คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Daomu Biji [เฮยผิง] เพื่อนร่วมห้อง ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
ผมสะพายกระเป๋าเดินเอื่อยๆมายังจุดรวมพลที่สถานีรถไฟเวลานี้ผู้คนบางตา ขบวนที่เราใช้เดินทางเป็นรอบดึกที่ออกเดินทางตอนเที่ยงคืนของวัน ผมกวาดสายตามองหาผู้ร่วมทีม ก่อนสายตาผมจะไปสะดุดอยู่กับร่างหนึ่งที่ยืนพิงหลังกับกำแพง
ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดเสื้อสีน้ำเงินแบบมีฮู้ด อีกฝ่ายสะพายดาบเล่มใหญ่ที่มีฝักสีดำไว้บนหลัง เสี้ยวหน้าของชายคนนั้นนิ่งสงบดวงตาปิดสนิท..ทั้งที่ชายหนุ่มคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่รู้สึกถึงการคงอยู่..
ราวกับอีกฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ..
ดวงตาสีดำสนิทปรือเปิดขึ้นเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอ่อนนุ่มบริเวณขา คนที่ผมมองอยู่ก้มลงไปมองสุนัขจรจัดสีดำที่เดินมานอนอยู่ข้างขา มันเกยหัวลงบนเท้าของอีกฝ่าย จนอดคิดไมได้ว่าถ้าเป็นเขาคงจะชักเท้าออกไปแล้ว แต่อีกฝ่ายเพียงแค่มองอยู่แบบนั้นและหลับตาลงอีกครั้ง
“คุณเฮยเสียจื่อสินะครับ ?” ชายคนหนึ่งเดินมาถามผม นั่นทำให้ผมต้องละสายตาจากคนฮู้ดน้ำเงิน ดูจากการแต่งตัวคงเป็นผู้ร่วมทีมของผมในวันนี้แน่ “ผม โหลวอู่ฟั่น เป็นคนสนิทของนายท่านฉู่ครับ”
“อ้อ คนของนายท่านฉู่นั่นเอง ผม เฮยเสียจื่อ ครับ” ผมฉีกยิ้มทักทาย อีกฝ่ายดูเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ผมไม่ได้สนใจ ผมกำลังมองคนในชุดฮู้ดที่กำลังก้าวเดินขึ้นขบวนรถไปกับกลุ่มคนที่แต่งตัวคล้ายๆกับคนตรงหน้าเขานี่
“คนนั้นใครเหรอครับ” ผมพยักเพยิดไปทางคนฮู้ดน้ำเงินที่ทำให้ผมสนใจตั้งแต่แวบแรก จนลืมคนที่อยากจะพบแต่แรกไปเสียสนิท “ฮู้ดน้ำเงิน”
“อ๋อ ท่านนั้น คนใบ้จาง ครับ”..อา ผมสนใจถูกคนแล้วสินะ “เชิญขึ้นรถเถอะครับ รถจะออกแล้ว” โหลวอู่ฟั่นเดินนำผมขึ้นรถไป
รถไฟขบวนนี้ถือเป็นขบวนที่ดูมีระดับไม่น้อย พื้นเหล็กปูทับด้วยไม้เรียบเป็นทางเดิน เท่าที่เดินผ่านแต่ละขบวนเหมือนจะแบ่งที่นั่งไปตามฐานะของผู้โดยสารอย่างเป็นได้ชัด ขบวนหลังไล่จากที่นั่งไม้ธรรมดามาจนถึงห้องสำหรับนอน ตั้งแต่ช่วงกลางขบวนรถเห็นมีพนักงานรถไฟเดินอยู่ประปรายบางคนก้มหัวทำความเคารพผมประหนึ่งเจ้าพ่อมาเฟียในหนังผมส่งยิ้มเรี่ยราดให้พนักงานสาวตลอดทาง
ในที่สุดก็ถึงห้องของผมที่เหมือนจะอยู่เกือบหัวขบวนรถ ผมเหมือนจะได้ยินโหลวอู่ฟั่นพูดว่าผมต้องอยู่กับเพื่อนร่วมห้องอีกคนหนึ่ง ผมยิ้มพราย..กลิ่นความตายเจือจางนั่นทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าผู้ร่วมห้องเป็นใคร ผมหันไปไล่..อา ไม่สิ หันไปพูดกับโหลวอู๋ฟั่นว่าตัวเองอยากเข้าพักแล้วเดินทางมาไกล อีกฝ่ายจึงทำเพียงแค่ถามผมว่าผมทราบรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่เรากำลังมุ่งหน้าไปแล้วใช่ไหม เมื่อเขาเห็นผมพยักหน้าจึงเดินจากไป
ผมเคาะประตูพอเป็นมารยาทแล้วจึงเปิดเข้าไปโดยไม่รอให้คนข้างในตอบอะไรทั้งสิ้น แล้วผมก็เห็นร่างในฮู้ดสีน้ำเงินที่กำลังนอนอยู่บนเตียงทางขวาของห้อง อีกฝ่ายกำลังนอนหลับ…
อา..ขี้เซาชะมัด..ยังกับแมว.. แต่ถ้าเป็นแมว..คงไม่ปล่อยให้มีสุนัขมาคลอเคลียเหมือนตอนก่อนขึ้นรถนั่นหรอก..
ผมเห็นดังนั้นผมจึงทิ้งตัวลงนั่งพลางวางกระเป๋าลงข้างเตียงทางฝั่งซ้ายที่ว่างอยู่ ดวงตาละจากร่างคนฮู้ดน้ำเงินกวาดมองรอบห้อง
ห้องนี้เป็นห้องที่กว้างพอสมควร ขนาดที่พอจะวางเตียงเดี่ยวขนาดที่มากพอจะให้เขานอนกลิ้งได้ไม่ตก สองเตียงขนาบสองฝั่งห้อง บนเตียงมีผ้าห่มผืนหนาวางอยู่ ตรงกลางระหว่างเตียงเป็นตู้ขนาดเล็กสองตู้วางติดกัน เหนือขึ้นไปเป็นผ้าม่านที่เปิดเอาไว้รับแสงจากภายนอก..ที่ตอนนี้มีเพียงแค่แสงสว่างจากดวงจันทร์เท่านั้น เพราะโคมไฟที่เป็นแหล่งให้ความสว่างเพียงหนึ่งเดียวในห้องนั้นไม่ได้ถูกใช้งาน
ผมละสายตากลับมายังร่างที่นอนอยู่ ท้าวคางกับเขามองเพื่อนร่วมห้อง ในตอนแรกยืนห่างกันเกินไปเขาจึงเห็นใบหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดนัก แต่ตอนนี้ห่างกันแค่เอื้อมมือจึงเห็นทุกอย่างชัดเจน
ใบหน้าที่นิ่งสงบอ่อนเยาว์กว่าที่คิด..ถ้าฟังจากที่อดีตนายจ้างของคนตรงหน้าเคยพูดคนตรงหน้าควรจะมีอายุเท่ากันหรือมากกว่าเขาไปแล้ว ผิวของอีกฝ่ายขาวจนติดซีด รูปร่างประมาณคร่าวๆว่าคงเตี้ยกว่าเขาอยู่เล็กน้อย ร่างกายนั่นดูบอบบางไม่ได้มีเค้าว่าเป็นนักขุดสุสานเลยซักนิด
อยู่ๆเมฆก็มืดครึ้มจนแสงจันทร์ด้านนอกหายไป ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิด แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา.. ผมถอดแว่นออกล้วงหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดแว่นตา ดวงตาของผมแพ้แสงอย่างหนักทำให้ไม่สามารถถอดแว่นได้หากมีแสงสว่าง ยิ่งแสงสว่างจ้ามันยิ่งทำให้ผมรู้สึกทรมานได้เลยทีเดียว แต่นั่นก็ทำให้ดวงตาของผมชินกับความมืด ตอนนี้แม้ถอดแว่นออกมองในห้องที่มืดสนิทนี้เขาก็ยังเห็นทุกอย่างชัดเจน
ซึ่งนั่นรวมถึงดวงตาสีดำสนิทที่กำลังมองฝ่าความมืดมา..
“อ้าว.. ตื่นแล้วเหรอครับ”ผมรีบสวมแว่นทันที..พร้อมฉีกยิ้มให้อีกฝ่าย
อีกเหตุผลนอกจากดวงตาแพ้แสงแล้ว..คือสีของดวงตา ..
ดวงตาสีทอง..ที่ดูราวกับดวงตาของ ‘อสรพิษ..’
ผมมองสบดวงตาสีดำราบเรียบที่มองมา ผมรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมองเห็นได้แม้ความมืด ใบหน้าเรียบเฉยนั่นมองผมนิ่งๆไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไร และถ้าผมยังไม่พูดอะไรออกไปผมเชื่อว่าอีกฝ่ายคงล้มตัวนอนต่อเป็นแน่
“ผมชื่อ เฮยเสียจื่อ เป็นผู้ร่วมทีมของคุณในวันนี้”ผมยังคงยิ้มให้เขาอย่างพยายามผูกมิตร แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่มีอารมณ์ร่วมซักนิด “ส่วนคุณคงเป็น คนใบ้จาง ที่เขาร่ำลือกันสินะ ฮะๆ”
อีกฝ่ายยังคงเงียบ..
ผมรู้สึกขัดใจนิดๆจึงเอ่ยออกไปด้วยสีหน้าตกตะลึงเกินพอดี ที่ดูกวนประสาทไม่น้อย “เอ๋!! หรือจริงๆแล้วคุณจะเป็นใบ้จริงๆ!”
“จางฉี่หลิง..”
เขาตอบผมด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ราบเรียบไร้แววขัดเคือง ปฏิกิริยาของคนตรงหน้าไม่ได้เหนือไปกว่าความคาดหมายของผมเท่าไหร่จนผมอดหัวเราะไม่ได้
นิ่งชะมัด..
สีหน้าและแววตาที่ราบเรียบ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ ชื่อเสียงที่ร่ำลือ ไม่ว่าจะสิ่งไหนที่หมายถึงคนตรงหน้า ล้วนน่าสนใจ
อา..
ผมคงจะบ้าจริงๆแล้วละ ที่รู้สึกสนใจคนที่เพิ่งจะพบหน้ากันครั้งแรกมากขนาดนี้
ดูเหมือนผมจะเงียบนานไปหน่อย อีกฝ่ายจึงเอนหลังนอนลงอีกครั้งอย่างไม่ได้สนใจว่ามีสายตาของผมมองอยู่ตลอด ผ่านไปซักพักผมมองอีกฝ่ายจนเต็มอิ่ม จึงเอนหลังลงนอนบ้าง
ไม่แน่ว่า.. การที่ผมมองหน้าอีกฝ่ายนานๆก่อนนอนผมอาจจะฝันถึงเขาก็ได้..
ก็การที่จิตใจจดอยู่อยู่อะไรตอนก่อนนอน..เวลานอนมักจะฝันถึงนี่นะ..
ฝากด้วยนะค้า////
ความคิดเห็น