ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [yaoi]How dare U D9 me...เรื่องของพี่ไม่เกี่ยวกับผม

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 2: ตัวบ้าอะไรเนี่ย {Rew}

    • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 56


    How dare U De9 me: เรื่องของพี่ไม่เกี่ยวกับผม

    Chapter2: ตัวบ้าอะไร

     

     

    พี่ใหญ่คงบินไปที่ธนาคารสวิสแล้วจริงๆ ถึงทิ้งให้ผมอยู่กับน้องชายสุดป่วนของเขา โดยมีบอดี้การ์ดหน้าดุถือกระเป๋าเดินทางตามมา ผมเลยต้องพกคุณเลขาแอลมาคุมเชิง เผื่อหมอนั่นเกิดไม่พอใจผม เอากระเป๋าเดินทางทำการฆาตกรรมผมขึ้นมาผมคงจะซวยเอา

                “ไหนบอกไม่ได้เอาอะไรมาไง”

                “ไม่ได้เปิดดูแล้วรู้รึไงว่าข้างในนี้มีอะไร”

                “ฮาโล!

                ไม่กล้าจินตนาการเลยว่า จากนี้ไปเราจะต้องหันมาตวาดใส่กันวันละกี่ร้อยรอบ แล้วคนตัวเล็กตรงหน้าจะเชิดคอมองผมแบบนี้อีกกี่ครั้งแบบที่บอกได้ว่าทั้งน่าหมั่นไส้แล้วก็น่าจับฟัดพอๆกัน ยังกับลูกแมวผอมๆกำลังพองขนขู่อะไรอย่างนั้นเลย ผมเอานิ้วจิ้มหน้าผากเจ้าตัวแสบ ส่วนเขาก็คว้านิ้วผมเอาไปกัดทันที

                “โอ๊ย ฮาโล นี่มันมือขวานะ”

                คุณแม่อย่างแอลกลอกตาขึ้นฟ้า จับเราสองคนแยกออกจากกัน รุนหลังให้เดินไปขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามฟาก เขาคว้าคอเสื้อขอฮาโลเอาไว้ เจ้าตัวเล็กได้แต่ร้องลั่น ร้องบอกให้นาห์มช่วย ซึ่งพ่อคุณบอดี้การ์ดหน้าโหดคงจะชินกับนิสัยเอาแต่ใจเป็นเลิศ เลยเป็นฝ่ายล็อคคอเขา ลากไปนั่งสงบสติบนเรือข้ามฟาก

                “คุณหนูแต่งงานแล้วนะครับ”

                “จะย้ำให้ได้อะไรขึ้นมา”

                ผมมองสองคนนั้นทะเลาะกันแล้วรู้สึกแปลกๆ แอลสะกิดผมพลางยัดหนังสือพิมพ์เน่าๆฉบับหนึ่งใส่มือ ผมมองกรอบคอลัมน์กอสซิปดาราและไฮโซ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ชื่อภาษาตัวเอง “อีกหนึ่งทายาทโรงพยาบาลหรูวิวาห์สายฟ้าแลบ กับลูกสาวมาเฟียอิตาลี เฮ้ย ผมไปแต่งงานกับห๊ะ”

                “นะตอนนี้กลายเป็นคนมีเจ้าของไปแล้วครับบอส นั่งนิ่งๆหน่อย ผมไม่ค่อยชอบนั่งเรือ ไม่งั้นผมจะโยนบอสลงไปเป็นอาหารฉลามนะครับถ้ายังผุดลุกผุดนั่งอยู่อย่างนี้”

                ตาสีดำสนิทของผมกับตาสีเขียวรื้นน้ำของฮาโลเบนมาประสานกัน

                มีเจ้าของใช่สินะ เราสองคนแต่งงานกันแล้วนี่

     

                “คอนโดพี่เล็กจัง”เด็กหนุ่มตัวเล็กหันมาพูดเรียบๆเมื่อเราพากันมายังที่พักของผมย่านจิมซาโจ่ย ย่านช็อปปิ้งแอนด์อีทติ้งสุดฮิตประจำเกาะ อันที่จริงผมกับป๊ามีบ้านอยู่แถวไซคุง แต่ว่าต้องข้ามไปทำงานที่มาเก๊าทุกวัน ผมเลยย้ายมาอยู่ใกล้กับท่าเรื่อเฟอร์รี่ จะได้เดินทางสะดวกๆ อีกอย่าง ของกินเยอะดี เวลาเบื่อจะทำอะไรกินเอง ผมก็ลงไปลั้นลาที่ตลาดกลางคืนเอา ถ้าหากยังเหลือแรงหลังกลับมาจากการโหมงาน

                ผมเปิดประตูเข้าไป ที่นี่มันคงแคบพอดูล่ะหากเทียบกับบ้านที่ยุโรป แต่ขอบอก ผมทุ่มเรื่องที่พักสุดตัวเลยนะ บนเกาะที่ราคาที่แพงกว่าทอง ห้องผมจัดได้ว่าใหญ่ที่สุดในตึกแล้วก็ว่าได้ มันใหญ่กว่าห้องคืนอื่นถึงสองเท่าเลยนะ มีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว มูลค่าแพงหูฉี่ยังจะว่าแคบอีก

                “ก็ยังดีนะ มีที่ทำกับข้าว แต่ก็….โคตรแคบ”

                ไอ้เด็กไร้มารยาท มาอยู่ห้องคนอื่นแล้วยังบ่นว่าแคบอีก นายบินตามพี่ชายกลับสวิสไปเลย

                ทำไมพี่ใหญ่ต้องยัดเยียดเจ้านี่มาแต่งงานกับผมด้วยเนี่ย ผมไม่เข้าใจจริงๆเลย แล้วไอ้ที่สัญญากันไว้น่ะ มันตั้งกี่สิบปีมาแล้วล่ะ เป็นโมฆะได้มั้ย

                “อยู่อย่างนี้ไม่เป็นภูมิแพ้ตายเหรอ” เขาหันมาถามพลางลูบนิ้วบนเฟอร์นิเจอร์ ผมส่ายหน้า แต่แอบคิดในใจว่า ก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าเราต่างคนต่างภูมิแพ้กำเริบ ตายๆจากกันไปก็ดี

                บอดี้การ์ดประจำตัวเขาวางกระเป๋าไว้ข้างโซฟาตัวเบ้งที่มักจะเอาไว้นอนอ่านหนังสือ หมอนั่นทำหน้าเหมือนลังเลอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็หันมาบอกลาทุกๆคน

                “แล้วเจอกันอีกนะนาห์ม”

                “ครับคุณหนู”เขาบอกสั้นๆ ก่อนจะเดินออกไป คุณเลขาก็เลยขอตัวกลับด้วย เขาไม่ได้อาศัยอยู่บนฝั่งเหมือนผม ก็เลยต้องรีบกลับขึ้นก่อนค่ำ ทิ้งผมกับเด็กแสบไว้เพียงลำพัง

                ตอนเด็กๆ ฮาโลสนใจทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ร่าเริง แล้วก็ชอบถามนั่นนี่ ความที่ผมแก่กว่าเขาตั้ง7ปี มันเลยเป็นเรื่องที่ดูน่ารักมากกว่าน่ารำคาญ ไม่เหมือนตอนนี้

                “ที่นี่มีเตียงเดียวรึไง”

                “นายเห็นว่ามีกี่เตียงล่ะ” ผมยืนพิงกรอบประตูห้องนอนอันแสนแคบ มองดูฮาโลเดินหงุดหงิดอยู่รอบๆเตียงเดี่ยวที่มีแต่หมอนหลากไซส์วางสุมกันเต็มไปหมด

                “จะนอนยังไง”

                “ก็แบ่งกันคนละครึ่งดิ”

                ว่าแล้วหมอนขนห่านใบละพันเหรียญก็พุ่งเข้าหน้าด้วยความเร็วเกือบเท่าแสง คุณภรรยาตัวแสบทำท่าจะเขวี้ยงหมอนอีกใบถ้าผมไม่ลี้ออกไปหลบนอกห้อง

                “พี่จะบ้าเหรอ”

                ใครกันแน่ที่บ้า

                ผมมองแก้มแดงๆของฮาโลแล้วคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

                “กลัวพี่ปล้ำรึไง”

                เขาอึกอัก

                และโดยไม่รู้ตัว ผมเดินกลับเข้าไปในห้อง ผลักเขาลงบนเตียง ทาบทับลงบนร่างเล็กที่เหมือนจะหลุดอยู่ในภวังค์

                “นายเป็นของชั้นนะฮาโล”

     

                เพียะ!!!

     

                “โอ๊ะ มันเจ็บนะ”

                เขาเอามือจิกผมหน้าม้าทางด้านหน้าไว้เต็มกำ แล้วก็พรมฟาดมือขาวๆเนียนๆนั่นบนแก้มผมไปมา ด้วยแรงที่เรียกได้ว่าไม่น้อยเลยสักนิด ตีมันเข้าไปอยู่นั่นจนผมถึงกับร้องลั่นห้อง

                “แล้วคิดจะปล้ำผมเหรอ เฮอะคืนนี้ออกไปนอนข้างนอกเลยนะ”

                “พอๆๆ พี่เจ็บเลิกตีได้แล้วพี่เจ็บ”

                “ทำไมผมต้องมาแต่งงานกับไอ้หน้าหื่นอย่างพี่ด้วยเนี่ย”

                “นายไม่รู้แล้วชั้นจะรู้มั้ย ขอโทษพี่เจ็บนะพี่ขอโทษ”

                ราวกับว่าคำขอโทษคือคำสั่งปลดล็อค เขายอมปล่อยมือจากหัวผมแต่โดยดี ซึ่งผมก็ฉลาดพอที่จะถอยห่างออกจากระยะทำลายล้าง เอามือจับแก้มตัวเองพลางบ่นงึมงำ

                “เอากาแฟสาดแล้วยังไม่พออีกนะคนเรา

                “ต้องเอาน้ำกรดสาดซ้ำด้วย ”ฮาโลแกล้งแหย่ เด็กหนุ่มร่างเล็กเดินมาดูรอยแดงๆบนแก้ม “โหว เป็นสตรอว์เบอร์รี่เลย นี่แหนะจุ๊บ”

                หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปอีก

                “เลิกบ่นแล้วก็ไปนอนซะ”

     

                ผมเอาครีมที่คุณเลขาให้มาพอกหน้าอีกรอบ หยิบเอกสารสรุกงานสองปึกมาจากเป้ นอนตีพุงอ่านอยู่บนโซฟาหนังแท้ตัวโปรดที่ผมลงทุนโขมยมาจากบ้านพ่อ

                การเป็นหัวหน้าแผนกจิตวิทยานักพนันประจำคาสิโนไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ นอกจากจะต้องออกแบบเป้าหมาย(รางวัลน่ะแหละ)ให้ดูน่าสนใจ กระบวนการเล่นต่างๆต้องมีความน่าสนุก เล่นได้ไม่มีเบื่อ และที่สำคัญ มันต้องทำให้คาสิโนได้เงินเยอะที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้อีก โดยไม่โดนข้อหาเอาเปรียบผู้บริโภคมากเกินไป ตอนนี้ผมว่าจะไปเทคคอร์สเรียนกฎหมายพ่วงกับบริหารธุรกิจ แต่ก็ติดอยู่ที่งานยุ่งมากจนบางทีผมไม่ได้นอนติดต่อกันเกือบทั้งสัปดาห์ กลับบ้านมาโทรมยิ่งกว่าพวกติดพนันอีก

                คาสิโนส่วนใหญ่ไม่มีใครเดินท่อมๆเข้ามาตอนเช้าหรอก แต่ผมต้องไปจัดการงานเอกสารต่างๆ วิเคราะห์สถิติร้อยแปด แล้วพอตอนหัวค่ำ ต้องลงภาคสนามวันเว้นวัน กว่าจะกลับบ้าน เรือเฟอร์รี่ข้ามฟากก็แทบจะไม่มีแล้ว บางทีผมยังนั่งคิดเล่นๆเลยว่า หากไม่มีเรือขึ้นมาจริงๆ ผมต้องว่ายน้ำจากมาเก๊ากลับฮ่องกงมั้ย

                คิดไปนั่น

                คิดไปคิดมาผมก็นอนหลับอยู่บนโซฟาข้างชั้นหนังสือนั่นน่ะแหละ ตื่นมาอีกทีก็ตอนที่จมูกได้กลิ่นเหมือนข้างบ้านทำกับข้าว เป็นกลิ่นเหมือนเนื้อย่าง หรือผัดๆอะไรซักอย่าง แต่พอเดินงงๆออกไปนอกห้องกลับไม่ได้กลิ่นซะงั้น

                อ้าว คุณฮาเวิร์ด วันนี้กลับเร็วจังเพื่อนบ้านห้องข้างๆเอ่ยทักอย่างอารมณ์ดี

                ผมยิ้มเจื่อนๆ วันนี้ลางานครึ่งวันครับ

                ลุงหวางยิ้มกว้าง แล้วนั่นแฟนเหรอ

                ผมชะงักไปสามวินาที แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรคุณลุงห้องตรงข้าม เจ้าตัวเล็กที่อยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้รีบเขย่งตัวขึ้นมา เอาตะหลิวล็อกคอ แล้วก็ประทับจูบลงบนขมับของผม

                รู้สึกตัวเองกลายร่างเป็นรูปปั้นหินอยู่หน้าประตู

                รักกันดีเนอะ คนแก่อิจฉา ท่าทางจะทำกับข้าวเก่งนี่ วันหลังเอามาฝากลุงบ้างล่ะ

                ผมได้แต่พยักหน้าหงึกๆแบบเสียมิได้ พอลุงหวางไปแล้ว ผมก็ระเบิดออกหูทันที

                นี่! ฮาโล…”

                พี่ใหญ่บอกว่าพี่ชอบกินซุปเสฉวน

                และสิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้ต้องเปลี่ยนน้ำเสียงโดยทันที

                “….นายทำกับข้าวน่ากินมากเลยอ่ะ

                ผมมองจานที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ไม่ใช่แค่ซุปเสฉวนควันฉุย แต่ยังมีหมูผัดเปรี้ยวหวาน กับไก่อบซอสหน้าตาน่าเจียะสุดๆส่งกลิ่นหวานหอมชวนให้ผมลอยไปนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา

                ทานแล้วนะครับ”… เมื่อกี้ผมจะพูดอะไรนะ เออ ช่างมันเหอะ ขอจัดการของตรงหน้าก่อนแล้วค่อยพูดต่อ ว่าแล้วผมก็ตักซุปใส่ในถ้วยกระเบื้องที่พ่อคุณชายไปขุดมาจากส่วนไหนของตู้ก็ไม่รู้ ล้างซะสะอาดจนผมจำที่มาไม่ได้กันเลยทีเดียว

                ไม่มีหน่อไม้ก็เลยไม่ค่อยอร่อย เห็ดหอมก็เก่า ไก่ก็เหม็น เลยทำได้เท่าที่เห็นนี่แหละฮาโลคีบไก่อบวางบนข้าวสวยหอมกรุ่น เรียวปากเล็กๆก็บ่นโน่นบ่นนี่ไปเรื่อย

                อร่อยจะตายชักถ้าเอากับข้าวเก่าค้างในตู้เย็นมาทำแล้วอร่อยขนาดนี้นะ

                พี่ไปตายอดตายอยากที่ไหนมาเนี่ยฮาโลช้อนตาสีน้ำทะเลมองผมอย่างหวาดๆ ผมเหมือนคนอดอยากมากรึไง ก็แล้วจะให้เอาเวลาที่ไหนไปหาอะไรกินล่ะ ทำงานอยู่โรงแรมแท้ๆยังไม่มีเวลาจะกินข้าวโรงแรมเลย อยู่จิมซาโจ่ยแหล่งกินเที่ยวผมยังไม่รู้จะแวะไปตอนไหนเลยนะ มากสุดก็ซื้อบะหมี่ไข่กับทาร์ตไข่ร้านใกล้ๆคอนโดมากินกันตาย

                มีที่นึ่งติ่มซำมั้ย

                ผมส่ายหน้าทันทีก็ไปซื้อสิ เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาบัตรให้ อยากซื้ออะไรก็ซื้อ

                เรียวปากบางเบะออกนิดๆ ชิส์ เดี๋ยวจะรูดให้หมดเลย

                อย่าเล่นมุขนี้กับผม ผมไม่โง่หรอกนะ นั่นมันบัตรเอทีเอ็ม แอลเตรียมไว้ให้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รูดหมดเท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละ ผมใส่ไว้ให้แค่หมื่นเหรียญเอง เดินช็อปห้างแถวนี้ไม่จุใจหรอก

                พรุ่งนี้ทำโจ๊กให้เอามั้ย

                เอาผมตอบโดยไม่ต้องใช้สมองคิด

                ตอนกลางวันจะเอาข้าวกล่องไปกินมั้ย ถ้ามีข้าวเหลือจะลองทำกิมบับ

                สุดยอดอยากกินอาหารเกาหลีจังเลย

                ตอนค่ำถ้ากลับมาเร็วๆผมจะลองทำเสต็ก

                ด้วยพลังแห่งจันทรา ผมขอสัญญาว่าผมจะเป็นคุณสามีที่ดี กลับบ้านตรงเวลา ทู้กกกก วันเลย

                วันนี้พี่นอนโซฟานะ

                เอาสิ

                ขอบคุณครับ

                ฮาโลก้มหน้าก้มตากินข้าวในถ้วยใบเล็กที่มีอาหารอยู่น้อยราวกับจะไหว้ศาลเจ้า เขาคอยแค่จะคีบกับข้าว(ซึ่งก็มีน้อยเหมือนไหว้ศาลเจ้าเช่นกัน)ใส่ในจานผม จนผมกลัวว่าเขาจะกินไม่อิ่ม

                พี่ล้างจานนะ ผมไปนอนแล้ว เหนื่อยมากเลยวันนี้

                แหงะล่ะ อาละวาดไปไม่น้อยเลยนี่ …. คิดแล้วก็อยากหักคอหมอนั่น

                อ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ

                เฮ้ย ทำไมพี่ต้องนอนนอกห้องด้วยล่ะ

                ฮาโลยืนยิ้มอย่างมีชัย “…พูดแล้วอย่าคืนคำล่ะ

                คิดซะว่าตอบแทนที่ทำกับข้าวอร่อยๆให้ผมกินแล้วกัน

     

                เจ้าตัวแสบนั่งคุ้ยของในกระเป๋าเดินทางขณะที่ผมนั่งจ้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตัวโปรด ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาไม่หยิบเสื้อผ้าหรือของใช้ติดตัวมาเยอะกว่านี้ พอรู้มาบ้างหล่ะว่าก่อนหน้านี้เขาอยู่กับคุณยาย ผู้ซึ่งรวยล้นฟ้าเพราะค้าเพชรเถื่อน แต่ไหงต้องมาแต่งงานอยู่กินกับผม ผู้ซึ่งแม้ไม่จน แต่ก็ไม่รวยแน่นอน

                “ดีนะ ยังมีชุดนอน”ว่าแล้วเขาก็หยิบเสื้อกับกางเกงสีฟ้าลายโดราเอมอนขึ้นมาทาบลงบนร่างกายผอมแห้งของตนเอง ผมอดจะขำไม่ได้

                “ไอ้พี่บ้า!

                พอหัวเราะจนพอใจผมก็เพิ่งนึกได้ว่าเขาอายุไม่เท่าไหร่เอง น่าจะประมาณสิบเจ็ด เอ แต่เด็กอายุสิบเจ็ดก็ไม่น่าจะใส่ชุดนอนลายการ์ตูนแล้วนี่นา

                คราวนี้เจ้าตัวแบะปากทำท่าจะร้องไห้ ผมถึงกับต้องพุ่งไปโอ๋น้องเล็กของเราทันที

                “ล้อเล่นน่า”

                เด็กสามขวบก็รู้ว่าผมไม่ได้ล้อเล่น ผมขำจริงจังออกอย่างนั้น

                ฮาโลน้ำตาคลอเบ้า เขาทุบลงบนแขนผมแรงๆ ทำนองว่างอนหรือหมั่นไส้ผมประมาณนั้น

                “ไปอาบน้ำดีก่า”

                “อาบด้วยคน”

                คราวนี้เขาเสยหมัดเข้าที่จมูกผม ไม่จัดว่าแรงแต่ทำเอาดั้งแทบหัก

                “ไอ้พี่หื่น”

     

     

     

     










     


    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×