ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บังลังค์รักภูผา

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 59


    บทที่ 1 (ฉบับร่าง ยังไม่ได้แก้ไขคำผิด)

     

    ทิวเขาที่เห็นไกลๆ สลับซับซ้อนด้วยหุบเขาทั้งเล็กและใหญ่ ปกคลุมด้วยต้นไม้และพืชนานาพันธุ์ ดวงอาทิตย์กลมโตเหนือภูเขาสูง ส่องสว่างไปทั่วผืนป่า แต่แสงของมันส่องกระทบลงสู่พื้นดินในป่าน้อยมาก เพราะความหนาแน่นของต้นไม้สูง ลึกเข้าไปเป็นป่าดงดิบที่รกชัฏ ที่อยู่อาศัยของสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ใหญ่อย่างช้าง หรือสัตว์เล็กอย่างนก ชะนี เสียงร้องของพวกมันดังก้องไปทั่วพนาไพร

    ความเขียวชอุ่มของต้นไม้ทำให้รู้ว่าป่าแถบนี้อุดมสมบูรณ์มาก สายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนจะบอกสภาพอากาศที่รกชื่นได้เป็นอย่างดี ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มจะเปลี่ยนไป แสงอาทิตย์ที่ส่องอยู่ก็มีเมฆฝนเคลื่อนเข้ามาบดบัง ต้นไม้ต้นหญ้าไหวเอนไปตามกระแสลม ทำให้รู้ว่าอีกไม่นานเม็ดฝนหยดลงมาแน่นอน

    กลุ่มคนประมาณเกือบสิบคน แต่งตัวทะมัดทะแมงด้วยชุดทหาร แต่ละคนมีอายุที่ต่างกันตั้งแต่วัยกลางคนไล่ลงมาต่ำสุดประมาณยี่สิบกว่าๆ ทุกคนเดินตามกันเป็นขบวน มีเสียงพูดคุยกันเบาๆ บางคนมีเป้อยู่บนหลังและบางคนก็หาบสัมภาระกับข้าวของอื่นๆมาด้วย ทุกคนเดินไปเรื่อยๆ บางช่วงทางเดินเป็นเนินเขาเล็กๆและลาดชัน ทำให้การเดินทางทุลักทุเลสำหรับบางคนที่ไม่คุ้นกับการเดินป่า แต่สำหรับคนที่ครึ่งหนึ่งของชีวิตอยู่กับป่าการบุกป่าฝ่าดงนั้นสบายๆมาก

    คนที่เดินนำหน้าสุดยกมือขึ้นให้สัญญาณ ทุกคนจึงหยุดเดิน แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่ขึ้นไปยืนอยู่บนโขดหิน เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนจะไล่สายตาลงมามองรอบๆบริเวณ แล้วเลื่อนมาสบตากับทุกคนที่มองมา

    ลมเย็นพัดมาแล้ว ไม่นานเม็ดฝนคงโปรยปรายลงมา เราต้องรีบเดิน ข้างหน้ามีถ้ำเล็กๆ พอให้เราหลบได้ รีบไปกันเถอะ

    เมื่อพูดจบก็หันหลังเดินลงมาจากโขดหิน เดินนำทุกคนต่อไปทันที ซึ่งก็ต้องกระชับเป้ที่อยู่บนหลังแล้วก้าวเดินตามไปอย่างรีบเร่ง เพราะไม่อยากเจอสายฝน แต่ทางที่ลาดชันแถมยังคดเคี้ยว มีก้อนหินรากไม้ขวางอยู่ ทำให้เดินลำบาก แม้จะรีบแต่สุดท้ายก็ไม่ทันเม็ดฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมา กว่าจะถึงถ้ำที่ว่า ทุกคนก็เปียกไปตามๆกัน

    เสียงถอนหายใจพากันดังออกมาเบาๆ เมื่อเข้ามาอยู่ในถ้ำ คบเพลิงที่เตรียมมาถูกจุดขึ้นให้ความสว่าง ค้างคาวหลายตัวที่เกาะอยู่บนผนังถ้ำ กางปีกขึ้นบินจนหลายคนตกใจ แต่ไม่นานก็สงบลงได้ เพราะรู้ว่าเป็นค้างคาวที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร แล้วเดินกวาดตาสำรวจไปรอบถ้ำ เมื่อไม่มีสิ่งใดเป็นอันตรายแล้ว ทุกคนก็มองหาที่นั่ง ได้ที่เหมาะก็เดินไปยืนปลดเป้ออกจากหลังลงวางบนพื้น ย่อตัวลงนั่งยืดขาให้เหยียดออกเพื่อลดความปวดเมื่อย บางคนก็ถอดเสื้อผ้าออกมาสะบัดและผึ่งไว้บนก้อนหิน

    อีกมุมหนึ่งของถ้ำ คนสองคนกำลังเปิดเป้ตัวเองออก คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ อีกคนรูปร่างบอบบางแม้จะดูสูงโปร่งแต่ก็สูงแค่แค่จมูกของคนร่างใหญ่เท่านั้นเอง รอยยิ้มอบอุ่นผุดขึ้นบนริมฝีปากหนาของคนร่างสูง ก่อนจะยกมือขึ้นปัดเส้นผมบนใบหน้าของคนตัวเล็กกว่า

    เหนื่อยไหมลูก

    จิ๊บๆ เสียงหวานปนหอบนิดๆตอบออกมา แล้วดึงผ้าขนหนูออกมาจากเป้ ส่งให้คนเป็นพ่อ พ่อซิคะเหนื่อย แบกเป้ที่มีแต่ของใช้ของขวัญทั้งนั้น

    หนักกว่าสำลีนิดเดียวเอง สบายแรงพ่อมาก เสียงตอบของคนเป็นพ่อทำให้ร่างอรชรหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้มผู้เป็นพ่ออย่างขอบคุณ

    ถ้าไม่เป็นเพราะวิทยานิพนธ์ และเกียรตินิยมอันดับหนึ่งละก้อ ขวัญไม่ตามพ่อมาหรอกค่ะ เดินป่าธรรมชาติมันเหนื่อยกว่าเดินป่าคอนกรีตตั้งเยอะ แต่ขวัญมีสายเลือดสีน้ำเงินของรั้วของชาติ เชื้อเลยแรง แรงไม่หมดอยู่แล้ว

    น้ำเสียงหวานๆตอบเอาใจผู้เป็นพ่อ ทำให้มือหนาที่เช็ดหน้าอยู่เปลี่ยนมาขยี้ผมลูกสาวเบาๆ ก่อนจะใช้ผ้าขนหนูเช็ดไปตามใบหน้าหวาน ดวงตากลมโต จมูกโด่งรั้นนิดๆ ริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่ออย่างธรรมชาติ ผิวนวลขาวลออบางใส จนเห็นเส้นเลือดที่ข้างแก้ม ลูกสาวคนเดียวที่เปรียบได้กับทุกอย่างในชีวิต และกำลังเรียนปริญญาโทเทอญสุดท้าย จึงต้องมาหาข้อมูลในการทำวิทยานิพนธ์ สายตาของคนเป็นพ่อฉายแววรักลูกสาวที่เป็นดั่งดวงใจเพียงคนเดียวมากเหลือเกิน

    ในถ้ำนี้คงไม่มีสัญญาณ เสียงโทรศัพท์เลยเงียบ ไม่งั้นคงได้ยินเสียงเมียของพ่อแม่ของลูกแล้วละ

    สบายหูใช่ไหมคะเสียงหวานเย้าผู้เป็นพ่อเบาๆ

    แม่เขาเลี้ยงลูกกรอกไว้

    ขวัญชนกหัวเราะคิก กับคำล้อเล่นของคนเป็นพ่อและท่าทางที่ขยิบตาบอกความนัยว่าให้เงียบไว้ และรู้กันแค่สองคน ไม่งั้นเรื่องที่พูดกันเล่นๆ ต้องถึงหูคนเป็นแม่แน่ และถ้ารู้รับรองได้หูชาเป็นชั่วโมง เพราะคุณหญิงประภาพรรณไม่ยอมแน่ๆ ต้องกอด ต้องหอมแก้มซ้ายขวานั่นแหละถึงจะเงียบ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สองพ่อลูกรำคาญเพราะรู้ว่าคนบ่น บ่นไปเพราะรักเพราะห่วงลูกและสามีนั่นเอง

                    ใกล้จะถึงฐานพ่อหรือยังคะ

                    คิดว่าค่ำนี้ก็ถึงลูก ป่าแถวนั้นยังอุดมสมบูรณ์มาก วิทยานิพนธ์เรื่องพันธุ์ไม้ของลูกต้องเสร็จแน่นอน

                    มีบ้านบนต้นไม้ให้นอนเหมือนเดิมไหมคะ

                    มี พ่อเตรียมไว้ให้หนูแล้ว

                    ขวัญรักพ่อที่สุดในโลก รัก ๆๆๆๆ เสียงหวานบอกรักพร้อมกับหอมแก้มซ้ายแก้มขวา ก่อนจะถอยออกมายืนมองผู้เป็นพ่อแล้วยิ้มหวาน วงแขนของคนเป็นพ่อจึงคว้าตัวเข้าไปกอดไว้แนบอก

    ลูกคือดวงใจ คือขวัญชนกของพ่อ

    ร่างอรชรซุกอยู่ในอกพ่ออย่างอบอุ่น ก่อนจะยกสองแขนขึ้นกอดร่างหนาไว้ ดีนะคะที่มีเสื้อกันฝนของพ่อ ขวัญเลยไม่เปียกเหมือนคนอื่นๆ พ่อเปลี่ยนเสื้อซิคะ เดี๋ยวหนาว

    ไม่ล่ะ เราพักแป๊บเดียว พอฝนหยุดก็ไปต่อ พ่อไม่อยากพักนานเพราะป่าแถวนี้อันตราย

    ขวัญชนกไม่ได้ถามว่าอันตรายจากอะไร เพราะคิดว่าคงเป็นอันตรายจากสัตว์ ผู้เป็นพ่อดันตัวลูกออกจากอกแล้วบอกให้พักผ่อน ส่วนตัวเองเดินไปหาลูกน้องที่ร่วมเดินทางมาด้วย ขวัญชนกมองคนเป็นพ่อด้วยความรัก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง ดึงเอาช็อกโกแลตในเป้ออกมากัดกิน

    พันโทอัศวิน อัศวหิรัญ เดินมาหาลูกน้องที่นั่งบ้างยืนบ้าง พักผ่อนกันอยู่เงียบๆ เขายิ้มให้พลางตบบ่าลูกน้องทุกคนอย่างเป็นกันเอง ไม่ได้ถือว่ามีดาวบนบ่ามากกว่าแล้วจะข่มหรือทำตัวเหนือคนอื่น

    ลูกน้องที่นั่งอยู่ต่างลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มให้กับผู้บังคับบัญชา และรู้ว่าท่านผู้พันนั้นเป็นคนดี มีน้ำใจกับพวกตน ไม่เคยถือตนข่มท่านอย่างบางคนเลย

    ช่วงที่เราเดินทาง ติดต่อไปที่ฐานได้ความว่าไงบ้าง พันโทอัศวินถามลูกน้อง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รายงานว่า

    เรียบร้อยดีทุกอย่างครับท่าน ตอนนี้ที่ฐานเตรียมอาหารไว้เลี้ยงต้อนรับคุณหนูเรียบร้อยแล้วครับ

    เป็นงั้นไป พันโทอัศวินหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยิ้มอย่างขอบใจทุกคน ก่อนจะพูดเตือนสติลูกน้องอย่างผู้นำที่มีประสบการณ์ว่า ป่าแทบนี้ถึงไม่เคยมีอันตราย แต่เราก็ไม่ควรประมาท เจอพวกเร่ร่อนธรรมดาก็แล้วไป แต่ถ้าเจอพวกที่เป็นหัวรุนแรง พวกนี้มันโหดเหี้ยมและฆ่าทุกคนที่ขวางทางเดินของมัน ถึงเราจะไม่ยุ่งกับมันแต่ถ้ามันเจอเรา มันไม่ถอยออกไปง่ายๆแน่ ระวังตัวกันไว้บ้างก็ดี

    ครับท่าน ทุกคนรับปากหนักแน่น

    งั้นก็พักเอาแรงไว้ ตรวจเช็คทุกอย่างให้อยู่ในสภาพเตรียมพร้อม ฝนหยุดแล้วเราจะได้ไปกันต่อ

    ครับท่าน

    พันโทอัศวินเดินกลับมาที่ลูกสาว ที่กินอิ่มก็นั่งหลับพิงเป้ เขายกมือลูบผมลูกที่รักดั่งดวงใจ แม้จะรู้ว่าป่าแทบนี้ไม่มีอันตราย แต่ทำไมใจท่านรู้สึกเจ็บแปลบ เหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น จึงได้แต่ภาวนาขอให้การเดินทางครั้งนี้เป็นไปด้วยดีอย่างที่ผ่านๆมา ขออย่าให้เจอพวกเร่ร่อนหรือพวกภูผาดำ

    เพียงนึกถึงชื่อนี้ ใจท่านก็กระตุกจนต้องยกมือขึ้นจับหน้าอกไว้ คนกลุ่มนี้อยู่ในป่าลึก ปกครองตัวเอง ไม่ค่อยยุ่งกับใคร แต่ใครก็อย่าไปยุ่งด้วยเป็นอันขาด ชะตาจะขาดโดยไม่รู้ตัว

    ท่านไม่รู้เกี่ยวกับดินแดนในป่าลึกนั้นมากนัก แต่เคยได้ยินข่าวลือข่าวเล่ากันมาว่า ที่นั่นมีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีผู้นำที่น่ากลัว ความดีความชั่วความเลวความกักขฬะทุกอย่างรวมอยู่ที่นั่น ความหวั่นว่าจะเจอจึงมีอยู่บ้าง แต่หวังว่าพวกนั้นจะไม่โผล่ออกมาปะทะกับท่านตอนนี้ เมื่อท่านไม่ได้ไปบุกรุกพื้นที่ แค่เดินเฉียดๆไปเท่านั้น ที่ผ่านมาก็ผ่านไปด้วยดีตลอด ครั้งนี้ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น

    สายตาของท่านฉายความห่วงใยลูกสาวที่หลับอยู่ มือหนาลูบผมนุ่มเบาๆ ก่อนจะนั่งลงใกล้ๆ ดึงอาวุธคู่กายออกมา ตรวจเช็คทุกอย่างอย่างเตรียมพร้อมและไม่ประมาท ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อดวงใจที่อยู่ในมือท่านตอนนี้ต่างหาก ...จะไม่ยอมให้ลูกเป็นอะไรไปเด็ดขาด

     

                    เม็ดฝนที่โปรยปรายบางเบาจนหยุดลง พันโทอัศวินก็ปลุกลูกสาว แล้วใช้ผงถ่านดำๆสำหรับการพรางตัวของทหาร ทาลงบนใบหน้าลูก ขวัญชนกไม่ต่อต้านยืนยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ แม้จะไม่เข้าใจในการกระทำแต่ก็ไม่ถาม เมื่อรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่พ่อทำนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธออยู่แล้ว แต่ก็ยังสังเกตเห็นว่าท่านเงียบขรึมลงไป ก่อนจะยิ้มให้เธอ การสังเกตจึงหายไป และท่านยังบอกให้เธอขมวดผมไว้ในหมวกสีดำ เรียบร้อยแล้วก็ส่งปืนขนาดจุดสามแปดให้เธอเก็บไว้

                    ขวัญชนกมองปืนที่คนเป็นพ่อส่งให้อย่างไม่เข้าใจ พันโทอัศวินยิ้มให้ลูกพร้อมกับบอกว่า ไม่มีอะไรหรอกลูก มาอยู่ป่าอย่างนี้พ่ออยากให้หนูพกติดตัวไว้ให้ชินมือ ว่างๆจะได้แข่งความแม่นกับพ่อได้ ลูกทหารสู้ไม่ถอยอยู่แล้วใช่ไหม

    ค่ะ สู้ไม่ถอย ด้วยเลือดทหารไม่ทำให้เสียชื่อพ่อ เสียชื่อเกียรติภูมิของพันโทอัศวินเด็ดขาด ไม่แน่น่าครั้งนี้ขวัญอาจจะชนะพ่อก็ได้

    พันโทอัศวินหัวเราะออกมาเบาๆ โยกหัวลูกแล้วกอดร่างอรชรไว้แนบอก ก่อนจะปล่อยแล้วสั่งให้ทุกคนเดินทางต่อ ทั้งหมดก้าวตามกันออกมาจากถ้ำ แม้ฝนจะหยุดตกแล้ว แต่น้ำฝนที่คั่งค้างอยู่บนทางเดินทำให้ทางเดินลำบากมากขึ้น ท้องฟ้าเบื้องบนก็ยังหม่นมัว อากาศโดยรอบมืดลงเหมือนเป็นเวลาใกล้ค่ำ ทั้งๆที่เพิ่งจะบ่ายเท่านั้นเอง

                    ขวัญชนกเดินตามหลังผู้เป็นพ่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าทางจะลาดชัน คดเคี้ยว เปียกลื่นยังไงเธอก็ไม่หวั่น ไม่เคยมีใครในกลุ่มได้ยินเสียงบ่นออกมาจากหญิงสาว นอกจากรอยยิ้มหวานๆ แม้บางครั้งจะลื่นจนเกือบจะล้ม แต่มือหนาๆของผู้เป็นพ่อก็คว้าไว้ได้ทุกคราไป

     เมื่อเดินมาได้สักพัก ความผิดปกติบางอย่างเริ่มทำให้คนที่มีประการณ์โชกโชนรู้สึกตัว ต้นไม้ไม่ไหวติง นกไม่ร้อง แมลงไม่บิน มือหนายกขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุด ทหารหาญสองคนวิ่งขึ้นไปยืนขนาบซ้ายขวาของผู้พัน เตรียมพร้อมพร้อมถามถึงความผิดปรกติที่รู้สึกได้

                    มีอะไรครับท่าน

                    วอไปบอกคนของเราที่ฐาน ให้ส่งกำลังมาด่วน

    สิ้นคำสั่ง ก็ได้รับการปฏิบัติทันที แต่คำพูดสุดท้ายหายไปพร้อมกับกลุ่มคนในชุดลายพรางคล้ายทหาร โผล่ออกมาจากแนวต้นไม้หนา และไม่ใช่เฉพาะด้านหน้า ด้านหลังก็มีพวกมันขนาบไว้เหมือนกัน พวกมันทุกคนมีหมวกไหมพรหมสีดำคลุมหน้าไว้ และยกปืนเล็งมาที่กลุ่มของพันโทอัศวิน

    พันโทอัศวินส่งสัญญาณด้วยมือให้ลูกน้องทุกคนระวังตัว พลางขยับตัวไปชิดร่างอรชรของลูกอย่างปกป้อง หญิงสาวเองก็ตกใจเหมือนกัน แต่เห็นความองอาจของคนเป็นพ่อ เธอก็สลัดความกลัวทุกอย่างออกไป จับอาวุธปืนที่ผู้เป็นพ่อให้มาไว้มั่น

    มัจจุราชสีเงินวาว แม้จะไม่ได้จับได้ใช้ทุกวันเหมือนคนอื่น แต่เธอก็คุ้นเคยกับมันดีเพราะเมื่อพ่อกลับบ้าน นอกจากจะพักผ่อนอยู่กับครอบครัวแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้เป็นพ่อและเธอมักจะทำร่วมกันคือการฝึกซ้อมยิงปืน แรกๆนั้นขวัญชนกแค่ตามผู้เป็นพ่อไปสนามฝึกยิงปืน แต่นานวันเข้าเธอก็ชอบและขอให้ผู้เป็นพ่อฝึกให้ เธอไม่ได้ฝึกให้เก่ง แต่ฝึกเพราะจะได้มีกิจกรรมร่วมกับผู้เป็นพ่อเท่านั้น แต่ก่อนฝึกผู้เป็นพ่อก็มักจะบอกว่า

    เมื่อเป็นลูกทหารลูกต้องรับให้ได้ทุกอย่างเหมือนทหารคนหนึ่ง

    คำพูดของผู้เป็นพ่อดั่งก้องอยู่ในใจเสมอ ตอนแรกเธอก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายมันมากนัก รู้แต่ว่าเธอต้องเข้มแข็งต้องทำตามคำสั่ง ต้องปฏิบัติทุกอย่างให้เหมือนเธอเป็นลูกน้องของผู้เป็นพ่อ ไม่ใช่ลูกสาว เธอฝ่ามันมาได้ด้วยความอดทนและภูมิใจ และตอนนี้เธอเข้าใจความหมายที่พ่อเคยพูดไว้อย่างลึกซึ้งทีเดียว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตราย ขวัญชนกกระชับปืนไว้แน่น ดวงตาเธอแน่นิ่ง มองคนที่ยืนขวางหน้าไว้อย่างไม่กลัว

    การบุกรุกอธิปไตยเป็นความผิด แต่ถ้าพวกแกถอยไป ทุกอย่างก็จะจบเสียงห้าวๆของพันโทอัศวินดังขึ้นอย่างห้าวหาญและหยั่งท่าทีของพวกมัน ถึงแม้จะเห็นว่าพวกมันใส่ชุดทหารเหมือนกันแต่การปิดบังหน้าตาทำให้เขารู้ว่าพวกมันเป็นคนเลวแน่นอน

    เราต้องการแค่ผู้หญิง

    น้ำเสียงห้วนสั้นที่โต้ออกมาทำให้พันโทอัศวินเย็นยะเยือกไปทั้งตัว ท่านคิดผิด คิดว่าพวกมันเป็นพวกค้ายา หรือชนกลุ่มน้อยที่บุกรุกอธิปไตยเข้ามา แต่พวกมันไม่ใช่ แล้วพวกมันเป็นใคร รู้ได้ยังไงว่าในกลุ่มพวกท่านมีผู้หญิง แสดงว่าพวกมันต้องรู้จักพวกท่านเป็นอย่างดี

    พวกแกเป็นใคร

    คำถามให้ตอบไม่ใช่ถามกลับ เสียงดุดันห้าวเหี้ยมดังออกมา ไม่อยากให้เลือดนองพื้น ก็มอบตัวเธอให้เรา

    ดวงตาของพันโทอัศวินแข็งกร้าว ใบหน้าดุดันไม่แพ้พวกมัน เลือดในตัวท่านเดือดขึ้นมาเมื่อฟังคำพูดโอหังของไอ้พวกเลว ก่อนจะสะกดใจให้เย็นลงแล้วพูดตอบมันออกไป

    ต่างคนต่างไปไม่ดีกว่าเหรอ จะได้ไม่เสียเลือด

    จะให้หรือไม่ให้ เสียงมันเหี้ยมอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

    ไม่

    สิ้นเสียง ไม่เสียงมัจจุราชก็คำรามออกมาลั่นป่า ขวัญชนกถูกมือของพ่อกระชากลงหมอบ กดหัวไว้แนบพื้นไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้น แต่หูเธอได้ยินเสียงร้องของใครหลายคน แสดงว่าต้องมีคนตายหรือบาดเจ็บ เธอภาวนาขออย่าให้เป็นคนของพ่อเลย และได้ยินเสียงพ่อตะโกนบอกให้ทุกคนป้องกันตัวให้ดี

    เสียงปืนยังคงดังต่อเนื่อง เพราะต่างฝ่ายต่างยิงตอบโต้กัน พันโทอัศวินหันมามองหน้าลูก แล้วสั่ง “กลิ้งไปทางซ้าย หลบหลังต้นไม้นั้น พ่อจะยิงคุ้มกันให้

    คำบอกนั้นได้รับการปฏิบัติทันที พร้อมๆกับเสียงปืนที่ดังระรัวขึ้น ขวัญชนกกลิ้งไปยิงไป แล้วดันตัวขึ้นพิงต้นไม้ใหญ่  ยิงสกัดให้ผู้เป็นพ่อ ไม่นานท่านก็กลิ้งตัวก็มานั่งขนาบข้าง เสียงปืนเงียบลงไป สายตาจึงได้กวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นคนที่ร่วมทางมากับเธอสิ้นใจและบาดเจ็บ เธอมองหน้าคนเป็นพ่ออย่างสงสารและเสียใจที่พ่อต้องเสียลูกน้องไปหลายคน เพื่อปกป้องเธอ

    พ่อรักลูก

    ขวัญชนกกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอกระซิบบอกผู้เป็นพ่อว่ารักเหมือนกัน ก่อนจะมองไหล่ที่เปียกน้ำที่เธอรู้ว่าไม่ใช่น้ำฝนแต่เป็นน้ำเลือดเพราะกลิ่นคาวที่โชยออกมา แม้ใบหน้าของผู้เป็นพ่อจะยังสงบนิ่งทำเหมือนไม่เจ็บ แต่คนไม่ใช่ไม้ที่จะไม่มีความรู้สึก แล้วเย็นยะเยือกไปทั้งตัวและหัวใจเมื่อเสียงพวกมันตะโกนออกมาอีก

    ฆ่าให้หมด เหลือแต่ผู้หญิง

    เสียงฝีเท้าของพวกมันขยับเดิน ทำให้ขวัญชนกมองหน้าผู้เป็นพ่อ พ่อที่รักและดูแลลูกคนนี้มาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย พ่อที่ให้เธอขี่คอ พาเธอร่อนไปในอากาศ และพยุงเธอลุกขึ้นทุกครั้งที่ล้มลง สองมือที่คอยประคองและเช็ดน้ำตาให้เมื่อยามเธอร้องไห้ และดูแลเธอมาจนเติบใหญ่ ยื่นมาแตะแก้มเธอเบาๆ ขวัญชนกโผกอดคนเป็นพ่อไว้แน่น เธอไม่อยากให้พ่อตาย  ไม่อยากให้พ่อเป็นอะไรทั้งนั้น ก่อนจะข่มความรู้สึกหวาดกลัวทั้งหมดไว้ในใจ จับมือผู้เป็นพ่อไว้แน่น และบอกอย่างกล้าหาญว่า

    คนตายแล้วทำอะไรไม่ได้ แต่คนอยู่สามารถทำอะไรได้มากมาย พ่อคะ ถ้าหนึ่งชีวิตของขวัญมีค่าที่จะทำให้ทุกคนรอด ขวัญก็พร้อม พวกมันต้องการตัวขวัญ พ่อให้ขวัญไปนะ

    พันโทอัศวินเย็นวาบไปทั้งร่าง เข้าใจความหมายของลูกดี ท่านกอดตัวลูกไว้แน่น พ่อให้ลูกไปไม่ได้ เราจะต้องรอด อีกเดี๋ยวคนของพ่อก็จะมา เราต้องรอด จำไว้นะลูกว่าเราต้องรอด

    เสียงพูดดังชิดใบหูพร้อมคำบอกรักเธออีกมากมาย ขวัญชนกก็ทำแบบเดียวกัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อเมื่อมีเสียงห้าวเหี้ยมดังขึ้นมาอีก

    มอบเธอให้เรา

    น้ำเสียงนั้นใกล้ จนใจของขวัญชนกสั่น ลูกน้องพ่อที่เหลือต่างก็ได้รับบาดเจ็บ เสียงมัจจุราชคำรามขึ้นพร้อมกับเสียงร้อง ที่แสดงให้รู้ว่าคนของพ่อได้จบชีวิตลงอีกแล้ว น้ำตากลิ้งลงมาเปื้อนแก้ม เมื่อกลัวว่าอีกไม่นานเสียงนั้นจะเป็นเสียงพ่อ หัวใจแทบจะหยุดเต้นเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ แล้วกดข่มใจให้ไว้เพื่อบอกพ่อว่า

    พ่อคะอย่าให้ขวัญอกตัญญูเลย ชีวิตนี้พ่อเป็นคนมอบให้ขวัญ ถ้าขวัญจะตอบแทนพ่อได้ก็มีแค่ชีวิต การจากเป็นดีกว่าการจากตายนะคะ ถ้าเรายังจากกันทั้งที่ยังมีลมหายใจ สักวันขวัญอาจจะได้กลับมาหาพ่อ และพ่ออาจจะมาช่วยขวัญได้จริงไหมคะ แล้วถ้าวันนั้นมาถึง ขวัญอาจจะได้อยู่ในอ้อมกอดพ่ออีกครั้งและได้ฟังพ่อบอกว่า...รักขวัญ รักลูกสาวคนนี้ดังดวงใจ

    เสียงสั่นเครือของลูกทำให้พันโทอัศวินกอดลูกสาวไว้แน่น รู้ว่าลูกจะทำอะไรแล้วส่ายหน้าอย่างไม่ยอม พร้อมพร่ำบอก พ่อไม่ยอมลูก พ่อยินดีที่จะแลกชีวิตเพื่อให้ลูกรอด ลูกรีบหนีไป ไปให้ไกลที่สุด พ่อจะยิงสกัดไว้เอง

    ขวัญชนกกลั้นเสียงสะอื้นพลางส่ายหน้า แต่เมื่อเห็นว่ายังไงผู้เป็นพ่อก็ไม่ยอมก็พยักหน้าตกลง ริมฝีปากอิ่มสั่นระริกยามฝืนแย้มออกยิ้ม เพื่อให้พ่อเชื่อว่าเธอจะทำอย่างที่พ่อพูด ค่ะ พ่อระวังตัวนะคะ ขวัญรักพ่อกับแม่มาก

    พันโทอัศวินกอดลูกสาวไว้แนบแน่นเป็นครั้งสุดท้าย จูบหนักๆบนหน้าผากลูก ก่อนจะดันตัวลูกออกห่าง ชี้ทางให้ลูกวิ่งไปยังทางที่เชื่อว่าคนของท่านต้องกำลังเดินทางมาแล้ว และคงใกล้จะถึง ท่านปล่อยมือจากลูกด้วยความร้าวรานในใจ

    ขวัญชนกยิ้มทั้งน้ำตาให้ผู้เป็นพ่อ แล้วทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เธอถอดหมวกออกปล่อยผมยาวสลวยลงมาเต็มหลัง ก้าวพรวดออกไปยืนให้พวกมันเห็น เดินห่างจากคนเป็นพ่อออกมา ไม่เหลียวหลังไปมองความเจ็บปวดของท่านกับการกระทำของเธอ แล้วเอาปืนจ่อไว้ที่หัวตัวเอง ตะโกนร้องบอกพวกมัน

    ฉันคือคนที่พวกแกต้องการตัว ปล่อยทุกคนไป ถ้าแม้แต่ใครเป็นอะไรอีกคนเดียว ฉันตาย!”

    พันโทอัศวินหน้าซีดเผือดหัวใจเกือบหยุดเต้นเมื่อเห็นการกระทำของลูกสาว สองมือกำเข้าหากันแน่น น้ำตาชายชาติทหารไหลออกมา หลับตาลงด้วยความปวดร้าว มือที่ถือปืนสั่นระริก หัวใจแทบจะขาดกับการเสียสละของลูกเพื่อคงไว้ซึ่งชีวิตของท่านกับคนอื่น แล้วท่านจะทำยังไง ดวงตาที่มีแววเจ็บปวดเปิดขึ้นมองตัวลูกผ่านม่านน้ำตา

    ลูกน้องที่รอดชีวิตจากการยิงถล่มเมื่อกี้ขยับมาใกล้เขาทั้งๆที่ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน ทั้งสองคนจับมือผู้พันเพื่อไม่ให้โผล่ออกไปหาลูกสาวและเตือนสติว่า

     “อย่าทำให้การเสียสละของคุณหนูสูญเปล่าครับท่าน

    ใช่ครับท่าน เราต้องรอด เพื่อกลับมาช่วยเธอ

    พันโทอัศวินค่อยๆลุกขึ้นยืน ท่านอยากจะยกปืนยิงพวกมันให้ดับดิ้น แต่รู้ดีว่าถ้าทำอย่างนั้น การเสียสละของลูกต้องสูญเปล่าอย่างที่ลูกน้องท่านพูดจริงๆ

    ชายชุดทหารที่ปกปิดหน้าตาทุกคน นิ่งไปกับคำพูดที่เด็ดเดี่ยวของหญิงสาว ฟังจากน้ำเสียงและการจับมัจจุราชแล้ว คนที่ทำงานอย่างพวกมัน รู้ได้ทันทีเลยว่าเสี่ยงไม่ได้ พวกมันไม่อยากประมาท และเมื่อเห็นสัญญาณจากคนเป็นหัวหน้า ก็ลดมัจจุราชในมือตัวเองลงทันที

    ถอยไป

    คำสั่งของขวัญชนกพวกมันไม่สนใจ และเธอก็ไม่สนเช่นกัน ดวงตาจ้องพวกมันอย่างให้รู้ว่าเธอทำจริงแน่นอน ตอนนี้เธอใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน เธอต้องทำให้ทุกคนรอดให้ได้ ฉันขวัญชนก อัศวหิรัญ ใช่คนที่พวกแกต้องการตัวหรือเปล่า ถ้าใช่ ก็มาพาตัวฉันไปได้เลย ฉันจะตามพวกแกไปดีๆ แล้วเปิดทางให้ทุกคนด้วย

    พวกมันทั้งหมดหันมาสบตากัน เมื่อเห็นสัญญาณพยักหน้าจากคนที่เป็นเป็นใหญ่สุดก็เดินมายืนรวมกัน ขวัญชนกไม่ได้หันซ้ายหันขวา เธอยืนนิ่งและแน่วแน่อยู่กับสิ่งที่ตัวเองทำ มัจจุราชยังจ่อนิ่งอยู่ที่ขมับ เธอรับรู้ด้วยสัญญาณที่ดังขึ้นจากคนเป็นพ่อและทุกคนที่เหลือว่าได้ถอยห่างออกไปแล้ว น้ำตาลจึงเอ่อขึ้นแล้วไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย และกระซิบฝากสายลมว่า

    พ่อคะ ขวัญรักพ่อ ฝากบอกแม่ด้วยว่าขวัญรักแม่ และให้รอขวัญ สักวันขวัญจะกลับไปหา

    พันโทอัศวินถอยห่างออกมาทั้งน้ำตาไม่แพ้คนเป็นลูก เมื่อลูกยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อให้ท่านรอด ท่านก็จะต้องรอดแล้วกลับมาช่วยลูกให้ได้ คำพูดเปรียบดั่งคำสัญญาดังก้องไปทั้งใจ

    ขวัญชนกไม่ได้ลดปืนลง เธอไม่ไว้ใจพวกมัน สกัดกลั้นความเสียใจทั้งหมดที่เกิดขึ้น ยืนนิ่งอย่างทระนงและกล้าหาญ ทั้งๆที่จริงแล้วเธอไม่ได้เก่งและเด็ดเดี่ยวอะไรเลย แต่เพื่อชีวิตของพ่อเธอต้องทำให้ได้ ทุกคำสอนของพ่อและสายเลือดของทหาร สายสีน้ำเงินที่เข้มข้นทำให้เธอต้องอาศัยแรงใจแรงกายทั้งหมดหยัดยืนให้ถึงที่สุด

    นำไป ฉันจะเดินตามไป

    เธอต่อรองมากไปแล้ว ส่งมันมาให้เรา เสียงคนที่ใหญ่สุดกร้าวออกมา แต่ไม่มีความหวั่นกลัวจากผู้หญิงตัวเล็กๆ แถมยังหยันออกมาอีกว่า

    ไม่ เพราะฉันรู้ว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร ยิ่งโจรที่มีนิสัยเป็นหมา ลอบกันข้างหลังยิ่งไม่น่าไว้ใจ

    ปากดีไม่เลวคุณผู้หญิง แต่เก็บไว้บ้างก็ดีนะ เพราะถ้าปากจัดมากๆ อาจจะมีสีที่ปาก

    พวกมันล้อมวงเข้าหาเธอทั้งหน้าทั้งหลัง ขวัญชนกหันซ้ายหันขวาอย่างระวัง ก่อนจะร้องออกมาเบาๆ เมื่อหนึ่งในนั้นอาศัยจังหวะเผลอ ตะปบมือเธอแล้วกดข้อมือให้เจ็บจนเธอต้องปล่อยมัจจุราช แล้วผลักตัวเธอไปยืนตรงหน้าคนที่เป็นใหญ่สุดของมัน ซึ่งมองเธอนิ่งๆ แล้วออกคำสั่งสมคำาะไม่เลวคุณผู้หญิง แต่เก็บไว้บ้างก็ดีนะ เพราะผู้ชายเขาไม่ชอบผู้หญิงปากจัด"าดกลัวทั้งหมดไว้ในใจ จับมือผู้

    ไป ก่อนที่พวกมันจะแห่กันมาซัดพวกเรา

    สั่งเสร็จก็หันหลังเดินไปอีกทาง หนึ่งในนั้นผลักตัวเธอให้เดินตาม เธอเหลียวมองทางที่คนเป็นพ่อหนีไป ก่อนจะถูกผลักอีกครั้งให้เดินตามพวกมันเข้าไปในป่าลึก เส้นทางที่ขรุขระลาดชันเต็มไปด้วยหินและรากไม้ ต้นหญ้าสูง ทุกคนเดินลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆ ป่าที่มืดแทบจะมองไม่เห็นทาง ขวัญชนกถูกคุมตัวให้เดินไปอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง เพราะรอบๆตัวเธอมีแต่ป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่

    เมื่อเดินลึกเข้าไปในป่า การเดินทางยิ่งยากลำบาก ฟ้าที่หม่นไปด้วยเมฆฝนทำให้ป่ายิ่งมืดและอันตราย ทั้งหมดเดินบุกป่ามาหลายชั่วโมงฟ้าก็มืดสนิทและเหนื่อยล้าจนต้องหยุดพัก

    ขวัญชนกทรุดตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ด้วยความเหนื่อย ใบหน้าเธอมอมแมมยิ่งกว่าลูกแมวคลุกฝุ่น ลมหายใจกระชั้นจนต้องเป่าออกมาทางปาก ซ้ำหิวน้ำจนแทบจะขาดใจ แต่ไม่เอ่ยร้องขอจากพวกมัน ได้แต่หลับตาลงให้ร่างกายได้พัก แต่หูเธอคอยฟังพวกมันคุยกันอย่างเงียบๆ

    เมื่อไหร่จะถึง

    พ้นแนวป่าไป ก็จะเสร็จงานของเรา

    แต่เราปล่อยเสือเข้าป่า ทำไมไม่ฆ่าให้หมด

    คำสั่ง

    คำสั่ง เสียงของไอ้คนเป็นใหญ่สุด ขวัญชนกจำได้ดีและทบทวนคำนี้อยู่ในใจ และสงสัยว่าเป็นคำสั่งของใคร ใครที่ต้องการตัวเธอ ใครที่ใจร้าย ใจดำอำมหิตถึงกับจะฆ่าทุกคนเพียงเพื่อต้องการตัวเธอ ใคร?

    คำนี้ดังก้องอยู่ในใจ จนกระทั่งเธอหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า โดยไม่เห็นว่าพวกมันหันมามองเธอด้วยแววตาของเสือหิว แต่ไม่ได้หิวเสน่หา แต่หิวเงินที่จะได้เมื่อพาเธอไปส่งที่จุดนัดพบ

    ฉันถามจริงๆเถอะพี่เหิม ค่าตัวแพงขนาดนี้เพราะอะไร

    อำนาจ

    คำตอบสั้นๆ และไม่มีการอธิบายใดๆอีก นอกจากการเริ่มออกเดินทาง ขวัญชนกถูกปลุกให้ลุกขึ้นมา ผลักให้เดินตามไปอย่างทุลักทุเล ถึงกระนั้นสายตาของลูกทหารก็ยังเข้มแข็ง และพยายามมองหาทางเพื่อรอเวลาหนีไปตายเอาดาบหน้า ดีกว่าไปกับพวกมัน แต่ความสลัวและป่าที่มีแต่ต้นไม้ปกคลุมจนเหมือนกันไปหมด ทำให้เธอแยกไม่ออกว่าทิศไหนไปทางไหน เดินสะดุดรากไม้ ก้อนหิน เพราะความไม่คุ้นเคย ไม่ชินทาง แถมยังจะมีความมืดปกคลุม จนเธอมองไม่เห็น กระทั่งพวกมันจุดคบเพลิงขึ้นมา เส้นทางที่มืดมิดก็สว่างขึ้น ทุกคนเดินตามคนนำทาง โดยมีเธอเดินอยู่ตรงกลาง เพื่อควบคุมไม่ให้หนี

    ขวัญชนกเหนื่อยจนแทบจะก้าวขาไม่ออก แต่ก็ไม่พูดอ้อนวอนออกมา เธอยังคงเดินตามพวกมันไป จนกระทั่ง พวกมันหยุดเดิน ก็นั่งลงพักเอาแรงไว้เผื่อมีโอกาสหนี ก่อนจะได้ยินเสียงไอ้คนที่เป็นใหญ่สุดถามไอ้คนนำทาง

    “หยุดทำไม มีอะไร”

    ไอ้คนถูกถาม นามพรานขอม อายุอยู่ในวัยกลางคน ดึงหมวกไหมพรมออกจากหัว โดยไม่กลัวว่าผู้หญิงที่จับตัวมาจะจำได้ เพราะมีเรื่องใหญ่กว่าที่จะมาระวังเรื่องนี้ หันหน้ามามองคนถามเพียงอึดใจ ก็กวาดตามองไปรอบป่าดงดิบ ที่หนาทึบและเปียกชื้นไปด้วยน้ำฝน แล้วดึงสายตามามองไอ้คนถามด้วยแววตากังวล 

    ข้าคิดว่าเราหลงทาง

    “หลงได้ไง” เสียงไอ้เหิมคนที่เป็นใหญ่สุดดังขึ้นอย่างไม่พอใจ ตัวมันนั้นอายุอ่อนกว่าพรานขอมเป็นสิบปี แต่คำพูดนั้นไม่ให้ความเคารพเลย “ไหนมึงบอกว่าชำนาญทาง และทำสัญลักษณ์ไว้แล้วไง”

    “ก็ใช่ แต่ตอนนั้นฟ้ามันยังกระจ่างใส ไม่ได้ดำมืดอย่างนี้ และสัญลักษณ์ที่ข้าทำไว้ ก็คงละลายไปกับน้ำฝนหมดแล้ว”

    “แล้วมึงเอาอะไรทำสัญลักษณ์ ถึงได้ละลายไปกับน้ำ”

    “ปูนขาว”

    “ไอ้ห่า” ไอ้เหิมสำรอกออกมาอย่างโกรธจัด และอยากจะเอาปืนยิงหัวดูสมองไอ้พรานแก่นักว่า ทำไมถึงได้ไร้รอยหยักขนาดนี้ เป็นถึงพรานชำนาญไพร แต่กลับพลาดด้วยเรื่องง่ายๆ มันน่าจะยิงทิ้งเสียจริงๆ มันคิดอย่างเดือดดาล แล้วกำมือระงับความโกรธไว้ เพราะต้องเป็นคนนำทางเพื่อพาออกไปจากป่านี้ให้เร็วที่สุด แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นเสียงที่พูดออกมาก็ยังกระด้างต่ำลึกอยู่ในลำคอ “มึงรีบหาทางออกเร็วเข้า กูไม่อยากนอนในป่า”

    พรานขอมจึงรีบส่องไฟดูทางโน้นทางนี้เพื่อหาทางโดยเร็ว ไม่ใช่เพราะกลัวการนอนในป่า แต่กลัวจะเจอคนที่น่ากลัวกว่าป่าต่างหาก แค่คิดก็ให้รู้สึกหนาวไปถึงหัวใจเมื่อนึกถึงชื่อกลุ่มคนที่น่ากลัว ภูผาดำ


     

     



    ในรูปแบบอีบุ๊ก พบกันได้ที่เมพ ค่ะ


    หนังสือ สามารถหาซื้อได้ที่ ร้านนายอินทร์ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ

    สอบถามได้ที่แฟนเพจนักเขียนค่ะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×