ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บังลังค์รักภูผา

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 31 ธ.ค. 59


     

     บทที่ ๔

     

      

    เรือนไม้ขนาดกลางที่สร้างอยู่ข้างเรือนปูน เป็นที่อยู่ของภรรยาอีกคนกับลูกสาวของนายเมฆา ทั้งคู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่จัดวางอยู่ตรงมุมระเบียงมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งใบให้ร่มเงา สายตาของทั้งคู่มองไปตรงทางเข้าคล้ายจะรอคอยอะไรบางอย่าง ซึ่งก็คงไม่พ้นประมุขของเรือน ที่รู้ว่าออกจากหุบผาไปประชุมกับผู้ครองบัลลังก์ และเมื่อเห็นคนเดินมาไกลๆ       ริมฝีปากของทั้งคู่ก็เปิดออกยิ้ม แต่ยิ้มค้างเมื่อคนที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่ใช่คนที่รอ

    รอยยิ้มของภรรยาที่สองของผู้นำหุบผาเหลือง นางจันทราหุบลงทันทีแต่สีหน้ายังสดใส เพราะคนที่เห็นถึงไม่ใช่คนที่รอก็มีประโยชน์ต่อนางเหมือนกัน แล้วปรายตามองลูกสาว เดือนดาวที่ไม่ได้สนใจคนที่เห็นอีกแล้ว นางจึงต้องเปรยออกมาเบาๆ แค่ให้ได้ยินกันสองคน

    “ทำหน้าให้ดีๆ แล้วรีบลุกขึ้นไปต้อนรับหน่อย”

    “เพื่ออะไรคะแม่”

    “ถามมาได้ ก็จะได้ไม่เป็นหมาหัวเน่าไง” นางบอกแล้วใช้ประสบการณ์ในชีวิตสอนลูก เพื่อไม่ให้เป็นสองรองใครแบบนาง

    “แม่ให้สมองมาแล้วก็หัดใช้ให้มีรอยหยักเพิ่มขึ้นมาหน่อยซิจ๊ะ” เสียงของนางเนิบๆ แต่แฝงด้วยความจริงจัง

    “หนูต้องไม่ลืมว่าคุณเมฆนะเขาเป็นลูกรักของคุณพ่อ แล้วอนาคตเขาก็ต้องเป็นผู้สืบต่อดูแลหุบผาเหลืองต่อจากคุณพ่อแน่นอน ฉะนั้นหนูก็ต้องอ่อนน้อมคอยรับใช้คอยเข้าหา เพื่อจะเขาเอ็นดูพร้อมดูแลให้หนูอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขตลอดไป”

    “แต่เขาไม่ชอบหนู”

    “แต่ยังไง เขาก็ตัดสายเลือดจากหนูไม่ขาด”

    เดือนดาวยิ้มที่มุมปากให้ตัวเอง เพราะสิ่งที่เธอเห็นเธอสัมผัสมาตั้งแต่เด็กที่จำความได้นั้น ช่างต่างจากสิ่งที่คนเป็นแม่พูดเหลือเกิน ร่างสูงที่กำลังเดินไปที่เรือนปูนหลังใหญ่นั้น จิตใจไม่ได้มีความอ่อนโยนมีแต่    ความหยาบกระด้าง สายตาที่มองเธอก็เหมือนไส้เดือนกิ้งกือที่น่ารังเกียจ ไม่ใช่น่าเอ็นดูอย่างคนที่มีสายเลือดครึ่งหนึ่งเหมือนกัน ที่สำคัญเธอค่อนข้างมั่นใจว่าเขาตัดเธอขาดแน่นอน

    “ขาดค่ะ เพราะเลือดของหนูไม่ได้สีเดียวกับเขา แต่มีสีอื่นมาเปื้อนปน และแม่ลืมอดีตไปแล้วเหรอคะ”

    นางจันทรานิ่งไปกับคำถามของลูก ภาพในอดีตหวนกลับมาตั้งแต่ลูกของนางเป็นเด็กเล็กๆ ถูกกลั่นแกล้งต่างๆ นาๆ แม้จะมีเสียงห้ามปรามจากใครต่อใคร แต่เด็กชายไม่เคยฟัง จะมีลดเว้นให้บ้างก็ต่อเมื่อมีคำ    คาดโทษจากคนเป็นพ่อเท่านั้น ส่วนคนเป็นแม่แค่ปราม แต่สายตานั้นนางดูออกว่าสนับสนุน

    “แม่ไม่ลืมหรอก แต่อดีตมันผ่านไปแล้ว หนูต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อีกอย่างหนูก็เป็นลูกรักของคุณพ่อไม่ต่างจากเขา และได้เปรียบมากกว่าเพราะความอ่อนหวาน ไม่แข็งกระด้าง มุทะลุ เอาแต่ใจ ไม่ฟังใครแบบเขา  หนูต้องใช้ความเป็นกุลสตรีออดอ้อนคุณพ่อกับเขาให้มากเผื่ออนาคตที่แม่ไม่อยู่แล้วหนูจะได้สุขสบายอยู่ที่นี่”  

    “คับที่อยู่ได้แต่คับใจอยู่ยากนะคะ”

    “ยากแค่ไหนก็ต้องอยู่ แม่จะไม่ยอมให้หนูมีแค่สายเลือดแต่ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเด็ดขาด” เสียงของนางมุ่งมั่น แล้วยิ้มปลอบโยนลูก

    “จำคำแม่ไว้ให้ดีนะลูก แล้วอะไรที่มันไม่มีค่า ก็อย่าไปมองไปสนใจให้มากนัก เพราะมันไม่ได้ทำให้หนูดูดีขึ้น มีแต่ตกต่ำลงเท่านั้น”

    เดือนดาวหลบตาคนเป็นแม่มามองมือตัวเองที่วางอยู่บนหน้าขา    นางจันทรามองตามแต่ก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่าที่พูดไปแล้ว เพราะรู้ว่า     ลูกคงจะรู้ว่านางหมายถึงอะไร แล้วยิ้มออกมา เมื่อหางตาเห็นว่าตรงทางเดินเข้ามายังเรือนนั้น ร่างของคนที่รอกำลังเดินตรงมาหา

    “คุณพ่อมาโน่นแล้ว รีบไปรับหน้าเถอะ เดี๋ยวแม่จะไปเตรียมน้ำเย็นๆกับของว่างมาให้”

    “ค่ะ” เดือนดาวก็ลุกขึ้นอย่างว่านอนสอนง่าย แต่จริงๆ แล้วภายในตัวเธอไม่ได้อ่อนเหมือนบุคลิกภายนอก อดีตของเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับสายเลือดของผู้นำหุบผาเหลือง ที่มีอยู่ในตัวสอนให้เธอเข้มแข็งขึ้นมา เพียงแต่ต้องซ่อนเอาไว้เมื่อมันยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องสู้กับใครเท่านั้นเอง

     

    ภาพที่เดือนดาวเดินยิ้มหวานมาหานายเมฆาคนเป็นพ่อนั้น ทำให้คนสามคนที่มองอยู่สองสถานที่ รู้สึกไปคนละอย่าง คนแรกคือนางนภาภรรยาเบอร์หนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายในห้องพักผ่อนที่ปิดล้อมด้วยกระจกใส เมินมองไปทางอื่นเหมือนไม่สนใจ แต่ใจจริงเจ็บลึก เพราะ      ลูกกับเมียเบอร์สองของสามีนั้น เปรียบเหมือนหนามหยอกอกนางมานับสิบปี ขณะที่คนที่สองคือเมฆมองอย่างเกลียดชังไม่ปิดบัง และกำมือทุบลงบนที่วางแขนเก้าอี้ที่นั่งอยู่

    “สาระแน!” เสียงเขากร้าวออกมา ก่อนจะอ่อนลงเมื่อเอ่ยกับคนเป็นแม่

    “แม่จะไม่ขยับไปขวางหน่อยเหรอครับ”

    “เดี๋ยวคุณพ่อก็มา จะขยับไปทำไมจ๊ะ” เสียงนางอ่อนหวานยามพูดกับลูกอีกอย่างนางรู้นิสัยลูกชายดีจึงนิ่งเฉยเหมือนไม่สนใจ แต่ใจจริงแล้วนั้นยินดีทันทีที่เห็นลูกชายลุกขึ้นออกหน้าแทน

    ส่วนคนที่สามคือกาฝากอย่างหมอกที่ต้องเดินผ่านเรือนทั้งสองหลัง  ไปยังเรือนพักของตัวเองที่อยู่ด้านหลังสองเรือนนี้ หยุดยืนมองอยู่ใต้ต้นไม้อีกด้านของเรือน ภาพความรักระหว่างพ่อลูกนั้นเป็นสิ่งที่เขาโหยหา แต่ที่เขาต้องหยุดมองคือรอยยิ้มของหญิงสาวแสนสวยต่างหาก แววตาเขายามที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าใคร หรือกลัวใครจะเห็นบอกความรู้สึกชัดเจน แต่แวบเดียว ก็เปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง เมื่อร่างสูงของคนที่ไม่ชอบหน้าเขาก้าวพรวดมากระแทกไหล่หญิงสาวที่เขามองอยู่

    เดือนดาวยิ้มอย่างไม่รู้สึกอะไร แล้วถามคนเป็นพ่ออีกครั้งด้วยคำถามเดิมที่ท่านยังไม่ตอบ “คุณแม่เตรียมน้ำเย็นๆ กับของว่างไว้ให้แล้ว คุณพ่อมาเหนื่อยๆ ไปนั่งพักดื่มน้ำและให้ดาวนวดให้นะคะ” ว่าแล้วก็นวดแขนแกร่งเป็นการอ้อนไปในตัว แต่สร้างความชิงชังจากอีกคน ซึ่งต้องรีบบอกว่า

    “พ่อควรจะไปหาแม่ก่อนนะครับ ส่วนคนที่เป็นรองควรจะรอต่อไป”

    “ดาวทำของโปรดของคุณพ่อไว้ด้วยนะคะ ไปทานก่อนดีกว่าค่ะ” เสียงเธอทอดหวาน แล้วยกมือขึ้นคล้องแขนคนเป็นพ่อ ก่อนจะเอนตัว    ซบไหล่คลอเคลียเหมือนลูกแมว โดยไม่สนใจตาลุกวาวของพี่ชายต่างแม่   ที่แทบจะเผาเธอให้เป็นจุณอยู่แล้ว

    นายเมฆายิ้มเอ็นดูลูกสาว ราวกับตกลงทำตามแต่คำบอกที่เอ่ยออกมานั้น

    “หนูไปบอกแม่ให้ยกทุกอย่างมาที่นี่ก็แล้วกัน จะได้ทานกันพร้อมหน้าพร้อมตาพร้อมทุกคน”

    สีหน้าของเมฆเหยียดเยาะราวกับคนที่คว้าเส้นชัยไว้ในกำมือทันที แต่เพียงเสี้ยววินาทีชัยชนะนั้นก็ต้องกระชากไปต่อหน้าต่อตา เมื่อนังเลือดปนเปื้อนเอ่ยเสียงออดเสียงหวานว่า

    “ค่ะ แต่เดี๋ยวให้สาวใช้ไปบอกดีกว่านะคะ ดาวขอไปพร้อมคุณพ่อก็แล้วกัน”

    “ก็ดี ไปซิ”

    พูดจบผู้นำหุบผาเหลืองก็ออกเดินนำ โดยมีลูกสาวก้าวตามไปติดๆ แต่ลูกชายยังไม่ได้ก้าวตาม ยังยืนนิ่งเพราะหัวใจที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง   นังเลือดปนเปื้อน แววตาเขาแข็งกร้าวบอกความรู้สึก จนทำให้คนที่ยืนมองอยู่ห่างๆ กังวลปนห่วงใยหญิงสาว ที่มองตามไปด้วย

     

    หมู่มวลพฤกษากลางพนาพลิ้วไหวร่ายรำไปตามแรงลมที่พัดมา เสียงหวีดวิวดังแผ่วๆ ขึ้นท่ามกลางความเงียบของพนาไพร ก่อนจะถูกแทรกด้วยเสียงแมลงและเสียงฝีเท้าของคนสองคน ที่ก้าวเดินย่ำลงบนพื้นดินปนหินและใบไม้แห้ง ทั่วทั้งบริเวณที่สายตาของหนึ่งในสองคือ    หญิงสาวได้มองไป มีแต่ความเขียวชอุ่ม แซมด้วยสีน้ำตาลของใบไม้ที่       ตายแล้วรอเวลาที่จะร่วงโรยลงมา ความห่อเหี่ยวเกิดขึ้นมาในใจของคนมอง เพราะสภาพของตัวเองก็ไม่ต่างจากใบไม้นัก ชีวิตที่ไม่ใช่ชีวิตของตัวเองก็ไม่ต่างจากใบไม้ที่ตายแล้วจริงๆ

    เหงื่อเม็ดใหญ่ๆ ผุดขึ้นเต็มใบหน้างามของหญิงสาว แม้จะมีสายลม ความร่มรื่นของพฤกษ์ไพรช่วยให้เย็นสบาย แต่ร่างกายที่บาดเจ็บผสมกับความเหนื่อยล้า ความหิวทั้งอาหารและน้ำ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ แม้จะฝืนไว้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็งแต่สุดท้ายก็ไม่อาจจะทนทานได้ ร่างอรชรซวนเซจนต้องจับต้นไม้ไว้ เข่าอ่อนจนแทบทรุดก็ไม่ทรุดเพราะมือที่ยันต้นไม้ไว้ แต่ก็ไม่อาจจะก้าวตามร่างสูงที่เดินอยู่ข้างหน้าได้อีกแล้ว เพราะเท้าของเธอยกไม่ขึ้นจากพื้น จะลากตามก็ไม่ได้เช่นกัน ทำได้เพียงทรุดตัวลงนั่งเท่านั้น 

    เสียงฝีเท้าที่หายเงียบไป ทำให้ร่างสูงต้องเอียงหน้ากลับมามอง ดวงตาคมกริบนิ่งลึกลงเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นร่างที่เดินตาม ตวัดสายตากราดมองทันที ก็ได้เห็น มองนิ่งเพียงลมหายใจออกก็ออกเดินต่อ        หญิงสาวที่มองอยู่ก็หลับตาลงบอกตัวเองให้หลับไปเสีย หลับแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกได้ยิ่งดี

    ดวงอาทิตย์สาดส่องผ่านกิ่งไม้ใบไม้หนาทึบลงมาสู่พื้นดิน แสงรำไรกระทบกระจายทั่วบริเวณ ไม่เว้นแม้แต่หญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ ดวงตาที่ปิดสนิทเริ่มกะพริบเมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่ส่องมากระทบผิว ดวงตาเปิดขึ้นมา ร่างกายทุกส่วนก็เริ่มรับรู้สิ่งต่างๆ หูได้ยินเสียงบางอย่าง จมูกก็ได้กลิ่นหอม สายตาจึงตวัดหาที่มาแล้วก็ได้เห็น... กองไฟเล็กๆ ลุกไหม้อยู่ไม่ห่าง มีไม้ไขว้กันเป็นสามเหลี่ยมปักลงดิน เป็นฐานรองรับไม้อีกอันที่เสียบปลาตัวใหญ่ ส่งกลิ่นหอมยั่วท้องของเธอให้อยากจะร้องขอกินทันที

    เธอกลืนน้ำลายลงคอ ข่มความหิวไว้ แล้วมองหาเจ้าของกองไฟ    โดยไม่สงสัยว่าเป็นใครก่อมันขึ้นมา แล้วก็ได้เห็นถัดจากกองไฟไปไม่เท่าไร ร่างสูงกำลังยืนปักไม้ลงดิน แม้จะเห็นแค่แผ่นหลัง เธอก็จดจำได้ เพราะ   สองวันที่ผ่านมาเธอเห็นแผ่นหลังนี้มากกว่าหน้าตาเขาเสียอีก

    ต้นไม้ขนาดใหญ่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของเถาวัลย์ที่มีความเหนียว       ทนลากยาวมายังไม้สี่อันที่ปักไว้ พันเกี่ยวโยงใยเป็นตาข่ายถี่ๆ รองรับใบไม้แห้งที่เขากอบขึ้นไปวาง กระจายไปทั่วตาข่าย เธอก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาทำที่พักพิง นั่นแสดงว่าใกล้จะมืดแล้วเหรอ ถามตัวเองแล้วเธอก็หันหน้าหาพระอาทิตย์ ซึ่งเคลื่อนคล้อยบอกเวลาว่าใกล้จะค่ำแล้วจริงๆ...      นี่เธอหลับไปนานแค่ไหน ความสงสัยมาพร้อมการคิดคำนึงถึงช่วงที่หมดแรงแล้วหลับไป คงนานพอที่ทำให้เจ้าชีวิตเธอหาอาหารและทำที่พักพิงได้สำเร็จ

     

    ร่างสูงหันมาสบตาหญิงสาวที่มองอยู่ แล้วเดินไปนั่งข้างกองไฟ    ไม่มีคำพูดบอกกล่าวอะไรทั้งสิ้น แต่เธอก็เหมือนจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร      ขยับตัวเพื่อจะลุกขึ้นด้วยความลืมตัวว่ามีแผลเจ็บอยู่ ใบหน้างามจึงบิดเบ้เพราะแขนทั้งแขนตึงและเจ็บ จึงต้องระมัดระวังในการลุกขึ้นเดินมาหา   ร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ มือหนาจับเรียวไม้เขี่ยกองไฟให้มอดลงเธอ   ทรุดตัวลงนั่งตรงกันข้าม สายตามองปลาที่ส่งกลิ่นหอม แอบกลืนน้ำลายลงคอ และเก้อเขินเล็กน้อยเมื่อท้องร้องขึ้นมา

    กระบอกไม้ไผ่ถูกส่งมาให้ไม่ต้องถามว่าคืออะไรเธอก็รู้ ยื่นมือไปรับมาแล้วยกขึ้นมาแตะริมฝีปาก น้ำเย็นๆ ก็ไหลลงคอ สดชื่นไปทั้งตัวและหัวใจ

    “ขอบคุณ” เธอเอ่ยออกมาแล้ววางพิงก้อนหินไว้กับกิ่งไม้แห้งที่กองไว้เป็นเชื้อไฟ

    “ฉันกินได้ไหม” เธอเอ่ยถาม เพราะตอนนี้ไม่จำเป็นต้องหยิ่งทระนงด้วยศักดิ์ศรีอีกแล้ว เมื่อชีวิตเธอเป็นของเขา

    “เชิญ”

    มือเรียวยื่นไปจับไม้เสียบปลา มาเป่าให้คลายความร้อนแล้วดึงเกล็ดปลาออก ให้เห็นเนื้อขาวๆ น่ากิน ปลายนิ้วค่อยๆ แกะออกมาเพราะยังมีไอร้อน กระทั่งไอร้อนคลายลงเนื้อปลาขาวๆ ก็เข้าไปหอมหวานอยู่    ในปาก ใบหน้างามแช่มชื่นขึ้นราวกับได้กินอาหารทิพย์ และกินไปอีก    สองสามคำก็หันไปมองคนที่หาปลามาให้ความรู้สึกละอายเกิดขึ้นมาที่กินโดยไม่เอ่ยชวนเขาทั้งๆ ที่เขาเป็นคนหามา ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าเขาไปหามาจากไหน จึงยื่นไม้เสียบปลาไปให้เขา

    “ฉันกินแล้ว”

    เสียงตอบนิ่งเรียบจับความรู้สึกไม่ได้เช่นเคย แต่เธอก็เชื่ออย่างที่เขาบอก เพราะเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกหรือปล่อยให้ตัวเองหิว  เพื่อเธอผู้หญิงที่ไม่ได้มีความสำคัญใดๆ กับเขาเลย นอกจากภาระเท่านั้น ใบหน้าเขายังคงซ่อนไว้ใต้ผ้าสีดำ ดวงตาที่เห็นว่าคมกริบไม่ได้สนใจจะมองเธอด้วยซ้ำ จึงนั่งกินปลาไปเงียบๆ

    ทันทีที่เธอสนใจปลา ดวงตาที่ไม่ได้สนใจเธอก็ตวัดขึ้นจับจ้อง      ทุกอิริยาบถของเธอ ท่าทางการกินนุ่มนวลไม่บุ่มบ่ามตะกละตะกลาม   แม้จะหิวจนไส้แทบขาด นั่นบอกให้เขารู้ว่า เธอต้องมาจากครอบครัวที่มีการอบรมมาดีแน่นอน และยังมีน้ำใจเอาใจใส่เอื้ออาทรต่อเขา ที่เปรียบเหมือนศัตรูที่เกือบจะฆ่าเธอทิ้งนั่นอีกที่ทำให้เขาต้องหันมามองเธออีกครั้ง ความสงสัยที่มีอยู่ว่าเธอเป็นใครก็เพิ่มขึ้นมา ใครที่มีความสำคัญถึงขั้นต้องมีคนตามมาเอาตัว โดยไม่กลัวความโหดร้ายของภูเขาดำ

    “เราจะออกไปจากที่นี่ได้ไหม”

    เสียงหวานดังแทรกความเงียบขึ้นมา เมื่อปลาในมือเหลือแค่ก้าง สายตาจับจ้องหน้าที่อยู่ใต้ผ้าสีดำ แต่ดวงตายังมองกองไฟอยู่ “ได้” เสียงห้วนห้าวบอก “ถ้าไฟไม่ไหม้ป่าเสียก่อน”

    “หมายความว่าไง” เธอถามอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจ

    “แผลบนตัวเธอนั่นไง”

    คำอธิบายต่อมาไม่ได้ทำให้เธอเข้าใจมากขึ้น ขวัญชนกจึงนิ่งคิดถึงความนัยในคำพูดเขา สลับกับการมองแผลที่แขนตัวเอง ก็ค่อยๆ เข้าใจว่า  เขาหมายถึงไอ้คนที่ทำร้ายเธอ เพราะมันยังไม่ตาย ฉะนั้นโอกาสที่มันจะกลับมาทำร้ายเธอก็มีอีก ที่สำคัญเธอไม่รู้ว่าจะมีแค่มันหรือจะมีใครอีกไหม อีกอย่างกลุ่มคนที่จับตัวเธอครั้งแรก ก็ยังไม่ตายเหมือนกัน พวกมันจะต้องตามมาเอาตัวเธอ เพื่อทำตามแผนการให้สำเร็จแน่นอน แต่สิ่งที่มันพูดกับเธอนั้น...

    ความนิ่งของเธอบอกให้เขารู้ว่าเธอเข้าใจคำนัยของเขาฉลาดไม่น้อย เขาชมเธอในใจ แล้วตวัดสายตาขึ้นมองใบหน้างาม แต่แววตาที่มองเขาอยู่นั้น ทำให้เขาจ้องอย่างค้นหาว่ามีความหมายใด และเธอก็ไม่ปล่อยให้เขาต้องคิดเมื่อบอกออกมาว่า

    “ไฟที่จะไหม้ป่า อาจจะไม่ได้เกิดมาจากแผลของฉันก็ได้”

    “จะบอกว่าเกิดจากฉันงั้นเหรอ”

    “ฉันไม่รู้ แต่มันบอกอย่างนั้น” พูดไปแล้วเธอก็นิ่งคิดว่าจะบอกเขาทั้งหมด หรือจะเก็บเอาไว้แล้วตัดสินใจว่าจะบอก เพราะตอนนี้เธอต้องพึ่งเขา ต้องพึ่งซึ่งกันและกันเพื่อเอาชีวิตรอดไปจากป่าแห่งนี้ให้ได้ แม้จะมอบชีวิตให้เขาไปแล้ว แต่การทำดีกับเขาไว้ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะอาจจะมีผลดีในอนาคตข้างหน้าก็ได้ใครจะไปรู้

    “มันบอกว่าฉันเป็นเพียงนกต่อแต่เป้าหมายของมันจริงๆ ก็คือคุณ”

    “มันจะทำอะไรฉัน”

    “ฆ่า”

    “แล้วนางนกต่อจะเป็นยังไง”

    “คำเดียวกัน...ฆ่า”

    เธอเอ่ยคำนี้ออกมาเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ มันยังมีความสั่นไหวของความกลัว ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ที่ชีวิตยังสุขสบายอยู่ เธอคงจะหน้าซีดและไม่มีวันพูดคำนี้ออกมาได้ง่ายๆ แบบนี้ แต่หลังจากชีวิตต้องเผชิญกับความเป็นความตาย ได้เห็นการฆ่าซึ่งหน้ามาแล้ว ก็รู้ว่าชีวิตอยู่ใกล้คำนี้เหลือเกิน

    ส่วนคนที่ได้ฟังคำตอบ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขานิ่งจนหญิงสาวต้องมองอย่างสงสัยว่าเชื่อในคำพูดเธอหรือไม่ และมองร่างสูงที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พร้อมกับบอกว่า “ตามมา” ใบหน้างามฉงนออกมา แต่ก็ไม่ถามว่าเขาให้ตามไปไหน เธอลุกขึ้นก้าวตามไปโดยดี แต่แผลที่ยังเจ็บอยู่       ไม่เอื้อให้เธอเดินตามไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนที่เดินนำหน้าก็เหมือนจะรู้   สองขาก้าวไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบเหมือนที่ผ่านมา

    ทั้งคู่เดินตามแสงตะวันที่เคลื่อนคล้อยต่ำลง จนใกล้จะลาลับ    ขอบฟ้า เสียงแมลง เสียงสายลม เสียงกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ นกน้อยบินขึ้นจากกิ่งไม้ พื้นดินถิ่นหากินเพื่อกลับคอนไปนอนรัง ปีกของมันขยับขยายฝ่าสายลมเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย     เธอได้แต่มองอย่างอิจฉา เพราะไม่สามารถที่จะทำอย่างมันได้ ทั้งๆ ที่ใจอยากกลับคอนไปนอนรัง นอนซุกอกแม่กับพ่อใจแทบขาดอยู่แล้วก็ตาม น้ำตาเอ่อขึ้นมาบ่งบอกความอ่อนแอในใจ แล้วรีบข่มให้จางหายไป        ไม่ยอมให้มันมาบั่นทอนจิตใจในยามนี้ ยามที่เธอต้องมีแต่ความเข้มแข็งเท่านั้น ถึงจะอยู่รอดในป่านี้และกลับไปหาท่านทั้งสอง

    เธอบอกตัวเอง แม้จะเป็นการบอกซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง เธอก็ต้องทำเพื่อให้กำลังใจตัวเอง แล้วข่มความรู้สึกไว้ มองแค่แผ่นหลังสูงที่เดินอยู่ข้างหน้า บางครั้งก็มีความคิดว่าอยากจะเห็นหน้าใต้ผ้าสีดำเหมือนกันว่าจะเป็นยังไง คงดุไม่ต่างจากดวงตาคมของเขา ริมฝีปากเธอแย้มออกมาเหมือนจะยิ้ม และหายไปเมื่อได้ยินเสียงลอยๆ ดังมาว่า 

    “มีชื่อหรือเปล่า”

    “ขวัญชนก”

    “ภูผา”

    คำตอบที่เธอไม่คิดจะได้ยิน และไม่ค่อยเข้าใจคนตรงหน้านัก เพราะบางครั้งเขาก็ทำเหมือนมีกำแพงห้ามไม่ให้เธอเข้าใกล้ แต่บางครั้งกลับไม่มีเปิดโล่งปล่อยให้เข้าถึงได้อย่างง่ายดายเหมือนตอนนี้ แต่เธอก็ไม่กล้าถามอะไรมากอยู่ดี เพราะกลัวจะชนกำแพงให้เจ็บอีก

    “คุณจะพาฉันไปไหน”

    แม้คิดว่าไม่ควรจะถามอะไร แต่เธอก็ยังถามออกมา จนอยากจะกัดลิ้นตัวเองที่ปากไว และเตรียมตัวที่จะรับกำแพงที่สร้างมาปะทะ แต่กลับ   ไม่มีร่างสูงยังคงเดินฝ่าป่ารกแต่ไม่ทึบมากต่อไปราวกับรู้เส้นทางดี ซึ่งเธอ   ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าใบไม้กิ่งไม้ มีรอยช้ำแสดงว่าต้องเป็นเส้นทางที่ถูกใช้แล้วนั่นเอง แล้วใครเป็นคนใช้คงเป็นเขาเธอตอบตัวเองไม่งั้นคงไม่เดินนำพาเธอมากระทั่งได้เห็นแอ่งน้ำ

    ริมฝีปากแย้มยิ้มออกมันทีที่ได้เห็น เพราะร่างกายเธอถวิลหา      น้ำเหลือเกิน อยากให้สายน้ำที่เย็นฉ่ำรินรดคราบเหงื่อไหล ความสกปรกต่างๆ ให้ออกไป สองขาก้าวเร็วๆ ไปหาน้ำเหมือนเด็กที่เห็นของเล่นที่ถูกใจลืมความเจ็บปวดและไม่ยี่หระต่อก้อนหินเล็กกลางใหญ่ที่กระจายอยู่โดยรอบแอ่งน้ำ และเพียงแค่เท้าได้สัมผัสน้ำ เรียวปากอิ่มก็ยิ้มกว้างขึ้นไปอีก ยิ้มไปทั้งหน้าและหันมายิ้มให้คนที่พามาด้วย แล้วหันกลับไปกวักน้ำเย็นๆ เล่น

    รอยยิ้มหวานเหมือนไม่ได้มีผลอะไรกับภูผา แต่จริงๆ แล้วยังติดตาเขาอยู่โดยที่เขาไม่รู้ตัว แล้วเดินตามลงไปนั่งบนก้อนหินที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำพอสมควร แอ่งน้ำแห่งนี้คงเกิดมาจากธารน้ำตกที่ไหลมาจากหุบผาใด   หุบผาหนึ่งบนภูเขาดำ เขาพบมันเมื่อเดินหาอาหารและน้ำให้ตัวเอง ปลาที่เป็นอาหารของเขากับเธอ ก็มาจากแอ่งน้ำนี้ ซึ่งไม่ได้ยากในการจับเมื่อตำแหน่ง ผู้พิทักษ์ผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำนั้น สร้างให้เขาเป็นและเก่งเกือบทุกอย่าง อาวุธก็มีพร้อมอยู่ที่ตัว ทั้งมีดปืนแม้กระทั่งไม้ขีดที่เขาต้องมีไว้เพราะความมืดของป่า คืออันตรายที่ต้องใช้แสงสว่างเปิดทางเป็นบางครั้ง

    เขายังไม่ได้สำรวจว่าสายน้ำที่ไหลมายังแอ่งนี้มาจากหุบผาใด       ทีแรกที่เจอเขาจะใช้มันเป็นเส้นทางการเดินกลับไปหาผู้ครองบัลลังก์ แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเธอที่บอกถึงการฆ่า ทำให้เขาต้องคิดเสียใหม่ และคิดไปถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องตกหน้าผาลงมาพร้อมเธอ รวมถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา มันเหมือนเป็นการลอบสังหาร ซึ่งเขาก็สงสัยอยู่ว่าระหว่างเธอกับเขา ใครคือเป้าหมายของมัน ถ้ามองตามรูปการแล้วน่าจะเป็นเธอหญิงสาวที่เขาแย่งชิงตัวมาเพราะบุกรุกเข้ามาในภูเขาดำ แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่ เมื่อการฆ่านั้นคือ...เขา

    ริมฝีปากเขาเหยียดออก เมื่อรู้เหตุผลดี ว่าถ้าเขาตายอะไรที่ใครๆต้องการก็คงจะง่ายขึ้น และป่านนี้ใครที่อยู่เบื้องหลังมัน คงจะรู้แล้วว่า    ความผิดหวังเป็นเช่นไร   

    “ลงไปล้างตัวเธอเสีย”

    เสียงห้วนห้าวดังขึ้นหยุดการกวักน้ำเล่นของหญิงสาวทันที รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปมีแต่ความกังวลเข้ามาแทน แล้วยืดตัวขึ้นหันสบตาคมกริบ     ที่มองอยู่

    “ฉัน ฉัน” เสียงหวานตะกุกตะกัก เมื่อคิดว่าเธอจะทำได้ยังไง ถ้าทำได้ ก็ต้องถอดเสื้อผ้าออก แต่จะถอดต่อหน้าเขาได้ยังไงอีก นี่ซิคือปัญหา

    “มีปัญหาอะไร” เขาถามขึ้นราวกับอ่านสีหน้าเธอออก

    “ฉันไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน และจะให้อาบทั้งชุดนี้ได้ยังไง”

    “เอาความฉลาดไปไว้ไหน ทำไมถึงคิดไม่ได้ว่าถ้ามีแค่ชุดเดียว จะต้องทำยังไง หรืออยากจะให้ฉันทำให้”

    “ไม่ต้อง” เธอรีบปฏิเสธอย่างที่รู้ว่าทำให้นั้นหมายถึงการถอดเสื้อผ้าออกจากตัวเธอ

    “ฉันถอดอาบเองได้ แต่คุณถอยไปอยู่ห่างๆ ได้ไหม หรือไม่ก็กลับไปที่พักที่ทำไว้ก็ได้ เสร็จแล้วฉันจะตามไป”

    “ลืมไปแล้วหรือไง ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน... ที่นี่คือป่าไม่ใช่บ้านเรือนที่เธอจะเดินไปได้อย่างปลอดภัยทุกย่างก้าวมีแต่อันตราย ปลาก็เพิ่งกินไปก็หัดใช้ให้เป็นประโยชน์เสียบ้าง”

    คำเหน็บแหนมที่แปลเป็นอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากเธอโง่นั้น ไม่ได้ทำให้เธอโกรธ เพราะตอนนี้เธอต้องคิดหาทางเอาตัวรอดไปจากสถานการณ์นี้ก่อนจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดเขา แล้วกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นที่ๆ พอจะเอาตัวรอดได้ จึงเดินไปหลังโขดหินที่คิดว่าใหญ่พอจะบังตัวเธอได้       ก็ค่อยๆ ถอดเสื้อออกมาอย่างทุลักทุเลเพราะแขนที่เจ็บ เธอกัดฟันทน    จนทำได้สำเร็จ รีบหย่อนตัวลงน้ำ ให้สายน้ำปิดบังความเปล่าเปลือยของตัวเอง แต่ไม่ได้ช่วยปิดบังอะไรเลย เมื่อสายน้ำใสแจ๋ว

    ขวัญชนกพยายามมองหาร่างสูงแต่ไม่เห็นแล้ว ก็เบาใจขึ้นมา     กวักน้ำลูบไล้ตัวเอง โดยระวังไม่ให้โดนแผล เธอสบายใจอยู่กับสายน้ำแต่ไม่นานก็มีบางอย่างเกิดขึ้นมา

    “กรี๊ด!

    เสียงร้องดังขึ้นด้วยความตกใจแล้วรีบยกเท้าใต้น้ำถอยหนีบางอย่างที่มาพันขา โดยไม่ทันได้มองรู้แต่ว่ามันลื่นๆ จนเธอคิดเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก...งู แล้วก้มลงมองก็ถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นเพียงสาหร่าย แต่ยังไม่ทันได้หายใจคล่องคอ

    “มีอะไร”

    เธอเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงห้วนห้าว ที่โผล่มาตอนไหนก็ไม่รู้ แล้วหน้าก็แดงซ่านขึ้น เมื่อเห็นดวงตาคมกริบมองที่เรือนร่างเธอ รีบยกมือขึ้นกอดอก จมตัวลงใต้น้ำ หันหลังหนีสายตาเขาทันที

    “ไม่... ไม่มี” เสียงตะกุกตะกักดังบอกไปเพราะความอาย

    “ฉันประสาทหลอน คิดว่าสาหร่ายเป็นงู”

    บอกออกไปแต่ก็ภาวนาให้เขาไปเสียที จะหันมามองว่าเขาไปหรือยังก็ไม่กล้า กระทั่งรู้สึกถึงความเงียบที่นานพอสมควร ก็ค่อยๆ หันหน้ามา แล้วต้องอ้าปากค้าง หน้าเหวอ เมื่อเห็นร่างสูงยังยืนอยู่ไม่ห่าง ไม่ใช่แค่นั้นท่อนบนเขาเปล่าเปลือยไม่ต่างจากเธอ และไม่กล้ามองให้ต่ำลงไปและถามออกมาอย่างหวั่นๆ

    “จะทำอะไร”

    “คิดว่าไงล่ะ อาบลมห่มฟ้าเหมือนกันแล้ว จะทำอะไรดี”

    สองเท้าผงะหนีไปด้านหลัง เมื่อความจริงที่เธอลืมไปชั่วขณะว่า   เขาเป็นคนป่าเถื่อนโหดร้าย ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาไม่มีความปรานี เห็นอกเห็นใจหรือสงสารเธอแม้แต่นิดเดียว ที่สำคัญชีวิตเธอเป็นของเขา ฉะนั้น  ถ้าเขาจะ... ใบหน้างามซีดเผือด เมื่อความโหดร้ายเกาะกุมไปทั้งความคิดและหัวใจ

    “ถ้าคุณข่มขืนฉัน ฉันขออะไรอย่างได้ไหม”

    “ฉันเคยบอกเธอแล้วว่าไม่มีสิทธิต่อรองอะไรทั้งสิ้น”

    “ฉันก็เคยบอกคุณแล้วเหมือนกันว่าไม่ได้ต่อรองแค่ขอร้อง”

    “อยากได้อะไร” เสียงเขาไร้ความรู้สึก “ความตายงั้นเหรอ ขอบอกว่าฉันไม่มีให้ เพราะสำหรับฉันความตายมันง่ายนิดเดียว แต่ความทรมานต่างหากที่มันหอมหวาน”

    “จึงอยากทำให้ฉันทรมานงั้นเหรอ”

    “มันคือกฎ”

    “ของนาย”

    “ภูเขาดำ”

    “ที่ฉันยืนอยู่นี่เหรอ แล้วฉันควรจะรู้อะไรอีกไหม”

    ไม่มีคำตอบ แต่ขวัญชนกก็ได้เรียนรู้มาแล้วว่าความเขียวชอุ่มของพฤกษ์ไพร ความสวยงามของธรรมชาติคงเป็นสิ่งลวงตา เพราะความจริงที่ซ่อนอยู่คือความโหดร้ายที่เธอได้เผชิญ กำลังเผชิญและคงได้พบเห็นอีกมากในอนาคต โดยที่เขาไม่ต้องบอกให้รู้ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์วูบหายไป คล้ายจะติดๆ ดับๆ เหมือนความรู้สึกเธอในตอนนี้ ที่มีแต่ความกลัวและความหวังที่ริบหรี่ว่าเขาจะไม่ทำ แต่คนตรงหน้ากลับเฉยเมยเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย

     

    ใบหน้างามเชิดขึ้นพร้อมรับสถานการณ์ โดยไม่รู้ว่าทำใจให้ยอมรับได้แล้วหรือลืม ว่าตัวเองกำลังเปล่าเปลือยอยู่ตรงหน้าเขา สายตาคมแม้จะสบกับดวงตากลมโต ที่มีความหวาดกลัวให้เห็นชัดเจน แต่ก็เก็บรายละเอียดเรือนร่างอรชรที่งดงามไว้ได้หมด ทรวดทรงองค์เอวช่างรับกันเหมาะเจาะ ปทุมถันแม้จะถูกปิดไว้ด้วยสองมือ แต่ไม่อาจปิดความสวยงาม เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานส่งกลิ่นหอมออกมาให้พวกแมลงบินเข้ามาหา

    ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ ใกล้เข้ามาจนหยุดยืนตรงหน้าหญิงสาว        ที่หัวใจสาวเต้นตึกๆ ยิ่งกว่ากลองที่ถูกกระหน่ำตี ลมหายใจก็เริ่มขาดเป็นห้วงๆ ด้วยความกลัว และหายไปเมื่อปลายนิ้วแกร่งยกขึ้นมาแตะปลายคาง ดันให้ใบหน้างามแหงนขึ้น พร้อมใบหน้าใต้ผ้าสีดำค่อยๆ ก้มลงมา        แต่ก่อนที่จะได้แนบชิด ผ้าสีดำก็ถูกดึงออกด้วยปลายนิ้วเรียว

    ดวงตากลมสวยกะพริบปริบๆ เมื่อเห็นหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าสีดำเป็น ครั้งแรก สายตาเธอไล่ไปทีละส่วนตั้งแต่คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมกริบที่เธอจดจำได้แล้ว เรื่อยลงมาถึงจมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากหยักได้รูปและปลายคางบึกบึนรวมเข้ากับใบหน้าเขา ที่เธอบอกตัวเองว่าคมสวยยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก แววตาเธอจดจำทุกรายละเอียดและหยุดนิ่งอยู่ที่             รอยแผลเป็น

    รอยแผลที่เหมือนเส้นด้าย ถ้าไม่มองใกล้ขนาดนี้คงจะไม่เห็น มันขีดยาวตั้งแต่โหนกแก้มเกือบถึงมุมปาก แต่แทนที่จะทำให้ความสวยคมนั้นลดลง กลับเพิ่มความดุดันยิ่งขึ้น แล้วเลื่อนสายตาไปสบกับดวงตาคม      ที่นิ่งเฉยดุจเดิมแต่เธอรู้สึกเหมือนจะเย้ยหยันอะไรสักอย่าง... ใบหน้าเขาก้มต่ำลงมาจนลมหายใจรินรดแก้มนุ่มและเกือบจะแนบชิดริมฝีปากอิ่ม ถ้า...

    “อย่า”

    เสียงร้องห้ามดังแผ่ว ใบหน้าคมหยุดชะงักเหมือนจะถอยห่าง ให้คนที่ใจสั่นระรัวด้วยความหวั่นได้หายใจคล่องขึ้นและหวังว่าจะรอดพ้นจากคมปากเขาเหมือนลูกนกที่รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกา แต่ไม่ใช่เลยเพียงความคิดเธอสิ้นสุดลงริมฝีปากหยักสวยก็แนบชิดลงบนเรียวปากอิ่มทันที

    ขวัญชนกยืนตัวแข็งทื่อเหมือนหัวใจหลุดหายออกไปจากตัว ทั้งที่ เต้นแรงอยู่ใต้อก ความตกใจทำให้เผยเรียวปากขึ้นให้เขาได้ฉกฉวยเข้าไปหาความหอมหวาน บดขยี้อย่างหยาบๆ ลงโทษสิ่งที่เธอได้ทำลงไปโดยไม่รู้ตัว นั่นคือการดึงผ้าออกจากหน้าเขาอย่างที่ไม่มีเคยใครกล้าทำมาก่อน แต่แทนที่ยิ่งจูบความหยาบกระด้างจะมีมากขึ้น กลับผ่อนคลายลงเมื่อพบเจอความหอมหวานเหมือนดอกไม้แรกแย้ม ที่ไม่เคยมีใครแตะต้องมาก่อนนั่นเอง

    ฝ่ามือหนาดึงร่างอรชรมาชิดอก กักขังเธอไว้ในอ้อมแขนที่โอบกอดจนอกนุ่มหยุ่นเบียดชิดอกแข็งแกร่ง ผิวเนียนนุ่มที่เขาได้สัมผัสกระตุ้นอารมณ์ให้อยากได้มากกว่าการกอด จูบที่ควรจะถอยห่างกลับรุกล้ำต้องการการตอบสนอง แต่หญิงสาวไม่มีทำให้เขาต้องหยุดอารมณ์ไว้      ถอยห่างออกมา มองใบหน้างามที่ยังตกตะลึงอยู่ แววตาเขาอ่อนโยนราวกับเอ็นดูโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงดวงตากลมสวยกะพริบ ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งลึกดุจเดิม

     

    สติของขวัญชนกกลับคืนมา เธอยกมือขึ้นปิดทรวงอกตัวเอง จ้องหน้าคมตาไม่กะพริบ แม้จะอายแสนอายแต่ความโกรธมีมากกว่าที่เขาทำเหมือนหยามเกียรติเธอ แม้ชีวิตเธอจะเป็นของเขา แต่เขาก็ไม่ควรจะทำกับเธอแบบนี้

    “สารเลว”

    “อย่าโทษฉันสาวน้อย” เสียงห้าวห้วนเตือนออกมา

    “แล้วจะโทษใคร โทษฉันที่ให้ท่าคุณหรือไง”

    “ยิ่งกว่านั้น และขอเตือนว่า ถ้าฉันปิดหน้าอย่าดึงผ้าออกจากหน้าฉันอีกไม่งั้นต่อให้เธอไม่มีสติ ฉันก็จะทำให้เลือดบริสุทธิ์ออกมาจากตัวเธอให้ได้”

    พูดจบร่างสูงก็หมุนตัวกระโจนลงแอ่งน้ำลึก ทิ้งให้หญิงสาวขนลุกกับคำเตือนของเขา แล้วรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่ เดินกลับที่พัก ทั้งที่ฟ้าเริ่มมืดมองทางแทบจะไม่เห็น แต่เธอก็ยังเดินไปด้วยแรงโกรธ โกรธตัวเองมากกว่าเขาที่หาเรื่องหาทุกข์มาใส่ตัว แต่ไม่ว่าจะโกรธแค่ไหน จูบของเขาก็ติดตรึงอยู่ในใจเธอแล้ว



     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×