คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 02 โอกาสของชายวัยสี่สิบสอง
2
โอกาสของชายวัยสี่สิบสอง
วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่อาหลงเดินเข้ามายังร้านคาเฟ่แห่งนี้ ตลอดสามวันที่ผ่านมาเขามานั่งรอลูกชายคนที่สองที่นี่ ตำแหน่งเดิมและโต๊ะเดิม มุมนี้เป็นมุมมองที่มองเห็นคุณเจ้าของร้านเดินไปเดินมาได้ทั่วร้านที่สุด เพราะแบบนั้นเขาจึงชอบจุดนี้มากกว่าที่อื่นๆ เมื่อวานได้ลองนั่งตำแหน่งอื่นดูแล้วเพราะมีคนมาแย่งที่ นั่นทำให้เขาพลาดช่วงเวลาที่ได้จ้องมองคุณเจ้าของร้านไปประมาณห้านาที เป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกเสียดายมาก
“คูนยุง คูนยุง สอนการบ้านคอบเจ้อหน่อยจิ”
เด็กน้อยวัยอนุบาลสองวิ่งเข้ามาหาเขาทันทีหลังกลับจากโรงเรียน ตั้งแต่เมื่อวานเจ้าตัวก็เอาแต่มานั่งคุยจ้อจนลูกชายเขามาถึง ดูท่าทางเด็กน้อยคนนี้จะชอบเขาเสียเหลือเกิน เจอหน้ากันเพียงแค่สามวันก็มานั่งตักกันแล้ว อาหลงไม่ได้เป็นคนเกลียดเด็ก ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำกับเด็กขี้อ้อนแบบน้องคอปเตอร์ เขาเองก็ไม่เคยมีลูกขี้อ้อนแบบนี้ แต่ละคนมักทำหน้าขยาดทุกครั้งที่เขาขอหอมแก้ม หรือแม้แต่กอดก็แทบจะเบือนหน้าหนี อาจเพราะเป็นลูกชายกันทั้งคู่ การที่พ่อแสดงความรักที่มากเกินไปจะทำให้เด็กผู้ชายเกิดความอาย แม้เรื่องนั้นจะผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้วก็ตาม อาหลงก็ยังจำใบหน้าขยะแขยงตอนเขาหอมแก้มได้อยู่เลย
“ทำไมคอปเตอร์ถึงคิดว่าข้อนี้ตอบน้องหมาป่าครับ”
อาหลงเอ่ยถามเด็กน้อยบนตักขึ้นมาเมื่อเห็นว่าคอปเตอร์เขียนคำว่าหมาป่าใต้รูปสุนัขจิ้งจอก เขาไม่ได้บอกว่ามันผิด แต่เขากลับถามเหตุผลแทน เพื่อให้เด็กเกิดกระบวนการคิดทบทวนกับสิ่งที่ตนเองทำลงไป มากกว่าบอกแค่ว่ามันผิดหรือถูก
“คอบเจ้อจำได้ว่า น้องหมามีหูแหยม ๆ ปากยาว ๆ มีหางฟู ๆ คอบเจ้อเยยจอบข้อนี้”
“ถ้าอย่างนั้นตัวนี้ไม่ใช่น้องหมาป่าเหรอครับ”
อาหลงชี้ไปที่รูปหมาป่าที่แท้จริง พอน้องคอปเตอร์เห็นดังนั้นก็ตาโต มองสลับไปมาระหว่างน้องหมาป่ากับน้องจิ้งจอก ไม่นานเด็กน้อยก็ขมวดคิ้วงุนงงและเอามือป้อม ๆ เกาหัวแสดงอาการผ่านทางร่างกาย พอเจ้าตัวตอบไม่ได้ก็เลยแหงนหน้าขึ้นเพื่อขอคำตอบที่แท้จริง
“แย้วจัวไหนเป็นน้องหมากั๊บ”
“ดูนี่นะครับ ตัวนี้เรียกว่าหมาป่า ส่วนตัวนี้เรียกว่าสุนัขจิ้งจอก ส่วนตัวนี้เรียกว่าหมาบ้านครับ”
อาหลงเปิดรูปในอินเตอร์เน็ตเพื่อแสดงการเปรียบเทียบให้เห็นภาพจริง เพราะในสมุดงานของคอปเตอร์เป็นภาพการ์ตูน ถ้าให้เห็นภาพที่มากขึ้นและหลากหลายขึ้น จะทำให้เด็กจดจำได้ดีขึ้น ซึ่งการให้เห็นภาพการ์ตูนมันเหมาะกับเด็กมากกว่าก็จริง แต่รูปร่างของภาพการ์ตูนมันผิดเพี้ยนจากตัวจริงไปอยู่หลายส่วน เพราะแบบนั้นเด็กๆ หลายคนจะจำแนกสัตว์หลายอย่างไม่ออก เพราะมีรูปร่างคล้ายคลึงกัน
“อันนี้เหมือนคูนยุงเยย”
คอปเตอร์ชี้ไปที่รูปหมาป่าที่อยู่ท่ามกลางหิมะ เด็กน้อยมองสลับไปมาระหว่างภาพหมาป่ากับใบหน้าของอาหลง ยิ่งมองก็ยิ่งยืนยันความคิดตัวเองแบบนั้น นั่นทำให้อาหลงเกิดความสงสัยว่าทำไมถึงมองเขาเช่นนั้น
“ทำไมถึงคิดว่าเหมือนลุงครับ”
“เพราะคูนยุงมีตาดุดุ เหมือนน้องหมาตัวนี้ แต่ก็ดูเท่ฉุดฉุด คอบเจ้อเยยคิดว่าเหมือนคูนยุง”
อาหลงขำในลำคอเบาๆ กับความคิดน่าเอ็นดูของเด็กน้อย พอมาคิดดูแล้วเขาเองก็เคยมีคนทักว่าตาดุไม่สมกับนิสัยสบาย ๆ อะไรก็ได้ของตนอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์ดึงดูดของเขาด้วยเช่นกัน เพราะไม่มีสาวคนไหนที่เขาหมายปองรอดพ้นจากแววตาดุดันของเขาไปได้แม้แต่คนเดียว แทบทุกคนยอมสยบอยู่ใต้ร่างของเขาเมื่อสบตากัน จะมีก็แต่คุณเจ้าของร้านที่ดูเหมือนสนใจในตัวอาหลง แต่ก็ไม่ทำท่าทีว่าจะเข้ามาทำความรู้จัก อาจเป็นเพราะว่าเจ้าตัวไม่ได้อยู่ในสถานะตอบรับความรู้สึกของอาหลงได้
“อ๊ะ น้องหมาตัวนี้เหมือนปะป๊าเยย”
เด็กน้อยคอปเตอร์ชี้ไปยังรูปของสุนัขบ้านสายพันธุ์ยญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า ชิบะ พออาหลงก้มมองรูปดังกล่าว ความคิดของเขาก็คล้อยตามเด็กน้อยในทันที เพราะคิ้วที่โดดเด่นของเจ้าน้องหมาตัวนี้ดันเหมือนกับคิ้วของคุณเจ้าของร้านแทบจะทุกสัดส่วน เพราะแบบนั้นตอนที่เห็นครั้งแรกอาหลงถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับคิ้วแบบนั้นนัก
“น่ารัก”
“ใช่ใช่ คอบเจ้อก็คิดว่าน่ายัก ใคร ๆ ก็บอกว่าปะป๊าน่ายัก แต่คอบเจ้อไม่จ้อบเยย”
“ทำไมถึงไม่ชอบครับ”
“เพาะมีคนจะจีบปะป๊ะ พวกเขาน่าเกลียด คอบเจ้อไม่จ้อบ”
อาหลงถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง คำพูดของเด็กน้อยมันทิ่มแทงเข้าที่กลางอกเขาอย่างจัง แม้ว่าจะไม่คิดจะเดินหน้าต่อ แต่ในใจลึก ๆ แล้วก็อยากสานสัมพันธ์อยู่ดี เพราะอย่างนั้นคำว่าไม่ชอบก็เหมือนกำแพงสูงที่มาขวางกั้นไม่ให้เขาเดินหน้าต่อแม้แต่ในความคิดส่วนตัว
“แจ่ถ้าเป็นคูนยุงจีบปะป๊าได้นะ”
“เอ๊ะ เอ่อ ได้เหรอครับ”
ใจของอาหลงกลับมาฟูฟ่องเหมือนเดิม เมื่อเด็กน้อยเปิดโอกาสที่เขาคิดว่าหมดไปแล้วกลับมาอีกครั้ง ใจจริงเขาก็อยากพุ่งตัวไปทักทายและจับจีบให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ก็ไม่อยากแสดงมาดไม่ดีต่อหน้าเด็กที่มองเขาเหมือนไอดอล และที่สำคัญมันจะทำให้คุณเจ้าของร้านกลัวเอาได้ เพราะฉนั้นต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป
“ถ้าเกิดว่าคูนยุงเป็นแฟนกับปะป๊า คอบเจ้อก็จะมีพ่อที่หย่อแยะเท่ฉุดฉุด”
“แล้วปะป๊ะเราไม่หล่อเหรอครับ”
ในความคิดของอาหลงแล้ว แม้ว่าคุณเจ้าของร้านจะไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มคนหน้าดีดีหรือหล่อเท่แบบเขา แต่คุณเจ้าของร้านก็เป็นประเภทที่น่าดึงดูดมากพอสมควร ยิ่งกับบุคลิกที่ยิ้มอ่อนหวานอยู่ตลอดเวลาแบบนั้นด้วยแล้วก็ยิ่งน่ามองเข้าไปใหญ่
“ปะป๊าฉวย อยากให้ปะป๊าเป็นหม่าม้ามากกว่า”
“แล้วหม่าม้าไปไหนแล้วเหรอครับ”
ได้โอกาสแล้วอาหลงจึงรุกถามไถ่ประวัติของเด็กน้อยกับคุณเจ้าของร้านในทันที ใจจริงก็อยากพูดคุยกับคุณเจ้าของร้านแบบเปิดเผยกันซึ่งๆ หน้า แต่ได้โอกาสก็ถามเผื่อเอาไว้ก่อนเสียดีกว่า
“หม่าม้าไม่จ้อบคอบเจ้อ มะม๊าจ้อบตีจ้อบดุคอบเจ้อ คอบเจ้อไม่จ้อบมะม๊าเหมือนกัน”
อาหลงถึงกับอึ้งในสิ่งที่ได้ยิน การที่เด็กน้อยคนหนึ่งพูดว่าไม่ชอบแม่ตัวเองนั้นหมายความได้ว่าเขาไม่ชอบจริง ๆ ยิ่งคอปเตอร์พูดด้วยสีหน้าไม่รู้สึกผิดที่คิดแบบนั้นด้วยแล้ว มันก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในครอบครัว และอดเห็นใจเด็กน้อยไม่ได้ที่ต้องมารู้สึกขาดแม่เช่นนี้ แล้วยังเรียกร้องให้พ่อตนเองเป็นแม่และให้เขาเป็นพ่อด้วยแบบนี้ มันก็ยิ่งบ่งบอกว่าเด็กกำลังรู้สึกขาดแคลนความรักบางส่วนไป
“หม่าม้าดุคอปเตอร์ทุกวันเหรอครับ”
“อึ้ จอนนี้คอบเจ้อกับปะป๊าไม่ได้อยู่กับหม่าม๊าแย้ว”
เด็กน้อยส่ายหน้าปฏิเสธ สีหน้าหม่นหมองของคอปเตอร์ทำเอาใจของอาหลงเศร้าตาม คงกำลังรู้สึกขาดแคลนความรักของครอบครัวอยู่ เขาดีใจที่เด็กน้อยอยากให้เขามาช่วยเติมเต็ม แต่เพราะเราเป็นแค่คนเพิ่งรู้จักกัน บวกกับเขายังงุนงงกับสถานะที่คอปเตอร์ตั้งใจมอบให้
“หม่าม๊าไปไหนครับ”
“ไปกับแฟนใหม่ของหม่าม้า ที่ไหนไม่ยู้”
“แล้วคิดถึงหม่าม้าไหมครับ”
“ไม่เยย หม่าม้าโทรมาหาทุกวาน”
อาหลงสะดุดความสงสัยอีกครั้ง เห็นบอกว่าไม่ชอบแม่ตนเอง แต่กลับบอกว่าแม่โทรมาหาทุกวัน เขาเลยยิ่งงุนงงกับความสัมพันธ์ครอบครัวนี้เข้าไปใหญ่ แต่จะให้ถามเด็กน้อยอีกก็คงได้ข้อมูลที่ทำให้เขาปวดหัวเสียเปล่าๆ ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสเข้าใกล้คนที่หมายปองเอาไว้แล้ว ไว้ถามกับเจ้าตัวเลยเสียดีกว่า
ติ๊ดติ๊ด ติ๊ดติ๊ด
ระหว่างที่กำลังพูดคุยกับคอปเตอร์อย่างเพลิดเพลิน เสียงโทรศัพท์มือถือของอาหลงก็ดังขึ้น พอยกขึ้นมาดูก็เป็นชื่อของลูกชายที่ตนเองมารอรับตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เขากดรับสายแล้วพูดคุยกันเล็กน้อย ฝั่งลูกชายบอกว่ารออยู่ที่หน้าโรงเรียน ให้เขาวนรถไปรับได้เลย
“คูนยุงต้องไปแย้วเหยอ”
เด็กน้อยทำตาเศร้าสร้อย หากมีหูมีหางคงหูลู่หางตกเป็นแน่ มันช่างเรียกความเอ็นดูจนเขาอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย เพียงแต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้ลูกชายรอนานด้วยเช่นกัน เพราะอย่างนั้นเลยจำต้องลาจากเด็กน้อยและพ่อของเขาอย่างจำใจ
“ไว้พรุ่งนี้ลุงมาใหม่ครับ”
“จริงเหยอ เย้ คอบเจ้อจะยอน้า”
เด็กน้อยกระโดดลงจากตักแล้ววิ่งไปหาพ่อของตนเองที่กำลังรับลูกค้าอยู่ ส่วนอาหลงเองก็ได้เวลาเก็บของและลุกขึ้นไปชำระเงินค่ากาแฟและค่าขนมแล้ว
อาหลงเดินมาต่อแถว ซึ่งมีลูกค้าท่านอื่นกำลังรอชำระเงินก่อนเขาหนึ่งคน เมื่อถึงคิวแล้วอาหลงก็ยื่นใบเสร็จสินค้าที่เขาได้สั่งซื้อไป คุณเจ้าของร้านรับใบเสร็จนั้นมาพร้อมกับกดรายการการชำระเงิน ในหน้าจอแสดงผลของราคาสินค้า คุณเจ้าของร้านยิ้มอ่อนหวานรับบัตรเครดิตที่ยื่นมา ระหว่างนั้นอาหลงก็เริ่มรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เขาไม่อยากจากไปทั้ง ๆ อย่างนี้ แต่เวลาให้คิดมีไม่มากพอ เพราะสินค้าที่เขาสั่งไปมีแค่สองสามอย่าง เวลาจึงหมดลงอย่างรวดเร็ว อาหลงยืนเงอะงะอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ครู่หนึ่ง
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณลูกค้า”
“เอ่อ คือ เอ่อ ผมชื่อ อาหลงครับ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ”
คุณเจ้าของร้านเลิกคิ้วแปลกใจเล็กน้อย นั่นเป็นท่าทางที่ดูน่ารักอย่าบอกใครในสายตาของอาหลง ตอนนี้เขาใจเต้นแรงรอลุ้นกับคำตอบที่จะได้รับ และแล้วหัวใจของเขาก็แทบละลายเมื่อคุณเจ้าของร้านยิ้มหวานแบบที่ไม่ใช่ยิ้มให้ลูกค้าทั่ว ๆ ไป หากเขาไม่ได้คิดไปเอง เหมือนว่าคุณเจ้าของร้านกำลังหว่านเสน่ห์ใส่ยังไงอย่างนั้น ทำเอาใจเขาเต้นแรงจะแทบทะลุออกนอกอก
“ผม นล ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณอาหลง”
“พ่อทำหน้าแบบนั้นมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะครับ มันดูน่ากลัวนะครับ”
ลูกชายวัยมัธยมต้นเอ่ยทักขึ้น หลังจากที่เขาขึ้นมานั่งที่ข้างคนขับ เขาก็เจอเข้ากับพ่อของตนที่เอาแต่ทำหน้าประหลาด ๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
“พ่อก็แค่มีความสุขเฉย ๆ เอง ไม่เห็นแปลกที่คนเราจะมีความสุข”
“ไม่ได้อยากจะขัดความสุขพ่อหรอกนะ แต่อย่าไปบอกใครแล้วกันว่าเป็นพ่อผม เดี๋ยวเขาจะหาว่ามีพ่อเป็นโรคจิต”
“พูดจาโหดร้ายจังเลย ลูกใครเนี่ย”
ทั้งอาหลงและลูกชายต่างก็ขำกับคำหยอกเย้าของกันและกัน แม้ว่าลูกชายจะพูดไม่น่ารักแบบนั้น แต่อาหลงก็รู้ดีว่ามันไม่ได้ออกมาจากใจจริงของลูกชายเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้โกรธอะไรในตัวลูกชายทั้งนั้น
“แค่หยอกเล่นหรอกครับ เอ่อ พ่อครับ ผมมีเรื่องจะถาม”
“ว่ามาครับ”
อาหลงตอบรับขณะที่การสัญจรติดที่ไฟแดงพอดี เขาหันไปหาลูกชายที่เหมือนต้องการคำปรึกษา สัญญาณไฟนี้ติดค่อนข้างนาน ดังนั้นเขาจึงมีเวลามากพอที่จะหันไปตรวจเช็คสีหน้าและอารมณ์ของลูกชายตนเอง
“ผมอยากเรียนพิเศษภาษาอังกฤษเพิ่มครับ”
“เพราะอะไรครับ”
แม้จะเป็นเรื่องดีที่ลูกชายอยากเรียนรู้เพิ่มเติมจากที่โรงเรียนสอนมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่สนับสนุน เพียงแต่อยากให้เด็กอธิบายเหตุผลและแบบแผนที่วางเอาไว้เสียมากกว่า ไม่เพียงแค่ตั้งเป้าหมาย แต่ต้องมีการวางแผนเพื่อไปยังเป้าหมาย นั่นคือคำสอนของเขาที่ให้ลูก ๆ ทั้งสอง
“วันนี้พวกผมได้เรียนภาษาอังกฤษกับครูต่างชาติมา แล้วผมก็อยากสื่อสารกับเขามากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ใช่เรียนแกรมม่าหรือหลักไวยกรณ์ตามแบบที่โรงเรียนสอน แต่เป็นการสื่อสารที่ใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่า”
“ทำไมถึงอยากพูดภาษาอังกฤษเก่ง เดี๋ยวก็ได้เรียนแล้วนี่ครับ ไม่เห็นต้องรีบเลย หรือว่ามีเหตุผลอื่นครับ”
“มะ ไม่มีสักหน่อย”
“หั่นแน่ ปิ๊งคุณครูต่างชาติเข้าแล้วล่ะสิ”
“ไม่ใช่สักหน่อย บ้าเปล่า”
“ลูกเพิ่งมอหนึ่งเองนะ”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง หัดฟังบ้างสิ”
แม้จะปฏิเสธปากแข็งอย่างไร แต่ใบหน้าของลูกชายเขาก็แดงก่ำและท่าทางเขินอายที่ถูกจับได้แบบนั้นบอกไปคำเดียวว่าเป็นอย่างที่เขาเอ่ยแซวเล่นเมื่อครู่ แต่เขาก็ไม่คิดจะว่าอะไรในตัวลูกชายอยู่แล้ว ความรู้สึกปิ๊งใครสักคนก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แค่แปลกใจนิดหน่อยเท่านั้นเองที่ลูกไปปิ๊งคุณครูสาวต่างชาติเข้าให้
“ก็ได้ ก็ได้ พ่อไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ไว้เดี๋ยวพ่อจะหาให้ จำได้ว่าที่ตึกทำงานของพ่อมีโรงเรียนสอนภาษาอยู่ ไว้เดี๋ยวพ่อจะถามให้ ว่าแต่คุณครูสวยสะเบิ้มเหรอถึงได้ปิ๊งเข้าให้”
“ก็บอกว่าไม่ได้ปิ๊งไง แล้วอีกอย่าง เขาเป็นครูผู้ชาย”
“อะไรนะ แบบนี้แย่แน่”
“อะไรแย่ พ่อคิดอะไรเนี้ย”
“ท้องทะลุเลยนะนั้น”
“ไม่มีใครคิดอะไรทุเรศแบบพ่อหรอก”
ความคิดเห็น