คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : โวหารที่ใช้ในงานเขียน
โวหารที่ใช้ในการเขียนสารคดีประกอบด้วยโวหาร 5 โวหารด้วยกันคือ
1. บรรยายโวหาร
2. พรรณนาโวหาร
3. เทศนาโวหาร
4. สาธกโวหาร
5. อุปมาโวหาร
1. บรรยายโวหาร คือ โวหารที่ใช้เล่าเรื่อง หรืออธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ตามลำดับเหตุการณ์ การเขียนบรรยายโวหารจะมุ่งความชัดเจน เขียน ตรงไปตรงมา รวบรัด กล่าวถึงแต่สาระสำคัญไม่จำเป็นต้องมีพลความ หรือความปลีกย่อยเสริม ในการเขียนทั่ว ๆ ไปมักใช้บรรยายโวหาร เพราะเหมาะในการติดต่อสื่อสารเนื่องจากสำนวนประเภทนี้มุ่งสาระเขียนอย่างสั้น ๆ ได้ความชัดเจน งานเขียนที่ควรใช้บรรยายโวหาร ได้แก่ การเขียนอธิบายประเภทต่าง ๆเช่น เขียนรายงานวิทยานิพนธ์ ตำรา บทความ การเขียนเพื่อเล่าเรื่อง เช่น บันทึก จดหมายเหตุ การเขียนเพื่อแสดงความคิดเห็นประเภทบทความเชิงวิจารณ์ ข่าว เป็นต้น
2. พรรณนาโวหาร มีจุดมุ่งหมายในการเขียนต่างจากบรรยายโวหาร คือ มุ่งในเรื่องของความแจ่มแจ้งละเอียดลออ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ซาบซึ้งเพลิดเพลินไปกับข้อความนั้นและเห็นภาพได้ชัดเจน การเขียนพรรณนาโวหารจึงยาวกว่าบรรยายโวหารมาก แต่ไม่ใช่การเขียนแบบเยิ่นเย้อ เพราะพรรณนาโวหารจะมุ่งให้ภาพ และอารมณ์ ดังนั้นจึงมักใช้การเล่นคำ เล่นเสียง การใช้ภาพพจน์ และถึงแม้ว่าเนื้อความที่เขียนจะน้อยแต่ก็จะเต็มด้วยสำนวนโวหารที่ไพเราะ เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพได้
3. เทศนาโวหาร หมายถึง โวหารที่มีจุดหมายแสดงความแจ่มแจ้งเพื่อให้ผู้อ่านคล้อยตามหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการชักจูงให้ผู้อ่านคิดเห็นหรือคล้อยตามความคิดเห็นของผู้เขียน เทศนาโวหารจึงยากกว่าบรรยายโวหารและพรรณนา เพราะเทศนาต้องใช้กลวิธีในการชักจูงใจ
4. สาธกโวหาร หมายถึง โวหารที่มุ่งให้เห็นความชัดเจน โดยการยกตัวอย่างเพื่ออธิบายให้แจ่มแจ้งหรือสนับสนุนความคิดเห็นที่เสนอให้มีความหนักแน่น น่าเชื่อถือ สาธกโวหารเป็นโวหารเสริมของบรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร การเลือกยกตัวอย่างนั้นควรเลือกให้เข้ากับเนื้อความ อาจยกตัวอย่างสั้น ๆ ในบรรยายโวหารหรืออาจยกตัวอย่างที่มีรายละเอียดประกอบในพรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร เป็นต้น
5. อุปมาโวหาร หมายถึง โวหารเปรียบเทียบ โดยการยกตัวอย่าง สิ่งที่คล้ายคลึงกันมาเปรียบเพื่อให้เกิดความชัดเจนด้านความหมาย ด้านภาพ และเกิดอารมณ์ ความรู้สึกมากยิ่งขึ้น อุปมาโวหารนั้นใช้เป็นโวหารเสริมของบรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร เพื่อให้เกิดความชัดเจนน่าอ่านโดยอาจเปรียบเทียบอย่างสั้น ๆ หรือเปรียบเทียบอย่างละเอียดก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปมาโวหารนั้นจะนำไปเสริมโวหารประเภทใด อุปมาโวหารนี้อาจเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า “โวหารภาพพจน์” ซึ่งสามารถแบ่งออกมาได้เป็น 8 ประเภท ได้แก่
5.1 อุปมา
อุปมา คือ การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่งโดยใช้คำเชื่อมที่มีความหมายเช่นเดียวกับ คำว่า "เหมือน" เช่น ดุจ ดั่ง ราว ราวกับ เปรียบ ประดุจ เฉก เล่ห์ ปาน ประหนึ่ง เพียง พ่าง ปูน เป็นต้น
ตัวอย่าง
§ ปัญญาประดุจดังอาวุธ
§ ไพเราะกังวานปานเสียงนกร้อง
§ ท่าทางหล่อนราวกับนางพญา
5.2 อุปลักษณ์
อุปลักษณ์ ก็คล้ายกับอุปมาโวหารคือเป็นการเปรียบเทียบเหมือนกัน แต่เป็นการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง อุปลักษณ์จะไม่กล่าวโดยตรงเหมือนอุปมา แต่ใช้วิธีกล่าวเป็นนัยให้เข้าใจเอาเอง แบะอุปลักษณ์นี้จะไม่มีคำเชื่อมเหมือนอุปมา
ตัวอย่าง
§ ขอเป็นเกือกทองรองบาทา ไปจนกว่าชีวันจะบรรลัย
§ ทหารเป็นรั้วของชาติ
§ เธอคือดอกฟ้าแต่ฉันนั้นคือหมาวัด
5.3 ปฏิพากย์
ปฏิพากย์ คือการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายตรงกันข้าม หรือขัดแย้งกันมากล่าว อย่างกลมกลืนกันเพื่อเพิ่มความหมายให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่าง
§ เลวบริสุทธิ์
§ บาปบริสุทธิ์
§ สวยอย่างร้ายกาจ
5.4 อธิพจน์
อธิพจน์ คือโวหารที่กล่าวเกินความจริง เพื่อเน้นความรู้สึก ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ภาพพจน์ชนิดนี้นิยมใช้กันมากแม้ในภาษาพูด เพราะเป็นการกล่าวที่ทำให้เห็นภาพได้ง่ายและแสดงความรู้สึกของกวีได้อย่างชัดเจน
ตัวอย่าง
§ คิดถึงใจจะขาด
§ คอแห้งเป็นผง
§ ร้อนตับจะแตก
5.5 บุคลาธิษฐาน
บุคลาธิษฐานหรือบุคคลวัต คือ การกล่าวถึงสิ่งต่างๆที่ไม่มีชีวิต ไม่มีความคิด ไม่มีวิญญาณ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ อิฐ ปูน หรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น ต้นไม้ สัตว์ โดยให้สิ่งต่างๆเหล่านี้แสดงกิริยาอาการและความรู้สึกได้เหมือนมนุษย์ (บุคลาธิษฐานมาจากคำว่าบุคคล + อธิษฐาน หมายถึง อธิษฐานให้กลายเป็นบุคคล)
ตัวอย่าง
มองซิ..มองทะเล เห็นลมคลื่นเห่จูบหิน
บางครั้งมันบ้าบิ่น กระแทกหินดังครืนครืน
ทะเลไม่เคยหลับไหล ใครตอบได้ไหมไฉนจึงตื่น
บางครั้งยังสะอื้น ทะเลมันตื่นอยู่ร่ำไป
5.6 สัญลักษณ์
สัญลักษณ์ เป็นการเรียกชื่อสิ่งๆหนึ่งโดยใช้คำอื่นมาแทน ไม่เรียกตรงๆ ส่วนใหญ่คำที่นำมาแทนจะเป็นคำที่เกิดจากการเปรียบเทียบและตีความ ซึ่งใช้กันมานานจนเป็นที่เข้าใจและรู้จักกันโดยทั่วไป
ตัวอย่าง
§ เมฆหมอก แทน อุปสรรค
§ สีดำ แทน ความตาย ความชั่วร้าย
§ สีขาว แทน ความบริสุทธิ์
§ กุหลาบแดง แทน ความรัก
5.7 นามนัย
นามนัย คือการใช้คำหรือวลีซึ่งบ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่ง คล้ายๆสัญลักษณ์ แต่ต่างกันตรงที่ นามนัยนั้นจะดึงเอาลักษณะบางส่วนของสิ่งหนึ่งมากล่าว ให้หมายถึงส่วนทั้งหมด
ตัวอย่าง
§ เมืองโอ่ง หมายถึง จังหวัดราชบุรี
§ เมืองย่าโม หมายถึง จังหวัดนครราชสีมา
§ ทีมเสือเหลือง หมายถึง ทีมมาเลเซีย
§ ทีมกังหันลม หมายถึง ทีมเนเธอร์แลนด์
5.8 สัทพจน์
สัทพจน์ หมายถึงภาพพจน์ที่เลียนเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงดนตรี เสียงสัตว์ เสียงคลื่น เสียงลม เสียงฝนตก เสียงน้ำไหล ฯลฯ การใช้ภาพพจน์ประเภทนี้จะทำให้เหมือนได้ยินเสียงนั้นจริง ๆ
ตัวอย่าง
§ ลุกนกร้องจิ๊บๆๆ
§ ลูกแมวร้องเหมียว ๆ ๆ
§ เปรี้ยง ๆ ดังเสียงฟ้าฟาด
§ ตะแลกแต๊กแต๊กตะแลกแต๊กแต๊ก กระเดื่องดังแทรกสำรวลสรวลสันต์
§ คลื่นซัดครืนครืนซ่าที่ผาแดง
ความคิดเห็น