คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Devil Hi School โรงเรียนป่วนก๊วน ปีศาจ - คาบที่ 6 ผู้พิทักษ์
"ไอ นั่นมันตัวอะไรก๊านน!!!" ผมตะโกนถามพ่อหนุ่มหัวแดงสุดเสียงหลังจากที่กระโดดหลบตัวอะไรบางอย่าง มันมีลักษณะคล้ายๆค้างคาว ใช่...นั่นถ้าไม่นับขนาดตัวที่ใหญ่ผิดปกติและนัยน์ตาสีแดงก่ำทั้งหกที่มองผม ราวกับผมเผลอไปเหยียบตาตุ่มมันอย่างไงอย่างนั้น แค่นั้นก็ทำให้ผมตัดความคิดว่ามันเป็นสายพันธุ์เดียวกับค้างคาวไปแล้วล่ะ นี่ยังไม่นับฟันนับร้อยคู่ที่เรียงเด่นตอนมันอ้าปากจะงับผมเลยนะ
"โรเมอร์ หยุดมันที!!!" ผมตะโกนเสียงดังเผื่อว่าจะทำให้คนผมแดงที่เอาแต่ยืนมองผมกับเจ้าตัวประหลาด วิ่งไล่กันอยู่ราวกับดูการแข่งขันวิ่งระยะสั้นสี่คูณร้อยให้หันมาช่วยกัน บ้าง แต่ผลน่ะเหรอ เหอะๆ
"ขอโทษนะ ฉันควบคุมมันไม่ได้" คนหัวแดงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงดูเป็นห่วง(แต่ยังคงยืนให้กำลังใจผมอยู่อย่างเดียวเช่นเดิม)
"นาย ก็ทำอะไรบ้างสิฟะ!!!" เยี่ยมครับโรเมอร์ พูดขนาดนี้แล้วยังจะยื่นเชียผมอยู่อีก ผมล่ะทึ่งกับความปัญญาอ่อนของไอนี่จริงๆ "ช่วยตัวเองก็ได้ฟะ..."
ครืดดด!!! เอี๊ยดดด!!!
เสียงยางรองเท้าเสียดสีกับพื้นอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นควัน มันส่งผลให้ผมหยุดนิ่งกระทันหัน
"จง เป็นสุขเป็นสุขเถอะนะ" ผมยืนมองเจ้าค้างคาวยักษ์ที่พุ่งเข้ามาราวกับรถไฟฟ้าอย่างไม่ไหวติ่ง นัยน์ตาสีแดงทั้งหกเบิกกว้างดูเหมือนมันจะรู้แผนของผมซะแล้ว แต่ทว่า "ไม่ทันแล้วล่ะแก"
ผม ก้มลงอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะจำได้ก่อนจะกลิ้งตัวหลบไปทางด้านซ้าย การพุ่งมาอย่างรวดเร็วทำให้เจ้าค้างคาวยักษ์ผ่อนความเร็วไม่ทัน มันพุ่งชนกับต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังผม
แป๊ง!!!
ภาพค้างคาวยักษ์ที่ชนกับต้นไม้ทำเอาผมเกือบหลุดขำได้เหมือนกัน มันคงจะเป็นอย่างนั้นถ้าตอนนี้ผมไม่สบัดสะบอมไปทั้งตัวล่ะนะ
"แฮ็ก...แฮ็ก..." ผมหอบตัวโยน หายใจถี่รัว มือทั้งสองข้างปัดป่ายหาที่ยึดเกาะ รู้สึกได้เลยถึงเรี่ยวแรงที่หดหายไปหมด ให้ตายเหอะ ไอตัวนี้มันดูดแรงผมไปเยอะชะมัด
เวลา ผ่านไปสักสองนาทีได้ ผมได้แต่ส่งสายตาไปยังเจ้าโรเมอร์ที่ยังคงติดค้างสิบชาติ แต่ถึงมองให้ตายยังไงดูท่าเจ้านั่นก็คงไม่มาช่วยแหง ผมจึงพยายามลุกขึ้นมาเองแล้วปัดเศษฝุ่นที่ติดอยู่ตามตัวให้หมด จากนั้นก็ถอนหายใจอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ ตอนนี้ผมมั่นใจอยู่อย่างว่าที่นี่จะทำให้ชีวิตผมสั้นลงอย่างแน่นอน แต่ก่อนจะตายตอนนี้ผมของเคลียกับไอหนุ่มผมแดงที่เกือบดับลมหายใจผมทุกทีที่ เจอหน้าก่อนเถอะ ผมมองไปยังเจ้านั่นพลางเค้นเสียงผ่านไรฟัน "โรเมอร์..."
"เพลส...นายเป็นอะไรมั้ย?" เจ้า นั่นวิ่งมาที่่ผมด้วยนัยน์ตาแฝงด้วยความเป็นห่วงและสำนึกผิด แต่ขอโทษเถอะ วันนี้ผมต้องสร้างแผลเป็นที่สองให้หน้าหล่อๆของเจ้าหมอนั่นให้ได้เลยคอยดู
"ถามจริงเถอะ?" ผมมองไปยังนัยต์ตาคู่สีทองของเจ้านั่นด้วยสายตาที่ดูโหดที่สุดเท่าที่ผมจะทำ ได้(โดยหารู้ไม่ว่าไอคนข้างหน้ามันไม่รู้สึกสักนิดเดียว) "เจ้าบ้านั่นมันอะไรห๊าาาา"
ผม ถามพลางชี้ไปที่กองค้างคาวยักษ์ที่กำลังแปลสภาพเป็นขยะสดอยู่ข้างต้นไม้ โดยยังแผ่รังสีอำมหิตใส่ผมเป็นระยะๆ หึ้ย...เดี๋ยวพ่อก็จับทำต้มซุปซะนี่!!
1 ชั่วโมงก่อนหน้านี้
ภาย ในป่าหลังโรงเรียน ต้นไม้เริ่มที่จะผลัดใบไปบ้างแล้ว ทำให้ตรงพื้นมีกองใบไม้อยู่เต็มไปหมด ในวิชาแรกคือวิชาเวทศาสตร์ ผมจับใจความได้ว่ามันเป็นวิชาเกี่ยวกับพลังแห่งอะไรสักอย่าง แต่ช่างมันเถอะ ครอสแบ่งภารกิจให้กลุ่มแต่ล่ะกลุ่มทำกัน โดยกลุ่มเราเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ครอสจะบอกภารกิจให้ไปทำ กลุ่มเรามาเดินเล่นกันอยู่ที่หน้าทางเดินเข้าป่าหลังโรงเรียน พร้อมครอสที่เดินนำหน้า
"ภูติหิมะ?" เสียง ประสานดังมาจากนักเรียนชายระดับพิเศษทั้งสามคน พร้อมสีหน้าที่ค่อนข้างจะดูตกใจมิใช่น้อย ส่วนอีกสองหญิงสาวยังคงนิ่งเงียบตามปกติวิสัย นี่ถ้าบอกว่าสองคนนี้เป็นหุ่นยนต์ผมคงเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย
"อืม" ครอสในมาดอาจารย์ส่งเสียงตอบรับ พร้อมหยุดเดินทำให้พวกเราหยุดตามบ้าง
"แต่ นั่นไม่เกินความสามารถเด็ก ม.ปลายไปหน่อยเหรอครับ" โรเมอร์พูดขึ้น ส่วนผมและฟรอสพยักหน้าเห็นด้วย และสองสาวด้านหลังยังคงเงียบเป็นเป่าสากเหมือนเดิม ต้องเติมพลังงานหน่อยมั้ยเนี่ย
"นั่นมันก็จริง" ครอสกล่าว "แต่พวกเธอเป็นระดับพิเศษทั้งกลุ่ม ดังนั้นเพื่อความเท่าเทียมกัน ภารกิจมันก็จะยากกว่ากลุ่มอื่นเค้าหน่อย"
มันมีความเท่าเทียมตรงไหนมิทราบห๊าาา!!! ผมนี่คนธรรมดาเลยนะเฮ้ย ที่จริงผมไม่ควรจะมาเรียนไอวิชาบั่นทอนพลังชีวิตแบบนี้ด้วยซ้ำ
"ถ้างั้นก็หมายความว่า" ที่นี้ฟรอสพูดบ้าง "พวกเราต้องไปจับตัวภูติหิมะกันใช่มั้ยครับ?"
ครอสพยักหน้า ถึงผมไม่รู้ว่าภูติหิมะมันเป็นยังไงแต่เท่าที่ดูจากสีหน้าของฟรอส โรเมอร์และเรย์แล้วท่าทางมันคงไม่ใช่อะไรที่ง่ายๆแหง
"นี่ควีน" ผมเดินเข้าไปถามยัยเซอร์เรเน่ "ภูติหิมะมันคืออะไรเหรอ?"
คราวนี้ดูยัยนั่นแปลกไปจากทุกที เหมือนกับผมไปทำอะไรผิดอย่างนั้นแหละ นัยน์ตาสีแดงเพลิงคู่นั้นแทบจะไม่มองมาที่ผมด้วยซ้ำ แต่ริมฝีปากชมพูเอ่ยออกมาบางอย่าง "ฉันมันไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่ไปถามเจ้าฟรอสล่ะ"
นี่ยังโกรธเรื่องเมื่อเช้าอยู่เหรอไงฟะ...
"..." ผมพูดอะไรไม่ออก ที่จริงคือไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า ถึงผมจะยอมรับว่าเผลอคิดไปแบบนั้นจริงๆก็เถอะ แต่มันเป็นความคิดชั่ววูบเองนะ ก็ยอมรับอีกแหละว่านะว่ายัยนี่ช่วยผมมาตั้งหลายครั้ง แต่ถึงยังไงยัยนี่ก็เกือบดับลมหายใจผมหลายครั้งแล้วนะ มันเลยทำให้เกิดความรู้สึกไม่รู้ว่ายัยนั่นหวังดีหรือร้ายกัน ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดหรือถูก ความรู้สึกแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกคอไว้ มันทำให้ผมต้องเดินเลี่ยงจากยัยนั่นไปทางฟรอส ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยจริงๆ
"ฟรอส..." ผมถามไปยังฟรอสด้วยน้ำเสียงดูเหนื่อยๆ "ไอภูติหิมะนี่มันหน้าตาเป็นยังไงเหรอ"
"ภูติหิมะเหรอฮะ?" ฟรอสก้มหน้าลงพลางกัดนิ้วตัวเองเล่นอยู่นาน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาบอกผม "ที่จริงผมก็ไม่เคยเห็นหรอกฮะ แต่เคยได้ยินมาว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายากมากๆ ที่ีเหลือลองไปถามโรเมอร์ดูล่ะกันฮะ"
"อ่า ขอบใจ" ผมกล่าวขอคุณแล้วลากร่างอันแสนเหนื่อยใจไปยังคนผมแดงที่กำลังยุ่งอยู่กับ หนังสือบางอย่างในมือของตัวเองอยู่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของผมนักหรอก
"โรเมอร์..." ผมถามไปยังโรเมอร์ด้วยน้ำเสียงดูเหนื่อยๆอีกรอบ "ไอภูติหิมะนี่มันหน้าตาเป็นยังไงเหรอ?"
เจ้านี่ก็ตอบตามแบบฟรอมฟรอสแป๊ะราวกับลอกกันมา "ลองไปถามเรย์ดูสิ"
ดั้งนั้นผมจึงลากสังขารไปยังเด็กสาวที่ไม่ค่อยจะมีบทมากนักที่กำลังนั่ง เหม่อ(หรือกำลังติดต่อกับวิญญาณอยู่ก็มิทราบได้) อยู่ใต้ต้นไม้ ซึ่งฝ่ายนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าออกมา ทำให้ผมรู้สึกว่าสิบคะแนนแรกได้บินจากเราไปแล้วล่ะ เห้อ
สุดท้ายเมื่อเพิ่งใครไม่ได้สักคน ผมจึงเดินมาหาคนหัวขาวที่สั่งคนโดยไม่ดูกำลังคนอื่นเค้าสักนิด "ครอส"
"มีอะไรงั้นเหรอ เพลสคุง" ครอสตอบกลับ
"นี่ไม่คิดจะขยายความให้คนที่ไม่ประสีประสาเรื่องโลกปีศาจหน่อยเหรอฮะ"
"อ่าโทษทีนะ" คนหัวขาวทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรบ้างอย่างออก "ลืมไปซะสนิท"
ลืม!!! นี่ผมมันดูจืดจางขนาดนั้นเลยเหรอ...
"ภูติ หิมะ" ครอสกล่าวต่อขนาดที่ผมกำลังลงไปกองกับพื้นด้วยสภาพคนเหม่อลอย ไม่รับข้อมูลอะไรทั้งนั้น นี่ผมจืดจางขนาดนั้นจริงๆอะ ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฟังคนหัวขาวพูดก่อนล่ะกัน "มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากเกล็ดแห่งเวทย์มนต์"
"เกล็ดแห่งเวทย์มนต์?" แล้วนี่อะไรอีกล่ะ
"เมื่อหนึ่งชีวิตเกิดมาจะเกิดการปลดปล่อยเสี้ยวพลังออกมา" ครอสกล่าวต่อ "มันเกิดจากเสี้ยวพลังของเด็กทารกที่มารวมตัวกันและตกผลึกเป็นเกล็ด เมื่อเกล็ดนั้นมารวมกันมากๆมันจะเกิดเป็นชีวิตใหม่ เป็นสิ่งที่เรียกว่าภูติ"
ผมพยักหน้าแสดงความเข้าใสเพื่อให้ครอสกล่าวต่อ
"ภูติหิมะ เป็นภูติที่เกิดจากเสี้ยวพลังที่มีธาตุน้ำแข็งเป็นส่วนประกอบ มักอาศัยอยู่แถบๆภูเขา ไม่ค่อยจะปรากฎตัวให้เห็นมากนัก ส่วนใหญ่จะปรากฎตัวก็ต่อเมื่อมีผู้ต้องการความช่วยเหลือ"
"..." ผมนั่งฟังนิ่ง พอจะเข้าใจบ้างแล้วล่ะ แต่ว่า "มันมีลักษณะเป็นยังไงเหรอฮะ"
"คือ..." ครอสพูดอ้ำอึ้งอย่างเห็นได้ชัด "ที่จริงฉันก็ไม่เคยเห็นมันหรอก"
"ว่าไงนะ!!!" แล้วมาสั่งให้คนอื่นไปหาสิ่งที่ไม่เคยเห็นแบบนี้ได้ไงเนี่ย
"ฟังก่อนสิ" ครอสพูดเพื่อหยุดผมที่กำลังอารมณ์เสียสุดๆ พูดได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเครียดแบบนี้เลยสักครั้ง ผมก็ได้แต่พยายามรับข้อมูลที่ครอสจะป้อนอีกต่อไป "เคยได้ยินมาว่ามันมีลักษณะโปร่งแสง ไม่มีขา ชอบลอยไปมา ที่จริงฉันก็รู้กันแค่นี้แหละ พวกเธอมีเวลาสามชั่วโมงที่จะหาเจ้านั่นมาให้ได้ พยายามเข้าล่ะ"
ครอสเข้ามาตบบ่าผมแล้วก็เดินจากไป ทิ้งกลุ่มของพวกเราไว้หน้าทางเข้าป่าหลังโรงเรียน สามชั่วโมงกับการหาในสิ่งที่ไม่มีใครเคยเห็น
...แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ
แสงแดดทอดยาวเป็นลำเล็ดลอดผ่านใบไม้ที่เหลือน้อยเต็มที ถึงแม้จะมีร่มเงาตลอดทางแต่มันก็ไม่ช่วยให้การเดินทางลำบากน้อยลงกว่าเดิม มากนัก อันที่จริงเริ่มแรกมาก็ยังมีทางเดินให้เดินตามกันอยู่หรอก จนกระทั่งฟรอสออกความคิดว่าไอภูติตัวปัญหานี่มันน่าจะอยู่ในป่าลึกมากกว่า นั่นทำให้เราต้องเดินออกนอกมาเผชิญเส้นทางสายวิบากอยู่นี่แหละ
"อึ๊บ" ผมดึงร่างของฟรอสที่เดินไล่หลังเป็นคนสุดท้ายขึ้นมาบนเนินหินสูงกว่าสองเมตร
"เห้อ..." ฟรอสถอนหายใจยาวหลังจากถูกผมดึงขึ้นมาได้ "ผมว่าแบบนี้ไม่ทันแน่ๆเลย"
ผมก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ เวลาผ่านมาเกือบชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีวี่แววไอ้ภูติหิมะที่ว่านั่นสักตัว สภาพแต่ละคนตอนนี้ก็เดินต่อแทบจะไม่ไหวทั้งนั้น นั่นไม่นับยัยผอ โหดนั่นหรอกนะ รู้สึกว่าตั้งแต่เช้าคุณเธอยังไม่พูดอะไรกับผมสักคำ สงสัยยังงอนเรื่องเมื่อเช้าอยู่แน่เลย จะไปขอโทษหน่อยดีมั้ยเนี่ย
"ฉันว่า" ก่อนที่ผมจะเดินไปหายัยเซอร์เรเน่ โรเมอร์ก็พูดแทรกขึ้นมา "เราน่าจะแยกย้ายกันตามหานะ"
"ใช่แล้วล่ะ" ฟรอสพูดขึ้นบ้าง "ขืนเป็นแบบนี้ทั้งวันก็หาไม่เจอหรอก บางทีภูติหิมะอาจจะไม่ชอบปรากฎตัวในที่ๆมีคนเยอะๆก็ได้"
"...เห็นด้วย" คราวนี่เป็นครั้งแรกที่เรย์ส่งเสียงออกมา ถึงแม้มันจะดังพอๆกับเสียงเครื่องปรับอากาศรุ่นเงียบสนิทก็เถอะ
"จะทำอะไรก็ทำเถอะ" เซอร์เรเน่ที่นิ่งเงียบมาตลอดก็พูดขึ้นบ้าง
"งั้นตกลงพวกเราจะแยกย้ายกันไปสินะ" โรเมอร์กล่าวสรุป "งั้นฉันจะไปด้านตะวันตก ฟรอสไปด้านตะวันออก เรย์เธอก็พยายามติดต่อกับวิญญาณแถวนี้ดู ส่วนควีน เธอไปกับเรย์ และเพลส นายมีฝีมือด้านการต่อสู้มากที่สุด ดังนั้นเดินไปทิศใต้ทางนั้นจะเป็นเขตป่าลึก"
โรเมอร์กล่าวแบ่งหน้าที่เสร็จสรรพ จากนั้นทุกคนก็กระจายกันไปทำให้ที่ของตัวเอง ทิ้งผมที่กำลังมึนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
นี่ไม่คิดจะให้ผมแสดงความคิดเห็นเลยเรอะ...
ฟิ้ววว
เสียงสายลมหอบพัดอากาศเย็นยะเยือกให้ขนที่ต้นแขนพากันลุกเล่น ถ้าเพียงแค่นั้นมันคงดีอยู่หรอกถ้าทางที่ผมเดินไปแต่ละก้าวมันเริ่มมืดลงเรื่อยๆ ทางเดินที่เต็มไปด้วยใบไม้เริ่มจะกลายเป็นพื้นดินเปียกชื้น มันทำให้ผมต้องวิ่งไปกระโดดข้ามหินไป ผมข้ามหินก้อนสุดท้ายที่ใหญ่ที่สุดก่อนมองลงไปข้างล่างเพื่อหาทางไปต่อ แต่นัยน์ตาสีเปลือกไม้ของผมก็ไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่ไม่อยากเห็นเข้าจนได้
"อึก..." ผมกลืนน้ำลายพลางมองไปยังสิ่งที่อยู่ข้างหน้า มันสมองที่มีอยู่ประมวลผลให้ถอยหลังด่วน
กร๊อบ!!!
ไอขาเจ้ากรรมมันดันไปเหยียบเศษกิ่งไม้เกิดเสียงดังเข้าจนได้ มันต้องอย่างนี้ทุกทีสิฟะ
นัยน์ตาสีแดงก่ำของไอตัวหมาป่าขนฟูหันมองมายังต้นเสียง ซึ่งนั่นก็คือเด็กผู้ชายมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่เพื่อนไว้ใจให้ไปเจออันตรายคนเดียวโดยเจ้าตัวไม่มีโอกาสแม้จะปริปากสักคำ แล้วดูเหมือนว่าชีวิตของเขาจะปิดฉากด้วยการเป็นอาหารหมาด้วยสิ
"เออ...คือ..."
"แฮ่..." ไม่ต้องขู่ได้มั้ย แค่ยื่นเฉยๆก็รู้สึกได้เลยว่าขนในตัวต่างพากันลุกพรึบขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมายแล้วนะ นี่เล่นส่งยิ้มมรณะให้กันแบบนี้มัน... สยองเป็นบ้า
"โชคดีนะ" ผมกล่าวอำลาเจ้าขนฟูก่อนที่มันจะเดินมาหาผม แต่รู้สึกว่ามันจะไม่ยอมให้ผมเดินจากไปง่ายๆเนี่ยสิ "โอเค แกอยากจะวิ่งแข่งระยะสั้นกันใช่มั้ย และอย่ามาเสียใจภายหลังล่ะ ฉันนักกีฬาเหรียญทองนะเฟ้ย"
"แฮ่..."
"เฮ้ยนั่น!!!" ทำแสร้งทำสีหน้าตกใจสุดขีดพลางชี้ไปข้างหลังเจ้าขนฟู และมุขสุดแสนจะคลาสสิกก็ได้ผลซะงั้น เจ้านั่นมันหันไปมองในขณะที่ผมก็ติดสปีดไปอย่างรวดเร็ว ภูมิใจชะมัด หลอกหมาได้ วะฮ่าๆๆ
ดูเหมือนไม่มีเวลาให้ผมภูมิใจมากนัก ทันทีที่ผมออกวิ่งเจ้าตัวขนฟูก็รีบวิ่งตามมาติดๆ ด้วยความเร็วของมันที่มากกว่าขืนผมวิ่งหนีแบบนี้อยู่คงได้กลายเป็นอาหารหมาแน่ ผมคงต้องทำให้เส้นทางของมันลำบากขึ้นเพื่อให้มันช้าลงหน่อย ตอนนี้ผมเริ่มเก็บอะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้ๆมือ ก่อนที่จะทยอยปาใส่เจ้านั่น
จ๋อม ตูม!!!!
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหลังจากที่ผมปาก้อนอะไรสักอย่างลงบนแอ่งน้ำ ผมไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เนื่องจากผมหมอบอยู่กับพื้นตั้งแต่ได้ยินเสียงระเบิดแล้วล่ะ
ผมค่อยๆเงยหน้ามาดูสิ่งที่เกิดขึ้น นัยน์ตาสีเปลือกไม้ของผมเบิกกว้างกับสิ่งที่เห็น เจ้าหมาป่าขนฟูหายไปแล้ว ใช่... นั่นรวมถึงพื้นดินแถบๆนั่นด้วย มันกลายเป็นหลุมกว้างเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าสองเมตร
"โห..." ยอมรับเลยว่าผมก็ตกใจกับสิ่งที่เห็นเหมือนกัน ผมได้แต่มองสิ่งที่อยู่ในมือ มันเป็นกองก้อนหินสีขาวด้านหลายก้อน ถ้าผมคิดไม่ผิดมันคงเป็นธาตุหมู่หนึ่งที่ทำปฎิกิริยากับน้ำล่ะมั้ง ว่าแล้วก็ลองโยนลงแอ่งน้ำที่พื้นอีกสักก้อน
จ๋อม ตูม!!!
ผมรีบปล่อยสิ่งที่อยู่ในมือทันที ไม่งั้นอยู่ดีๆมันเกิดระเบิดตูมตามขึ้นมาคงไม่ดีแน่ ผมยังไม่อยากเป็นเดชไอด้วนหรอกนะ
...
หลังจากเจอเจ้าขนฟูทำให้ผมแน่ใจได้เลยว่าถ้ายังเดินต่อไปอาจได้ไปทักทายกับเพื่อนฝูงมันก็ได้ และพวกมันคงจะทักทายผมอย่างดีโดยการจัดปาตี้โดยมีผมเป็นอาหาร แค่นี้ก็ซึ้งใจพอล่ะ ดังนั่นผมเลยคิดว่าจะเดินกลับไปทางเดิม ...แต่มันก็ได้แค่คิดอะนะ เพราะตอนที่วิ่งไล่กวดกับเจ้าขนฟูเมื่อกี้ทำให้ผมหลงมาแถวไหนไม่รู้ แถมเรี่ยวแรงยังหดหายไปหมดอีก ตอนนี้ผมเลยต้องนั่งในหลุมที่สองที่ผมสร้างไว้และเอาไอก้อนสีขาวๆนั่นวางไว้ในระยะที่หยิบได้ ได้แต่หวังว่าภูติหิมะจะมาช่วยตามคำโฆษณาที่ว่า
แกร็บ ๆ
เสียงเหยียบใบไม้แห้งทำเอาผมที่กำลังเหม่อๆสะดุ้งตัวลอย ความรู้สึกไม่ไว้ใจเข้าเกิดขึ้นทันที ครอสบอกว่าภูติหิมะไม่มีขา ดังนั้นมันคงทำเสียงแบบนี้ไม่ได้แน่ ด้วยความไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูทำให้ผมเอือมมือไปหยิบก้อนหินสีขาวขึ้นมา กะว่าถ้ามีอะไรที่ไม่อยากเจอจะได้หาทางหนีทีไล่ได้ทัน เสียงนั่นเริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆเตรียมวิ่ง
"เพลส?" เสียงทุ้มเจือความสงสัยดังขึ้นทำให้ผมหันขึ้นไปมองร่างสูงเจ้าของเสียง
"โรเมอร์?" ผมพูดเมื่อเห็นหนุ่มผมแดงหน้าตาหล่อเหลามีแผลเป็นขีดตรงตาทำสีหน้างงไม่ต่างจากผมมากนัก "นายมาที่นี่ได้ไง?"
"คือ ชั้นได้ยินเสียงระเบิด..." ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้านั่นมองไปยังหลุมสองหลุมที่ผมเพิ่งทำด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง "นี่ฝีมือนายงั้นเหรอ"
"จะว่าไปก็ใช่อยู่หรอก...แหะๆ" ผมพูดพลางยิ้มแห้งๆไปยังโรเมอร์ เจ้านั่นยังคงยืนค้างอยู่นานพอควร จึงได้สติแล้วมองมาที่ผม
"นายเจออะไรบ้างมั้ย?" โรเมอร์จ้องผมเหมือนคาดหวังข่าวดี แน่ล่ะ สิ่งที่ผมเจอมาก็มีแค่
"แค่หมาป่าขนฟูที่เป็นโรคตาแดงตัวหนึ่ง" ผมกล่าวอย่างเบื่อๆ "เจ้านั่นวิ่งเร็วชะมัด"
"กะ แกรลาดอส" คราวนี้โรเมอร์หน้าซีดขึ้นอีก "อย่าบอกนะว่านายจัดการมันไปแล้ว"
ผมพยักหน้า
"ซวยแล้วไง"
บรูววววว
แว่วเสียงดังมาแต่ไกลบ่งบอกถึงแะไรบางอย่างที่กำลังใกล้เข้ามา และดูท่าทางมันจะไม่ใช่สิ่งดีๆซะด้วยสิ
"เมื่อพวกมันโดนจัดการไปตัวหนึ่ง" โรเมอร์หันซ้ายขวาพลางอธิบาย "พลังชีวิตที่เหลือของมันจะส่งสัญญาณให้ตัวอื่นมาช่วย"
ที่พยายามจะบอกนี่หมายถึงว่ามันจะมาจัดงานเลี้ยงให้เราถึงที่สินะ ว่าแล้วแกรลาดอสตัวหนึ่งก็พุ่งกระโจนมาทางผม ด้วยความตกใจทำให้ผมออกหมัดไปเต็มแรง ส่งผลให้เจ้าขนฟูลอยละลิ่วไปตกที่พุ่มไม้อีกฝั่ง
"รีบวิ่งเถอะ" คนผมแดงวิ่งนำไปก่อนหลังจากทิ้งคำพูดเสร็จแล้ว ส่วนผมก็รีบตามไปอย่างรวดเร็ว
"รอด้วยสิ!!!"
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย อากาศตอนนี้ค่อนข้างจะเย็น มันทำให้ผมไม่เหนื่อยมากนัก ผมพยายามสอดส่ายสายตาเพื่อหาแอ่งน้ำขังสักที่ แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีแต่ใบไม้ที่ตกเกลื่อนอยู่เต็มไปหมด
"โรเมอร์!!!" ผมตะโกนเรียกคนหัวแดงที่นำหน้าผมไป
"มีอะไร" หมอนั่นผ่อนฝีเท้าลง ทำให้ผมเข้าใกล้เขามากขึ้น
"น้ำ!!!" ผมตะโกนตอบ "นายมีวิธีเรียกน้ำบ้างมั้ย!?"
"ขอโทษนะ ฉันไม่รู้วิธี"
เยี่ยมครับ บทจะพึ่งไม่ได้นี่ก็ไร้ประโยชน์ซะไม่มี ที่นี่เราก็จะได้วิ่งเล่นกันให้สนุกไปเลย
ตอนนี้เราเริ่มวิ่งกันอย่างไม่รู้ทิศทาง แต่รู้สึกป่ามันค่อนข้างทึบและมืดลงเรื่อย สัญญาณไม่ค่อยดีแล้วสิ
"หยุดเถอะ" ผมออกความคิด ขืนยังวิ่งไปต่อมีหวังหลงแบบกู่ไม่กลับแน่(จริงๆแค่นี้ก็ไม่รู้จะกลับยังไงแล้วล่ะ) สู้จัดการณ์พวกมันยังมีสิทธิรอดซะมากกว่า
"เอาไงดี?" คนผมแดงหยุดตาม และนั่นมันควรเป็นคำถามของผมไม่ใช่เรอะ
"นายมีอะไรดีๆบ้างมั้ยล่ะ" ผมพูด "ถ้าไม่อยากเป็นอาหารหมาก็เอาออกมาเลย"
"การ์เดี้ยน..."
"ห๊ะ...!!!" เมื่อกี้เจ้านั่นพูดอะไรนะ
"ด้วยพลังของเจ้าแห่งความมืดไดตัส จงปลดเอกอสูรร้ายแห่งความมืด ราชันย์แห่งราตรี จงออกมาตามเสียงเรียกร้องของข้า"
ความมืดเริ่มกลืนกินทั้วพื้นที่ พวกแกรลาดอสต่างพากันถอยห่าง ที่จริงผมเองก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ออกมาจากโรเมอร์ ความมือพุ่งเป็นสายล้อมตัวเจ้านั่น ก่อนพุ่งออกมาเป็นวงกลมสีดำข้างหน้า นั่นยังไม่หมด เอฟเฟคสุดท้ายคือมีปีกสีดำสนิทโผล่ออกมาจากวงแหวน กับนัยน์ตาสีแดงทั้งหกที่ดูราวกับอาคาตแค้นใครมาก็ไม่ทราบได้ แถมฟันนับร้อยที่เรียงกันเด่นตอนมันอ้าปาก
"ฟาริโอ้" คนผมแดงกล่าวขานชื่อการ์เดี้ยนของตัวเอง ถึงชื่อมันจะคล้ายๆกับคุกกี้แค่ไหนผมก็คงไม่พิศวาสมันนักหรอก และขอร้องอย่างล่ะ
เอามันไปไกลๆผมเถอะ ขอร้อง
ความคิดเห็น