คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2
บทที่
2 (ฉบับร่าง ยังไม่ได้แก้ไขคำผิด)
‘ภูเขาดำ’
เพียงแค่นึกถึงพรานขอมก็ขนลุกไปทั้งตัว
เพราะกิตติศักดิ์ความน่ากลัวที่ได้ยินมา แล้วรีบสลัดชื่อนี้ออกไปจากความคิด
ตั้งสติหาทางออก หาร่องรอยสัญลักษณ์ที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่
แต่ก็ไม่มีให้เห็นให้ได้ชื่นใจเลย จึงต้องสุ่มเดา ก่อนจะหันกลับมาบอกไอ้เหิมว่า
“ให้คนของแกช่วยถางทางด้านนั้น แล้วเราจะได้เดินทางต่อ”
“ได้” ไอ้เหิมรับปากแล้วสั่งลูกน้องให้ไปจัดการ “เร่งมือกันหน่อยโว้ย”
ทุกคนต่างช่วยกันไม่เว้นมันที่เข้าไปช่วยด้วย
ขณะที่ขวัญชนกที่ฟังพวกมันพูดกัน ก็คิดว่า ถ้าพวกมันหลงทางจริงๆ เธอจะทำยังไง
ยังจะหาทางหนีอีกหรือเปล่า และถ้าหนีไปได้ เธอจะออกจากป่านี้ไปได้ยังไง
และถ้าออกไปไม่ได้ คงต้องตายอยู่ในป่า
หรือจะยอมตามพวกมันไปเพื่อให้พ้นจากป่านี้ก่อน แล้วค่อยหนี เธอครุ่นคิดอย่างหนัก
และต้องหยุดความคิด เมื่อหนึ่งในพวกมันเดินมาดึงให้เธอลุกขึ้น
ให้เดินไปตามทางที่ได้ถากถางไว้
ทุกคนเดินตามกันไปเรื่อยๆแต่ผ่านมาเป็นชั่วโมง
ก็ยังไม่หลุดจากป่ามาสู่ที่โล่ง ซึ่งเป็นที่นัดหมาย
ไอ้เหิมโกรธถึงกับเดินมากระชากไหล่พรานขอม ชี้ให้ดูรอบๆป่า
ที่ยังมืดมิดพลางถามเสียงกร้าว
“หมายความว่าไง ทำไมถึงยังไม่เจอทางออก”
พรานขอมมีสีหน้าอึดอัด
แต่ยังไม่ได้ให้คำตอบ ดวงไฟนับสิบดวงก็สว่างขึ้น ทุกคนหันไปมองหน้ากันเลิกลั่กและสงสัยว่าดวงไฟเหล่านี้มาจากไหน
เช่นเดียวกับไอ้เหิมขยับปืนในมือเพิ่มความระวังให้ตัวเอง แล้วหันไปมองพรานขอม
ซึ่งหน้าซีด ใจสั่น เพราะรู้ว่ากำลังเจอกับอะไร แต่ยังไม่ทันได้บอกให้ทุกคนระวัง
ธนูดอกหนึ่งก็พุ่งมาปักฉึกที่หน้าอกของคนที่ยืนหน้าสุด
“อ้าก!!!”
มันมีโอกาสร้องแค่นั้นก็ล้มลงนอนหมดลมหายใจ
คนที่เหลือต่างหันมามองหน้ากันอย่างตกใจ และก่อนจะมีใครพูดอะไรออกมาอีก
ธนูอีกดอกก็ปักฉึกเข้าที่ขาอีกคน คราวนี้ทุกคนกระโดดหาที่หลบ เพราะได้กลิ่นความตาย
ขวัญชนกถูกไอ้เหิมดึงไปหลบอยู่ข้างตัว มันกำปืนในมือไว้อย่างสุดแค้นที่ถูกลอบกัดและเสียลูกน้องไปแล้วสองคน
จึงรัวกระสุนใส่แสงไฟที่เห็นอยู่ ลูกน้องที่เหลือก็ทำตาม
เสียงสาดกระสุนก็ดังขึ้นสนั่นป่า
ประกายไฟจากปากกระบอกปืนสว่างวาบ วาบ ก่อนจะจางหายและเงียบลงเพราะกระสุนหมด
แต่แสงไฟยังอยู่ ทุกคนตื่นตระหนกที่ไม่อาจทำให้แสงไฟดับไป
และก่อนที่ใครจะคิดอะไรธนูอีกหลายดอกก็แหวกอากาศมาปักฉึก ฉึก ฉึก ฉึก
ไอ้เหิมเบิกตากว้างมองลูกน้องที่หมดลมหายใจไปเหมือนใบไม้ร่วง
ส่วนที่เหลือก็ตกใจไม่แพ้มัน ซ้ำหวาดกลัวและเริ่มลนลานพากันถามออกมา “เอาไงพี่
เอาไง”
“สู้ซิวะ”
“แต่กระสุนเราหมดแล้ว”
ไอ้เหิมขบฟันเมื่อตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำยังไง
ลูกน้องที่เหลือเห็นท่าไม่ดีจึงไม่รอเพราะกลัวตาย พากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง
“ระยำ” ไอ้เหิมสบถออกมาอย่างเจ็บใจและโกรธแค้นทั้งลูกน้องและไอ้พวกลอบกัด
หยิบปืนสั้นที่เหน็บไว้ที่ข้อเท้าออกมายิงไปที่แสงไฟไม่ยั้ง
พรานขอมที่หลบอยู่ไม่ห่าง
มองกระสุนที่หายไปอย่างไร้ค่าก็ขยับมาจับมือที่ลั่นไกของไอ้เหิม พร้อมกับบอกว่า “เลิกยิงแล้วหนีกันเถอะ
ไม่งั้นได้ตายโหงอยู่ในป่านี้แน่ เราสู้พวกภูผาดำไม่ได้หรอก”
“ภูผาดำ”
ไอ้เหิมทวนชื่ออย่างสงสัย “พวกมันเป็นใคร”
“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้
รีบหนีก่อนเถอะ”
ไอ้เหิมไม่ขยับจะปักหลักสู้
แต่พรานขอมรักตัวกลัวตายเกินว่าจะสู้แล้ว “ไปเถอะ” พูดจบก็ไม่รั้งรออะไรอีก
หันหลังวิ่งเข้าป่าด้านหลัง ขณะที่ไอ้เหิมยังรีรอเหมือนไม่ยอม
สุดท้ายก็หันไปกระชากแขนขวัญชนกให้ลุกขึ้นวิ่งตามพรานขอมไป
แต่ธนูดอกหนึ่งแหวกอากาศมาปักฉึกเข้าที่ขามัน
“โอย” มันร้องขณะซวนเซจนล้มลงและเผลอปล่อยมือขวัญชนก
ซึ่งกระเถิบถอยหลังหนีมันทันที แต่ถอยได้นิดเดียว
ไอ้เหิมก็กัดฟันข่มความเจ็บขยับตามแต่พอจะคว้าตัวเธอ
ธนูอีกดอกก็แหวกอากาศมาเฉียดแก้มมันไปปักต้นไม้
เลือดไหลซึมออกมาเปื้อนแก้มเป็นสัญญาณว่าความตายอยู่ตรงหน้า
มันจึงตัดสินใจทิ้งเธอแล้ววิ่งกระเสือกกระสนตามพรานขอมไป
ขวัญชนกนั่งหน้าซีดตัวสั่นอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นหรือจะเดินหนี เธอกระเถิบไปแอบหลังต้นไม้
กลอกตามองซ้ายมองขวาพร้อมยกมือขึ้นกอดอกเพื่อข่มความกลัว แล้วหัวใจก็แทบจะหยุดเต้นเมื่อคนหลายคนโผล่ออกมาจากความมืด
มายืนล้อมรอบตัวเธอ ก่อนจะถอยห่างไปเดินรอบๆ และกลับมาพร้อมคนที่หนีไม่รอด
ลากมาผลักให้ล้มลงข้างเธอ... ปลายเล็บจิกเนื้อเพื่อข่มความกลัว
แล้วเงยหน้าขึ้นมองพวกที่ยืนล้อมรอบตัวอยู่
แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากดวงตาที่โผล่พ้นหน้าที่ผ้าปิดไว้
ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาให้ได้ยิน
นอกจากสายตาเยือกยะเย็นหลายคู่ ที่มองมาจนเธอรู้สึกได้ถึงความน่ากลัว
เสียงรีดหริ่งเรไรจากไพรป่าที่ดังอยู่ ถูกกลบไปด้วยสายตาเหล่านี้
แล้วผงะไปข้างหลังเมื่อเจ้าของดวงตาคู่หนึ่งยื่นมือมาดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นแล้วลากให้เดินตามไป
... ขวัญชนกพยายามขืนตัวไว้
แต่ที่ทำก็เหมือนไม่ได้ทำเพราะแม้แต่แรงจะเดินเธอก็แทบจะไม่มี
ได้แต่ปล่อยตัวให้ถูกลากไป และพยายามเหลียวมองซ้ายมองขวา เพื่อหาทางหนี
แต่ดูจะเป็นทางตัน
เพราะถูกรายล้อมไปด้วยความมืดและกลุ่มคนที่ปกปิดใบหน้าไว้หลังผ้าสีดำ
เมื่อไม่มีทางไป
เธอก็หันมามองคนที่ลากเธออยู่ เขาสูงใหญ่ ไหล่กว้าง ท่าทางทระนง
ขาที่ก้าวเดินช่างมั่นคงราวกับหินผาที่ตระหง่านอยู่บนภูเขาสูง
มือหนาที่จับแขนเธอไว้แข็งแกร่งจนรู้สึกว่าถ้าเพียงแต่ขัดขืนนิดเดียวข้อมือเธอคงหัก
ความหนาวเหน็บคืบคลานเข้ามาสู้ใจเธอยิ่งขึ้น เมื่อทางที่เดินไปคงไม่มีทางจะดีกว่าทางที่ผ่านมา
เธอไม่รู้ว่าเดินตามคนเหล่านี้มานานแค่ไหน
กระทั่งมาหยุดยืนอยู่ที่หนึ่ง ซึ่งมีม้าหลายตัวยืนอยู่
พวกมันมองมาก่อนจะพ่นลมออกมาจากจมูกอย่างรู้ว่าเจ้าของมันมาแล้ว
และก่อนที่ขวัญชนกจะได้มองอะไรมากกว่านั้น ใจก็หายวาบ เพราะตัวถูกยกขึ้นไปนั่งบนหลังมัน
เธอกำผมที่ต้นคอมันไว้แน่นและข่มใจให้นิ่ง
เมื่อคนที่ลากเธอมาเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งซ้อนก้านหลังเธอ สอดมือเข้าที่ข้างเอว
จับเชือกที่อยู่บนคอม้าไว้ แล้วใช้เข่ากระแทกสีข้างมันให้เดิน
จำนวนคนที่เหลือก็ทำเช่นเดียวกัน ตลอดเวลาการเดินทางนั้น
ขวัญชนกพยายามทรงตัวให้ตรง ไม่ให้เอนไปข้างหลัง
แต่เพียงไม่นานความเหนื่อยล้าทำให้ตัวเธอเอนไปซบอกแกร่งอย่างไม่รู้ตัว
และไม่รู้เลยว่าคนที่เธอพิงอกนั้นหรี่ตามองใบหน้านวลที่เห็นเพียงเลือนลาง
แล้วเลื่อนไปมองฝ่าความมืด เพื่อนำพาทุกคนไปสู่จุดหมาย
ท่ามกลางความมืดมิดของป่า
มีเพียงแสงของไฟฉายที่สว่างวาบๆเป็นครั้งคราว
กลุ่มของพันโทอัศวินกับลูกน้องที่เหลือสองคน ต่างยืนหอบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
หลังจากคิดว่าพวกมันไม่ตามมาล่าวิญญาณแล้ว
มือของพันโทอัศวินกำแน่นก่อนจะชกต้นไม้ไม่ยั้ง แม้จะเจ็บเลือดจะไหล
แต่ความเจ็บปวดทางกายเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดในหัวใจ ที่มีทั้งความเสียใจ
ความเกลียดชังตัวเอง เกลียดจนไม่รู้จะบรรยายยังไงที่ไม่สามารถช่วยลูกได้
และยังเห็นแก่ตัวทิ้งลูกมาอีก น้ำตาชายชาติทหารไหลลงอย่างไม่อาย
ท่านมองปืนที่อยู่ในมือแล้วค่อยๆยกขึ้นจ่อที่ขมับ ลูกน้องทั้งสองคนที่ยืนอยู่ก็ขยับเข้ามาห้ามทันที
“อย่าครับท่าน” หนึ่งในสองยึดมือพันโทอัศวินไว้
แววตามองเจ้านายอย่างสงสารและคาดไม่ถึงว่าท่านจะคิดสั้น
แล้วดึงปืนที่พร้อมจะปลิดชีวิตท่านมาถือไว้ “อย่าทำยังนี้เลยครับท่าน
ชีวิตของท่านมีค่ากับคุณหนูมาก ท่านอย่าทำร้ายตัวเองและทำลายความหวังของคุณหนูเลยครับ”
“ใช่ครับ คุณหนูรอท่านอยู่นะครับ รอให้ท่านไปช่วย ถ้าท่านเป็นอะไรไป
แล้วใครจะช่วยคุณหนูครับ”
น้ำคำของลูกน้องสองคนที่พูดให้สติ
ทำให้พันโทอัศวินเริ่มรู้สึกตัว ท่านมองหน้าลูกน้องทั้งสองคนอย่างเสียใจที่อ่อนแอ
แล้วทิ้งตัวลงนั่งพิงต้นไม้อย่างหมดแรง นัยน์ตาแดงก่ำเพราะข่มความเสียใจ
และยังไม่รู้ว่าถ้ากลับบ้านไปโดยไม่มีลูกไปด้วย ท่านจะบอกแม่ของลูกว่ายังไง
ลูกน้องทั้งสองคนเข้าใจความรู้สึกของเจ้านายดีว่า
คนที่เป็นทหารปกป้องอธิปไตย ปกป้องคนอื่นมามากมาย
แต่กับเลือดในอกที่รักสุดหัวใจกลับปกป้องไม่ได้ มันรู้สึกเจ็บและปวดร้าวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“ท่านครับ ผมได้รับวอจากคนที่ฐาน
ตอนนี้พวกเขาเดินทางมาใกล้จะถึงเราแล้วครับ”
พันโทอัศวินรับฟังและนั่งเงียบ
ลูกน้องสองคนจึงพลอยเงียบไปด้วย
ทั้งสามปล่อยให้เสียงของป่าขับกล่อมความทุกข์ร้อนในใจ ไม่นานคนที่ฐานประมาณเกือบสิบคนก็มาถึง
พันโทอัศวินเงยหน้าขึ้น สบตาทุกคนที่เดินทางมาเพื่อท่าน
แล้วปัดความรู้สึกแสนเศร้าที่กัดกินใจออกไป ยืดตัวขึ้น นึกถึงลูก
นึกถึงความเสียสละของลูก และความหวังของลูก ท่านจะต้องไปช่วยลูกให้ได้
ร่างสูงยืนขึ้นอย่างทระนง ดวงตาแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยวของทหารกลับมา
ทั้งหมดทำความเคารพผู้บังคับบัญชาและยืนรอฟังคำสั่ง
เมื่อรู้เหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ทุกคนก็เดินกลับไปที่ปะทะกับไอ้พวกชุดดำ
แต่เมื่อไปถึง ไม่มีพวกมันอยู่แล้วรวมทั้งลูกท่านด้วย
แม้จะค้นหารอบบริเวณก็ไม่มีร่องรอยปรากฏให้เห็น ...พันโทอัศวินชกต้นไม้ด้วยความเจ็บใจ
แล้วสั่งให้ลูกน้องบางส่วนให้นำเพื่อนผู้เสียสละที่นอนหมดลมหายใจอยู่กลับฐาน
ส่วนตัวท่านและคนที่เหลือจะแกะรอยพวกมันต่อ ทุกอย่างทำอย่างรีบเร่ง
ด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่มและห่วงใยลูกเป็นที่สุด
แต่เมื่อแกะรอยมาจนเจอพวกมันที่นอนเป็นผีเฝ้าป่า
ทุกคนก็ได้แต่มองหน้ากันด้วยความรู้สึกถึงอันตรายที่อยู่รอบด้าน
บรรยากาศโดยรอบเย็นจัด วังเวงวิเวกโหวงเหวงในอก
เสียงนกร้องดังแหวกอากาศมาทำให้หลายคนขนแขนลุกชัน
กับความมืดที่น่าสะพรึงกลัวของป่า
กลิ่นคาวเลือดยังไม่จางไปจากสายลมที่พัดหวีดหวิวในยามดึก
กิ่งไม้และใบไม้ต้องลมเสียดสีดังขึ้นเบาๆท่ามกลางความมืดมิดของราตรีกาล
ทำให้น่ากลัวมากขึ้นอีก
นายทหารส่วนหนึ่งไปตรวจดูศพ
ดึงหมวกไหมพรมออก มองหน้าซีดไร้เลือด ที่ไม่คุ้นเคยเลยสักคน
ไฟฉายหลายกระบอกส่องไปทั่วบริเวณ แต่ไม่เห็นอะไรนอกจากป่าที่เงียบสงัด
และความมืดที่แสงจันทร์ถูกเมฆก้อนใหญ่บดบัง นายทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผู้บัญชาการ
หลังจากตรวจดูรอบบริเวณจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีพวกมันมีชีวิตอยู่แถวนี้แล้ว
“ท่านครับ อันตรายเกินกว่าที่เราจะฝ่าเข้าไปอีก ถอยเพื่อรักษาชีวิต
แล้วคอยกลับมาใหม่ดีกว่าครับท่าน
พันโทอัศวินกวาดตามองไปรอบบริเวณให้แน่ใจอีกครั้ง
แม้ใจจะห่วงลูกมากแค่ไหน แต่ท่านก็ยังมีหน้าที่ที่สำคัญ
อย่างหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ต้องรักษาชีวิตลูกน้องไว้
เพื่อรักษาแผ่นดินที่บรรพบุรุษสร้างมาเหมือนกัน
ท่านไม่อาจเห็นแก่ตัวเอาชีวิตลูกน้องมาเพื่อเรื่องส่วนตัว และป่าด้านหน้าก็รกชัฏ
อันตรายเกินกว่าจะฝ่าเข้าไปอย่างที่ลูกน้องเขาบอก
และที่สำคัญอุปสรรคใหญ่คือความมืด
“ท่านครับ” พลทหารนายหนึ่งเรียกขึ้น
เมื่อเห็นคนเป็นนายยืนนิ่ง พันโทอัศวินยกมือขึ้นห้ามไม่ให้พูดอะไรอีก แล้วบอกว่า
“ทุกคนกลับไปเถอะ ส่วนผมจะไปต่อ”
“ถ้าท่านไปก็เท่ากับท่านเอาชีวิตไปทิ้งนะครับ ท่านก็รู้ดีพอๆกับพวกเรา ว่าป่าลึกตรงหน้านั้นมันอันตรายแค่ไหน”
ใช่
ท่านรู้ดีว่าป่าแทบนี้เป็นเขตของพวกภูผาดำ ใครล่วงล้ำเข้าไปถ้าไม่ตายเป็นผี
ก็พิกลพิการไปตลอดชีวิต
ศพไอ้พวกที่นอนอยู่ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกมันได้ล่วงล้ำเข้าไปในเขตห่วงห้ามนี้แล้ว
แต่ถึงท่านจะรู้ ก็ไม่ได้ทำให้หวาดกลัวแต่อย่างใด
เพราะความเป็นความตายของลูกอยู่ที่ท่าน
และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าลูกยังอยู่หรือจากไปแล้ว
อกของคนเป็นพ่อเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งใจ กระบอกตาร้อนผ่าว
ม่านน้ำตาเอ่อขึ้นมากลบดวงตาอีกครั้ง ท่านก็ต้องสกัดกลั้นไว้ไม่ให้ไหลออกมา
“แต่...” ท่านเอ่ยเพื่อจะเดินหน้าต่อ
แต่ลูกน้องก็ให้เหตุผลว่า
“เชื่อพวกเราเถอะครับท่าน และอีกอย่างเราก็ไม่รู้ว่าใคร ฝ่ายไหน
เป็นคนเอาตัวลูกสาวท่านไป ถ้าไม่ใช่พวกเขา แล้วเราบุกรุกเข้าไป
ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ ไว้พรุ่งนี้เราจะมาแกะรอยต่อ เราจะไม่ทิ้งท่าน
ทิ้งคุณหนูเด็ดขาด แต่ตอนนี้ท่านต้องรักษาชีวิตไว้นะครับ
เพราะท่านเป็นความหวังเดียวของคุณหนู”
จริงซินะ
ท่านคือความหวังเดียวของลูก พันโทอัศวินมองไปในความมืดข้างหน้า
แม้จะห่วงลูกสุดหัวใจ แต่เขาก็ยอมถอย เพื่อรักษาชีวิตไว้
ชีวิตที่เป็นความหวังเดียวของลูก
ทุกคนถอยห่างกลับไปโดยไม่รู้ว่าในความมืดยังมีดวงตาอีกหลายคู่จ้องมองอยู่
ท่ามกลางความมืด
ม้าหลายตัวยังคงทำหน้าที่พาคนเป็นนายไปยังจุดหมาย
พวกมันเดินไต่ขึ้นไปตามทางคดเคี้ยวและสูงชั้นของภูเขา
ทางเล็กๆที่เต็มไปด้วยก้อนหินและบางช่วงก็เลียบหน้าผา ทั้งๆที่มืดแต่ก็ไม่เป็นปัญหาทั้งม้าและคน
เพราะความคุ้นเคยบวกความชำนาญในพื้นที่ การเดินทางที่ลำบากจึงไม่ลำบาก
ขวัญชนกที่หลับพิงอกแกร่งไปเมื่อไหร่ไม่รู้เริ่มรู้สึกตัว
ความอ่อนเพลียยังทำให้เธออ่อนแอ
ยังนิ่งเงียบเพราะต้องเก็บแรงไว้เพื่อบางอย่างที่รอคอย ไม่นานม้าทั้งหมดก็เดินขึ้นมาถึงยอดเขา ม้าสีดำตัวใหญ่ที่เดินนำหน้าตัวอื่นๆ
หยุดอยู่ตรงลานกว้าง แสงจันทร์สีนวลที่เพิ่งโผล่ออกมาจากก้อนเมฆ
ส่องแสงลงมาให้เห็นเงาสูงใหญ่ของทุกคนอย่างเลือนลาง
ชายสี่คนลงจากหลังม้ามายืนอยู่กลางลานหินพร้อมเชลยที่ลากมา
ยกเว้นคนที่นั่งอยู่บนม้าตัวใหญ่สุดที่ยังไม่ลงมา ทุกคนยืนเงียบ ลูบจมูกม้า
ตบต้นคอ และลูบหลังมันเบาๆ แต่ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา
จนกระทั่งคนที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ ลงมายืนที่พื้น
แล้วดึงร่างอรชรที่นั่งคอพับคออ่อนอยู่บนหลังม้ามายืนพิงอก ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“จะทำไงกับไอ้คนนี้” เสียงหนึ่งในกลุ่มถามถึงเชลยอีกคนที่เอาตัวมา
“ขัง”
“พื้นพสุธาหรือวารี”
“พสุธา”
เสียงห้าวกระด้างบอกแล้วผลักร่างอรชรที่ยืนพิงอกไปให้อีกคน
แต่จังหวะนั้นหญิงสาวที่อ่อนแอมาตลอดทาง กลับหมุนตัวแล้ววิ่งหนีหายไปในราตรี
หลายคนมองตามไปสลับกับหันมามองร่างสูงที่ยังยืนนิ่ง แล้วหนึ่งในนั้นก็จะขยับตาม
แต่..
“ไม่ต้อง
จัดการทางนี้ให้เรียบร้อยแล้วกลับไปพักได้”
พูดจบร่างสูงใหญ่ก็ออกเดินไปตามทางที่เชลยวิ่งหนีไป
คนที่เหลือมองตามไปจนกระทั่งร่างสูงหายไปในความมืด
ก็ตวัดสายตากลับมามองหน้ากันอย่างแปลกใจ แต่ไม่มีใครพูดความคิดใดออกมา ว่าทำไมผู้พิทักษ์มือหนึ่งของภูเขาดำ
จึงต้องไปตามเชลย แล้วหนึ่งในนั้นก็จัดการทำตามคำสั่ง
กระชากคอเชลยอีกคนไปขังไว้บนพื้นพสุธา ที่ไม่ใช่พื้นดินโล่งเตียน
แต่เป็นพื้นที่มีกรงไม้หนามแหลม ไร้ทางหนี
ขวัญชนกวิ่งฝ่าความมืดไปอย่างไร้ทิศทาง
บางครั้งสะดุดรากไม้จนล้มลุกคลุกคลาน ก็ยังยันตัวลุกขึ้นวิ่งต่อไป
ในสมองเธอมีแต่คำว่าหนี และต้องหนีให้รอด จนกระทั่งสะดุดรากไม้ล้มคะมำลงอีกครั้ง
เธอก็ยังกัดฟันลุกขึ้นหนีต่อไปจนหมดแรงแทบก้าวขาไม่ออก
ก็พาตัวเองไปนั่งพักพิงต้นไม้พลางมองความมืดที่ห้อมล้อมอยู่รอบตัว
ด้วยความหวาดกลัว และผวาทุกครั้งที่ได้ยินเสียงที่แปลกแตกต่างไปจากเสียงแมลงที่ร้องระงมอยู่
สายลมยามดึกหนาวจนต้องยกมือขึ้นมากอดอก
เธอยกเข่าตั้งชันกับลำตัวแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้า
หาดาวที่พอจะนำทางพาเธอไปทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
แต่แทบจะไม่เห็นเพราะความรกทึบของต้นไม้ ไม่ว่าจะพยายามมองยังไงก็ไม่เห็น
น้ำตาจึงไหลออกมาอย่างหวาดกลัว
“พ่อขา”
ริมฝีปากอิ่มเรียกหาคนเป็นพ่อ
พลางส่ายสายตามองหา น้ำตาก็ยิ่งไหลแล้วยกมือขึ้นไหว้เจ้าป่าเจ้าเขา
ขอให้ช่วยดลบันดาลให้พ่อตามมาช่วยเธอ ขอให้เธอมีชีวิตรอดปลอดภัย กลับไปหาพ่อกับแม่
แล้วปาดน้ำตา กัดริมฝีปากข่มความคิดถึงที่จับจิตอยู่ให้ลึกสุดใจ
บอกตัวเองให้เข้มแข็ง สายเลือดสีน้ำเงินที่อยู่ในตัวต้องทำให้ได้
ยืดตัวขึ้นข่มความเสียใจพร้อมกับบอกตัวเองว่า
เธอต้องหาทางออกจากป่านี้เพื่อไปหาท่านทั้งสองให้ได้
เมื่อความเข้มแข็งกลับมา
ขวัญชนกก็ควานหากิ่งไม้มาถือไว้เพื่อไล่สัตว์ร้ายที่อาจจะคลานมาเจอ แล้วกัดเธอเข้า
ขณะที่อีกมือก็คลำข้อเท้าตัวเองที่เจ็บจากการล้มลงเมื่อกี้ ไม่มีบาดแผล
ทำให้เธอเบาใจขึ้นมา แล้วลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า แม้จะไม่รู้ทิศทาง
แต่เธอก็ไม่อาจจะนั่งรอให้พวกที่จับตัวเธอมาเจอ แล้วลากเธอกลับไป แต่ไปได้เพียงไม่กี่ก้าว
เธอก็ยืนตัวแข็ง ใจวาบหายเพราะเงาดำที่โผล่มาขวางอยู่ตรงหน้า
ขวัญชนกกำไม้ที่ถืออยู่ไว้แน่น
เรียกใจให้กลับมาและบอกตัวเองว่าอย่างกลัว ไม่ว่าตรงหน้าจะเป็นผีหรือคน
ภาวนาขออย่างเดียวอย่าให้เงาตรงหน้าเป็นคนที่พาตัวมาก็พอ
แต่ไม่มีใครที่จะสมหวังไปเสียทุกอย่าง เมื่อเงานั่นก้าวออกมา แม้จะไม่เห็นหน้า
แต่ความรู้สึกบอกว่าคือคนที่เธอกำลังหนี ขวัญชนกไม่รออะไรอีกแล้ว
เธอลืมความเหนื่อยความเจ็บ ออกวิ่งฝ่าความมืดไปทันที
ดวงตาคมมองตามไป
ก่อนจะเร้นหายไปในความมืด ขวัญชนกไม่รู้ว่าวิ่งหนีมาไกลแค่ไหน
ตัวเธอเริ่มหมดแรงเหนื่อยหอบจนแทบขาดใจ แม้สมองยังจะสั่งให้ร่างกายวิ่งต่อไป
แต่ขาเธอไม่ไปตามคำสั่ง มันล้าและก้าวไปไม่ไหว
เธอจึงหันไปมองข้างหลังอย่างหวาดกลัว แต่พอหันมาด้านหน้าก็ชนกับอกคนที่วิ่งหนีมา
“กรี๊ด”
เสียงร้องดังออกมาสุดเสียงและผงะไปทั้งตัว ก่อนจะหมุนตัววิ่งไปทางอื่น
แต่ไปได้เพียงสองก้าวก็โดนกระชากตัวกลับมา เธอกระชากแขนกลับสุดแรงแต่ไม่หลุด
เพราะคนจับจับไว้แน่น จึงเหวี่ยงหมัดเข้าที่หน้า แต่ไม่โดนแถมยังโดนบีบแขนจนร้อง
“โอย” ออกมา แต่เธอยังไม่ยอมแพ้
ไม่รอโชคชะตาหรือความใจดีจากคนที่จับตัวเธอไว้เด็ดขาด เธอทำทุกอย่างเท่าที่แรงจะมี
ทั้ง ดิ้น ชก แตะ ต่อย คนที่จับตัวไว้
แขนแข็งแรงปัดป้องมือบาง
ขณะที่ดวงตาคมหรี่มองทักษะมวยที่หญิงสาวใช้อย่างแปลกใจ
แต่เพียงแวบเดียวก็หายไปดังลมพัดผ่านแล้วปล่อยมือจากร่างบาง “กรี๊ด”
ขวัญชนกร้องออกมาสุดเสียง
เมื่อตัวเธอหงายไปข้างหลัง พลางไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยว แต่คว้าได้แค่อากาศ
ตัวเธอจึงร่วงลงไปข้างล่าง ทุกอย่างจบสิ้น เธอต้องจบชีวิต
น้ำตาหยดสุดท้ายร่วงรินเพราะสำนึกสุดท้ายของลมหายใจที่เหลือ คือพ่อแม่
แต่แล้วเพียงเสี้ยวคาบเกี่ยวความตาย ก็มีมือมาจับเธอไว้สุดปลายแขน
ขวัญชนกรู้สึกถึงแรงดึง จึงแหงนหน้าขึ้นมองคนที่ช่วยให้เธอรอดตายอย่างหวุดหวิด
“ถ้าดิ้นเพียงนิด
ก้นเหวลึกข้างล่างจะกลายเป็นที่ฝั่งศพเธอ”
เสียงห้วนแข็งแฝงความเหี้ยมที่ดังขึ้น
ทำให้กลไกในร่างกายของเธอหยุดนิ่ง
ทั้งที่ใจเต้นระทึกด้วยความกลัวจนต้องกัดริมฝีปากไว้แน่น
แต่อย่าหวังว่าจะมีคำอ้อนวอนขอให้ช่วย เธอพร้อมจะตาย ใบหน้าเชิดขึ้นบอกความตั้งใจ
แววตาของคนจับจึงหรี่ลงพร้อมค่อยๆปล่อยมือ แต่สุดท้ายสุดปลายข้อมือก็ไม่ปล่อย
เกร็งมือดึงตัวหญิงสาวขึ้นมา ขวัญชนกปล่อยลมหายใจที่เก็บเอาไว้ออกมาเฮือกใหญ่
ขณะสายลมพัดพาความเย็นยะเยือกขึ้นมา ให้เธอรู้ถึงความล้ำลึกของหุบเหวที่เกือบจะกลายเป็นที่ฝังร่างเธอ
แต่หุบเหวที่น่ากลัวคงไม่โหดร้ายเท่ากับนายร่างสูงคนนี้
“ลุกขึ้นมา”
เสียงกระด้างสั่งพลางเดินห่างจากหุบเหว
ขวัญชนกกัดฟันยันตัวที่สั่นๆเพราะความกลัวยังไม่หาย
ยืนขึ้นมาก่อนจะเซไปข้างหลังเล็กน้อยเพราะความอ่อนแอ
แล้วก้าวตามร่างสูงที่เดินนำไป แต่สมองและสองตาเธอไม่ได้อ่อนแอตามร่างกาย
มันกำลังคิดหาทางหนีอีกครั้ง ตราบใดที่เธอยังไม่สิ้นลมหายใจ
คำว่าหนีก็จะไม่หายไปจากความคิดเธอ
“ถ้าอยากลงไปนอนอยู่ก้นเหวก็ลองทำดู”
เสียงเย็นยะเยือกที่ดังขึ้นทำให้ขวัญชนกขนลุก
เพราะเขาพูดยังกับคนมีตาหลังและอ่านใจเธอออก ความคิดเธอหยุดชะงักไปนิด แล้วคิดต่อ
ประสาทสัมผัสทุกส่วนของร่างกายต่างเร่งทำงาน ตาดู หูฟัง สมองคิดเพื่อยังหาทางหนี
และสิ่งที่เธอทำอยู่นี่เอง ทำให้เห็นแสงบางอย่างที่แวบออกมา แต่ยังไม่ทันได้พูด
ร่างสูงที่เดินอยู่ข้างหน้าก็กระโจนมาคว้าตัวเธอพาล้มกลิ้งไปด้วยกัน
และไม่ใช่แค่นั้นแสงนั้นยังแหวกความมืดมาใกล้ ให้กลิ้งหลบอีกหลายตลบ จนกระทั่ง
พื้นดินที่รองรับตัวเธอกลายเป็นอากาศ ร่างกายร่วงลงสู่ความว่างเปล่า
เสียงกรี๊ดร้องก็ดังขึ้น แล้วค่อยๆหายไปเหลือเพียงความเงียบ สายลม และความมืด
แสงสีทองเรืองรองขึ้นเหนือขอบฟ้า
นกกาส่งเสียงร้องและโผผินบินขึ้นสู่เวหา หลังสันเขามหึมา
ความงามที่ธรรมชาติสร้างขึ้นก็ขยับ ต้นไม้ใบหญ้าแกว่งไกวไปตามกระแสลมที่พัดมา
รวมถึงสัตว์ทั้งหลายที่เริงร่าส่งเสียงรับแสงตะวันที่โผล่ขึ้นมาแทนแสงจันทรา...
ท่ามกลางความซับซ้อนของภูเขาสูงใหญ่ ที่เรียกว่าภูเขาดำ
ควันไฟสีขาวลอยเอื่อยขึ้นมา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงบทสวด
ซึ่งดังขึ้นมาจากหมู่บ้านที่อยู่ในภูเขา เพื่อต้อนรับเช้าวันใหม่
มันเป็นบทสวดที่เหมือนคำอวยพร ให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในภูเขาแห่งนี้
มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีแรงใจในการทำมาหากิน และสั่งสอนให้ทุกคนสมัครสมานสามัคคี
ยกย่องและเชิดชูนายที่ปกครองภูเขาดำ...
ผู้คนที่นี่สวมใส่ผ้าเนื้อหนาที่ทำมาจากผ้าป่าน
เพราะอากาศที่หนาวเย็นบนภูเขา ผู้หญิงก็จะผ้าผืนใหญ่มาพันทบกันเป็นผ้านุ่ง
ส่วนเสื้อก็จะตัดเย็บขึ้นมา มีสายมาผูกเป็นแนวที่อกด้านซ้าย หรือไม่ก็ตรงกลาง
ของผู้ชายก็ไม่ต่างกันเท่าไร
แต่ผ้านุ่งนั้นจะตัดเย็บเป็นกางเกงแล้วใช้สายรูดมัดไว้ให้กระชับ
ของเด็กๆก็จะย่อส่วนกันลงมา
หลังจากบทสวดจบลง
เสียงเกราะก็สั่นระรัว ดังไปทั่วภูเขา
ไม่นานม้าสีดำเกือบสิบตัวก็ควบออกมาจากหุบผาที่ซ่อนอยู่ เพื่อมุ่งสู่ยอดเขา
ถิ่นพำนักของผู้ครองบัลลังก์ภูเขาแห่งนี้ ถ้ามองจากยอดเขาใหญ่ก็จะเห็นว่า
หุบผาที่ม้าทั้งหมดควบออกมานั้นตั้งเป็นแนวสามเหลี่ยมและไปบรรจบพบกันที่ลานผาคำ
ที่ประชุมของผู้นำหุบผา
ผู้นำหุบผาคนแรกคือพยัค
ฆโรราช เป็นผู้ดูแลหุบผาแดง ใบหน้าคม รูปร่างสูงใหญ่ ควบม้าคู่กายสีดำข้อเท้าสีขาว
มุ่งทะยานไปข้างหน้า พร้อมผู้ติดตามอีกสองคน คือสิงห์กับเสือ
ที่ถือธงสัญลักษณ์สีเขียวมีหัวเสือคำรามตรงกลาง...พยัคนั้นไร้คู่
เพราะภรรยาได้ตายจากไปสิบกว่าปีแล้ว ทิ้งลูกชาย ‘พนา’ ไว้ให้เขาดูต่างหน้าเพียงคนเดียว
ผู้นำหุบผาคนที่สองคือเมฆา
ฆโรยา เป็นผู้ดูแลหุบผาเหลือง หน้ามีรอยบากที่ขมับขวา ท่าทางแข็งกร้าว
รูปร่างไม่สูงแต่หนา นั่งอยู่บนม้าสีนิลที่วิ่งไปข้างหน้า พร้อมผู้ติดตาม
นายเมฆลูกชาย และหมอกลูกบุญธรรม ถือธงสัญลักษณ์สีฟ้ามีสายฟ้าฟาดอยู่ตรงกลาง ...
เมฆานั้นมีเมียสองคน นางนภากับนางจันทรา ซึ่งมีลูกสาวชื่อเดือนดาว
ผู้นำหุบผาคนที่สามคือวิหค
ฆโรดม เป็นผู้ดูแลหุบผาเขียว รูปร่างสูงโปร่ง ดูบอบบางแต่แววตาเจ้าเล่ห์
นั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว ที่ควบไปข้างหน้า พร้อมผู้ติดตาม นายเวหาลูกชาย
และมือขวาคนสนิทพิชิต ที่ถือธงสีขาวมีรูปนกอินทรีอยู่ตรงกลาง...
เวหานั้นมากรักหลายเมีย แต่มีเพียงคนเดียวที่ยกย่องคือ นารี
แม่ของเวหาและเวธิกาลูกสาวของเขาอีกคน
ผู้นำหุบผาทั้งสามคนอยู่ในวัยกลางคน
ขณะที่ลูกชายนั่นอยู่ในวัยฉกรรจ์ ลูกสาวอยู่ในวัยสาวสะพรั่ง
ส่วนผู้ติดตามนั้นนอกจากจะเป็นมือขวาแล้วยังเป็นกุนซือคู่คิดอีกด้วย
ว่ากันว่านายแต่ละหุบผา นั้นมีความลึกลับ น้อยคนที่จะพบเห็น
ม้าทั้งหมดวิ่งมาบรรจบกันตรงเส้นทางที่จะมุ่งไปสู่ลานผาคำ
ผู้นำทั้งสามหุบผาตวัดสายตามองหน้ากันแวบเดียว ก็หวดแส้ลงบนสะโพกของม้า
เพื่อเพิ่มความเร็วให้ไปถึงยอดเขา
“ย้ากส์”
ม้าทุกตัวเหยียดฝีเท้าห้อไปตามแรงกระตุ้น
ก่อนจะค่อยๆชะลอลงเมื่อถึงทางคดเคี้ยวที่เต็มไปด้วยก้อนหินและหน้าผาที่สูงชั้น
ความจริงแล้ว จะใช้รถเป็นพาหนะในการเดินทางก็ได้ แต่จะใช้เวลานานกว่าม้า
ผู้คนส่วนใหญ่จึงใช้ม้า และบังคับให้มันวิ่งเร็วขึ้น กระทั่งมาสิ้นสุดลงตรงแนวป่า
ทุกคนดึงเชือกบังคับมันให้วิ่งเหยาะย่างไปเรื่อยๆ จนมาถึงผาคำ ลานหินกว้าง
มีแนวไม้หนาล้อมอยู่โดยรอบ
สายตาทุกคู่มองตรงไปที่ลานหิน
มีเพิงอยู่สี่หลัง แต่ละหลังมุงด้วยหญ้า มีเก้าอีกไม้วางอยู่กลางเพิง และแคร่เล็กๆ
ที่มีโถสีเงินและแก้วสองใบวางเคียงกัน
ทั้งหมดถูกเตรียมไว้สำหรับผู้นำของแต่ละหุบผา แต่มีหลังหนึ่งมีผ้าขนสัตว์ปูไว้
เพื่อผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ
และแต่ละเพิงก็จะมีหญิงสาวหน้าตาหมดจดนั่งคุกเข่าเตรียมรับใช้อยู่ข้างแคร่
นอกจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว กลางลานกว้างยังมีเชลยที่ถูกขังอยู่ในกรงไม้ด้วย
ผู้นำหุบผาแต่ละคนมองมันอย่างสนใจว่าเป็นใคร
และได้ตัวมายังไง แต่ไม่พูดกันออกมา
เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนที่ถูกจับมาขังไว้กลางลานผาคำนี้
ถ้าไม่ใช่พวกเชลยก็เป็นคนที่คิดไม่ดีกับภูเขาดำ
และรอให้ผู้ครองบัลลังก์มาพิจารณาโทษ ซึ่งตอนนี้ท่านยังไม่มา
ลูกน้องคนสนิทของท่านผู้นำ
กระแทกเข่าข้างตัวม้าให้เดินไปที่เพิง เอาธงประจำผาปักไว้บนหลังคา แล้วก็ลงจากหลังม้ามายืนประสานมือกันไว้ข้างหน้า
รอเจ้านายลงจากหลังม้าเดินมาที่เพิง ก็รีบเดินไปยืนอารักขา
ผู้นำแต่ละหุบผานั่งลงตรงที่พัก หญิงสาวที่คุกเข่ารอรับใช้อยู่ รีบรินน้ำรินเหล้า
จัดอาหารให้พร้อมเพรียง ผู้นำแต่ละคนยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม รสชาติบาดคอเรียกเลือดลมให้อุ่นขึ้น
แล้วหันหน้ามาพูดคุยกัน
“สบายดีเหรอท่านวิหค”
เมฆาผู้นำหุบผาเหลือง เอ่ยขึ้นเป็นคนแรก
“ข้าสบายดี
แต่คงไม่เท่าท่านเมฆา ที่เพิ่งค้นพบแร่ทองในหุบผาของตัวเองใช่ไหม”
“ฮะๆๆๆ”
เสียงหัวเราะดังบอกความชอบใจ ก่อนจะบอกว่า “สายตาท่านกว้างสมชื่อวิหคที่เหินอยู่บนฟ้าจริงๆ
แค่แร่ทองเล็กๆของข้าท่านยังมองเห็นอีก ... แล้วท่านละท่านพยัค สบายดีไหม”
“ข้าก็เหมือนพวกท่าน
สบายดี แล้วพวกเจ้าล่ะ เวหา เมฆ สบายดีใช่ไหม”
“สบายดีครับท่านพยัค”
ทั้งสองหนุ่มตอบออกมาอย่างนอบน้อม
“แล้วลูกชายท่านละ
วันนี้ไม่มาด้วยเหรอ”
“เขามีงานต้องทำพวกท่านก็รู้ จึงมาไม่ได้ แล้วเวธิกาลูกสาวท่านละเมฆา
วันนี้นางไม่มาด้วยเหรอ”
“นางก็อยากจะมาร่วมสังสรรค์ในวันนี้
แต่ติดที่ต้องตามแม่ไปดูแลคนป่วยเท่านั้นเอง น่าเสียดาย ถ้านางมา
คงได้เป็นเพื่อนคุยกับลูกชายพวกท่าน”
ทุกคนทักทายกันด้วยน้ำใสไมตรี
แต่แววตาต่างก็ยากแท้หยั่งถึงกันทั้งนั้น
แล้วนั่งรอผู้ครองบัลลังก์ที่กำลังเดินทางมา
ซึ่งเพียงดวงตะวันลอยขึ้นถึงหลังคาเพิง ธงสีดำผืนใหญ่ มีดวงตาลึกลับอยู่ตรงกลาง
สัญลักษณ์ของผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ ก็โผล่มาให้เห็น
ม้าสีดำนำพาท่านมาพร้อมผู้พิทักษ์กับผู้ติดตามอีกหลายคน
อำนาจบารมีนั้นแผ่ออกมาถึงผู้นำแต่ละหุบผา ซึ่งพากันลุกขึ้นยืนต้อนรับ
กระทั่งผู้ครองบัลลังก์ลงมาจากหลังม้า เดินเข้ามายืนอยู่ในเพิง
ทุกคนก็ก้มหน้าแสดงความเคารพ และรอจนท่านนั่งลง ทุกคนจึงนั่งตาม
ผู้เฒ่าโพธิ์
ฆโรราช ผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ เป็นชายชราวัยเจ็ดสิบ รูปร่างสูงใหญ่เข็งแรง
ใบหน้ามีความเมตาปราณี ขณะที่ดวงตาก็เต็มไปด้วยอำนาจ ตวัดมองยังคนที่อยู่ใต้อำนาจ
โดยเฉพาะผู้นำหุบผา แล้วยกแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นชูพร้อมกับเอ่ยต้อนรับทุกคน
“ข้าดีใจที่ได้พบพวกท่านในวันนี้ สบายดีกันทุกคนใช่ไหม”
“พวกข้าสบายดี ท่านผู้เฒ่า”
พยัคตอบแทนทุกคน
แล้วดึงมีดจากเอวมาปาไปปักกลางลานผาคำ เป็นสัญลักษณ์ให้คนของผู้นำหุบผา
นำทรัพย์สินเงินทองที่ได้มาจากทำมาหากิน ทั้งแร่ธาตุและป่าไม้
ครึ่งหนึ่งมาให้ผู้ครองบัลลังก์ เก็บไว้เป็นคลังสมบัติที่หล่อเลี้ยงทุกคนที่อยู่ในภูเขาดำ
ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
“หุบผาของข้าได้ทองมาสิบกิโล”
พยัคเอ่ยออกมาเป็นคนแรก เมฆาจึงเอ่ยเป็นคนต่อมา
“ของข้าได้มาเก้ากิโล และเงินอีกก้อนใหญ่”
“ของข้าก็เหมือนของท่านเมฆา” เวหาเป็นคนพูดสุดท้าย
เงินทองที่กองอยู่กลางลานผาคำ
สะท้อนเข้าไปอยู่นัยน์ตาทุกคน แต่ไม่มีวี่แววของความอยากได้ใคร่มี
หรือมีก็สุดจะเดาเพราะจิตใจของคนที่ซ่อนลึกอยู่ในอกด้านซ้ายนั้น มันยากแท้หยั่งถึง
ผู้เฒ่าโพธิ์พยักหน้าอย่างพอใจ
จากนั้นก็บอกกับผู้นำแต่ละหุบผาว่า “เมื่อคืนนี้ มีผู้บุกรุกเข้ามาในเขตภูเขาดำของพวกเรา
และคนที่อยู่กลางลานคือคนที่บุกรุกเข้ามา ผู้พิทักษ์ของเราจับตัวมันมาได้
ข้าจึงอยากให้พวกท่านได้ร่วมกันสอบสวน ว่ามันเป็นใครมาจากไหน
และมาโผล่ในเขตภูเขาของเราได้ยังไง”
ผู้นำหุบผาทั้งสามคนจ้องไปที่ไอ้คนที่อยู่ในกรง
พิจารณาลักษณะท่าทางของมันอย่างถี่ถ้วน
ชุดทหารที่ใส่ทำให้ทั้งสามคนสงสัยว่ามันทำอาชีพนี้จริงๆหรือแอบอ้างมา
ถ้าเป็นจริงก็ต้องปิดตาก่อนจะปล่อยมันไป เพราะไม่อยากมีปัญหากับพวกทหาร
แต่ถ้าไม่ใช่ ก็จัดการไม่ให้มันมีปากไปบอกใครได้อีก
และท่าทางของมันคงจะเป็นพวกกระจอกมากกว่าจะเป็นเจ้าใหญ่นายใหญ่
“ข้าจะขอสอบมันเองท่านผู้เฒ่า” เมฆาขันอาสาออกมา
“แต่ถ้ามันไม่พูด ไม่บอกอะไร ข้าจะปลิดลมหายใจมันได้ไหมท่าน”
“จะไม่รีบจัดการมันไปหน่อยหรือท่านเมฆา”
พยัคทักท้วงออกมา
“นั่นนะซิ
ยังไม่ทันได้ถามสักคำ ก็คิดไปถึงจะฆ่ามันแล้ว มีอะไรหรือเปล่าท่าน”
คำถามเหมือนหยอกเล่นของเวหานั้น
ทำให้เมฆายิ้มหยันที่มุมปาก
แต่ไม่มีใครเห็นเพราะมันเกิดขึ้นแค่เพียงเสี้ยวของความรู้สึกเท่านั้น
ก็หันหน้าไปตอบว่า “ไม่มีหรอกท่าน แต่พวกท่านนะซิรีบทักท้วงข้า มีอะไรหรือเปล่า”
คำถามกลับนั้นทำให้พยัคกับเวหาปรายตามองหากัน
แล้วหัวเราะออกมาเหมือนหยอกกันเล่นมากกว่าจะจริงจัง
แต่ในใจที่ไม่มีใครเห็นนั้นต่างก็คิดไปคนละอย่าง
ผู้เฒ่าโพธิ์ที่นั่งฟังอยู่และเห็นว่ายังไม่ได้ข้อสรุป
ก็บอกว่า “ข้าจะให้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งจัดการ”
ผู้นำทั้งสามหุบผามองหาคนที่ผู้ครองบัลลังก์ประกาศออกมาทันที
แต่ไม่เห็น ความจริงแล้วคอยจับตามองตั้งแต่ตอนที่ท่านมาแล้ว
ตอนนั้นไม่เห็นก็ยังไม่สงสัยเท่าไร แต่ตอนนี้ต่างก็สงสัยเต็มเปี่ยม
เพราะเขาเป็นเหมือนเงาของผู้ครองบัลลังก์ ต้องคอยปกป้องคุ้มครองดูแล
แต่การประชุมวันนี้กลับหายไป ...
“มีใครจะไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของข้าหรือเปล่า”
เสียงท่านผู้เฒ่าถามออกมา
ไม่มีใครตอบ ก็แสดงว่าทุกคนยอมรับ ท่านก็ขอจบการประชุม
ผู้พิทักษ์ไปจัดการเก็บสมบัติ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
ท่านก็ลุกขึ้นยืนเป็นการบอกทุกคนว่าการหารือได้สิ้นสุดแล้ว ก็เดินไปขึ้นม้า
เพื่อขี่กลับที่พัก ผู้นำทั้งสามคนก็ลุกขึ้นให้ความเคารพ
กระทั่งขบวนของท่านหายไปจากสายตา ใบหน้าที่เหมือนเป็นมิตรกัน
หันไปคนละทางบอกให้รู้ว่าไม่มีมิตรแท้ผลประโยชน์ ที่ซ่อนอยู่ในภูเขาดำ
และตอนนี้สิ่งที่สำคัญไปกว่าสิ่งใด คือการหายไปของผู้พิทักษ์มือหนึ่ง
แววตาของผู้นำแต่ละหุบผาต่างก็มีประกายบางอย่างที่ซ้อนเร้นอยู่
แล้วก็แยกย้ายกันกลับหุบผาของตัวเอง เพื่อตามข่าวคนที่หายตัวไป
สายลมพัดซอกซอนไปทั่วพนาไพร
กิ่งอ่อนต้อนใบให้พลิ้วไหวไปตามครรลอง
หยาดน้ำค้างปนน้ำฝนที่ยังค้างอยู่บนใบไม้ตั้งแต่เมื่อคืน
ค่อยๆไหลมารวมกันแล้วหยดย้อยลงสู่พื้นดิน ที่มีใบไม้หลากหลายสีปกคลุมเสมือนพรมที่ถูกวาดไว้อย่างสวยงาม
และยังรองรับร่างของสองคนไว้ด้วย ทั้งคู่นอนนิ่งเหมือนไม่มีชีวิต
แต่หัวใจใต้อกด้านซ้ายสะท้อนขึ้นลงให้เห็นว่ายังมีลมหายใจอยู่
น้ำฝนปนน้ำค้างหยดลงมาโดนทั้งสองคน
ดวงตาคู่หนึ่งเริ่มขยับก่อนจะกะพริบขึ้นสองสามครั้ง ก็ค่อยๆลืมขึ้น ม่านตาขยับปรับรับภาพ
สีเขียวๆของใบไม้สะท้อนเข้ามาในดวงตา แล้วค่อยๆแจ่มชัดรับรู้ว่าภาพที่เห็นคืออะไร
ป่าไม้เขียวครึ้มมีแสงแดดลอดผ่านลงมาเหมือนสายรุ้งที่พาดผ่านพื้นดิน
เสียงนกหลายชนิดกับแมลงส่งเสียงร้องขับขาน
ให้คนที่เพิ่งรู้สึกตัวได้รู้ตัวว่ายังมีชีวิตอยู่
หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นนั่งทันที
แต่การลุกอย่างรวดเร็วทำให้หน้านิ่ว เพราะมีความเจ็บปวดร้าวไปทั้งตัว
ต้องค่อยๆขยับพร้อมปรับลมหายใจ แล้วกลอกสายตามองไปรอบตัว
ก่อนจะหยุดนิ่งที่คนที่นอนนิ่งอยู่ไม่ห่าง
รูปร่างที่เห็นเรียกความทรงจำที่เกิดขึ้นก่อนสติจะดับไป ...
เสียงกรีดร้องดังลั่นเหมือนมีใครมาพรากวิญญาณให้ชีวิตดับสูญ
ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังมีลมหายใจยังไม่ตาย หญิงสาวถามตัวเอง
แต่ไม่ได้คำตอบหรือว่าเพราะเขา
เธอจ้องที่ใบหน้าที่ซ่อนไว้ใต้ผ้าสีดำและสงสัยว่าเขาตายหรือยัง แต่เธอจะสนใจทำไม
ไม่ว่าเขาจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวกับเธอ ตอนนี้ที่ต้องทำคือ...หนี
คิดแล้วเธอก็หันหน้ามองรอบตัวอีกครั้ง
แต่ความคิดเหมือนจะช้าไปเสียแล้ว เมื่อละสายตากลับมาเพื่อยันตัวลุกขึ้น
ดวงตาของคนที่เธอไม่สนใจ ลืมขึ้นจ้องหน้าเธอ ร่างอรชรถอยร่นทันที แต่... “กรี๊ด”
เสียงกรีดร้องดังลั่นเพราะมือเขายื่นมาจับข้อเท้าเธอไว้
ขาอีกข้างจึงถีบมือที่จับขาให้หลุด ขณะที่สองมือก็ไขว่คว้าหาที่ยึด
แต่กลับไปโดนท่อนไม้ คว้ามาฟาดใส่ร่างสูงดัง “ผลัวะ”
เธอไม่สนใจว่าจะถูกส่วนไหน
ขอแค่หลุดออกมาจากพันธนาการก็พอ และก็ได้ผลเมื่อมือหนาคลายออกจากข้อเท้า
เธอก็ลุกขึ้นวิ่ง แต่... “โอ๊ย”
ร่างอรชรเซถลาไปข้างหน้าเพราะถูกรวบตัวจนล้มกลิ้งไปสองสามตลบ
ร่างสูงใหญ่กดทับตัวเธอไว้ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมจำนน
ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้หลุดพ้น ทั้งขาทั้งมือประสานกันประเคนลงบนตัวคนทับ
“ปล่อย ไอ้คนเลว ปล๊อย ไอ้คนชั่ว”
เสียงกรีดด่าออกมาลั่นป่า
สองมือสองขาก็ผลักดันแต่แล้วเสียงก็หายไป เมื่อลมหายใจเริ่มติดขัด
เพราะมือหนาที่กดอยู่บนลำคอ เนื้อตัวเหมือนจะเป็นอัมพาต
แต่ดวงตาจ้องหน้าใต้ผ้าดำอย่างเกลียดชัง และอย่าคิดว่าเธอจะกลัวตาย
สองมือกำเข้าหากันเพื่อสร้างแรงฮึดให้ตัวเอง ดวงตาคมปรายตามอง
ก่อนจะเตือนด้วยเสียงเย็นยะเยือก
“ถ้าขยับนิดเดียว
ฉันจะหักคอเธอ”
คำเตือนไม่มีผลเมื่อหญิงสาวเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่กลัว
ซ้ำยังจ้องตอบดวงตาคมกร้าวอย่างห้าวหาญ
แล้วต้องกะพริบตาเมื่อมีบางอย่างหยดลงโดนแก้ม ความอุ่นวาบทำให้เธอหรี่ตาลงมอง ‘เลือดสีแดง’
นั่นคือสิ่งที่เห็นแล้วตวัดสายตาขึ้นมองหาที่มา
ก็ได้เห็นว่าไหลออกมาจากขมับ จากนั้นใบหน้าใต้ผ้าสีดำก็ค่อยๆโน้มลงมาราวกับเพชฌฆาต
เธอหลับตาลงยอมรับความตาย แต่แล้วกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ
นอกจากความหนักและอึดอัด
ผ่านไปหลายนาทีดวงตาที่ปิดสนิทจึงค่อยๆลืมขึ้น เห็นแค่เส้นผมดกดำของคนน่ากลัวซบหน้านิ่งที่บ่า ก็ยังนอนนิ่งอีกหลายอึดใจเพราะไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อไม่มีท่าทีการเคลื่อนไหว เธอก็เริ่มขยับตัวแรกๆก็ระวังเพราะยังหวั่นๆ แต่เมื่อแน่ใจว่าไม่กระดุกกระดิกแน่นอน ก็ยกมือขึ้นผลักร่างสูงออกจากตัว แล้วยันตัวขึ้นยืน หมุนตัวจะก้าวหนี แต่...อะไรบางอย่างทำให้ใบหน้างามหันมามองร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติง พร้อมกับถามตัวเองว่าเธอจะใจดีรักษาเขา หรือจะดำหนีไปปล่อยให้เขาตายดี!
ความคิดเห็น