ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ
รัตติกาลห่อหุ้มผืนท้องนภาไว้เหลือเพียงความมืดมิด ท่ามกลางแสงจันทราเรืองและกลิ่นควันไฟแสบจมูกที่ลอยคละคลุ้งกับกลิ่นคาวเลือดภายในเมืองทาบารอส ภายในเมืองเดียรดาษไปด้วยบ้านเรือนที่ต้องเปลวเพลิง กลางถนนผู้คนภายในเมืองต่างวิ่งหนีกลุ่มคนสวมหน้ากากรูปกางเขนสีแดง
ตูม!!!
เสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาทที่มาพร้อมกับฝุ่นหมอกควันและเศษอิฐเศษปูนที่ปลิวว่อนภายในพระราชวังแห่งทาบารอส เหล่าสนม นางกำนัล เชื้อพระวงศ์ และเหล่าขุนนางต่างๆ วิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น สร้างความเอะอะเสียงดัง นั่นทำให้เหล่าทหารต่างกรูเข้ามาในที่เกิดเหตุ ซึ่งคาดว่าเป็นห้องบรรทมของเจ้าหญิง
ภายในห้องบรรทมของเจ้าหญิง แรงจากการระเบิดทำให้เกิดเป็นรูโหว่ใหญ่ที่กำแพงท่ามกลางเศษฝุ่น หญิงสาวละนัยน์ตาสีอความารีนจากหนังสือในมือไปยังกลุ่มหมอกควันที่เกิดจากแรงระเบิด เส้นผมสีทองสุกละเอียดราวเส้นไหมปลิวไสวสะท้อนแสงจันทราเป็นประกายระยิบระยับ ใบหน้าเรียวเล็กราวเด็กอายุสิบห้าฉายแววตื่นกลัวเล็กน้อย ควันจากแรงระเบิดเริ่มจางลงพร้อมๆกับร่างชายหนุ่มเรือนผมสีใบไม้อ่อนที่เดินออกมา นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองไปที่ร่างบางที่ถือหนังสืออยู่บนเตียง แสงจันทร์จากหน้าต่างเผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหล่าภายใต้เรือนผมสีใบไม้อ่อน ร่างบางที่เตียงทำสีหน้าตื่นตระหนกก่อนจะเอ่ยถาม
"ท่านพี่ฟารอส ท่านมาทำอะไรที่นี่" นัยน์ตากลมโตจ้องมองไปที่ชายหนุ่มเรือนผมสีเขียวที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวต่างจากคนอื่น
ชายหนุ่มชายนัยน์ตาสีมรกตไปยังเจ้าหญิงก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
"เอธีเซีย เอาหัวใจแห่งปฐพีมาให้ข้า"
"หัวใจแห่งปฐพี!!! ท่านจะเอามันไปทำไม" นัยน์ตากลมโตของเจ้าหญิงเบิกกว้างยิ่งขึ้น หนังสือในมือร่วงหล่นสู่พื้น ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก " หรือว่าท่าน...ท่านร่วมมือกับองกรณ์เสียงสังหาร!!!"
แทนคำตอบ ปืนพลังเวทย์ในมือทั้งสองข้างของชายหนุ่มถูกยกไปเล็งทหารที่พากันกรูเข้ามาให้ห้องโดยที่เจ้าตัวไม่แม้จะชายตามอง
ฟิว
บึมๆๆ
เสียงกระสุนตกกระทบพวกทหารอย่างรวดเร็วและแม่นยำ แม้จะเป็นการยิงเพียงครั้งเดียว แต่พลังเวทย์ที่ออกมาแยกเป็นหลายสาย แถมยังเข้าเป้าพอดีเป๊ะ บ่งบอกถึงความเก่งฉกาดของชายหนุ่มคนนี้
"เอธีเซีย เอาหัวใจแห่งปฐพีมาให้ข้า" ชายหนุ่มย้ำอีกรอบดึงสติของเอธิเซียที่หายไปกับร่างที่นอนเกลื่อนพื้นของเหล่าทหารกลับมา นางมองไปยังชายหนุ่มข้างหน้าด้วยสายตาโกรธแค้น
"เพียงแค่นี้ ท่านถึงกลับฆ่าผู้คนบริสุทธ์เชียวเหรอ" นางเปล่งน้ำเสียงด้วยความโกรธสุดขีด "คนอย่างท่านไม่มีสิทธิเป็นผู้ครอบครองหัวใจแห่งปฐพีหรอก"
ชายหนุ่มมองซากทหารที่นอนกองอยู่หน้าห้อง ก่อนเอ่ยน้ำเสียงเยือกเย็น
"ในเมื่อมันมาสมัครเป็นทหาร นั่นก็หมายความมันพร้อมที่จะตายอยู่แล้ว ข้าจะไปแคร์พวกมันทำไม"
"ท่านมัน... คนอำมหิต!!!"
"ขอบคุณที่ชม" คนพูดทำสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว
"ท่านไม่ใช่ท่านพี่ฟารอสคนเดิมของข้า ท่านเป็นอะไรไป เพียงแค่หัวใจแห่งปฐพีไม่เลือกท่านทำให้ท่านเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี่เชียวหรือ!!!" น้ำใสๆเริ่มไหลรินจากนัยน์ตาสีส้มแววราวอความารีนของเอธิเซีย เมื่อก่อนฟารอสเป็นคนที่ดีมากจริงๆ เขาเป็นคนอ่อนโยน รักความยุติธรรม จนกระทั้งเขาไม่ได้รับเลือกจากหัวใจแห่งปฐพี
"เอาล่ะ เลิกพล่ามมากได้แล้ว ส่งหัวใจแห่งปฐพีให้ข้าซะ"
"ไม่มีทาง"
"เอธิเซีย เจ้าอย่าบังคับข้า"
"ทำไมล่ะ ท่านจะฆ่าข้าด้วยอีกคนงั้นหรือ ฆ่าน้องสาวแท้ๆของท่าน"
"เอธีเซีย!!!" คนพูดยกปืนพลังเวทย์ขึ้นมาจ่อที่ร่างบาง นางหลับตาเพื่อกลั้นน้ำตาที่ไหลก่อนเอ่ยน้ำเสียงโกรธแค้น
"เอาเลย ยังไงข้าก็ไม่ให้หัวใจแห่งปฐพีกับท่านเหรอ!!!"
สิ้นเสียง ปรากฎแสงเจิดจ้าขึ้นที่อัญมนีสีแดงสดที่ประดับในสร้อยคอของเอธีเซีย มันเป็นแสงสีแดงเรือ และมันส่องสว่างจนชายหนุ่มต้องเอามือมาป้องตา หลังจากนั้นสักพัก แสงสีแดงค่อยๆลดความสว่างลงพร้อมๆกับร่างที่หายไปของเจ้าหญิงเอธิเซีย
"โธ่เว้ย พลาดจนได้!!!" ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย
เพล้ง
เสียงร่างบางพุ่งทะลุผ่านหน้าตาบ้านหลังหนี่ง ท่ามกลางเศษกระจกกระจัดกระจาย ร่างเล็กใส่ชุดกระโปร่งสีขาวฟูฟ่องนอนกองอยู่ที่พื้น นางหลับตาพริ้ม หยาดน้ำตายังคงหลงเหลืออยู่เพียงแต่มันไม่สามารถทำให้ใบหน้าเรียวสาวดูหม่นหมองไปได้เลย เส้นผมสีทองสุกยาวถึงเอวส่องประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสงจันทร์ ร่างเล็กค่อยๆลืมตาขึ้น หลังจากนั้นก็ค่อยๆพยุงตัวอย่างยากลำบาก นัยน์ตาสีอความารีนกรอกมองรอบๆตัว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
"ที่นี่ที่ไหน?"
มหานคร เซทริออส มหานครที่รุ่งเรืองและเฟื่องฟูที่สุดในทวีปเวนิเซียด้วยเขตพื้นที่หนึ่งในห้าของทวีป ภาย ในเมืองเดียรดาษไปด้วยบ้านเรือนที่ถูกจัดวางผังเมืองเป็นวงกลมล้อมรอบศูนย์กลางของนคร บ้านส่วนใหญ่ทำมาจากไม้ และแทบจะทุกหลังของเมืองนี้จะทาสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีประจำของนคร ตามทางเดินปูไปด้วยหินอ่อนสลักลวดลายวิจิตศิลปโบราญที่บ่งบอกว่ามหานครแห่งนี้คงอยู่มานานหลายสมัย อีกทั้งนครนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องอัศวินแห่งเซริออสที่แข็งแกร่ง ข้าเองก็เป็นส่วนหนึ่งในอัศวินที่เก่งที่สุดของเซทริออส เอาล่ะ ข้าพล่ามเรื่องนครนี้มามากพอแล้ว อีกไม่นานก็ต้องไปจากนครนี้อยู่ดี เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
ข้าอยู่ที่ปราการอัศวินซึ่งเป็นปราสาทที่มีความสูงเทียมฟ้า สูงจนทำให้คอข้าแทบหักเมื่อตอนที่มองหายอดปราการครั้งแรก ถ้าพวกเจ้าจะหายอดปราการจากบนพื้นดินล่ะก็ เตรียมกล้องส่องทางไกลมาด้วยก็ดีนะ เออ... ข้านอกเรื่องไปหน่อยและ ปราการอัศวินตั้งอยู่บนหุบเขาที่สามารถเห็นเมืองได้ทั้งเมือง ไม่ใช่อยู่ศูนย์กลางเมืองอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ ที่จริงปราการอัศวินออกจะอยู่ห่างจากพระราชวังมาโข แต่ก็มีวงแหวนข้ามมิติเชื่อมต่อกันอยู่ น่าเสียดาย ข้าไม่เคยเรียนเวทย์พวกนี้ด้วยสิ ไม่งั้นคงจะเดินทางสะดวกดี ฮ่าๆๆ อ่า... ข้านอกเรื่องอีกแล้วเหรอ เอาล่ะ เข้าเรื่องจริงๆกันเลยดีกว่า
ข้ายืนอยู่ชั้นบนสุดของปราการอัศวิน แต่เมื่อมองจากภายนอกหน้าต่างข้ากลับเห็นเพียงกลุ่มเมฆสีขาวปุกปุยน่ากอดและกลุ่มหมอกหนา อันที่จริงท่านหัวหน้าอัศวินเคยบอกว่ามันต้องใช้กล้องส่องทางไกลสีทองที่ติดอยู่ตรงหน้าต่าง มันเรียกว่ากล้องเบิกฟ้า ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันใช้ยังไง หรือใช้ทำอะไร แต่ที่รู้ๆคืออยากมีติดบ้านไว้สักอัน เผื่อจะเอาไว้ส่อง... เออ นี่ข้านอกเรื่องอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย ช่างมันเถอะ ภายในห้องเล็กๆ ที่ตกแต่งไฟด้วยคริสตัลที่ให้แสงสีฟ้าสดใสสวยงามเหมาะสำหรับการนอนหลับ เจ้าอาจจะคิดว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน ข้าก็คิดเหมือนกัน(อ่าว?) มันเป็นห้องของหัวหน้าอัศวิน แอลเดอร์ไรท์ ไอซ์ ข้ายืนอยู่หน้าร่างสูงใหญ่ผมตั้งสีทองสะท้อนแสงจนแสบตาหลังจากที่ข้ายื่นเอกสารอย่างหนึ่งให้เขาไป เขารับไปดูแล้วมองหน้าข้าอย่างมีอารมณ์ เออ... น่าจะเป็นโมโหมั้ง
"นี่มันอะไรกัน!!!" พลังเสียงแปดหลอดจากชายร่างยักด้านหน้าทำให้ภาพที่อุดหูสีสดใสเข้ามาให้หัวข้าแว๊บนึง ใกล้แค่นี้ทำไมต้องตะโกนด้วยฟะ ขี้หูข้าแทบจะลุกขึ้นมาเต้นระบำในหูอยู่แล้วนะ ข้าลอบกลืนน้ำลายแก้หูอื่อก่อนที่จะละนัยน์ตาสีอความารีนจากเอกสารไปที่คนด้านหน้า
"ข้าจะลาออกครับ" ข้าตอบไปก่อนได้รับสีหน้าหนักใจของคนด้านหน้า
"เจ้าคิดดีแล้วเหรอ?" น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่เต็มไปด้วยความร้อนรน เจ้าของเสียงก็ดูท่าทางร้อนรนไม่แพ้กัน ข้าควรจะแนะนำให้เขาติดแอร์สินะ อะไรเนี่ย ข้านอกเรื่องอีกและ!!!
ข้าจ้องมองตาเขาขเม็ง ก่อนจะเอ่ยด้วยความมั่นใจเกินร้อย "ครับ!!!"
คนด้านหน้าข้าก้มหน้าลง แล้วนิ่งไปสักพักก่อนที่จะเอ่ยเสียงเรียบ "ในเมื่อมันเป็นความตั้งใจของเจ้า ข้าก็ไม่อาจห้ามได้"
เมื่อเขาพูดจบ ข้าก้มลงแล้วเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบตราอัศวินยื่นให้คนหัวทองด้านหน้า แต่ทว่า
"เจ้าเก็บไว้เถอะ ที่นี่ต้อนรับเจ้าเสมอ" แววตาร้อนรนเปลี่ยนเป็นเปี่ยมด้วยเมตตา เส้น ผมสีทองส่องประกายระยิบระยับ ทำสีผมไม่เกรงใจคนอื่นจะตาบอดบ้างเลยนะท่านหัวหน้า ที่จริงข้ากับเขาก็ค่อนข้างผูกพันกันอยู่เหมือนกัน เอ๊ะ... ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดนะ ข้าผูกพันกับเขาแบบศิษย์อาจารย์เท่านั้นเอง คิดไปได้ไงเนี่ย เฮ้อ โอ้ย ข้านอกเรื่องอีกแล้วสินะ
"งั้นข้าลานะครับ"
"เดี๋ยวก่อน" เสียงแว่วดังมาจากด้านหลัง นั่นข้าหันไปมองพร้อมเลิกคิ้วสูง อะไรอีกฟะ จะใช้งานอะไรข้าอีกก
"เจ้าลาออกเพราะอะไรล่ะ"
อ๋อ นึกว่าจะใช้ทำอะไรอีก ข้าเลยหันกลับทั้งตัวไปทางเขา และส่งยิ้ม "ข้าต้องการอิสระ" หลังจากพูดตัดบทจบข้าก็รีบเดินออกจากห้อง เผื่อไอคนข้างหลังข้าจะถามขึ้นมาอีก ข้าไม่มีเวลามานั่งตอบคำถามทั้งวันหรอกนะ แค่นี้ก็จะไม่ทันรถไฟอยู่แล้ว เดี๋ยวข้าถึงที่หมายแล้วค่อยเล่าให้ฟังละกัน ตอนนี้ข้าต้องไปเก็บของที่ห้องก่อน เดี๋ยวไม่ทันรถไฟกันพอดี
ข้าเดินตามทางเดินของปราการอัศวินที่ขัดเงาวับสะท้อนแสงจนแทบทำเป็นกระจกได้ ทำไมในปราสาทมีแต่ของทำลายสายตานักนะ ขืนข้าอยู่ต่อตาข้าอาจจะบอดในเร็ววันเป็นแน่ นั่นทำให้ข้านึกถึงแว่นกันแดดดีๆซักอันระหว่างเดินไปเรื่อย ทางเดินของปราสาทนี้มีมากมายจนเคยทำให้ข้าหลงหลายครั้ง อันที่จริงก็เคยได้ยินว่าหัวหน้าอัศวินยังเคยหลงที่นี่เลย นับประสาอะไรกับข้า แต่ตอนนี้ก็พอชินทางแล้วล่ะ
ย้ำ ชินทาง
"ที่นี่ที่ไหนฟะ?" ข้า หันมองดูรอบตัวแล้วขมวดคิ้วพร้อมทำหน้าอึนๆ(อึ้งบวกมึน) อะไรกันเนี่ย ข้าหลงงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้น่า ข้าหลงจนน่าจะจำทางได้หมดแล้วนะ หยั่งงี้จะทันรถไฟมั้ยเนี่ย
ข้าพลางเดินพลางวิ่งอย่างกระวนกระวาย ไร้วี่แววสิ่งมีชีวิตในบริเวณนี้ แบบนี้ข้าจะถามใครได้ล่ะเนี่ย ระหว่างที่กำลังทำหน้าหมาหลง ข้าสังเกตุเห็นเงาแว็บๆผ่านทางเดินไป ไปดูหน่อยดีกว่า
โครม!!!
"โอ๊ย...."
เสียงตัวข้าอัดกระแทกกับอะไรบางอย่างเมื่อตอนที่เลี้ยวตรงหัวมุม ก่อนจะกลิ้งโคโร่ไปอัดกับผนักอีกฝั่งแล้วโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
"อะไรฟะ" ข้าลุกขึ้นมาลูปก้นตัวเองป้อยๆ และหันไปยังต้นเหตุ หัวขาวๆนั่น เฮ้ย!!! ท่านราชา มาทำอะไรที่นี่อะ
ข้ากำลังตื่นตระหนกกับร่างสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า พระราชา ที่ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดเหมือนข้าเมื่อกี้ แต่ทางด้านนี้รู้สึกว่าจะกระแทกหนักกว่าหน่อย ข้าเลยรีบไปพยุงตัวเขาก่อนหัวจะหลุดออกจากบ่าและรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง
"ท่านแจ็ค ท่านมาทำอะไรที่นี่?"
ร่างสูงเริ่มส่ายหัวไปมาไล่ความมึน ก่อนจะชายนัยน์ตาสีน้ำทะเลสดใสน่าเอาไปขายมาที่ข้า
เอ๊ะ ตะกี้ข้าบอกว่าน่าเอาไปขายเหรอ ขายดวงตามนุษย์เนี่ยนะ เจ้า ได้ยินผิดแล้วมั้ง ดวงตาคนจะเอาไปขายได้ยังไงกัน ข้าไม่ใช่พ่อค้าตลาดมืดนะเฟ้ย ว่าแต่... นี่ข้านอกเรื่องเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย
ร่างสูงกวาดตามองข้าตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วอุทานขึ้น
"ไรอัล!!!"
อ่า... ทำไมรอบตัวข้ามีแต่มลพิษทางเสียงด้วยนะ อยู่ใกล้แค่นี้จะตะโกนทำไมล่ะท่าน หูไม่ได้ตึงซะหน่อย สงสัยข้าต้องหาที่อุดหูมาใช้ในเร็ววันนี้เป็นแน่
"ข้าน้อยไรอัลเองพะยะค่ะ ท่านแจ็คมาทำอะไรที่นี่" ข้าพูดน้ำเสียงสุภาพ ทำไมถึงกล้าเรียกชื่อเล่นเขานะเหรอ ก็เขาบอกให้ข้าเรียกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ท่านเป็นคนไม่ค่อยถือสาอะไร เมื่อก่อนท่านยังเคยเป็นอัศวินเหมือนกับข้าด้วย ถึงจะได้เป็นพระราชาแบบฟลุ๊คๆก็ตามที หา.. เจ้าถามว่าฟลุ๊คยังไงงั้นเหรอ เดี๋ยวข้าเล่าให้ฟังทีหลังละกัน
"เจ้ากำลังจะไปไหน" ร่างสูงผมเงินสะท้อนแสงแสบตาด้านหน้าถามข้า คนในปราสาทอัศวินผมสะท้อนแสงกันทุกคนเลยเหรอฟะ สงสัยข้าต้องถามวิธีทำเส้นให้ผมสีส้มสุกปลั่งของข้าสะท้อนแสงบ้างหล่ะ แต่เจ้าทำใจเถอะ ข้านอกเรื่องอีกแล้ว
"ข้ากำลังจะกลับห้องพะยะค่ะ"
คนตาสีฟ้ามองข้าด้วยสีหน้างุนงง
"ห้องเจ้าไม่ได้อยู่ทางนี้นี่"
เออ ข้าหลง แต่จะตอบยังไงให้ไม่เสียฟรอมได้เล่า อยู่ปราสาทอัศวินมาเป็นสิบปี แต่ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละ แต่ดันมาหลงในวันสุดท้ายเนี่ยนะ รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น
ระหว่างที่ข้าหาคำตอบเหมาะๆอยู่นั่น พลังเสียงแปดหลอดที่ข้าคุ้นหูก็ดังขึ้น
"แจ็ค จะหนีไปไหน!!!"
ข้าล่ะอยากได้จริงๆ ไอที่อุดหูเนี่ย คนแถวนี้หูตึงกันหรือยังไงนะ
คนตาสีฟ้าน้ำทะเลทำสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อเห็นร่างเล็กผมสีเขียวเข้มสะท้อนแสงแสบ ตา(อีกล่ะ)ด้านหลัง จะใครซะอีกล่ะ ก็อตีดเจ้าหญิงน่ะสิ ตอนนี้เลื่อนขั้นเป็นราชินิแล้ว ท่านแจ็คหันมองมาทางข้าแล้วพึมพำอะไรบางอย่างที่ข้ากำลังจะเข้าใจดี
"ไรอัล ข้าเตือนเจ้าด้วยฐานะเพื่อนนะ อย่าไปยุ่งกับเจ้าหญิงที่ไหนเด็ดขาด ข้าต้องขอตัวก่อนล่ะ" พูดเสร็จคนผมเงินก็เดินไปที่หน้าต่าง "เออใช่ ได้ข่าวว่าเจ้าจะลาออก ข้าก็ไม่มีอะไรจะให้หรอกนะ เอ่ารับนี่ไป "
ท่านแจ็คโยนอะไรบางอย่างมาให้ข้า มันเป็นกล่องเล็กๆขนาดพอดีมือ สีขาวมุก ข้ารับมาแล้วขมวดคิ้วมุ่นจนแทบเป็นปม
"ถึงเวลาใช้มันแล้วเจ้าจะรู้เอง" คนพูดทิ้งท้ายให้ข้างงก่อนสวมแว่นกันแดด แล้วโดดลงไปหน้าตาเฉย เฮ้ย!!! นี่มันหอคอยสูงเสียดฟ้านะเฟ้ย
ข้ารีบตามไปดูที่หน้าต่าง คนผมเงินกระตุกร่มชูชีพอย่างซะบายใจพร้อมขยับแว่นกันแดดให้เข้าที่ เออ... จะบ้าระห่ำไปแล้วมั้ง
อยู่ดีๆข้าก็รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลทางด้านหลัง ข้าหันไปพบกับกลุ่มเมฆทมึนก็ไม่ปาน อะไรจะพลังแรงขนาดนั้น ร่างเล็กวิ่งผ่านข้าพุ่งผ่านหน้าต่างไปอย่างหน้าตาเฉยอีกคน
"..."
เฮ้อ... ผัวเมียคู่นี้
ข้าถอนหายใจอย่างอ่อนแรงก่อนจะนึกบางอย่างได้
"ที่นี่ที่ไหนหว่า?"
เอาล่ะ... ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าข้าหลงอยู่นานพอสมควร และที่ข้าหลงไม่ใช่เพราะใครหรอก กับดักพลังเวทย์ของท่านแจ็คที่ใช้หนีภรรยานั้นเอง ข้าที่เพิ่งออกมาจากห้องเลยพลอยซวยไปด้วยอีกคน
ตอนนี้ข้าเก็บของครบและพร้อมที่จะเดินทาง
"ไร อัล!!!" เสียงดังคุ้นหูมาจากด้านหลังข้าที่เป็นปราการอัศวิน นั่นทำให้ข้าหันไปมองด้วยหน้าตาบอกบุญไม่รับ มันเป็นยังไงน่ะเหรอ ก็ลองคิดถึงคนที่คอยหาเรื่องให้สามเวลาหลังอาหารดูสิ
"ท่านราชครู"
คนหนุ่มน่าจะอายุน้อยกว่าข้านิดๆที่มีศักดิ์เป็นถึงราชครูเดินออกมาจากในปราการด้วยใบหน้าร้อนรน เส้นผมสีทรายถูกมัดรวบไว้ด้านหลัง นัยน์ตาสีไพลินชวนหงุดหงิดมองข้านิ่งก่อนเอ่ยถาม
"เจ้าจะไปแล้วเหรอ?"
"ครับ"
"ข้าไปด้วยได้ปะ?"
เฮ้ย!!! อะไรกัน อยู่ดีๆทำไมมาขอไปด้วยหน้าด้านๆเนี่ย
"ท่านจะไปด้วยทำไมเหรอครับ"
"ก็เค้าขี้เกียจทำงานแล้วง่ะ"
คนพูดทำหน้าตาแป๋วซะจนข้าอยากเอาส้นเท้ายันหน้า ถ้าไม่ติดว่าไอคนข้างหน้ามันเป็นถึงราชครู กวนได้ทุกเวลาจริงๆ นี่พี่แกหาเรื่องหนีเที่ยวอีกสินะ
"คงไม่ได้หรอกครับ" ข้าฉีกยิ้มกว้างพลางทำหน้าสำนึกผิด
"ง่า~" คนด้านหน้าข้าดูหม่นไปทันที ทว่าข้าหันกลับอย่างไม่สนใจ แถมสะใจอยู่ลึกๆ
โชคดีที่สถานีรถไฟอยู่ไม่ไกลจากปราการอัศวินมากนัก ทำให้ข้ามาทันรถไฟพอดี ในนี้มีกลิ่นตลบอบอวรไปด้วยของปิ้งของย่างที่เร่กันมาขาย ข้านั่งรอที่เก้าอี้ไม้ที่ดูท่าทางผ่านประสบการณ์ชีวิตมาพอสมควรที่อยู่หน้าชานชลา หวังว่ามันคงจะไม่หักตอนที่ข้านั่งหรอกนะ อย่างน้อยข้าก็มั่นใจว่าข้าไม่โชคร้ายขนาดนั้นแน่
แครก!!!
"โ้อ้ย!!!" เจ็บซะมัด ให้ตายสิ ทำไมต้องมาหักตอนข้านั่งด้วยเนี่ย
ข้าลูบก้นป้อยๆพลางสบถรัวเป็นชุดก่อนมานั่งรอที่ม้านั่งอีกตัวด้านข้าง กระทั่งรถจักรไอน้ำสีดำสะท้อนแสงวาววับโผล่มาจากอีกฟากของชานชลา และนั่นทำให้ข้าข้าก็เตรียมกระเป๋าขึ้นรถ
"เฮ้อ เสร็จซะที" ข้าถอนหายใจหลังจากดันกระเป๋าอันสุดท้ายเขาไปในชั้นเก็บของได้ ก็แหงล่ะ แต่ล่ะอันมันหนักน้อยซะเมื่อไหรล่ะ ข้าค่อยๆนั่งบนเก้าอี้บุนวมอย่างดีที่มีเฉพาะห้องวีไอพี ภายในห้องมันดูกว้างๆและกลิ่นอับของไม้เล็กน้อย แต่ถึงยังไงอย่างน้อยก็กว้างพอจะนอนได้น่ะแหละ ด้านหน้าข้ามีโต๊ะไว้ยันคาง(มั้ง)พร้อมไฟที่ห้อยต่องแต่งจะหล่นแหล่มิหล่นแหล่อยู่ด้านบน ส่วนด้านข้างเป็นหน้าต่างแบบเลื่อนเปิดปิดได้ เจ๋ง!!! ข้าเลื่อนหน้าต่างออกแล้วเอาหน้าด้านๆของข้ารับลม จากนั้นความเงียบสงบก็เข้ามาปกคลุม ข้าชอบบรรยากาศแบบนี้แหละ เงียบ สงบ นั่นทำให้ข้านั่งอมยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว จนกระทั่งสติของข้าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
เปรี๊ยง!!!
พลังเสียงเก้าหลอด(มากกว่าแปดหลอดอีกนะ)ชวนให้คิดถึงที่อุดหูกำลังสองดังขึ้นปลุกข้าจากภวัง ข้าค่อยๆยกเปลือกตาอันแสนหนักอื้งขึ้นแล้วปรับสายตาให้เข้ากับแสง
"อะไรนั่น!!!" นัยน์อความารีนของข้าจ้องออกนอกหน้าต่างไปที่กลุ่มคนใส่ชุดคลุมกัน ทราย(แบบมีหมวกปิด) ที่กำลังขี่ม้าไล่ตามรถไฟมาพร้อมระดมยิงจนทำให้ขี้หูข้าลุกขึ้นมาเต้นระบำกันสนุกสนาน ทำไมวันนี้มลพิษทางเสียงมันเยอะจังฟะ ขืนมีอย่างงี้อีกครั้งสงสัยหูข้าอาจจะได้พักการใช้งานยาวเป็นแน่ ไม่นะ ข้ายังจำเป็นต้องใช้มันอยู่น้าาา
และไม่ต้องรออะไรนานนัก กลุ่มคนในชุดคลุมก็ประชิดตัวรถไฟและค่อยๆจี้ผู้โดยสารทีละคน ทำให้รถไฟหยุดวิ่ง เจ้าพวกนี้มันใช้ปืนพลังเวทย์รุ่นขนาดกลาง เป็นยังไงหน่ะเหรอ มันเป็นแบบเก็บประจุพลังเวทย์ทำลายล้างและยิงออกมาแบบรวดเร็ว ปืนจำพวกนี้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีพลังเวทย์ก็ได้ เพียงแค่มีหินพลังเวทย์ที่ใช้เติมก็สามารถใช้ได้แล้ว ส่วนความแรงของมันก็พอที่จะทำให้คนธรรมดาตายได้ในนัดเดียว ถือว่าเป็นอาวุธที่น่ากลัวพอสมควร
พวกมันค่อยๆเก็บของผู้โดยสารทีละคน ไม่เพียงแค่นั้น พวกมันยังฉุดพวกผู้หญิงไปอีกด้วย ไอพวกโจรพวกนี้มันเป็นที่น่าหวาดกลัวสำหรับเหล่าประชาชน โดยทางเมืองเซริออสตั้งค่าหัวไว้สูงทีเดียว แต่นั่นก็ไม่พอที่จะทำให้อัศวินคนไหนยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อจับพวกมันสักคน ท่าทางวันนี้ข้าจะดวงตกจริงๆสินะ
"หยุดนะ!!!" เสียงดังมาจากด้านหน้าของรถไฟ ส่งผลให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่ร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาภายใต้เรือนผมสีส้มสุก ปลั่ง ใช่แล้ว ผมสีส้มสุกปลั่งจะมีใครซะอีกล่ะ ก็มีแต่ข้าคนเดียวเนี่ยแหละ
ข้ายืนเด่นสง่าภายใต้สายตาหลายคู่ที่จับจ้องมา ไม่ใช่เพราะความกล้าหาญไม่กลัวตาย แต่เป็นเพราะสัญญาณญาณอัศวินที่เป็นมาเกือบตลอดสิบปีนี่น่ะสิ ทำไมต้องลืมตัวตอนนี้ด้วยฟะ ตอนนี้เหงื่อเม็ดเล็กๆค่อยๆผุดตามใบหน้าของข้า ข้ากวาดนัยน์ตาสีอความารีนดูรอบๆ หลายสายตาที่มองมาฉายแวว อื้ง ถ้ามีแค่นั้นยังพอให้ข้าเบาใจได้หน่อย เพียงแต่มีหลายสายตาที่จ้องประมาญว่าจะสับข้าเป็นพันๆชิ้นแล้วโยนให้หมากิน เนี่ยสิ นั่นทำให้ข้าเหงื่อตกท่ามกลางสายลมเย็นสบาย ซึ่งข้ามีลางสังหรว่ามันอาจจะเป็นสายลมสุดท้ายที่ข้าจะได้สัมผัส ไม่เอาน้า ข้าไม่อยากเป็นอาหารหมาา
แล้วไอพวกสายตาแบบหลังไม่รอข้าให้ข้ายืนทำหน้าหล่ออยู่นาน มันดึงปืนขึ้นระดมยิงใส่แบบไม่ถามสักคำว่าข้าพร้อมมั้ย โอเค อย่างน้อยก็พูดพล่ามเหมือนตัวโกงในละครน้ำเน่าหน่อยสิฟะ ข้าจะได้มีเวลาทำใจสักหน่อย
"โอ้ย!!!" ข้าครางด้วยความเจ็บปวดหลังจากยืนหล่อเป็นเป้านิ่งให้พวกมันซ้อมยิงเล่น กระสุนนัดนึงเฉียดแขนข้าไปหวุดหวิด ทำให้แขนเสื้อข้าขาดกระจุดพร้อมๆกับธารเลือดสีแดงสดที่สาดออกมา ข้ารีบกระโดดไปหลบข้างเก้าอี้ก่อนจะโดนอีกทีพลางกุมแขนห้ามเลือดไว้ กระสุนพลังเวทย์สีแดงเรื่อถูกระดมยิงออกมาไม่ขาดสาย เพียงแต่ข้าร่ายเวทย์เกราะแสงไว้ที่เก้าอี้ ไม่เช่นนั้นตอนนี้ตัวข้าคงจะพรุนเป็นฟองน้ำค้างปีเป็นแน่
"พวกเรา อ้อมไปด้านหลัง" เสียงดังแว่วมาแต่ไกล แต่เพียงแค่นั้นมันก็สามารถทำให้ข้าเหงื่อตกได้ง่ายๆ ข้าไม่ปล่อยให้เลือดที่แขนไหลมาโดยเปล่าประโยชน์ มันถูกใช้ในการวาดวงเวทย์ขั้นสูงอย่างนึงที่ข้าคิดออกในตอนนี้ มันเป็นเวทย์ที่ข้าเพิ่งเรียนมาจากท่านแจ็ค ถึงจะยังใช้ไม่คล่องแต่เวลานี้ไม่ใช้ก็ตายล่ะ
"ธันเดอร์ เรนนิ่ง!!!" ทันทีที่พูดจบ เลือดที่วงเวทย์จางหายไปไวพอๆกับสายฟ้าสีสันตระการตาที่ผ่าออกมาจากวงเวทย์ ไม่ขาดสาย และนั่นทำให้เรี่ยวแรงของข้าหดหายไปกับการควบคุมสายฟ้านั่น มันต้องใช้พลังเวทย์ในการควบคุมเป็นอย่างมาก
ตูมๆๆ
เสียงสายฟ้าที่ข้าควบคุมถูกผ่าลงมาเข้าเป้าที่ข้าเล็งไว้พอดี และมันแรงพอที่จะทำให้คนพวกนั้นนอนลงกับพื้น พวกคนในชุดคลุมเริ่มล้มตัวลงนอนกับพื้นเรื่อยๆจนหมด นั่นอาจจะทำให้ข้าเบาใจลงได้บ้างถ้าไม่ติดไอตรงสายฟ้าที่ถูกปล่อยออกมามัน...ดันไม่หยุดง่ายๆตามน่ะสิ ถูกต้อง ตอนนี้ข้าควบคุมมันไม่ได้ สายฟ้าเริ่มผ่ามาตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างทำให้เกิดเสียงดังกึกก้องปนๆกับเสียง กรี๊ดกร๊าดที่ดังมาไม่ขาดสาย
เปรี๊ยง!!!ๆๆๆ
"กรี๊ดดดดดดดดๆๆๆ"
"..." ข้าอยากได้ที่อุดหูจริง...
เจ้าอาจจะคิดว่าการควบคุมเวทย์ไม่ได้แบบนี้ไม่เป็นไรมาก แค่พลังเวทย์หมดก็หยุดแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นจริงตอนนี้ข้าคงไม่มานั้งเหงื่อตกจนแทบเต็มปี๊ปแบบนี้หรอก สำหรับเวทย์ขั้นสูง มันจะไม่หยุดเพียงแค่พลังเวทย์หมด แต่มันจะดูดพลังชีวิตของผู้ใช้ไปจนกว่าพลังชีวิตจะหมดน่ะสิ และนั่นก็หมายความว่า ถ้าข้าหยุดพลังของตัวเองไม่ได้ล่ะก็ ข้าอาจจะได้ไปทักทายยมบาลอีกในไม่ช้าเป็นแน่
ข้าไม่อยากเป็นตัวเอกที่ตายตั้งแต่ตอนแรกนะเฟ้ย ยังไงก็ไม่อาววว...
สภาพข้าดังตอนนี้เปรียบดังคนที่เพิ่งกลับจากการฝึกทหารมา ซ้ำยังถูกใช้ไปขนอิฐขนปูน เสร็จแล้วยังต้องมาทำงานบ้านอีกสารพัด พูดง่ายๆก็คือ ตอนนี้ข้าแทบขาดใจตายอยู่แล้ว เสียงดังกึกก้องเริ่มแผ่วเบาลงพร้อมๆกับสติของข้าที่กำลังจะดับวูบไป นี่อาจจะเป็นความสงบสุขที่ข้าต้องการก็ได้
....
"แม่ครับ" เด็กชายหน้าตาน่ารักน่าชังเรือนผมสีส้มเปิดประตูเดินเข้ามาในบ้านหลังเล็ก นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนจ้องมองไปที่ร่างเล็กที่นั่งอ่านหนังสือบนเก้าอี้ เนื้อตัวของเด็กชายแปดเปื้อนไปด้วยโคลนบ่งบอกว่าเพิ่งกลับมาจากการวิ่งเล่น ร่างเล็กผมสีทองยาวถึงเอวหันไปมองตามเสียง นัยตาสีฟ้าอ่อนราวถอดแบบกันมามองไปที่เด็กชายอย่างเอ็นดู
"มีอะไรหรือจ๊ะ ไรอัล"
เด็กชายเลิกคิ้วสูงเล็กน้อยพลางเดินเข้าไปหาผู้เป็นแม่
"ผมวิ่งแพ้เจ้าเฟสทุกทีเลยอะ"
เด็กชายชี้ไปที่สุนัขป่าสีน้ำเงินขนฟูตัวเรียวสวย นัยน์ตาสีทองสุกของมันจ้องมาที่คนชี้ นั่นทำให้หญิงผู้เป็นแม่ยิ้มกริมพร้อมหลับตาพริ๊มก่อนเอ่ยเสียงใส
"ไม่เป็นไรหรอกนะ ขอแค่มีใจสู้ซะอย่างอะไรก็ทำได้ทั้งนั้นแหละจ่ะ"
"ใจสู้เหรอคับ?"
ใบหน้าของผู้เป็นแม่ยิ้มอย่างละมุนละมัยพลางพยักหน้า
....
"เอื๊อก!!!"
อะไรกัน! ข้าหลับไปงั้นเหรอ ตายแล้วสิ ไม่ได้ๆ ข้าจะหลับไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ข้าคนนี่ทำไม่ได้หรอกน่า อย่ามาดูถูกกันนะเฟ้ย ไอ้พลังกระจอกๆแบบนี้ข้าจะเป่าให้กระเด็นเลยคอยดู
"วินนิ่ง เฟล" ทันทีที่สิ้นคำ ปรากฎกระแสลมขนาดมหึมาพัดเข้าชนกับสายฟ้าเกิดเสียงกึกก้องดังไปทั้วอาณา บริเวณ ในเมื่อสลายพลังไม่ได้ ข้าก็จะให้พลังเวทย์ทั้งหมดของข้าหักล้างมันนี่แหละ
นานพอควร สายฟ้าสลายไปพร้อมๆกับพายุพลังเวทย์ที่สงบลง ร่างของข้าทรุดลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้พลังเวทย์ข้าแทบไม่เหลือ ถ้าเป็นคนปกติอาจจะตายไปแล้วก็ได้ ซึ่งข้าก็ไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่าข้าจะรอดนักหรอก เพียงแต่ก่อนออกมาจากปราการอัศวินข้าแอบจิ๊กยาฟื้นพลังเวทยขั้นสูงมาด้วยน่ะสิ ไม่นึกว่าจะได้ใช้เร็วขนาดนี้ น่าเสียดายชะมัด ข้าอาจจะต้องพักสักสองสามอาทิตย์เพื่อพื้นคืนพลังเวทย์ ให้ตายสิ เพราะไอสัญชาติญาณอัศวินนั่นแท้ๆเลยเชียว
ข้านอนกองกับเก้าอี้บุนวมอย่างดีโดยไม่สนใจคำขอบใจ ชื่นชม หรือสาปแช่งที่ดังระงมไปทั่ว เจ้าฟังไม่ผิดหรอก พลังของข้าทำลายข้าวของของบางคนจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม นั่นทำให้มีเสียงสบถสาปแช่งดังมาเป็นระยะๆ แต่นั่นไม่สามารถเจาะเข้าใบหน้าเสริมใยเหล็กของข้าไปได้หรอก อุวะฮ่าๆ ทำไมรู้สึกเหมือนด่าตัวเองฟะ
หลังจากชื่นชมหรือสาปแช่งกันจนพอใจแล้ว คนพวกนั่นก็กลับเข้าที่ แต่ไม่มีเข้าเอาของฝากมาให้ข้าสักคน ชิ คนเค้าอุตส่าห์ช่วย ตอนนี้พวกอัศวินก็มาถึงกันแล้ว เหมือนพวกตำรวจที่มาตอนจบไม่มีผิด พวกโจรก็ถูกจับไปตามระเบียบ ส่วนข้าก็ได้ของตอบแทนเล็กน้อยเป็นเงินหนึ่งหมื่นโกล เจ้าอาจจะคิดว่านั่นเยอะ แต่มันเทียบไม่ได้กับน้ำยาฟื้นพลังเวทย์ขั้นสูงขวดละแสนกว่าที่ข้าเสียไปหรอก รถไฟก็เริ่มออกวิ่งอีกครั้งและเวลาเริ่มเดินไปเรื่อย ข้ายังคงนอนอยู่บนเก้าอี้บุนวมอย่างดีซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ข้าชอบในห้องวีไอ พี
....
เอี๊ยด!!!
เสียงห้ามล้อเสียดสีกับรางรถไฟ แม้มันจะเป็นเสียงที่ไม่น่าฟังนัก แต่มันเป็นเสียงที่ข้าอยากได้ยินที่สุด ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่ามันบ่งบอกถึงจุดหมายที่ข้าจะไปได้ถึงแล้วน่ะสิ
รองเท้าหนังของข้าย่างเหยียบบนพื้นไม้ของชานชลาส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด สายลมเย็นสบายพัดมาเบาๆ ต้นไม้พริ้วไหวราวกลับกำลังโบกมือต้อนรับ กลิ่นสดชื่นของหญ้าลอยขึ้นมาแตะจมูก เสียงนกการ้องระงมเป็นจังหวะที่ดังมาจากเนินเขาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา และเสียงธารน้ำที่ไหลเอื่อยๆ มันผสมผสานกันจนทำให้ข้าอดสูดหายใจลึกๆเข้าปอดไม่ได้
"นี่สินะ ความสงบสุขที่ข้าใฝ่ฝัน"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น