ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [yaoi]How dare U D9 me...เรื่องของพี่ไม่เกี่ยวกับผม

    ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 13 : อย่าดราม่า

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.พ. 56


          

     

    Chapter 14

     

     

                ผมพาเจ้าตัวเล็กย้ายกลับมาบ้านเมื่อเขาเอ็กซเรย์แล้วปรากฎว่าอวัยวะภายในยังปกติดีทุกอย่าง แม้แต่ข้อเท้าที่ไปพลิกเอาตอนไหนไม่รู้ก็เริ่มจะลงน้ำหนักได้ และเขาก็ไม่ต้องคอยให้บอดี้การ์ดส่วนตัวคอยประคองไปที่ไหนๆ ผมจึงแจ้งคุณหมอให้เลิกแอดมิทเขาซะที

                “นี่ผมก็เพิ่งรู้นะว่าผู้ป่วยข้อเท้าแพลงต้องอยู่โรงพยาบาลนานถึงสามวัน”

                คุณหมอชุดขาวทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ยังคงพลิกเท้าของฮาโลดูมุมนั้นมุมนี้อย่างสนอกสนใจราวกับว่ามีตาเลเซอร์ที่สามารถมองทะลุไปถึงชั้นเอ็นข้อต่อได้

                “คนไข้เอ็นข้อเท้าฉีกครับ”

                คุณหมอยังคงแสดงท่าทีเมินเฉยกับผม …ผู้ซึ่งเป็นน้องชายของพี่ฮาซัน (ซึ่งพี่ฮาซันเป็นเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้)

                “พอดีผมอ่านชาร์ทคนไข้เป็น พันผ้ายืดเป็น แล้วก็เรียนเมดเทคมา ผมขอพาผู้ป่วยกลับบ้านในฐานะผู้ปกครอง ถ้าคุณมีปัญหาไปคุยกับคุณฮาซัน แต่ถ้าคุณฮาซันมีปัญหา ให้เค้าโทรมาหาผมโดยตรง หมอฟังรู้เรื่องใช่มั้ยครับ”

                ถ้าหมอฟังไม่รู้เรื่องผมจะย้ายเขาไปอยู่ฝ่ายนิติเวช ….

     

                ฮาโลนั่งเงียบไปตลอดทางกลับบ้าน พอมาถึงที่พักเขาก็เดินกะเผลกๆไปนอนเงียบบนโซฟา เอาผ้าห่มคลุมมิดจนถึงหัวอีกต่างหาก วันนี้เป็นวันอังคาร ผมต้องไปทำงานแต่ก็ลาหยุดช่วงเช้า ตั้งใจจะพาเขากลับบ้าน ตอนนี้รู้สึกว่าบรรยากาศไม่ชวนให้กลับไปทำงานต่อเลย

                “หิวรึเปล่า”ผมเบียดตัวนั่งข้างๆเขา “อยากกินอะไรมั้ย”

                ท่าทางเจ้าตัวเล็กนี่จะงอนอะไรสักอย่างอยู่ “ไม่ต้องมายุ่ง จะกลับไปทำงานก็ไปเลย”

                “ไม่ต้อง พี่เอางานมาทำที่บ้านแล้ว”เอกสารสองกองบนโต๊ะกินข้าวนั่นน่ะ ผมให้อาตี๋กับมี่ซูช่วยหอบมาให้ตั้งแต่เมื่อวาน ถึงตอนนี้ก็ยังทำไม่เสร็จเลย

                “จะไปไหนก็ไป”ฮาโลมุดตัวออกจากกองผ้าห่ม ผลักผมล้มลงไปกลิ้งบนพื้นก่อนจะวิ่งไปที่ห้อง ปิดประตูดังลั่น

                ผมถอนหายใจ นึกไม่ออกว่าจะกวนเจ้าตัวเล็กต่อไปหรือเปิดกูเกิ้ลเสริชหาวิธีง้อเด็ก

                แต่จะทำอะไรก็เหอะ คอมพิวเตอร์เอย โทรศัพท์เอย เครื่องเขียนเอย ล้วนวางอยู่ในห้องนั้นหมด

                “ฮาโล หยิบมือถือให้พี่หน่อยสิ”

                “ม่าย!!!

                “งั้นเอาปากกาลูกลื่นให้พี่หน่อยเด้

                คนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตูห้องใช้เท้าเตะข้างเตียง (ว่างั้นนะ) ผมเลยได้แต่ยืนคอตกอยู่หน้าห้องนอนของตัวเอง ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง

                Rrr…Rrr…Rrr…Rrr

                “ฮาโล หยิบโทรศัพท์ให้พี่หน่อยน้า”

                ทีนี้ผมเป็นฝ่ายเตะประตูเองบ้าง ทั้งเตะทั้งเคาะจนกระทั่งฮาโลทำหน้ายุ่งเดินออกมา เอาเจ้าซัมซุงที่กำลังสั่นครืดๆยัดใส่มือผม

                “ฮาโหลมีไรป่ะ”

                เสียงคุ้นเคยที่ไม่ได้ยินมานานรีบสวนกลับมาอย่างร่าเริง “แล้วถ้าไม่มีอะไรจะโทรหานายเหรอ”

                “เข้าเรื่องด่วน….

                ปลายสายสูดหายใจเข้าลึกๆ หมอนี่ชอบทำแบบนี้เสมอเวลาที่กำลังจะขอร้องใครให้ทำอะไรให้สักอย่าง ก็เป็นพวกขี้เกรงใจนี่นะ “คือว่า พ่อนายบอกฉันมาว่า ถ้าฉันกลับมาฮ่องกง”

                “แล้ว

                ฮาโลถือรองเท้าคู่ใหม่ เดินกะเผลกออกมาจากห้อง ทำท่าจะหนีผมไปไหนอีกแล้ว

                “จะไปไหนน่ะ

                “นายถามฉันเหรอ ฉันอยู่หน้าคอนโดนายแล้วนะเลห์”

                ฉันไม่ได้ถามแกโว้ย ไอ้เอ๋อผมคว้าแขนเล็กเอาไว้ได้ทัน แต่เขาก็หันกลับมากัดมือผมเข้าเต็มรัก ถ้าผมยังอดทนไม่ปล่อย แขนผมคงได้ลงท้องเจ้าตัวแสบล่ะ

                “อ๊ากกกกกกก”

                “เป็นไรวะไอ้เลห์ เหยียบเศษแก้วเหรอเออ คืนนี้ฉันค้างห้องนายก่อนได้ไหมวะ ช่วงนี้ฉันหาโรงแรมไม่ได้น่ะ แล้วถ้า

                “จะไปไหนอีกแล้วน่ะ โอ๊ย”

                เขากระทืบเท้าผมซ้ำเข้าให้อีกแน่ะ นี่ถ้าไม่ได้เพิ่งจะเกิดเรื่องมาสดๆร้อนๆ ผมจับยัดใส่ถุงขยะเอาไปทิ้งไว้นอนบ้านนานแล้ว “พี่ไม่ให้ไป

                “ก็ผมไล่แล้วไม่ไป ผมเป็นฝ่ายไปเอง

                “กลับไปนอนในห้องอย่างเดิมเลยไป” ไอ้เด็กเอาใจยาก

                “เฮ้ย แต่ห้องแกมีเตียงเดียวไม่ใช่เหรอ เออ ชั้นนอนโซฟาเหมือนเดิมแหละ ไม่ต้องยุ่งยาก”

                ชั้นไม่ได้คุยกับแกโว้ย!!!!!!!!!!!! โทรมาได้จังหวะจริงๆเลย

                “ผมจะออกไปหาไรกิน ไม่ต้องตามมาเลยนะ”

                ฮาโลพุ่งไปที่ประตู คราวนี้ผมคว้าเขาไว้ไม่ทัน พอใส่รองเท้าเสร็จเขาก็รีบกระชากประตูเปิดออก

                “อยู่บ้านคนเดียวเลยไป

                “อ้าว เลห์ ไม่ได้เจอกัน

                เสต็ปต่อมา รู้สึกเหมือนภาพสโลว์โมชั่นของภาพยนต์เก่าบางเรื่อง

                ภาพที่ฮาโลชนเข้ากับเพื่อนของผม ที่รออยู่หน้าห้อง ภาพของหมอนั่นที่ล้มลงมา ทั้งสองคนล้มลงไปพร้อมกัน และก็

                จุ๊บ!

     

                ผมรู้สึกเหมือนเกาหลีเหนือส่งขีปนาวุธลงกลางหัว รู้สึกตัวเองกำลังจะระเบิดจากภายใน และก็

                            บรึ้ม!!!

                … ได้แต่ยืนเฉยๆมันอย่างนั้นล่ะ

                เจ้ายักษ์ใหญ่เป็นฝ่ายลุกขึ้นมาก่อน ทำหน้างงๆ แล้วก็ดึงฮาโลขึ้นมายืน พอเห็นคนขาเจ็บที่ลุกขึ้นมางงๆไม่แพ้กันยืนโงนเงน หมอนั่นก็จัดการอุ้มฮาโลไปวางไว้บนโซฟา

                ทีงี้ล่ะไม่ขัดขืน ทีกะคนแปลกหน้าล่ะยอมเชียว

                หัวกระแทกพื้นรึไงฟระ

                “ขอโทษนะครับ ที่ผมไม่ทันระวัง คือ คงไม่เจ็บอะไรใช่มั้ยครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะ”

                ฮาโลรีบส่ายหน้า เขายิ้ม ยิ้มกว้างแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน “โอเคฮะ ผมไม่ได้เป็นไรมาก พอดีคุณเอามือรองหัวไว้ด้วยล่ะ ก็เลยไม่ได้เป็นอะไร”

                “ยังไงก็ต้องขอโทษนะครับ ขอโทษจริงๆครับ”

                ไอ้บรรยากาศมุ้งมิ้งๆนี่มันคืออะไร

                “จะขอโทษกันอีกนานมั้ยเนี่ย

                ผมตรงเข้าไปดึงเพื่อนจอมเอ๋อออกห่างจากโซฟา หมอนั่นยิ้มซื่อๆให้ฮาโล ตาเล็กยังคงจ้องที่ใบหน้าของเทวดาตัวน้อยไม่วางตา ส่วนฮาโลก็เช่นกัน เขาเสตามองไปที่อื่น แต่แก้มสีชมพูเรื่อนั่นเป็นหลักฐานอย่างดีที่บอกว่าเขารู้สึกยังไงอยู่ในใจ

                “ฮาโล นี่ดราม่า ดราม่า นี่ฮาโล เป็นน้องชายแล้วก็ภรรยาชั้น รู้จักกันไว้นะ” ผมแนะนำตัวสองคนนี้ลวกๆ แต่ก็เหมือนจะไม่มีใครสนใจฟังผมเลย

                “ผมชื่อ ชื่อฮาโลครับ เป็นน้องพี่ฮาซัน”

                “อ่า ผมปาร์กดารึมครับ เรียกดราม่าก็ได้ครับ”

                “นั่นสินะ คงต้องเรียกพี่ดราม่าสินะครับ”

                บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปราวกับว่านี่เป็นงานนัดดูตัวของว่าที่คู่หมั้นคู่หนึ่ง และผมก็มีสภาพไม่ต่างอะไรจากตอไม้ผุๆ คิดได้ดังนั้นก็เลยลากสังขารตัวเองเข้าห้องไปนั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่ในห้อง เอาจิ๊กซอว์มาต่อเผื่อจะสงบๆลงบ้าง แต่ไม่รู้ทำไมสมาธิมันไม่มาสถิตอยู่กับผมซะที จนแล้วจนรอดก็ยังรู้สึกเดือดปุดอยู่ข้างในลึกๆ

     

                มือหนึ่งตบเข้าที่ไหล่เบาๆ

                “ของฝากจากเกาหลี กิมจิของโปรดนายไง”

                ผมบ่นงึมงำกับตัวเอง ใครบอกผมชอบกินกิมจิเกาหลี แค่ดราม่ากลับบ้านเกิดทีไรผมต้องขอให้ซื้อมาฝากทุกทีเท่านั้นเอง อย่านะ อย่าใช้มุกนี้กับผม ผมไม่หายงอนหรอก

                “แฟนนายน่ารักดีนี่”

                “หรา…. จิงป่ะ”ผมอมยิ้ม แกล้งทำเสียงหน้าทะเล้นกับเสียงยานคาง

                “จะโกหกทำไมเล่า เสียดายนะ ฉันมาไม่ทันงานแต่งนาย คิดซะว่าเอากิมจิให้เป็นของขวัญแล้วกันนะ แหะๆ ฉันรีบๆเลยไม่ได้ซื้ออย่างอื่นมาด้วยน่ะ นอกจากหนังสือ

                ผมหันไปกอดดราม่าหลวมๆ หยิบกระปุกกิมจิเอาไปวางไว้ในตู้กับข้าว ฮาโลยังคงนั่งอยู่บนโซฟา ใช้ตาสีสวยมองตามผมแบบแปลกๆ

                “คืนนี้นอนไหนอ่ะ”

     

                ตามธรรมเนียม เจ้าดราม่ามาค้างที่บ้านผมทีไร มันนอนยึดโซฟาราวกับว่านั่นเป็นบริเวณส่วนตัวที่ผม(ผู้เป็นเจ้าบ้าน)เข้าไปแตะต้องไม่ได้เป็นอันขาด คราวนี้ผมก็ตามใจแขก ให้ดราม่านอนโซฟาอย่างเดิม ตัวเองก็เข้าไปนอนเบียดกับฮาโลบนเตียงที่ออกแบบมาสำหรับหนึ่งร่าง

                “พี่ชายอ้วนขึ้นรึเปล่า”เสียงเล็กๆดังขึ้นทางด้านหลัง ฮาโลไม่โวยวายที่ต้องนอนห้องเดียวกับผมแล้ว แต่สีหน้าเขาดูแย่กว่าวัวที่ถูกลากเข้าโรงฆ่าสัตว์เสียอีก เอาแต่พูดอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้พี่ชายอย่างผมประสาทเอาได้ทั้งคืน

                “นายอยากทำกับข้าวอร่อยทำไมล่ะนอนได้แล้ว กินยาแล้วก็นอนซะ”

                คนที่เอาหลังชนกันกับผมจามสองสามครั้ง เบียดตัวซุกหรือดันผมให้ร่วงลงจากเตียงก็ไม่รู้

                “พี่ชาย พี่ดราม่าเป็นใครมากจากไหนเหรอ”

                อยากรู้เหรอ ทำไมล่ะ

                เจ้าตัวเล็กเงียบเหมือนคิดอะไรอยู่ แล้วก็พูดขึ้นมาเบาๆ“เคยได้ยินพี่ฮาเซลพูดถึงด้วยล่ะ เขาเป็นญาติเรารึเปล่า เขาไม่ใช่คนที่นี่นี่นา”

                ผมอธิบายให้เขาฟังสั้นๆ ดราม่าน่ะไม่ใช่คนในตระกูลหรอก ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันทางสายเลือดด้วยซ้ำ เพราะพ่อผมแต่งงานใหม่กับแม่ของเขาตอนที่ผมอายุประมาณยี่สิบน่ะแหละ ไม่นานเท่าไหร่หรอก เจ้าดราม่าเป็นลูกติดของมาดามปาร์คโบรึมี นักธุรกิจหญิงด้านคาสิโนที่บังเอิญเจอพ่อผมตอนประชุมระดับโลกเรื่องคาสิโนในลาสเวกัส ทั้งคู่เหมือนจะเติมเต็มให้กันได้ เธอคล้ายแม่ของผมหลายอย่าง มีบุคลิกอย่างที่พ่อชอบ รู้จักกันได้ไม่นานนัก ทั้งสองคนก็แต่งงานกัน ผมมารู้เอาตอนที่อยู่ออสเตรเลีย แล้วทั้งสองคนก็บินมาหา

                “ดราม่าเป็นรูมเมทตอนเรียนโทด้วย เราทั้งคู่ต่างก็ไม่รู้นะว่าพ่อแม่เราแต่งงานกัน ว่าไปมันก็ตลกดี”

                ฟังดูตลก แต่ตอนนั้นผมขำไม่ออก แทบจะไม่มองหน้าคุณแม่เลี้ยงด้วยซ้ำไป

                “ก็ยังดีกว่าผมแล้วกันน่า”

                มันแย่พอๆกันนั่นแหละ

                “การมีใครสักคนมาแทนที่ใครบางคน ก็ยังดีกว่าไม่เหลือใครเลยสักคนนะฮะ

                ผมพลิกตัวหันหาเขา สวมกอดร่างบอบบางจากทางด้านหลัง ลูบหัวฮาโลเบาๆ

                “ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ”เจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดแหวขึ้นมา แต่ไม่ได้ขัดขืน

                สำหรับผม ฮาโลเป็นเด็กตัวเล็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษเสมอ ถึงเขาจะเพิ่งอายุ 17 มาหมาดๆ แต่ก็ยังเป็นน้องชายคนเล็กที่ผมต้องคอยใส่ใจตลอดเวลา

                ถ้าคลาดสายตาไปเพียงสักพัก

                ใครจะไปรู้ล่ะว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเทวดาน้อยนี้บ้าง

                “ฮาโล ไม่ได้มาแทนที่ใครใช่มั้ยฮะ พี่ชาย

                ฮาโลเป็นฮาโลของผมเสอมล่ะ เขาไม่ได้เป็นตัวแทนของใคร

                แล้วก็ไม่มีใคร สามารถแทนที่เขาได้แน่นอน  

      


     





     






    ธีมสวยงามมากมายจาก

    © Tenpoints !


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×