ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { sf | os } NCT - #taeten #jaedo #johnil

    ลำดับตอนที่ #1 : { JohnIl } Little voice - 01 edit

    • อัปเดตล่าสุด 16 มิ.ย. 59


    ** พล็อตจากเอ็มวีเพลง เสียงเล็กๆ little voice ของ พลอย นะคะ

    ** แก้ช่วงสุดท้ายค่ะ (ไม่ได้แก้คำผิดนะคะ)

     

     

     

     

     

     

    ".. เสียงเล็กๆของฉัน ที่ดังในใจในใจ

    ไม่เคยมีใครมีใคร ต้องการจะฟังจะฟัง

    อยู่ตรงนี้ ด้วยใจไหวหวั่น .."

     

     

     

     

     

     

     

    ห้องสีเหลี่ยมขนาดเล็ก มีกระจกใสที่ถูกติดฟิล์มทึบจนมองไม่เห็นข้างใน

     

    ภายในห้องที่มีเพียงไมโครโฟนยี่ห้อดีที่ถูกเชื่อมต่อกับลำโพงของห้องประชุมขนาดใหญ่ ชายหนุ่มร่างเล็กที่ยืนมองบทพูดในมือ ริมฝีปากก็ขับร้องเพลงด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะจนผู้ฟังเคลิบเคลิ้ม หลงไหลไปกับบทละครเวทีที่กำลังแสดงท่าทางร่ายรำอยู่บนเวที

     

    เสียงที่ถูกเปร่งออกไป ตรงกับปากของนักแสดงบนเวที

     

    โก จางฮยอก นักแสดงดาวรุ่งที่กำลังมีชื่อเสียงจากผลงานซีรี่ส์พิเศษ 2 ชั่วโมง ที่กำลังโด่งดังไปทั่ว กำลังแสดงสวมบทบาทสำคัญของละครเวที เดอะ มิวซิเคิล ของมหาวิทยาลัย ไมค์ลอยที่ถูกติดไปข้างปากอย่างแน่นหนา และถูกซีลให้แทบมองไม่เห็นจากระยะไกล

     

    มีเพียงทีมงานและนักแสดงเท่านั้น ที่จะรู้ว่า

     

    เพลงที่จางฮยอกกำลังขับร้องอยู่นั้น เป็นเพียงการลิปซิ่ง

     

     

     

    เมื่อเจ้าของเสียงตัวจริง ถูกปกปิดภายในห้องคับแคบข้างเวที

     

     

     

     

     

     

     

    ไม่มีใครรู้เลย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    "ไอ้เหี้ย ใครจะรู้วะว่าแม่งร้องเพลงไม่เป็น"

     

    ย้อนกลับไปเมื่อราวๆ 3 เดือนก่อน เมื่อมีการวางแผนการแสดงละครเวทีที่เป็นเหมือนเทศกาลหนึ่งของมหาลัย ทำให้มีผู้คนสนใจและคาดหวังมากมาย ซอ ยองโฮ หรือ จอห์นนี่ ซอ ประธานเอกภาพยนตร์ของคณะนิเทศศาสตร์กำลังกุมขมับ นวดเส้นเลือดบ่งบอกถึงความเครียดจัด เพราะโปสเตอร์ ทีเซอร์สำหรับละครเวทีถูกปล่อยออกไปแล้ว เป็นจางฮยอก ที่ซีรี่ส์พิเศษกำลังจะออกอากาศในเดือนหน้า เชื่อว่าทุกคนต้องให้ความสนใจกับละครเวทีนี้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

     

    "แล้วจะเอาไง หรือมึงจะเปลี่ยนคน" ลี แทยง เพื่อนรักยืนท้าวเอวตีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน ตอนนี้ทีมงานเบื้องหลังละครเวทีกำลังคิดไม่ตก เมื่อเรียกจางฮยอกมาซ้อมบทก็กลายเป็นว่า เหลวเป๋ว

     

    จริงๆมันก็ความผิดเขาที่ดึงมันมาเป็นพระเอก แต่เสือกลืมเทสเสียง ไม่คิดว่าจะมีคนที่ร้องเพลงได้แย่มากขนาดนี้ เพราะฝีมือการแสดงก็เป็นที่ประจักษ์ของทุกคนในคณะนิเทศอยู่แล้ว จางฮยอกก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเล่นละครเวที เพียงแต่ไม่เคยร้องเพลงให้ใครฟังเลยก็เท่านั้น

     

    "เปลี่ยนก็เหี้ยละ ถ้าเปลี่ยนจะทำยังไงกับโปสเตอร์ทีเซอร์ที่ปล่อยออกไป ไหนจะพวกเพจแฟนคลับแม่งอีก ห่า" โดยองขยี้ผมตัวเองอย่างแรงไม่กลัวว่าผมจะร่วงหลุดติดมือ ดวงตากลมซึมไปด้วยน้ำใสๆ ระคนคิดมาก เวลาเขาเครียดสักพักก็จะปวดท้อง เพราะเป็นโรคกระเพาะอยู่แล้วอีก

     

    "มันต้องมีทางออกสักทางดิว่ะ" จอห์นนี่พึมพำ แต่ไม่ได้ช่วยให้คนอื่นๆรู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิด น้ำเสียงที่ก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าตอนนี้พวกเขากำลังมืดแปดด้าน

     

    "ลิปซิ่งมะ" แว๊บแรกที่คิดขึ้นมา จอห์นนี่มองหน้าเพื่อนร่วมงานแต่ละคนที่ส่งสายตาขีดๆกลับมาให้เขา

     

    "มึงจะไปหาคนจากไหนมาเป็นเงาเสียงให้มัน ผู้ชายในมหาลัยยังเหลือใครที่ชอบมันอยู่บ้าง"

     

    ไม่ใช่ว่าจางฮยอกนิสัยไม่ดีจนมีแต่คนเกลียด แต่เพราะแฟนคลับมากมายที่รักมาก รักเกิน จนทำให้พวกผู้ชายคนอื่นๆเอือมตามๆกันไป ความรู้สึกว่า มันก็หน้าตาดี แต่ไม่ได้ถึงขนาดนั้น มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอว่ะ

     

    "ละอีกอย่างนะ ถ้าคนที่เสียงดีๆ มันก็ไปเป็นไอดอล นักแสดงกันหมดแล้วไหม มันจะเหลือมาเป็นเงาเสียงให้มึงเหรอ" แม้แต่พวกคนอ้วนๆ หน้าตาไม่ค่อยดี ก็ยังมีรายการที่พวกเขาสามารถไปแสดงโชว์ความสามารถได้มากมาย ตอนนี้จะเหลือใครมาเป็นนักร้องเงาเสียงให้คนอื่นอีก ในยุคสมัยนี้ไม่มีใครเขาทำกันแล้ว

     

    "แม่งงงงง มันต้องมีทางออกสักทางดิว๊าาาาา"

     

    พวกเขาจะไม่ยอมให้ใครมาตีตราว่าละครเวทีระดับมหาวิทยาลัย หาพระเอกที่ร้องเพลงดีไม่ได้เป็นอันขาด !!!

     

     

     

     

    ประชุมกันจนดึกดื่น ถ้าขืนยังนั่งกันต่อไปก็เสียเวลาเปล่า ตอนนี้ทุกคนเหนื่อยล้า คิดอะไรไม่ออก สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่ต้องกลับบ้านไปนอนแล้วค่อยกลับมาคิดใหม่

     

    จอห์นนี่ไปยังโรงจอดรถของมหาลัยเพื่อขับรถซีดานของตัวเองกลับบ้าน แต่ก่อนกลับบ้านก็ต้องแวะไปอีกที่ๆหนึ่งก่อน

     

    ตือดึ๊ง

     

    เสียงแจ้งเตือนไลน์ดังเตือนให้เจ้าของสมาร์ทโฟนราคาแพงต้องหยิบขึ้นมาดู

     

    [ เดี๋ยวพี่กลับเองก็ได้นะ ]

     

    เห็นแล้วหงุดหงิด ทำไมต้องกลับเอง บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเขาต้องประชุมกลับช้า ให้รอก่อน ทำไมต้องอยากกลับเอง สงสัยจะคุยกันผ่านตัวหนังสือไม่รู้เรื่อง

     

    "อยู่ไหน"

     

    ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายที่พึ่งกดรับสายได้พูดอะไร น้ำเสียงเจือปนความหงุดหงิดระดับ 10 ก็กระชากลงไปจนปลายสายเงียบไปเล็กน้อย

     

    (ก..ก็อยู่ที่ห้องสมุด..)

     

    "ทำไมต้องอยากกลับเอง?"

     

    วันนี้มีแต่เรื่องไม่ได้ดั่งใจ คิดอะไรก็ไม่ออก แล้วยังต้องมาปวดหัวกับคนๆนี้อีกงั้นเหรอ ให้มันได้อย่างนี้สิ

     

    ร่างสูงกระชากประตูรถแต่ก็พึงนึกได้ว่าซื้อมาแพง ต้องถนอมไว้ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จนอีกคนที่ยังไม่วางสายรู้สึกเกรง เพียงแค่บอกจะกลับเองก็ได้ มันแย่มากเลยหรือไง

     

    จริงๆก็แค่คิดว่าจะกลับดึกกว่านี้ก็ได้ หากเขากลับเองไปแล้วจอห์นนี่จะได้ไม่ต้องพะวงว่าเขาจะอยู่ยังไง...

     

    หรือบางทีมันอาจจะเป็นความคิดที่เข้าข้างตัวเองไปหน่อย

     

    มุน แทอิล สำหรับจอห์นนี่ ซอ นั้น ก็เป็นเพียงพี่ชายลูกติดแม่ใหม่ที่เป็นภาระก็เท่านั้นแหล่ะ

     

     

     

     

     

     

    บทถนนที่ทอดยาวไกลข้างทางประดับด้วนไฟสีเหลืองส้ม ไม่มีบทสนทนาจนภายในรถได้ยินแต่เสียงเครื่องปรับอากาศ

     

    จอห์นนี่มาจากอเมริกา เป็นคนขี้ร้อน ในขณะที่แทอิลเป็นคนขี้หนาว

     

    เครื่องปรับอากาศทำงานในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าปกติ ต่ำเพื่อให้คนที่จิตใจร้อนรุ่มอยู่ไม่เป็นสุขอยากจะให้มันเย็นลง แทอิลก็ได้แต่หวังว่าอีกคนจะไม่อยู่ๆก็ระเบิดตูมขึ้นมากลางทาง เพราะตอนนี้เพียงแค่เหยียบความเร็วปาเข้าไปกว่า 200 แล้วมันทำให้เขาต้องนั่งเกรง จากที่หนาวอยู่แล้ว ก็หนาวจนแทบจะเป็นตะคริว

     

    "เฮ้อ"

     

    เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่มาแทบจะพร้อมกับแทอิลสะดุ้ง อยู่กับน้องชายติดพ่อบุญธรรมแล้วเหมือนชีวิตจะสั้นลงไป 10 ปี พอเหลือบตาไปมองก็เห็นว่าอีกคนใช้หางตามองมาอยู่แล้ว

     

    ".. มองถนนสิ" ถ้าไม่พูดก็กลัวตาย ขับรถด้วยความเร็วระดับนี้ยังจะไม่มองทางอีก ถ้าสนิทมากกว่านี้แทอิลจะนั่งชี้นิ้ว จับหน้าหันไปมองถนนเองเลย แต่ก็นั้นแหล่ะ เพราะไม่สนิทกัน ก็เลยไม่กล้า

     

    "มีอะไรก็พูด"

     

    ตัวเองนั้นแหล่ะมีอะไรก็พูด

     

    คนตัวเล็กกว่าเถียงในใจเบาๆ

     

    "..."

     

    "ทำไมวันนี้จะกลับเอง"

     

    ".. ก ก็นายประชุมงาน..."

     

    "ประชุมต่อให้เลิกดึกแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่จะกลับเองป่ะ"

     

    ตอนนี้เป็นแทอิลที่งง งงมาก จริงๆแล้วเขาอายุมากกว่าจอห์นนี่ 1 ปีเลยนะ แต่เรียนในคณะที่มันต้องจบ 5 ปี ก็เลยยังต้องเรียนอยู่ นับอายุจริงๆแล้วตอนนี้เขาก็ 23 เข้าไปแล้ว ทำไมกะอีแค่กลับบ้านเองถึงกลับไม่ได้ ไม่เข้าใจ

     

    "ก็ถ้ากลับเอง จะได้ไม่ต้องลำบากนายไง"

     

    "ถามสักคำยังว่าลำบากไหม"

     

    แทอิลเม้มปากทันที ใช้เพียงสายตามองมา จอห์นนี่ชะลอความเร็วลง ทั้งๆที่อีกนานกว่าจะถึงบ้าน แต่มันก็ทำให้แทอิลอุ่นใจ แม้ในท้องถนนจะไม่ค่อยมีรถ แต่จะให้ขับ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบบไม่มองทาง นี้มันก็อันตรายชิบหายมากๆเหมือนกันนะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    "โคตรรรรรรรรรรรรร ลำบากเลย"

     

     

     

     

     

    รู้อยู่แล้วละว่าต้องตอบแบบนี้

     

     

    นี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่แทอิลไม่เข้าใจว่าถ้าลำบากขนาดนี้ จริงๆให้เขากลับเองก็ได้นะ

     

     

    "แต่แม่งก็เลือกไม่ได้ปะวะ มันก็ต้องทำปะวะ แม่งง"

     

     

     

     

     

    พูดเหมือนมีคนบังคับ แทอิลยังไม่รู้เลยว่าใครบังคับให้ทำ ทุกวันนี้แม่กับพ่อเลี้ยงยังถามอยู่เลยว่า ทำไมต้องไปมหาลัยพร้อมกัน ทั้งๆที่เวลาเรียนก็ไม่ตรงกัน บ้านก็ไม่ได้จน ออกจะรวยด้วยซ้ำ เพียงพอที่จะซื้อรถให้ลูกคนละคัน แต่แทอิลแทบไม่ได้จับลูกรักของตัวเองเลย

     

     

    เพราะอีกคนชอบทำเหมือนมีอะไร

     

     

     

     

     

    แต่จริงๆแล้วมันไม่มีเลย

     

     

     

     

     

     

     

     

    ".. เสียงเล็กๆของฉัน นั้นรอมานานมานาน

    ขอเพียงมีใครมองกัน แม้มันจะดูเลือนราง

    เหลือเกิน ก็ได้แต่หวัง หวังมีสักวัน .."

     

     

     

     

     

     

    "ทำไมทำหน้าแบบนั้นละลูกชาย" ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านประจำในทุกเช้าลงเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กของจนเดินหน้าบึ้งคิ้วขมวดมาจากชั้นสองของบ้าน

     

    วันนี้จอห์นนี่ไม่มีเรียนเช้า แต่แทอิลมี

     

    ก็เป็นปกติแบบนี้มาปีกว่าแล้วที่ลูกชายของเขาทั้งคู่จะไปมหาลัยพร้อมกัน

     

    "มีปัญหาเรื่องงานละครเวทีนิดหน่อยอ่ะพ่อ" ครอบครัวที่สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง เมื่อมีอะไรไม่สบายใจก็ปรึกษาครอบครัว ถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้

     

    ผู้เป็นแม่ของบ้านเดินมาเสิร์ฟอาหารเช้าเป็นแพนเค้กน่าทานวางไว้กลางโต๊ะอาหาร พร้อมกับถ้วยข้าวต้มปลาร้อนๆ คนละถ้วย

     

    "แทอิลละครับแม่" เมื่อมองดูเวลานี้ก็ค่อนข้างช้ากว่าเวลาปกติที่แทอิลจะลงมาทานข้าวเช้า ปกติจะมาก่อนเขาด้วยซ้ำ

     

    "อาบน้ำอยู่จ้ะ พึ่งทำงานเสร็จเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนนี้เอง" เธอให้คำตอบลูกชายบุญธรรมแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามข้างๆผู้เป็นสามี จอห์นนี่เลิกคิ้วสงสัย ทำไมพึ่งทำงานเสร็จ หรือเมื่อคืนไม่ได้นอน

     

    "ว่าแต่ที่ว่ามีปัญหาเรื่องงานละครเวที เรื่องอะไรเหรอ" เธอถามพลางตักข้าวต้มเข้าปาก แต่ก็ลืมไปว่ามันร้อน จนแทบพ่นออกมา แต่ก็ยังรั้งตัวเองได้ทันการ

     

    "ใจเย็นแม่ พอดีพระเอกละครเวทีมันร้องเพลงไม่ได้ แล้วปีนี้พวกผมจะทำละครเพลงด้วย ตอนนี้โคตรปวดหัวเลย"

     

    "อ้าว งั้นไม่เปลี่ยนนักแสดงไปเลยละ" คนเป็นพ่อออกความคิดเห็นบ้าง

     

    "ไม่ได้ดิพ่อ ปล่อยทีเซอร์โปสเตอร์ไปแล้วด้วย ที่สำคัญนะ ไอ่เนี่ย ละครมันกำลังจะออนแอร์ แฟนคลับมันมีเป็นสิบแสน ยาก"

     

    "อืมมม งั้นให้แทอิลไปร้องเพลงแทนไหม"ผู้หญิงคนเดียวบนโต๊ะอาหารเสนอความคิดเห็น น้อยคนนักจะรู้ว่าลูกชายของเธอร้องเพลงได้ดี แทอิลเคยเรียนร้องเพลงจนกระทั่งจบ ม.ต้น พอขึ้น ม.ปลาย อยู่ๆก็เลิกเรียน บอกถ้าเรียนต่อไปกลัวจะมีแมวมองมาทาบทามไปเป็นไอดอล เลยแกล้งบอกเส้นเสียงอักเสบ พ่อแม่ไม่อยากให้เป็นนักร้อง แล้วลาออกจากชมรมประสานเสียงไปเรียนเขียนพู่กันจีนแทน

     

    "แทอิล..? ร้องเพลงได้เหรอครับ"

     

    "หูยยยยย ไม่ธรรมดาเลยแหล่ะ พ่อเคยฟังด้วยนะ" ได้ทีก็อวดใหญ่ เพราะตอนที่ภรรยาเขาอยากเซอไพรส์วันครบรอบแต่งงานเมื่อเดือนที่ผ่านมา เธอก็ลงทุนเล่นเปียโนเองให้แทอิลร้องเพลงสุขสันต์ ส่วนจอห์นนี่ที่ตอนนั้นต้องไปดูงานที่ญี่ปุ่นเลยไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา

     

    จริงๆก็เคยกะจะอวด แต่ลืมไปเลย

     

    พอบุคคลที่เป็นหัวข้อสนทนาเดินลงมาร่วมวงโต๊ะอาหารก็กลับมาเป็นปกติเช่นเดิมเหมือนไม่เคยคุยอะไรกันมาก่อน

     

     

     

     

     

    ดวงตาช้ำแดงตามประสาคนไม่ได้นอนของแทอิลกำลังปรือได้ที่ ความเย็นของเครื่องปรับอากาศบนรถรวมกับเสื้อนวมที่ห่มมาด้วย มันช่างน่านอนเสียนี้กระไร

     

    "แทอิล.."

     

    "หือ??"

     

    "ร้องเพลงให้หน่อยดิ ในละครเวที"

     

    คนง่วงนอนได้แต่หาวหวอด แล้วหันไปมองคนพูดง่วงๆ อยากฟังให้ได้ใจความกว่านี้ แต่เขาง่วงนอนมากกว่า

     

    "ย๊าาาา นายจะมาหลับแบบนี้ไม่ได้นะ ตอบมาสิ" คนที่เผลอหลับไปก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ต้องหลับลงไปอีก หัวกลมๆโยกไปพิงพนักเบาะด้านหลัง บ่งบอกว่าตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ต่อให้ปลุกยังไงก็คงจะหลับต่อไปแน่นอน

     

    โชคยังดีที่ระยะทางจากบ้านไปมหาลัยค่อนข้างไกล ทำให้แทอิลหลับได้ร่วมชั่วโมงเลยทีเดียว

     

    ถ้าสงสัยว่าทำไมทั้งคู่ไม่ออกมาอยู่คอนโด หรือหอพักใกล้มหาวิทยาลัย ก็เพราะแทอิลชอบการอยู่บ้านมากกว่านะสิ แล้วทำไมจอห์นนี่ไม่ออกมา ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกว่าต้องคอยไปรับไปส่งเท่านั้น

     

    "เมื่อกี้นายว่าไงนะ"

     

    พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าอีกไม่ถึง 10 นาทีก็จะถึงมหาลัยเขาแล้ว แต่นั้นก็แค่มหาลัย ในเมื่อคณะเขาต้องเข้าไปอีกเกือบ 10 นาที รวมๆแล้วสามารถคุยกันบนรถได้อีกเกือบ 20 นาทีเลย

     

    "เว้นจังหวะการพูดนานไปมะ" จอห์นนี่หมดอารมณ์จะคุยต่อแต่ก็ต้องคุย เพราะเป็นเรื่องชื่อเสียงของมหาลัย

     

    "ร้องเพลงให้หน่อย ในละครเวที"

     

    "อืม"

     

    ตอบตกลงแบบง่ายๆ ไม่คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าก็คงไปเป็นคอรัสเหมือนที่เคยทำตอน ม ต้น อีกอย่าง เขาไม่เคยปิดบังเรื่องร้องเพลงได้ไม่ได้ แค่ไม่มีคนถามเท่านั้นเอง

     

    "โอเค เลิกเรียนแล้วเดี๋ยวพาไปซ้อม"

     

     

     

    แล้วจอห์นนี่ก็ลืมไปว่า ตัวเองยังไม่เคยฟังเสียงของแทอิลเลยสักครั้ง

     

     

     

     

     

     

     

     

    ".. เพื่อนฉันที่มีมานานคือความเงียบเหงา

    นั่งคุยกันจนเช้าไม่ยอมเข้านอน

    เหมือนฉันเป็นตัวละคร

    ที่ใครไม่รักและไม่อยากสนใจ .."

     

     

     

     

     

     

    "โอเคทุกคนครับ ประชุมกันหน่อย"

     

    จอห์นนี่เดินนำเข้าไปในห้องซ้อมสำหรับการซ้อมการแสดง แต่ตอนนี้เป็นเพียงห้องสำหรับการประชุมเบื้องต้นก่อนเท่านั้น เพราะการซ้อมการแสดงจะถูกจัดคิวขึ้นหลังจากแก้ปัญหาของจางฮยอกได้แล้ว

     

    "วันนี้ผมได้แก้ไขปัญหาที่เรามีมานานมากแล้ว"

     

    "คือผมได้ค้นพบคนๆหนึ่ง ที่สำคัญกับงานละครของเรามาก นั้นก็คือ"

     

    พ่ายมือไปยังพี่ชายตามกฎหมายของตัวเอง แทอิลเดินตามเข้ามางงๆ ไม่คิดว่ากะอีแค่มาร้องเพลงละครเวทีจะยิ่งใหญ่หรือสำคัญมากขนาดนั้น อีกอย่าง เขาก็เป็นเพียงนักศึกษาชั้นปีที่ 5 ของคณะศึกษาศาสตร์ ไม่ได้มีบทบาทสำคัญ หรือโด่งดังเป็นที่จดจำของใครหลายๆ คน

     

    "พี่กูเอง มุน แทอิล จะมาร้องเพลงให้จางฮยอก"

     

    แทอิลเอียงคอมองอย่างสงสัยแต่ไม่ได้เอ่ยคำถามออกมา ร้องเพลงให้จางฮยอก มันคืออะไร

     

     

     

     

     

    เหมือนๆกันการร้องเพลงเป็นเงาเสียงให้อีกคน

     

    เหรอ??

     

     

     

    "เอาจริงป่ะเนี่ย เขาเสียงดีขนาดไหน มึงถึงนำเสนอขนาดนี้" ทีมงานคนอื่นๆยังไม่มีใครวางใจจนต้องถาม จอห์นนี่หันไปมองพี่ชายตัวเองแล้วก็พึงนึกได้ว่า เอ้อ กูลืมเทสเสียง เกิดพ่อกับแม่โกหกเพื่อให้แทอิลมีส่วนร่วมในงานมหาลัยปีสุดท้าย แล้วพอร้องออกมาไม่ได้เรื่อง เขาจะไม่ขายหน้าหรือ

     

    "ร้องเพลงดิ"

     

    จอห์นนี่สั่ง แทอิลเงียบไปสักพัก สุดท้ายก็ร้องเพลงออกมา

     

     

    เสียงเพลงที่ขับร้องออกมาจากปากของพี่ชายจอห์นนี่ ทำให้ทีมงานเบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งหลายถึงกับตะลึงในความสามารถของนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์คนนี้

     

    แค่ตอนที่จอห์นนี่ ซอ เดินมาแนะนำว่าเป็นพี่ชายที่อยู่บ้านเดียวกัน ก็ตกใจชิบหายแล้ว เพราะทั้งคู่ดูต่างขั้วกันเหลือเกิน

     

     

     

     










    --------------------------------------------

    อายมากค่ะ 

    คือเรานึกว่าแต่งจบตอนแรกแล้ว พอมาเปิดอ่านกะเพิ่มยอดวิวให้ตัวเอง ต๊ายยยยยยยยยยย ลืมอีดิทช่วงสุดท้าย !!!

    ใครอ่านไปแล้วอาจจะเกิดอาการงงๆ เอ๊ะ ยังไง คือเราเอาพล็อตหรือบท หรืออะไรที่เราพิมพ์ไว้ก่อนมาเรียงๆกัน แล้วค่อยพิมพ์แก้ไปทีละนิดทีละหน่อย แล้วเราลืมพิมพ์ค่ะ อายมาก 55555555555555


    ป.ล.ฟิคเรื่องนี้ได้พล็อตมาจากเอ็มวีเพลง เสียงเล็กๆ ของพลอย (ตามที่จั่วหัวไปบนสุด) ยืมคำพูดและบทบาทในเอ็มวีมา ที่เหลือแต่งใหม่หมดเลยค่ะ


    ความยาวฟิคจนกว่าจะเนื้อเพลงจะมาจนครบนะคะ ไปเรื่อยๆ ไม่รีบ เหมือนรถขายโอ่ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×