ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อย่ๅนึกร้องไห้ถ้าได้อ่ๅน

    ลำดับตอนที่ #8 : กล่องข้าวที่หายไป

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ย. 49



                     ผมนำ "กล่องข้าว" ไปกินที่โรงเรียนครั้งแรกตอน ม.1 เหตุผลสำคัญจริงๆ ก็คือทำตามเพื่อน ในชั้นเรียนนั้นมีเพื่อนนำอาหารมากินตอนพักเที่ยงกันกว่าครึ่งห้อง ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง มีทั้งที่ใส่ปิ่นโต ใส่กล่อง และบางคนใส่ห่อมาก็มี เมื่อถึงเวลาพักก็เอามาแลกเปลี่ยนแบ่งปันกันกิน ถามเพื่อนว่าทำไมเอาข้าวมากิน ส่วนใหญ่บอกว่าซื้อกินเองแพง ไม่มีเงินพอ บางคนบอกว่าอาหารที่โรงอาหารไม่อร่อย กินของแม่อร่อยกว่า เลยนำอาหารที่บ้านมาเองและบางคนเห็นเพื่อนกินข้าวกล่องกันเยอะๆ ดูแล้วสนุกดีแถมบางคนก็เป็นเพื่อนสนิท ไม่อยากจะแยกกัน ก็เลยเอามากินเป็น เพื่อนด้วย
                 ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มหลังนี้ ที่บ้านมีปิ่นโตอยู่แล้ว แต่ผมไม่สะดวกกับการหิ้วปิ่นโต เพราะบ้านอยู่ต่างอำเภอ ขณะที่โรงเรียนอยู่ในตัวจังหวัด ถ้าต้องหิ้วปิ่นโตและโหนรถสองแถวด้วยคงลำบาก
    .              แม่จึงซื้อกล่องข้าวอันใหม่ให้จำได้ว่าเป็นกล่องสีฟ้า ข้างในนอกจากมีพื้นที่ใส่ข้าวแล้วยังแบ่งเป็นช่องเล็กๆ ใส่อาหารได้ ถึง 3ช่อง สำหรับบางคน การห่อข้าวเป็นความสะดวกและเรียบง่าย แต่กับผมไม่ใช่เพราะที่บ้านปกติ จะซื้ออาหารสำเร็จมาทาน เนื่องจากแม่ผมไม่ค่อยแข็งแรง ไม่สบายด้วยโรคมากมายรุมเร้า ทั้งโรคหัวใจ โรคความดัน โรคอ้วน และไขมันในเส้นเลือดสูง แต่ผมไม่อยากจะซื้อแกงถุงสำเร็จรูปเพราะธรรมเนียมของการกิน ข้าวกล่องที่โรงเรียน คือ ต้องเป็นอาหารที่ทำมาจากบ้าน มีการชื่นชมและอวดฝีมือของแม่ๆ กัน ถ้าซื้อแกงไปก็เสียฟอร์ม
    เมื่อผมบอกแม่ว่าอยากได้อาหารที่แม่ทำเองไ ปอวดให้เพื่อนเห็น ฝีมือบ้าง ท่านก็ยิ้มรับคำ
                 จากนั้นทุกเช้าแม่จะต้องฝืนสังขารลุกขึ้นมาหุงข้าวเตรียม อาหารให้ปัญหาต่อมาคือตอนเด็กๆ ผมไม่กินผัก และไม่กินพวกไข่ต้ม ไข่ เจียวแม่จึงต้องทอดไก่ ทอดเนื้อหรือทำแกงต่างๆ ให้ ซื่งต้องใช้เวลา และขั้นตอนต่างๆ นานพอสมควรแต่กระนั้น ทุกเช้า "กล่องข้าวสีฟ้า" ของผม ก็ถูกเตรียมพร้อมไว้ เรียบร้อยเสมอ
                   แต่แล้วกินข้าวกล่องอยู่ได้ไม่นานนักผมก็ล้มเลิกโครงการนี้ เพราะรู้สึกอึดอัดกับคำถามแลสายตาของคนรอบข้างเพราะเริ่มเป็น วัยรุ่น จึงอายที่จะถูกมองว่าเป็นเด็กที่ห่อข้าวมากินเพราะความยากจน เมื่อกลับมาบอกยกเลิกที่บ้าน โดยบอกเหตุผลว่าอายเพื่อนนั้น แทนที่แม่จะโล่งใจเพราะไม่ต้องเหนี่อยอีก ท่านกลับอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา และจากวันนั้นมา ผมก็ไม่สนใจอีกว่าแม่จะเก็บกล่องข้าวสีฟ้าไว้ที่ไหน

                  แม่ตายตอนผมเรียน ม.6 ไม่ทันอยู่จนเห็นผมเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ทำงาน และมีครอบครัว ตามที่ท่านอยากจะเห็น  เราย้ายบ้านอีกหลายครั้ง ทั้งข้าวของและคนในครอบครัว เริ่มกระจัดกระจายพลัดพรากกันไป ไม่ใช่แต่เพียงกล่องข้าวใบนั้นหรอกที่หายไป ความทรงจำหลายอย่างก็สลายสูญ ขณะที่ชีวิตของผมก็ต้องดำเนินต่อไป .............. 
             สองสามเดือนมานี้ ผมเริ่มทดลองที่นำอาหารจากบ้านใส่กล่องไปทานที่ทำงาน ตอนพักเที่ยงแล้วก็ได้พบว่านอกจากจะได้ทานอาหารแนวสุขภาพที่เราควบคุม ได้เต็มที่เพราะทำเองแล้ว ยังสามารถช่วยประหยัดเงินได้มากซึ่งภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ค่อนข้างมีความจำเป็น น่าแปลกที่การนำข้าวกล่องมากินครั้งนี้ผมไม่อายสายตา คนรอบข้างอีก ............ หลังผ่านวันเวลาของชีวิต ผมเรียนรู้ว่า ถ้ากระทำในสิ่งที่มีเหตุผลพอ ก็ไม่ต้องเกรงว่าใครจะหมิ่นหยาม ความหวั่นไหวมักจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเริ่มดูถูกตัวเองต่างหาก
                 เช้าวันนี้ ผมมองดูภรรยาจัดเตรียมอาหารใส่กล่อง แค่ผัดผักบุ้งไฟแดงและปลาทูนึ่งสองตัวก็คงพออิ่มสำหรับมื้อเที่ยงร่างเล็กๆนั้นเคลื่อนไหวไปทั่วทั้งบริเวณครัวอย่างกระฉับกระเฉง ทั้งๆ ที่เธอเองก็เพิ่งฟื้นไข้มาไม่นานนัก พลันผมก็หวนนึกถึงแม่วูบขึ้นมา เห็นภาพหญิงอ้วนวัยกลางคน ซ้อนทับอยู่กับภาพหญิงสาวร่างเล็ก เบื้องหน้า แล้วน้ำใสในดวงตาผมก็ท้นเอ่อออกมา... มองกล่องข้าวสีขาวเบื้อง หน้า ผมพลันรู้ตัวขึ้นมาทันทีว่า "กล่องข้าวสีฟ้า" ที่เคยคิดว่ามันหายไปแล้วนั้น

    "แท้จริงมันไม่ได้หายไหนเลย

    เพียงแต่ผมค้นหามันพบช้าไปหน่อยเท่านั้นเอง.... "

    อ้างอิงจาก  http://bbs.pramool.com/webboard

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×