ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บังลังค์รักภูผา

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 6

    • อัปเดตล่าสุด 3 ม.ค. 60


     

     บทที่ 6

     

     

     

     

    ใต้ฟ้าที่ยังสว่างด้วยแสงดวงอาทิตย์ ส่งความร้อนระยิบระยับมาให้  คนสัตว์สิ่งของ ที่อยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ รวมถึงถนนที่ทอดยาวมาสู่ประตูอัลลอยด์สีทอง มีป้ายสีดำขลิบทองติดตัวอักษรเขียนไว้ว่า พันโทอัศวิน   อัศวหิรัญ  รถกระบะคันใหญ่วิ่งมาจอดหน้าประตู คนที่นั่งอยู่ในป้อมยามด้านในชะเง้อคอออกมามอง แล้วรีบกดรีโมทเปิดประตูให้ทันทีที่เห็นชายในชุดสีเขียวลายพรางนั่งอยู่ภายในรถ

    ประตูเปิดออกกว้างให้รถวิ่งผ่านเข้าไป สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงที่ให้ความร่มรื่นสลับกับต้นไม้เตี้ยเป็นพุ่มเป็นกอสวยงาม กระทั่งรถวิ่งมาจอดหน้าบันไดหินอ่อนสีครีม กระถางดอกไม้วางเรียงรายสองข้างให้ความสวยงาม แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เข้าไปอยู่ในสายตาของคนที่นั่งอยู่ในรถข้างคนขับเลย สายตามองตรงไปยังห้องโถงภายในตัวบ้าน แววตานั้นยังแข็งกร้าวด้วยเลือดของผู้พิทักษ์รักษาแผ่นดิน แต่หัวใจนั้นมีแต่ความเจ็บปวดเสียใจที่ไม่อาจดูแลเลือดในอกไว้ได้ และยังไม่รู้จะสู้หน้าหัวใจอีกดวงที่ให้กำเนิดเลือด ในอกได้ยังไง

    ความจริงแล้วท่านยังไม่อยากกลับมา ยังต้องการอยู่ตามหาตัวลูกสาวต่อไป แต่ถึงเวลาที่ต้องกลับแล้ว ถ้าไม่กลับคนที่เป็นทั้งแม่และภรรยาจะห่วงใยและกังวลไปต่างๆ นาๆ และจะโทรไปสอบถาม ซึ่งท่านไม่ต้องการที่จะโกหกหรือให้รู้จากคนอื่น เพราะอาจจะสะเทือนใจจนรับไม่ได้ จึงต้องมาบอกให้รู้ด้วยตัวเอง

    “ท่านครับ”

    เสียงพลขับดังขึ้นด้วยความเกรงใจและเห็นใจคนเป็นนายที่อยู่ในช่วงสูญเสีย แต่ท่านนั่งนิ่งอยู่นานเกินไปแล้ว จึงต้องเอ่ยขึ้น พันโทอัศวินปรายตามามองลูกน้อง ความเข้าใจเห็นใจส่งผ่านมาทางสายตา ท่านก็พยักหน้าบอกขอบใจ แล้วเปิดประตูรถ พาตัวเองลงมายืนอยู่ข้างรถ เพียงเท้าแตะพื้นก็เสมือนว่ามีหินก้อนใหญ่มาถ่วงอยู่ แต่ต้องก้าวเดินด้วยเลือดทระนงของชายชาติทหาร

    ห้องโถงของบ้านเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ แต่ไม่ได้ทำให้สีหน้าที่เคร่งขรึมของท่านผ่อนคลายลง ยิ่งเดินเข้ามาและเห็นภรรยานั่งจัดดอกไม้อยู่กับสาวใช้ ความผิดมหันต์เหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นจนแทบจะหายใจไม่ออก

    “คุณพี่” เสียงใสๆ ของคุณหญิงประภาพรรณดังขึ้นทันทีที่สาวใช้  ใช้ใบหน้าบุ้ยใบ้ให้มองมาด้านหลัง เปิดยิ้มกว้างต้อนรับสามีที่ไปทำหน้าที่รักษาแผ่นดินกับหน้าที่พ่อเสียหลายวัน แล้วลุกขึ้นเดินไปหา ส่วนสาวใช้   ก็รีบถอยออกไปหาน้ำเย็นๆ มาให้เจ้านาย

    คุณหญิงดีใจจึงยังไม่สังเกตเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของสามี ยกมือขึ้นจับแขนแกร่งพามานั่งบนโซฟานุ่ม ถามไถ่ถึงการเดินทางและสุขภาพเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็รอจนสาวใช้เอาน้ำเย็นๆ มาให้ดื่มชื่นใจ แล้วถอยออกไปแล้ว ก็เอ่ยถามถึงลูกที่นางคิดถึง

    “ลูกขวัญล่ะคะ” ถามพลางมองไปที่ประตู ความว่างเปล่าทำให้หัวใจรู้สึกโหวงวูบ แต่ยังไม่คิดอะไรมาก เพราะบางครั้งลูกยังทำตัวเหมือนเด็กๆ เล่นซ่อนแอบทั้งที่โตเป็นสาวแล้ว

    “นี่อย่าบอกนะคะว่าแอบอยู่” เสียงพูดดังๆ เพื่อให้ลูกที่คิดว่าแอบอยู่ได้ยิน “เดี๋ยวออกมาต้องอบรมสักหน่อยแล้ว ไม่รักไม่คิดถึงแม่เลยหรือไง ถึงไม่ออกมาให้กอดให้หายคิดถึงเสียที” เสียงคาดโทษนั้นเต็มไปด้วย  ความรัก ความเอ็นดู แถมยังยิ้มน้อยๆ เพราะไม่ได้จริงจังอะไร

    พันโทอัศวินรู้สึกลำคอตีบตันไปหมด กว่าจะเอ่ยออกมาได้ว่า

    “ลูกยังไม่กลับมา”

    สีหน้ายิ้มๆของคุณหญิงค่อยๆ เลือนหายเพราะความแปลกใจฉายขึ้นมาแทน “ทำไมคะ หรือว่าข้อมูลวิทยานิพนธ์ยังไม่ครบ”

    “ลูกยังไม่ได้ทำ”

    “ยังไงคะ” เสียงคุณหญิงยิ่งสงสัย “นี่ตั้งหลายวันแล้วนะคะ มีอะไรติดขัดหรือเปล่า หรือลูกหลงเสน่ห์ของป่าจึงยังไม่ได้ทำ แต่ปกติลูกขวัญไม่ใช่คนที่จะเหลวไหล ไร้ความรับผิดชอบแบบนี้นะคะ ยิ่งเรื่องเรียนลูกจะตั้งใจเป็นพิเศษ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะคุณพี่” ยิ่งพูดทั้งน้ำเสียงและสีหน้าคุณหญิงก็ยิ่งไม่สู้ดี เพราะเริ่มรับรู้ถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลหัวใจเต้นแรงเพราะความหวั่นวิตกที่ถาโถมเข้ามา ขณะที่สายตาขอร้องสามีให้รีบบอกมา

    พันโทอัศวินสบตาที่เริ่มจะคลอด้วยน้ำตาของภรรยา แล้วยื่นมือไปจับมือนุ่มมากุมไว้ บีบกระชับส่งความรู้สึกรักและห่วงใยจากตัวท่านไปให้ได้รู้ ก่อนดึงตัวมาซบอก โอบกอด ลูบแขนเบาๆ ข่มความรู้สึกต่างๆ ที่แล่นขึ้นมาจนขอบตาท่านร้อนผ่าว แล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่เจ็บปวดแหบระโหยที่สุดในชีวิตของลูกทหารว่า

    “ลูก ถูกจับตัวไป”

    สิ้นเสียงพูด หัวใจของคุณหญิงก็เหมือนมีคนมากระชากมันออกไป มือเย็นตัวเย็นจนพันโทอัศวินต้องบีบและกอดไว้แน่น โยกตัวปลอบทั้งตัวท่านและภรรยา ที่นิ่งเงียบจนน่าหวั่นใจ แต่ไม่นานก็รับรู้ถึงน้ำตาที่ไหลหยดลงมาถูกมือท่าน และแรงบีบรัดที่มือ

    คุณหญิงอยากจะปล่อยโฮออกมา แต่ภรรยาของทหารหาญที่ตระหนักมาตลอดมาว่ายามออกแนวหน้า ชีวิตเหมือนต้องแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั้น ฝึกหัวใจนางให้เข้มแข็งมาตั้งแต่วันแรกที่ได้แต่งงาน เซ็นชื่อในทะเบียนสมรสแล้ว นางต้องตั้งมั่นเชื่อมั่นยืนหยัดเคียงข้างยอมรับในเลือดที่ต้องหลั่งเพื่อแผ่นดิน แม้จะต้องเจ็บปวดกับการสูญเสียเพียงใดก็จะไม่หวั่น... โชคดีที่ผ่านมาไม่มีเรื่องร้ายใดๆ เกิดขึ้นมากไปกว่าการบาดเจ็บจากการลาดตระเวนของท่านเท่านั้น

    แต่ในตอนนี้ทั้งที่ๆ ผ่านมาเผื่อใจให้ตั้งรับไว้ แต่ถึงเวลาความสูญเสียที่มากมายนั้นทำให้หัวใจแทบจะรับไม่ไหว เสียงสะอื้นดังออกมาบีบคั้นหัวใจของพันโทอัศวิน “ร้องเถอะคุณหญิง ร้องออกมา” เสียงท่านสั่นเครือ แม้ไม่มีน้ำตาจะไหล แต่หัวใจท่านเจ็บปวดจนสุดประมาณ

    น้ำตาของคุณหญิงไหลรินยิ่งกว่าสายน้ำ สองแขน สองมือ ใบหน้ามีสามีเป็นที่พึ่ง แต่หัวใจแตกสลายทั้งสองคนจมอยู่กับความเศร้า กระทั่งคุณหญิงเริ่มจะทำใจให้เข้มแข็งก็ดันตัวออกมาจากอกสามี เงยหน้าขึ้นสบตาที่เสียใจไม่ต่างกัน พันโทอัศวินอยากจะยิ้มปลอบ แต่ท่านยิ้มไม่ออก ได้แต่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เท่านั้น คุณหญิงจับมือท่านไว้ ไม่มีการกล่าวโทษหรือต่อว่าใดๆ เพราะรู้ว่าท่านคงความเจ็บปวดเสียใจยิ่งกว่า    กว่าจะทำใจพาตัวเองที่แบกเรื่องที่ทำให้หัวใจสลายมาบอกตนนั้น ต้องใช้ความพยายามอย่างแสนสาหัสจริงๆ

    “มันเกิดขึ้นได้ยังไงคะ” แม้หัวใจจะเหมือนยอมรับได้ แต่เสียงคุณหญิงยังเลื่อนลอยพันโทอัศวินจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ภรรยาฟัง น้ำตาคุณหญิงรินหลั่งออกมาก่อนจะตามมาด้วยเสียงสะอื้นอีกครั้งด้วยความสงสารลูกจับใจ “โธ่ ลูกขวัญ” หัวใจของคุณหญิงแทบขาด แล้วพยายามข่มความเสียใจไว้ ถามสามีออกมา “แล้วทราบหรือยังคะ ว่าพวกมันเป็น   พวกไหน”

    “ยังไม่รู้ ยังไม่มีใครติดต่อมา หรือแสดงตัวว่าเป็นคนทำ”

    “พวกมันต้องการอะไร ทำไมถึงทำเรื่องต่ำช้าแบบนี้”

    “การต่อรอง”

    “ต่อรองอะไร อะไรที่พวกมันต้องการจากคุณพี่หรือคุณพี่มีให้มันคะ” เสียงคุณหญิงระรัวถามพร้อมกับคาดหวังว่าถ้ามีจะรีบให้ เพื่อให้ลูกกลับมาสู่อ้อมอกอ้อมใจเสียที แต่การส่ายหน้าของสามีทำให้ความหวังของคุณหญิงลดน้อยลง

    “พี่กำลังคิดอยู่ และยังเดาไม่ออก จนกว่าพวกมันจะติดต่อกลับมา”

    “แล้วเมื่อไรมันจะติดต่อมา นี่ก็หลายวันแล้ว ป่านนี้ลูกขวัญจะเป็นยังไงบ้าง จะยัง...” น้ำตาคุณหญิงเอ่อขึ้นมาอีก เมื่อคิดถึงการจากไปอย่าง  ไม่มีวันได้พบกันอีก “มีชีวิตอยู่ไหม”

    เสียงคุณหญิงแผ่วราวจะขาดใจ พันโทอัศวินจึงดึงตัวมากอดปลอบ อีกครั้ง และปลอบตัวเองไปด้วย “มีซิ ตราบใดที่พวกมันยังไม่ติดต่อมา    เราก็ต้องเชื่อว่าลูกยังมีชีวิตอยู่แน่นอน” แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ภายในใจก็ยังหวั่นวิตกมากมาย เพราะผ่านมาหลายวันแต่ยังไม่ได้ข่าวคราว มันน่าใจหาย น่ากลัว น่าคิดว่าพวกมันจะทำอะไรลูกท่านหรือเปล่า ที่สำคัญเส้นทางที่ท่านแกะรอยไปเจอที่สุดท้ายนั้นคือ...ภูเขาดำ

    ความโหดร้ายเป็นที่กล่าวขาน การบุกรุกคือความตาย การทรมานคือความหอมหวาน จึงไม่มีใครอยากจะย่างกรายเข้าไป แม้แต่ตัวท่านเอง ก็ยังต้องถอย ที่ผ่านมาป่าที่ท่านดูแลกับป่าภูเขาดำเชื่อมต่อกันอยู่ แต่ก็ไม่เคยมีใครก้าวล่วงเข้าไป ต่างให้เกียรติ เคารพในเขตพื้นที่ของกันและกัน   จึงอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข...

    ชีวิตความเป็นอยู่ข้างในนั้นท่านไม่เคยรู้ แต่รู้ว่าพื้นป่าบริเวณนั้นอุดมสมบูรณ์ราวกับขุมทรัพย์มหาศาล เป็นที่ต้องการของนายทุนมากมาย เพราะเคยมีพวกที่คิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้า อยู่เหนือกฎหมาย มาออกกฎให้ท่านเปิดทางให้ผ่านเข้าไป แต่ท่านแข็งข้อไม่เคยโอนอ่อนให้ใครหน้าไหนทั้งนั้นจึงถูกขู่อาฆาตบ่อยๆ

    คิดมาถึงตรงนี้ ก็เหมือนมีบางอย่างมาสะกิดใจท่าน สีหน้าแววตาของท่านเปลี่ยนเป็นกร้าววาววับขึ้นมาทันที เมื่อคิดต่อไปว่า หรือที่ลูกของท่านถูกจับตัวไป เพราะพวกมันไอ้คนจัญไรกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะเอามาต่อรองบีบบังคับท่าน เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่จะใช่หรือไม่ จะเป็นคนกลุ่มไหนที่เป็นคนทำ ท่านก็ทำได้แค่เพียงแต่รอเท่านั้น

    เมฆสีขาวลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งแสงตะวัน เพราะได้เคลื่อนลับหายไปแล้ว อีกไม่นานความสว่างก็จะจางกลายเป็นความขมุกขมัวเป็นสีเทาแล้วเปลี่ยนเป็นสีดำ ภูผา ผู้พิทักษ์มือหนึ่งของผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ แบกหญิงสาวที่กลายมาเป็นภาระ เดินบุกป่าไปข้างหน้า เขาไม่อาจหยุดรอให้เธอหายจากอาการไข้ เพราะป่านนี้การหายตัวมาของเขาคงเป็นขนมหวานของใครหลายคนที่ต้องการบัลลังก์ของภูเขาดำ ฉะนั้นเขาจะต้องรีบกลับไปให้ถึงให้เร็วที่สุด

    ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดคอ แสดงว่าความร้อนในตัวเธอลดลงแล้ว ใบหน้าคมเอียงมามองเพียงนิดเดียว ก็หันกลับไปมองข้างหน้า ตวัดสายตาหาที่พักก่อนฟ้าจะมืดมิด ถ้าเพียงเขาคนเดียว ความมืดไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่ภาระที่ติดตัวรวมถึงอาการไข้ของเธอต่างหากที่ทำให้ต้องหยุดพัก

    ภูผาก้าวไปยังชะแง่นหินใหญ่ที่โค้งเว้า มีลานกว้างพอเหมาะจะให้  พักพิง รอบๆ มีต้นหญ้าเล็กๆ ขึ้นกระจัดกระจายอยู่ไม่มาก เขาเดินวนดูสองสามรอบจนแน่ใจว่าไม่มีสัตว์มีพิษอาศัยอยู่ ก็ดึงร่างอรชรออกมาจากหลังอุ้มไปวางให้พิงก้อนหิน วางปลากับน้ำที่เหลือพอสำหรับมื้อนี้ไว้ไม่ห่างแล้วลุกขึ้นยืนมองใบหน้างามไม่นานก็หมุนตัวเดินห่างออกไป

    สายลมเย็นๆ พัดฉิวเฉื่อยมาโดนร่างอรชร เหมือนจะขับกล่อมให้หลับลึกยิ่งขึ้น แต่กลับทำให้เริ่มรู้สึกตัว สองมือยกมือกอดตัวเองเพราะรู้สึกหนาว และเหมือนสติจะเริ่มกลับคืนมาทำให้ดวงตากะพริบเปิดขึ้นภาพแรกที่รับรู้ได้คืออากาศที่สลัวใกล้จะมืดแล้ว ขวัญชนกกวาดตามองไปโดยรอบ ต้นไม้ก้อนหิน บอกให้รู้ว่าเธอยังอยู่ในป่า แต่ที่หายไปคือ...     เจ้าชีวิตของเธอ

    การถูกทิ้งไม่ได้อยู่ในความคิด เมื่อ...แก้มเธอร้อนผ่าวขึ้นมาเพราะความทรงจำก่อนหน้าที่เธอไม่น่าจะจำได้เพราะพิษไข้เล่นงานอยู่ แต่ทำไม จำได้ติดตานัก ปลายนิ้วแกร่งที่ปลดกระดุมเสื้อจนเสื้อหลุดออกไปจาก   ตัวเธอ แล้วเอาไปชุบน้ำหมาดๆ มาเช็ดตัวให้อีก มันช่างน่าอายที่เขารู้เห็นไปทั้งตัวเธอแล้ว สองมือยกขึ้นจับแก้มตัวเองวัดไข้ ความร้อนลดลง แต่เธอรู้ดีว่าอาการป่วยไม่ได้ดีขึ้นเลย แล้วหลังจากนั้นเธอไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น และเธอมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง 

    ขวัญชนกครุ่นคิดบางช่วงเธอจำได้คลับคล้ายคลับคราแต่ไม่แน่ใจ   ว่าเขาถอดเสื้อให้เธอใส่ด้วย แต่ตอนนี้เสื้อที่อยู่บนตัวคือเสื้อของเธอเอง และบางครั้งก็รู้สึกเหมือนเขาแบกเธออยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้น นอกจากเธอจะยกชีวิตให้เขาแล้วยังเป็นหนี้ชีวิตเขาด้วยซินะ

    ความคิดของเธอหยุดลงเมื่อเห็นร่างสูงเดินกลับมา ในมือมีกิ่งไม้แห้ง ท่าทางนิ่งเฉยทำเหมือนเธอไม่อยู่ในสายตาดุจเดิม แต่ความจริงภูผาเห็นมาแต่ไกลแล้วว่าเธอนั่งมองมา เขาเดินมาหยุดยืนกลางลานหินตรงหน้าเธอแล้วใช้กิ่งไม้ที่ได้มาก่อกองไฟเล็กๆ เปลวไฟส่องสว่างขึ้นมาขับไล่ความมืด แสงสีส้มกระทบใบหน้าคมให้ยิ่งน่ามอง โครงหน้าสวยดูบึกบึนและอ่อนโยนยามเปลวไฟพลิ้วไหวไปตามสายลม ถ้าเขาจะไม่เย็นชา ทำเหมือนไม่มีหัวใจ เธอกับเขาคงจะร่วมทางเดินกันได้ดีกว่านี้

    “ขอบคุณ” ขวัญชนกเอ่ยออกมา พลางมองว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง ซึ่งก็นิ่งเฉยเหมือนเคยและไม่ถามออกมาว่าเธอขอบคุณเรื่องอะไร คงรู้อยู่แล้วว่าเรื่องช่วยเธอ

    “อยากให้ฉันทดแทนบุญคุณยังไง ก็บอกได้นะ”

    “เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”

    “ฉันรู้ว่าฉันไม่มีอะไรเหลือให้คุณอีกแล้ว แต่ฉันก็อยากรู้ไว้ก่อน เพราะไม่รู้ว่าฉันจะอยู่ต่อได้อีกนานแค่ไหน ไม่แน่ว่าคืนนี้อาจจะเป็นคืนสุดท้ายที่ลมหายใจฉันยังอยู่ก็ได้”

    “จึงไม่อยากให้ติดหนี้ฉันไปถึงยมโลก”

    “ใช่” เธอบอกอย่างนั้นแล้วยกขาขึ้นชันเข่า สองแขนวางประสานบนเข่าก่อนจะวางปลายคางบนแขน ยิ้มเศร้าๆ ให้กับความคิดที่ผุดขึ้นมาและ    ไม่เก็บมันไว้ เอ่ยออกมาว่า

    “ถ้าฉันรอดไปได้ คุณจะปล่อยฉันกลับบ้านไหมบ้านฉันหลังไม่ใหญ่หรอก มีพ่อมีแม่ มีต้นไม้ดอกไม้เยอะมาก มีเจ้าลายพรางหมาที่น่ารักมันอ้อนเก่งนะแล้วชอบกินลูกชิ้นที่สุด” ปลายเสียงเธอเศร้า เพราะคิดถึงทุกอย่าง  ที่เอ่ยมาจับใจ แล้วหยุดอารมณ์นั้นไว้ให้อยู่กับความจริงตรงหน้าที่บอกออกมาอีกว่า

    “ถึงชีวิตฉันจะยกให้คุณไปแล้ว แต่ฉันก็ยังมีทรัพย์สินที่จะตอบแทนคุณได้นะ”

    ดวงตาคมกริบตวัดมามองใบหน้างาม ความเศร้าหมองฉายชัดออกมาให้เห็น เขาไม่รู้ว่าที่เธอพูดนั้น เป็นความเพ้อเพราะพิษไข้หรือ   ความสิ้นหวังในชีวิตกันแน่ จึงวางไม้แห้งในมือแล้วลุกขึ้นไปหยิบปลาย่าง มาส่งให้พร้อมกับบอกว่า

    “กินซะ”

    เธอรับมาถือไว้แต่ยังไม่กิน เงยหน้าขึ้นมองหน้าคมสวยสบตาคมกริบแล้วบอกว่า

    “คุณยังไม่บอกฉันเลย ว่าจะให้ฉันทดแทนบุญคุณยังไง”

    “งั้นฉันขอแค่สิ่งเดียว”

    “อะไร”

    “รอยยิ้ม”

    ขวัญชนกนิ่งไปกับคำขอ กะพริบตาเหมือนไม่เชื่อว่าเขาจะพูดออกมา แต่ในเวลานี้เธอไม่สามารถจะยิ้มให้ได้จริงๆ และเหมือนเขาจะอ่านความคิดเธอออก เมื่อบอกออกมาอีกว่า

    “ถ้ายิ้มไม่ได้ อย่าตายก็พอ”

    “ถ้าฉันเลือกได้จะทำให้”

    “แล้วถ้าฉันสั่ง จะทำได้หรือเปล่า”

    ขวัญชนกก้มหน้ามองปลาในมือ อาการขมคอเกิดขึ้นมาทำให้เธอ  ไม่อยากจะกินเลย แต่ก็หยิบกินเป็นสัญญาณให้เขารู้คำตอบของเธอ แต่คงไม่เพียงพอเท่ากับคำพูดที่เอ่ยขึ้นว่า

    “ฉันจะพยายาม”

    “ฉันจะถือเป็นสัญญา” คำพูดเน้นหนักราวกับหมุดที่ตอกลงไปในใจเธอ แล้วเขาก็เดินไปนั่งพิงก้อนหินห่างไปแค่ช่วงแขน ยกมือขึ้นกอดอกแล้วหลับตาลง ขวัญชนกมองตามไปเพียงเดี๋ยวเดียวก็ละสายตามองปลาย่างในมือหยิบกินต่อตามที่รับปากเขาไว้ แต่อีกเพียงสองคำก็วางลงขยับตัวไปหยิบน้ำมาดื่ม แล้วรินรดล้างคาวที่ปากกับมือก็ขยับตัวไปพิงก้อนหินเอนตัวลงนอนมองดวงดาวที่พราวระยับอยู่บนฟ้ากว้าง ฟังเสียงแมลงที่ดังระงมเหมือนกล่อมให้เธอหลับ

     

    ดวงตาปิดลงพร้อมกับงอตัวเข้าหากัน เพราะอากาศในป่าที่เย็นลงแล้วยังมีสายลมที่พัดมาอีก สองมือยกขึ้นมาซุกไว้ที่อกสลับกับกอดตัวแต่ไม่ได้อุ่นขึ้นมาเลย... ร่างอรชรที่กระสับกระส่ายอยู่ในดวงตาคมกริบที่เปิดขึ้นมามองตั้งแต่รู้สึกว่าเธอเอนตัวลงนอนแล้ว คำพูดของเธอที่เอ่ยถึงบ้าน ความอ้างว้างที่เขารับรู้ ความสุขปนความเศร้า แต่หัวใจกลับเข้มแข็งจนเขาต้องชื่นชม ไม่มีคำเว้าวอน ไม่มีความอ่อนแอ เธอสู้แม้ชีวิตจะไม่ได้เป็นของตัวเองแล้วก็ตาม

    เขาคิดโดยไม่รู้ตัวอีกเช่นเคยว่าการมองเหมือนไม่ใส่ใจนั้น แท้จริงแล้วคือความเอาใจใส่ที่ซึมเข้าไปสู่หัวใจเขาแล้ว...

    ดวงตาเขายังมองร่างอรชรที่ยังกระสับกระส่ายเพราะยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็นลง แล้วลุกขึ้นเดินไปที่กองไฟ หยิบไม้แห้งมาสุมไฟให้แรงขึ้น ก่อนเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้าข้างตัวเธอ มองใบหน้าที่ขาวซีดอยู่ในความสลัว ดวงตาปิดสนิทแต่คิ้วขมวดเข้าหากันราวฝันร้ายหรือว่า... เขายื่นมือไปแตะที่หน้าผากทันทีที่คิดว่าความร้อนกลับมาเล่นงานเธออีกครั้ง และนิ่งไปนิดเมื่อดวงตาที่ปิดอยู่ลืมขึ้นมา

    ขวัญชนกพลิกตัวมามองหน้าคมอย่างแปลกใจที่เขามานั่งอยู่ข้างๆ แล้วเหลือบตาขึ้นมองมือหนาที่ยังวางอยู่บนหน้าผาก ก็เข้าใจได้ทันทีว่า     เขามานั่งทำอะไร แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นห่วง คงแค่ไม่อยากให้เธอตายเท่านั้นเอง “ฉันไม่เป็นไร แค่อากาศเย็นลงเท่านั้นเอง”

    “แล้วยังไง”

    “ฉันไปนอนใกล้กองไฟก็ได้” บอกแล้วก็ยันตัวลุกขึ้นจะเดินไป แต่   แขนแกร่งยื่นมาเกี่ยวเอวจนตัวเซล้มลงไปบนอกแกร่ง

    “อุ๊ย!” เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกับรีบตะเกียกตะกายออกมาจากตัวเขา แต่ไม่มีแรงพอที่จะลุกได้ทันที ซ้ำร้ายเขายังยกแขนอีกข้างขึ้นมากดตัวเธอให้ซบไปกับอก ก็มองหน้าเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจและนิ่งงันไปเมื่อเขาพูดขึ้นมาว่า

    “ฉันจะเป็นไฟให้เธอเอง”

     

    พระอาทิตย์ลอยขึ้นมาเหนือเส้นขอบฟ้า หยาดน้ำค้างก็ค่อยๆ จางหายไปจากต้นหญ้าและพื้นดิน บนทางเดินในหุบผาเขียว สองข้างทางเต็มไปต้นไม้ ใบร่วงลงมาปกคลุมผิวดินให้ชุ่มชื่น แมลงตัวเล็กตัวน้อยบินบ้างคลานบ้างออกมาหากิน ก่อนจะหลบลี้หนีภัยจากเท้าของคน ที่เดินตรงไปยังเรือนของผู้นำหุบผา ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร พิชิตคนสนิทของผู้นำนั่นเอง... ใบหน้าเขามีรอยยิ้มแต่ไปไม่ถึงแววตาเพราะยังไม่สามารถที่จะปูพรมแดงให้คนเป็นนายเดินไปสู่ยอดเขาได้

    เท้าที่ก้าวไปอย่างเร่งรีบชะลอให้ช้าลง เมื่อใกล้ถึงตัวเรือนเห็น      ลูกชายของเจ้านายยืนอยู่บนระเบียง สายตาที่จ้องมานั่นบอกว่าเห็นเขาแล้วจึงเดินไปที่บันได ก้าวขึ้นไปยืนอยู่ตรงหน้าทันที สบตาก็รู้ว่าจะถามเรื่องใดก็บอกว่า

    “มันรอดแล้วครับ”

    เวหายิ้มออกมาอย่างดีใจ ช่างเป็นข่าวดีรับเช้านี้จริงๆ คืนก่อนที่เขาไปดูมัน ยังรู้สึกหนักใจเพราะคิดว่าไม่รอดแน่แล้ว แล้วยกมือขึ้นตบบ่าพิชิตพร้อมกับบอกว่า

    “งั้นไป... ฉันอยากจะรู้ความลับที่มันมีอยู่เต็มแก่แล้ว” พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินนำไปที่บันไดทันที แต่พิชิตไม่ได้ก้าวตามและรีบเรียกไว้ก่อนที่  ร่างสูงจะลงบันไดไป

    “เดี๋ยวครับ”

    “มีอะไร” เวหาหันหน้ามาถามพลางมองอย่างสงสัย ยิ่งเห็นสีหน้าที่มีความลำบากใจ ราวกับจะบอกให้เขารู้ถึงสัจธรรมที่ว่า ในความโชคดีก็มักจะมีโชคร้ายตามมาเสมอ และก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อพิชิตตัดสินใจพูดออกมาว่า

    “มันหนียมบาลมาได้ แต่มันไม่ได้เอาความทรงจำมาด้วยครับ      มันจำอะไรไม่ได้”

    “อะไรนะ!” เสียงเวหาบอกความตกใจ แล้วหน้าก็ตึงขึ้นด้วยความโกรธ เพราะเหมือนความหวังทุกอย่างพังลงไป

    “บัดซบ!” เขาสบถออกมา พิชิตจึงหาน้ำเย็นคือคำพูดปลอบว่า

    “ใจเย็นก่อนครับนายเวหา”

    “เย็นห่าอะไร” เสียงเขากร้าว “หรือแกจะบอกว่าแกโกหกงั้นเหรอ”

    “เปล่าครับ แต่หมอบอกว่ามันอาจจะเป็นไม่นาน ต้องให้เวลามัน     สักหน่อย ความจำมันอาจจะกลับมา ตอนนี้มันเพิ่งจะรอดพ้นมาจาก     ความตาย อาจจะยังสะลึมสะลืออยู่ครับ”

    “แล้วมันจำไม่ได้เพราะอะไร”

    “หมอบอกว่าสาเหตุอาจจะมาจาก อาการบาดเจ็บที่รุนแรง ความเจ็บมากมายมหาศาลอาจจะทำให้ไม่อยากจำอะไรอีก หรือไม่มันก็ได้รับความกระทบกระเทือนหัวไปกระแทกอะไรมาครับ”

    คำตอบที่ได้มา ไม่ได้ช่วยลดความโกรธของเวหาลงเลย เขาฮึดฮัดแล้วจะลงจากเรือนไปหามัน แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นคนเป็นแม่เดินนำน้องสาวกับสาวใช้ ที่ถือสำรับอาหารเช้าผ่านมาเสียก่อน

    นางนารีปรายตามามองลูกชายกับคนสนิทของสามี แล้วพยักหน้าให้ลูกสาวกับสาวใช้นำสำรับไปจัดวางบนโต๊ะตรงมุมระเบียงให้เรียบร้อย      ส่วนนางก็เดินมาหาคนทั้งคู่ เปิดยิ้มให้ลูก ก่อนจะบอกว่า

    “เช้านี้แม่ทำข้าวต้มทรงเครื่องกับปลากรอบ ส่วนคุณพ่อเดี๋ยวก็ออกมา” บอกแล้วก็มองหน้าคนของสามี “อยู่ทานกับนายๆ นะชิต”

    “ขอบคุณครับนายหญิง”

    พิชิตบอกพร้อมกับก้มหน้าเคารพให้ความภักดีไม่ต่างจากคนเป็นนาย เพราะนางวางตัวดี แถมยังใจดี ไม่ยุ่งวุ่นวายกับงานหรือแม้แต่ความเจ้าชู้ของนายเลย แค่รับรู้ รับฟัง แล้วทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่โวยวายไม่ระรานอยู่และดูแลทุกคนในส่วนของตัวเองจนนายให้ความเกรงใจไม่ยกย่องหรือนำพาผู้หญิงคนไหนขึ้นมาเทียบเลยเขาคิดชมนางอยู่ในใจ แล้วเหลือบไปเห็นคนเป็นนายที่เดินออกมาจากด้านในเรือน

    ผู้นำหุบผาสบตาทุกคนที่มองมา แล้วเดินตรงไปยังโต๊ะอาหารเหมือนไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร แต่แววตาของลูกชายกับคนสนิทนั้นบอกเขาว่าเรื่องที่รออยู่นั้น มีคำตอบให้แล้ว... เวหากับพิชิตเดินไปที่โต๊ะทานข้าว  นางนารีเดินตามไปดูแล แต่ไม่ร่วมรับประทานด้วย เพราะนางกับลูกสาวนั้นทานแล้ว

    กระทั่งการทานอาหารสิ้นสุดลง สามีกับลูกชายและคนสนิท ก็พากันเดินลงไปจากเรือน สาวใช้เก็บถ้วยข้าวต้มไปเก็บด้านใน เหลือแค่นางกับลูกสาว ที่มีคำถามขึ้นมาว่า

    “คุณพ่อมีงานอะไรเร่งด่วนหรือคะ ถึงได้รีบเดินไปแบบนั้น” 

    “ไม่รู้จ้ะ”

    “หวังว่าไม่ได้ไปหาผู้หญิงคนไหนอีกนะคะ” พูดออกไปแล้วเวธิกาก็หน้าเสียเล็กน้อย เพราะกลัวคนเป็นแม่จะคิดมาก แม้ที่ผ่านมาจะนิ่งเงียบ แต่เธอรู้ว่าหัวใจต้องเจ็บปวดแน่นอน เพราะไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะยอมรับ    การมากรักของสามี ถึงไม่แสดงออกมาก็ตาม 

    “เวขอโทษค่ะ แม่อย่าคิดมากนะคะ”

    “ไม่เป็นไรจ๊ะ เวก็รู้ว่าแม่ไม่เคยใส่ใจกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว”

    “แต่ก็ทุกข์ใจใช่ไหมคะ”

    “ถ้าแม่บอกว่าไม่ เวจะเชื่อไหม”

    “ไม่ค่ะ เพราะเวเชื่อว่าไม่มีผู้หญิงคนไหน ทำใจให้ยอมรับเรื่องนี้ได้  โดยเฉพาะเว ถ้ามีสามีแบบคุณพ่อ เวคงทำใจไม่ได้แน่ๆ”

    “พูดแบบนี้ แสดงว่าเริ่มมองใครอยู่หรือเปล่า”

    เวธิกายิ้มขำ แล้วบอกว่า “จะมองใครได้ละคะ เวอยู่แต่ในหุบผา    อยู่กับแม่ จะเจอคนอื่นสักทีก็เมื่อมีงานเลี้ยงชุมนุมภูเขาดำ แต่สองสามวันมานี่คุณพ่อกับพี่เวหาต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างแน่ๆ ถึงได้ดูเครียดๆ หรือ จะเป็นเรื่องที่ผู้พิทักษ์มือหนึ่งของผู้เฒ่าโพธิ์หายไป”

    “ภูผานั่นเหรอ”

    “ค่ะ วันก่อนเวได้ยินพี่เวหาคุยกับนายพิชิต ป่านนี้ยังไม่กลับมาเลยค่ะ ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไงบ้าง น่าเป็นห่วงนะคะ”

    นางนารีนิ่งไปกับเรื่องที่เพิ่งได้รู้ และจับตาดูท่าทางของลูก ที่สีหน้าแสดงความห่วงใยไม่ต่างจากน้ำเสียงที่พูดออกมาเมื่อกี้

    “ภูผาเป็นคนดีคนเก่ง คงไม่เป็นอะไรมาก แต่เวห่วงภูผามากเหรอ”

    “ค่ะ” เวธิกาตอบรับ โดยไม่เอะใจว่าคนเป็นแม่กำลังมองอย่างสงสัย เพราะกำลังคิดถึงคนที่เป็นห่วงอยู่ ใบหน้าที่คมเข้ม ท่าทีที่นิ่งเฉย แต่เต็มไปด้วยความทระนงองอาจ เมื่อแรกเห็นในงานชุมนุมนั้นทำให้เธอประทับใจเขา และครั้งต่อมาก็แอบมองจนชอบเขาไปโดยไม่รู้ตัว

    “เวชอบภูผาเหรอลูก”

    เสียงคนเป็นแม่ดังขึ้นมาหยุดความคิดของเธอไว้ ก่อนจะทำหน้างงเหมือนไม่ค่อยแน่ใจในคำถามที่ได้ยิน “เมื่อกี้แม่ถามว่าไงนะคะ”

    “แม่ถามว่า เวจะเข้าไปข้างในกับแม่หรือเปล่า”

    นางพูดไปอีกอย่างเมื่อคิดว่าคำพูดก่อนหน้านี้อาจเป็นการชี้โพรงให้กระรอก ที่อยากจะกระโจนเข้าไปอยู่แล้วให้รีบวิ่งเข้าไป แต่โพรงที่เห็น        แม้ภายนอกจะน่าอยู่ดูดี ปกป้องคุ้มครองให้ความปลอดภัยได้ แต่ภายในลึกลับซับซ้อนทำให้นางห่วงลูกเกินกว่าจะชี้นำ ที่สำคัญการเป็นผู้พิทักษ์นั้น อาจจะไม่เป็นที่ถูกใจสามีก็ได้ เพราะรู้ความทะเยอทะยานของสามีดีนั่นเอง แม้นางจะไม่พูด แต่ตากับหูของนางไม่ได้บอด 

    “ไปซิคะ” รับคำแล้วเวธิกาก็ยิ้มให้ ยกมือขึ้นจับแขนคนเป็นแม่     เดินไปพร้อมกัน พร้อมคุยถึงเรื่องอาหารมื้อเที่ยงกับมื้อเย็น ปากเธอก็เจรจาไปแต่สายตาแอบมองหน้าคนเป็นแม่อย่างไม่เข้าใจว่าทำไม ถึงได้เปลี่ยนคำถามที่ถามเธอ แต่อีกใจก็รู้สึกดี เพราะเธอก็ยังไม่อยากเปิดเผยความในใจนี้ให้ใครรู้เช่นกัน

    ผู้นำหุบผาเขียวเดินนำหน้าลูกชายกับลูกน้องคนสนิทมายังกระท่อมท้ายหุบผา ทางเดินร่มรื่นด้วยต้นไม้สูง ความอุดมสมบูรณ์สร้างความชุ่มชื่นไปทั้งป่า เรื่องราวของไอ้โม่งถูกถ่ายทอดให้เขารู้ระหว่างทางที่เดินมาไม่มีคำถามใดๆ เพราะการมาเห็นกับตานั้นเป็นคำตอบที่ดีที่สุด... ทั้งสามเดินมาถึงกระท่อม ที่สร้างด้วยไม้มุงด้วยหญ้าหยาบๆ ชายสองคนที่เดินเป็นยามเฝ้ากระท่อม รีบเดินมาหาคนเป็นนายทันที ก้มหน้าคำนับแล้วถอยไปยืนคอยรอรับฟังคำสั่งอยู่ไม่ห่าง แต่ไม่มีคำถามหรือคำสั่งใดๆ ให้ต้องไปทำ

    พิชิตเดินไปเปิดประตูให้นายทั้งสองคนได้เดินผ่านเข้าไปด้านใน หมอวัยกลางคนที่นั่งดูแลคนไข้หันมามองคนที่เข้ามา พอเห็นว่าเป็นใครก็ลุกขึ้นยืน ก้มหน้าให้ความเคารพแล้วยืนนิ่ง ปล่อยให้เจ้านายสำรวจคนไข้ ที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ติดหน้าต่าง มีไม้ค้ำยันให้แสงสว่างกับสายลมผ่านเข้ามาให้อากาศถ่ายเท ร่างของไอ้โม่งนอนหลับเหยียดยาว ไม่สวมเสื้อสวมแค่กางเกง กลางลำตัวกับขามีผ้าพันแผล รอยช้ำกระจายอยู่หลายแห่งรวมถึงใบหน้า และยังมีบาดแผลที่คอ ซึ่งคงไม่สาหัส เพราะไม่มีผ้าพันแผลหรือรอยเย็บ ใส่แค่ยาไว้เท่านั้น

    สองคนพ่อลูกละสายตาจากมันมามองหน้าหมอ “ทำให้มันตื่นขึ้นมา” เสียงผู้นำท่านสั่งออกมา แววตาของหมอฉายความหนักใจ เพราะรู้สภาพของคนป่วยดี จึงบอกว่า

    “ให้เวลามันพัก เผื่อความทรงจำจะกลับมาดีกว่าปลุกมันขึ้นมาแล้วไม่ได้อะไรเลยนะครับ”

    “พิชิต”

    เสียงเรียกคนสนิทนั้นบอกให้รู้ว่าคนเป็นนายไม่ฟังคำพูดหมอ พิชิตขยับตัวมาที่แคร่ ยื่นมือไปตบแก้มมันซ้ำ จนดวงตาที่ปิดสนิทของมันค่อยๆ ลืมตื่นขึ้นมา ก็ยืดตัวขึ้นเปิดทางให้นายได้มองหน้ามัน ซึ่งผู้นำก็ขยับมายืน ชิดแคร่ มองเข้าไปในดวงตามัน ที่ไม่มีการกลับกลอกบอกความรู้สึกใดๆ แล้วพูดออกมาช้าๆ ชัดๆ ทีละคำ 

    “แก-ชื่อ-อะไร”

    ไม่มีเสียงตอบ ผู้นำก็ถามออกมาอีก หวังว่าจะมีสักหนึ่งคำถามที่จะมีเสียงพูด

    “ไอ้-ผู้พิทักษ์-มันตายหรือยัง”

    “แก-เจอ-มัน-ที่ไหน”

    คำถามดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่มีเสียงตอบมีแต่ความเงียบเท่านั้น อารมณ์ของผู้นำจึงพุ่งสูงขึ้นขณะความอดทนที่จะรอลดต่ำลง แล้วตวัดสายตาไปมองคนสนิท พิชิตก็รู้ใจ ยื่นมือไปกดทับแผลที่หน้าท้องมันทันที

    “อ้าก!” เสียงร้องดังขึ้น ลำตัวบิดงอด้วยความเจ็บแววตาที่เลื่อนลอยไหวให้รู้ว่ามันเริ่มมีความรู้สึก เสียงของพิชิตจึงดังรอดไรฟันออกมา

    “มึง-เป็น-ใคร”

    “ใคร ใคร” เสียงมันดังแผ่วออกมาเป็นคำๆ สร้างความพอใจให้    ทุกคน และเริ่มจะมีความหวังว่าความทรงจำของมันจะกลับมา

    “ใช่ใคร บอกมา”

    มันส่ายหน้าขณะแววตาเริ่มกลับมานิ่งไร้ความรู้สึก พิชิตจึงออกแรงกดแผลมันอีก “อ้าก!” เสียงร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าบิดเบ้ แต่ก็ไม่มีคำพูดใดดังออกมาให้ได้ยินอีก “บอกมา” พิชิตคำรามออกมาพร้อมกับเพิ่มแรงกดจนมันดิ้นทุรนทุราย เลือดไหลซึมออกมาชุ่มฝ่ามือและผ้าพันแผลหมอที่ยืนมองอยู่จึงต้องร้องห้ามออกมา

    “พอเถอะ เดี๋ยวมันจะช็อกตายเสียก่อน”

    พิชิตตวัดสายตาไปมองหน้าคนเป็นนาย แต่ยังไม่มีคำสั่งเขาก็ไม่ยอมรามือ ไอ้โม่งร้องโหยหวน จนหมอกลัวว่าทุกอย่างจะสายเกินไป      จึงหันไปขอร้องเจ้านายอีกครั้ง “ท่านครับ”

    ผู้นำหุบผามองหน้าหมออย่างไม่พอใจ แต่สุดท้ายเพื่อผลประโยชน์    ก็พยักหน้าสั่งคนสนิทให้พอ แล้วหมุนตัวเดินออกมายืนข่มอารมณ์อยู่หน้ากระท่อม ไม่กี่อึดใจลูกชายกับพิชิตก็เดินออกมายืนอยู่ข้างๆ เขาหันมามองหน้าแล้วถามออกมาทันที “มีข่าวของไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งหรือยัง”

    “ยังครับท่าน คนแกะรอยที่ส่งไปได้แต่ความว่างเปล่ากลับมา ไม่มีร่องรอยของมันเลย”

    “ถ้าคนของแกได้มาก็แปลกแล้ว ก็รู้กันอยู่ว่ามันเก่งและชำนาญป่า   แค่ไหน”

    “งั้นอีกไม่นานมันต้องกลับไปถึงยอดเขาแน่ แต่ว่าท่านอยากจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไหมครับ”

    คำถามของคนสนิททำให้สองพ่อลูกปรายตามองหน้ากัน แล้วเวหาก็เป็นฝ่ายถามออกมา “แกจะทำยังไง”

    “จุดไฟล้อมป่า แล้วรอดับ รับรองว่ามันออกมาให้เราดับดิ้นสิ้นลมหายใจแน่นอนครับ”

    “เป็นวิธีที่ดี แต่ไม่ได้ดีไปกว่าคำว่าโง่” ผู้นำตำหนิออกมา คนสนิท  หน้าเสียไปเล็กน้อย แต่เมื่อฟังเหตุผลก็ต้องยอม “ผืนป่าออกจะกว้างใหญ่ จุดที่มันอยู่เราก็ยังไม่รู้ ขืนไปจุดไฟสุ่มสี่สุ่มห้า เกิดมันหรือใครมาเห็นเข้า จะทำยังไง จะไม่กลายมาเป็นหลักฐานสาวมาถึงตัวเราเหรอ ที่สำคัญ    ถ้ามันเห็นว่าใครเป็นคนจุด แทนที่มันจะไหม้อาจจะเป็นเราที่ต้องไหม้   เสียเอง”

    “ขอโทษด้วยครับท่าน”

    “ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าแกหวังดี แต่น่าเสียดายที่ในวิกฤตแบบนี้ โอกาสอยู่ในมือเราแท้ๆ แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย”

    “งั้นเราควรจะไปดูลาดเลา เผื่อจะได้โอกาสมาบ้างดีไหมครับพ่อ” เวหาที่ยืนฟังมาพอสมควรเอ่ยขึ้น คนเป็นพ่อจึงปรายตามามองก่อนถามออกมาด้วยความสงสัย

    “หมายความว่าไง แกจะให้ฉันทำอะไร”

    “เยี่ยมผู้ปกครอง”

     

     


    หนังสือสามารถหาซื้อได้ที่ ร้านนายอินทร์ทุกสาขา (หาไม่พบสอบถามที่เคาน์เตอร์ได้ค่ะ)



    แฟนเพจนักเขียน ...


    ในรูปแบบอีบุ๊ก 




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×