยขึ้น
“เจ็บจริงๆ...ข้าจะบัญชีกับเจ้าทีหลัง...ดันเต้” เสียงหยอกเอินที่ติดนิ่งเรียบเล็กน้อยเอ่ยพร้อมหัวเราะเบาๆในลำคอ แม้เป็นคำพูดคาดโทษแต่กลับให้ความรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด แขนแข็งแกร่งรวบโอบร่างโปร่งบางแน่นเหมือนอยากตรวจเช็คความแน่ใจของตนเองว่า....ข้างหน้าคือของจริง แต่ดูจะแน่นไปหน่อยแฝดคนพี่ครางเบาๆในลำคอคล้ายร้องเตือนถึงความเจ็บปวด
“นี่...เวอร์จิล”
“...?...!!!!” ร่างที่ถูกเรียกชื่อถูกยกขึ้นสูงสู่อ้อมอกของคนน้อง ขายาวๆสาวก้าวยาวยังมุมหนึ่งหลังเสาต้นที่หักแตก มือข้างหนึ่งโรยลงเพื่อวางตัวในคนถูกอุ้มทรงตัวได้แล้วค่อยพยุงให้นั่งพิงกับหินเย็น เขาถอดเสื้อคลุมเสื้อแดงออก สะบัดเล็กน้อยก่อนคลุมไหล่อีกฝ่ายไว้
“รอตรงนี้” ดวงตาที่เคยสั่นไหวจ้องมาตรงๆ ไม่มีแววหลอกล้อ มีเพียงความเศร้าหมองและโกรธแค้นเคลือบประกายในดวงตา
เวอร์จิลหลุบตาต่ำใช้ความคิดก่อนพยักหน้าเบาๆ สัมผัสอุ่นๆประทับที่หน้าผากก่อนรอยยิ้มเหมือนเด็กๆปรากฎให้เห็นแล้วเจ้าของรอยยิ้มก็หันตัวไปหาอริที่นั่งสบายเฉิบ
“สนุกไหม? การฆ่าพี่ชายตัวเองอีกครั้งน่ะ ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงปีศาจหัวเราะก้องประสานกันอย่างน่าสยดสยองเป็นลูกรับเสียงหัวเราะของราชันย์แห่งตน เสียงกึกก้องย้อมราตรีนี้เป็นฝันร้าย
ปีศาจมากมายผุดขึ้นรอบๆตัวดันเต้ที่ก้าวเดินมาที่ตัวหัวหน้า พวกมันกระโดดโจมตีเป้าหมายในทันที เคียวยาวที่หมายดึงกระชากเลือดเนื้อกระเด็นไกลด้วยลูกปืน แล้วดาบยาวที่สะบัดเป็นวงกว้างส่งมันเป็นฝุ่นธุลีอีกครั้ง มือแกร่งควงปืนคู่ใจไปมาก่อนกระสุนนับร้อยจะวิ่งตรงจัดการพวกที่ก่อกวน ดันเต้หยุดจ้องร่างชรานั่นก่อนยื่นคมดาบชี้ท้าทาย “ฉันจะตอบแทนปาร์ตี้ห่วยๆให้เอง”
ดวงตาสีอ่อนด้วยชราภาพจ้องมองศัตรูตัวน้อยก่อนหัวเราะดังลั่นเหมือนเป็นเรื่องขบขัน ก่อนร่างนั้นจะขยายใหญ่ขึ้น สูงเสียจนเกือบทะลุฝ้าเพดานที่สลักเหลาด้วยรูปเทวทูตกำลังร่วงจากสวรรค์ นัยน์ตาสีทองจดจ้องเป็นเชิงท้าทายก่อนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ความชั่วร้ายปกคลุมแสงจันทรา ฉาบนภาเป็นสีธาตรี ไม่รอช้าเจ้าของดาบโลหะตวัดเหวี่ยงโลหะที่เปื้อนเลือดก่อนจะพุ่งเข้าจัดการอริอันน่ารังเกียจเบื้องหน้า
เวอร์จิลชำเลืองมองภาพเบื้องหน้า เสียงฟาดฟันดังกังวานไปทั่ว เสียงเฉือดของเนื้อ โลหะกระทบกระทั่ง อิฐปูนที่โรยหล่น วิญญาณพากันโหยหวนทุกคราเมื่อราชันย์ของตนต้องคมดาบและกู่ร้องเมื่อผู้เผชิญหน้าพลาดพลั้ง มือเรียวบางกระชับเสื้อคลุมไว้แน่น กลีบปากแย้มยิ้มจางๆ แต่นัยน์ตานั้นเศร้าหม่นเหมือนสะท้อนคำภาวนาของผู้ที่...จะจากลา
“ท่านเวอร์จิล” เสียงร้องแผ่วหวิวสะท้อนเบาในความมืด ร่างแมวน้อยสีดำกำลังเดินโซซัดโซเซมาหาผู้เป็นนาย
“เจ้า...มานี่สิ” เวอร์จิลส่งเสียงเรียกเบาๆ เมื่อเจ้าแมวน้อยเดินลากสังขารมาถึงที่มือเรียวค่อยอุ้มประคองมันขึ้นแนบอกพลางลูบไล้ไปตามลำตัวช้าๆ
“ท่านเวอร์จิล” ร่างในอุ้งมือนั้นช่างเบาหวิวราวกับขนนก
“เจ้าเดียวดาย...มาตลอด...เหมือนข้า” ดวงตากลมโตสีแดงจ้องมองเนตรครามใสไม่ละสายตา
“ข้าลืมเจ้าไว้ที่นั่น...ดินแดนที่ข้าเสียความเป็นคนไป...ดินแดนที่พรากข้าจากทุกสิ่ง” บางกำลังสะกิดให้หยาดน้ำตาของแมวหลั่งรินชะล้างคราบเลือดของผู้โอบอุ้ม
“กลับมาเถอะ...กลับมาที่ของเจ้า” รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฎราวจะปลอบประโลมร่างในอุ้งมือที่สะอึกสะอื้นร่ำเรียกชื่อตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันสะบัดหัวเช็ดคราบน้ำตาของตนก่อนเรือนร่างนั้นจะเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนเรืองลาง
“ตอนนี้ท่านสมเป็นบุตรแห่งสปาร์ด้า...ไม่สิ ท่านเหมาะจะสร้างตำนานด้วยของท่านมากกว่านะฮะ”
“อืม”
“ขอบคุณนะฮะ” สิ้นคำเอ่ยสุดท้าย ร่างน้อยค่อยๆจางหายราวกับถูกดูดกลืนเข้าร่างที่โอบอุ้มมัน
...ท่านเข้าใจในความแตกต่างระหว่างท่าน ท่านดันเต้ กับท่านพ่อแล้วสินะฮะ...
มือที่เคยโอบอุ้มเจ้าขนปุกยกขึ้นทาบอก เสียงแผ่วหวานกระซิบกับสายลมอ่อน “จิตใจ...ที่อยากปกป้องใครสักคน...งั้นเหรอ...” ดวงตาสีมหาสมุทรก้มมองต่ำพลางคลี่ยิ้มจางๆ ...นั่นสินะ...
“อ๊าก!!!!!!!!” เสียงของปีศาจคำรามลั่นอย่างเจ็บปวดก่อนวัตถุขนาดใหญ่จะล้มลงกระทบพื้นดังกึกก้อง
“โทษที มาช้าไปนิด” เจ้าของเสียงทุ้มที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นในโสตประสาท ใบหน้าคมหล่อเปื้อนเลือดพร้อมรอยยิ้มเหยียดน่าหมั่นไส้อันเป็นเอกลักษณ์ ดันเต้สะบัดที่อาบเลือดก่อนเก็บขึ้นพาดหลังอย่างเก็กๆเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนที่มองดู
“อะไร? ไม่เท่เหรอไง?” ผู้เป็นน้องย่อตัวลงมาในระดับเดียวกันพลางทำจมูกย่น
“ข้าว่ามันดูทุเรศ” แม้เป็นคำเสียดสีแบบเมื่อวันวาน แต่ในน้ำเสียงนั้นเจือด้วยความอบอุ่น รอยยิ้มกว้างปรากฎขึ้นแทบจะทันที
“แผลยังไม่หายอีกเหรอ?” สายตาคมจ้องมองไม่ยังแผลกลางลำตัวที่หายช้ากว่าที่ควรเป็น คิ้วขมวดกันอย่างใช้ความคิด ใบหน้าคมยื่นไปหวังจะมอบพลังของตนเพื่อช่วยในการฟื้นฟูแต่ร่างที่บาดเจ็บสะบัดหน้าหนี
“อืม...” แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยแต่ความสับสนในดวงตาคู่นั้นยิ่งทำให้ดันเต้รู้สึกหวาดใจ มือแกร่งยกขึ้นกอบกุมมือที่จับเสื้อคลุมของตนเข้าแน่น
“กลับบ้าน...กันเถอะ” เสียงทุ้มอ่อนโยนเอ่ยพลางบีบมือของอีกฝ่ายเบาๆพลางจดจ้องราวจะวอนขอ
“อ่ะ...อืม” เสียงบางแผ่วเอ่ยเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่รอยยิ้มจางๆที่ส่งให้อีกฝ่ายเป็นหลักฐานความเต็มใจ ท่าทางนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างๆให้กับเจ้าตัวแสบ ดันเต้ค่อยๆประคองร่างที่หมดแรงช้าๆ เสื้อคลุมอาบเลือดห่อเรือนร่างที่ไม่ว่าอิริบาบถใดก็ดูบอบบางในสายตาร่างแกร่งก่อนยกขึ้นอุ้มแนบอก เรียวขายาวค่อยๆก้าวเดินอย่างช้าๆเพราะกลัวร่างที่บาดเจ็บจะบอบช้ำมากกว่านี้ แม้ในตอนแรกสุดร่างที่ถูกอุ้มจะแอบดิ้นขัดขืนเล็กน้อย แต่ไม่นานก็นิ่งลงด้วยพิษบาดแผล ทำเอาคนอุ้มหัวเราะน้อยๆอย่างเอ็นดู หน้าบูดบึ้งดูไม่สบอารมณ์ที่พยายามเก็บซ่อนความเขินอายใต้ใบหน้าเรียบเฉยยิ่งกระตุ้นให้คนน้องอยากแกล้งมากกว่าด้วยซ้ำ
“อ่า...เวอร์จิล”
“?”
“ฉันว่า...ฉันชอบนาย” สิ้นคำเอ่ย ร่างสูงรีบสะบัดหน้าคล้ายจะหลบสายตาที่จ้องมอง
“....................อืม...ข้าก็ไม่รังเกียจเจ้ามากนัก” เสียงนิ่งเรียบแต่จริงจัง จริงจังเสียจนทำเอาคนที่พูดประโยคน่าอายเสียศูนย์ไปหลายวิ เขาถอนหายใจก่อนกดเสียงต่ำอย่างเซ็งๆ
“ไม่ใช่แบบนั้น...ชั้นน่ะ!”
“น่าผิดหวังจริงๆ” เสียงแก่ชราที่น่าจะตายไปแล้วดังกึกก้องอีกครั้งโดยไม่รู้ที่มา ร่างสูงโอบกอดคนในอ้อมอกแน่นขึ้นอย่างลืมตัว
“นึกว่าจะได้อะไรที่ดีกว่านี้เสียอีก...น่าผิดหวัง...น่าผิดหวัง”
“หุบปากไปเลย! ปาร์ตี้จบแล้วตาแก่! หรืออยากได้บุฟเฟต์ชุดใหญ่? โผล่หัวออกมาสิ! จะได้เริ่ม...อั๊ก!!” ไม่ทันครบความ แรงกระแทกมหาศาลผลักร่างสูงจากมุมห้องหนึ่งสู่อีกมุมห้องหนึ่ง ฝุ่นปูนคละคลุ้งฟุ้งกระจาย ผนังที่รับน้ำหนักร่างที่กระเด็นมานั้นแตกร้าว ดันเต้กร่นไอก่อนถ่มโลหิตลงสู่พื้น ใบหน้าคมหล่อแสดงอาการเจ็บปวดเล็กน้อยก่อนเบิกตากว้างเมื่อพบร่างในอ้อมแขนหายไป
“งดงาม...เจ้าในตอนนี้เหมาะแล้วที่จะเป็นของข้า พลังของพ่อเจ้ามาขวางข้าไม่ได้แล้ว”
เรือนร่างโชกเลือดลอยคว้างกลางอากาศกำลังสั่นระริก นัยน์ตาห้วงสมุทรเบิกกว้าง หยาดน้ำใสหลั่งรินไม่หยุดก่อนมันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ริมฝีปากบางห้อเลือกกำลังอ้าค้างเหมือนพยายามเค้นเอาความเจ็บปวดออกมาแต่ไม่ได้ ได้แต่ร่ำร้องอ้อนวอนอย่างเงียบงัน ไม่นานนักร่างนั้นก็หลุดเคลื่อนไหว แผ่นหลังกำลังมีอะไรดันแผ่นผิวเนื้อมนุษย์จนฉีกริ้วเป็นรอยยาว...ปีกสีดำ
“เวอร์จิล!” ดันเต้พยายามเอื้อมมือขึ้นไขว่ขว้า ทั้งก้าวกระโดดหรืออะไรก็ตามที่ทำได้ แต่ก็ไร้ค่ายิ่งพยายาม ยิ่งไกลออกไป ที่ทำได้ก็แค่มองและสบถกร่นด่าตัวเอง
“ดัน...ดันเต้” เสียงแผ่วเบาเอ่ยเรียกช้าๆเนิบนาบ
“เวอร์จิล! ลงมาเถอะ!” ร่างบางยิ้มจางก่อนส่ายหัว ใช่...แค่ขยับปากพูดยังยาก
“ฟังข้า...ดันเต้ ผนึกของข้าตกอยุ่ที่โลกปีศาจ...กับตาแก่ชั่วนั่น...ไปเอากลับเสีย พลังของเจ้าตอนนี้ไม่พอจะชนะมันได้” พูดจบร่างบางนั้นรู้สึกได้มิติที่ถูกเปิดออกและกำลังดึงร่างของตนเข้าไป...
“เวอร์จิล...ได้โปรด...” เสียงเครือแหบที่เว้าวอนสร้างหยาดน้ำตาอุ่นไหลบนใบหน้าของผู้เป็นพี่ที่กำลังส่งยิ้มให้ ยิ้มที่อบอุ่นแต่เศร้าหม่น
“ดันเต้...” ร่างนั้นเหลือปรากฏเพียงใบหน้า
“ข้า...รักเจ้า”
สิ้นคำเอ่ยนั้นทุกอย่างเหลือเพียงชายคนเดียวบนซากปรักหักพัง แสงจันทราค่อยๆสาดส่องอีกครั้ง แสงนวลอ่อนคลอเคลียใบหน้าที่ก้มมองพื้นคล้ายจะปลอบโยนด้วยอาลัย มือแกร่งกุมเสื้อคลุมที่เปื้อนเลือดไว้แน่น ไร้เสียงใดๆในวินาทีนี้ เสียงหยาดน้ำเท่านั้นที่ตกกระทบพื้น...น้ำในตา
“หึ...เล่นแบบนี้เลยเหรอ...พี่ชาย” ไม่สามารถ...ไม่สามารถกลบได้...เสียงที่จะพยายามเสแสร้งว่าไม่รู้สึกนั้นสั่นเครือ บุรุษที่ฟาดฟันปีศาจมากมายกำลังสับสน ความรู้สึกมากมายจุกย้อนไปมาสับสน...เจ็บปวด
“ฉันรักนาย! ฉันรักนายมากเวอร์จิล!! ได้ยินไหม!!!!!! ฉันรักนาย!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงตะโกนที่กึกก้องก่อนอสูรหนุ่มจะคำรามร้องอย่างสุดเสียงภายใต้นภาที่เขาต้องเปล่าเปลี่ยวคนเดียว...อีกครั้ง
...แม้แต่คำว่ารัก...ฉันยังบอกนายไม่ได้เลย...
Total Result - DMC3 ending
ความคิดเห็น