ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [yaoi]How dare U D9 me...เรื่องของพี่ไม่เกี่ยวกับผม

    ลำดับตอนที่ #17 : Special : Hasun X Lixuan 怎麼愛你都不夠

    • อัปเดตล่าสุด 21 ม.ค. 56



    Hasun X Lixuan

    怎麼都不

    (จะรักเธออย่างไร ก็คงไม่เพียงพอ)

     

                อากาศริมทะเล สำหรับผมแล้วนั้น ทั้งเย็น ชื้น เค็ม แล้วก็ทำให้อึดอัด

                แต่บรรยากาศมันเปลี่ยนทุกครั้งที่เขาอยู่เคียงข้างผม ไม่ว่าจะในฐานะไหนก็ตาม ความอบอุ่นของเขามันให้ความรู้สึกปลอดโปร่งอย่างประหลาด และก็บีบเค้นหัวใจผมจนเจ็บแปลบไปพร้อมๆกัน

                “ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบทะเล แต่ทำไมคุณถึงเลือกจัดงานที่ริมทะเลล่ะ อาเสวียน”

                เขาเดินเอามือไพล่หลัง แม้จะอยู่ในชุดลำลอง ปล่อยชายเสื้อเชิ้ตตัวหลวมพลิ้วตามลม แต่ทว่า คุณชายใหญ่ประจำตระกูลหลินก็ยังคงมาดผู้นำไม่เปลี่ยน ผมอมยิ้ม หลบสายตาคมกริบของเขา มองไปยังทะเลที่เริ่มจะมองเห็นได้เป็นเพียงสีดำทะมึน

                “เพราะจิ๊กซอว์ที่ห้องบอส เพราะสีตาของคุณฮาโล แล้วก็ความคิดชั่ววูบล่ะมั้ง”ผมตอบส่งๆ ซึ่งมันเรียกรอยยิ้มมุมปากของฮาซันได้ไม่ยาก

                เขาไม่ชอบยิ้ม แทบจะไม่เคยยิ้ม

                แต่เขามักจะยิ้มแบบนี้ให้ผมเสมอ

                ผมพยายามแปลความหมายของรอยยิ้มนั้นอยู่บ่อยๆ ยิ้มที่ดูเหมือนไม่ถือสา ไม่ใส่ใจ ยิ้มที่เหมือนจะอ่อนโยนกว่ายิ้มใดก็ตามที่ผมเคยรู้จัก แต่ถึงกระนั้น ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่า จริงๆแล้วเขาพยายามจะสื่ออะไรกับผมกันแน่

                “น้ำเย็นนะ ลงมาเล่นกันหน่อยมั้ย”

                ผมรั้งแขนเขาไว้ได้ทัน “...ผมว่าน้องคุณสองคนมาถึงแล้วล่ะ เดี๋ยวผมจะไปเตรียมพลุ คุณไปพาน้องๆมาที่นี่เถอะ ก่อนที่จะมืดแล้วคุณฮาโลจะพาลงอแง”

                หนุ่มร่างสูงกว่าผมเกือบหนึ่งไม่บรรทัดพยักหน้าอย่างว่าง่าย เขาย่ำทรายเป็นรอยเท้าลึกๆ กลับไปที่ตัวบ้าน กลับไปพร้อมกับรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า...

                ผมยืนให้ลมพัดความอึดอัดออกจากข้างในหัว ชะความรู้สึกอบอุ่นแต่น่าอึดอัดนั่นออกไปจากสมอง ท่าทางผมจะชินชา เสพติดกับมันไปซะแล้ว กี่ปีแล้วนะ ที่ผมภาวนาให้ตัวเองกลายร่างเป็นเพียงภาชนะที่กลวงเปล่า มีเพียงอากาศไหลเข้าออก แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ผมยังเป็นลี่เสวียน ที่ยังคงมีสมองและความทรงจำเกี่ยวกับฮาซัน หลิน บันทึกอยู่ครบ

                ผมเหยียบเท้าลงบนรอยเท้าของเขา ก้าวเดินยาวๆตามรอยเท้านั่นไป

                บางครั้ง ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า ผมยังจะเดินต่อไปได้อีกสักกี่ก้าว

                เดินเหมือนคนบ้า ตามรอยเท้ามั่นคง ตามย่างก้าวยาวๆของฮาซัน

                ผมเหนื่อย แต่ผมก็ยังไม่หยุด

     

               

                เจ้านายของผมพาเด็กหนุ่มตัวเล็กมาเดินเล่นที่ตามแผนที่(เขา)วางเอาไว้ จูงมือไปตามชายหาด จากนั้นพลุก็ถูกจุด แล้วก็จบ เป็นอันจบพิธี ผมส่งสัญญาณให้ช่างที่จ้างมาจุดพลุหลากสีสันขึ้นฟ้า ตัวเองหลบอยู่ ณ มุมหนึ่ง มองดูแสงไฟปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า กรีดแตกความมืดออกเป็นประกายของดอกไม้นับพันดอก แล้วก็หายไป...

                “มานั่งอยู่นี่เอง”

                รู้สึกถึงอะไรเย็นๆที่ข้างแก้ม เมื่อผมเงยหน้าขึ้นก็พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย และเบียร์อีกหนึ่งกระป๋อง

                เขาทิ้งตัวนั่งบนพื้นทรายชื้นข้างผม มองดูความมืดบนท้องฟ้าที่เริ่มก่อต่อขึ้นอีกครั้งเมื่อสิ้นแสง

                “เราเคยดูพลุแบบนี้เมื่อนานมาแล้ว ที่ไหนนะอาเสวียน...ที่ถนนดวงดาวรึเปล่า”

                ผมเปิดเบียร์กระป๋องนั้นอย่างทุลักทุเล และก็สามารถกลืนเอาของเหลวสีเหลืองรสปร่าลงคอไปได้ในที่สุด

                “ที่ออสเตรเลีย ... ตอนที่คุณไปส่งผมให้ช่วยงานน้องชายคุณ มีงานคาร์นิวัล เราก็เลยหยุดพักดูพลุกันที่นั่น”

                ฮาซันพยักหน้านิ่งๆ เหมือนเขายังพอจะจำอะไรได้บ้าง

                “อืมม ผมนึกออกแล้วล่ะ ...เอ้อ! ผมยังไม่ได้ถามคุณเลย”

                ผมยักคิ้มมองเขา เป็นเชิงถามว่า...เรื่องอะไรเหรอ

                “คุณเอายาอะไรซัดเข้าปากเลห์ หมอนั่นถึงได้หลับเป็นตาย แถมตื่นมาหลอนวันงานแต่งงาน”

                เขาทำให้ผมเป็นฝ่ายยิ้มออกมาเองบ้าง

                เขาไม่ใช่คนโง่

                ผมไม่เคยชอบคนโง่ และก็ยังไม่เคยเลิกชอบเขาซะที

                “ก็แค่ Xanax คู่กันกับ amitrip อย่างละนิด ก็เลยตื่นมาหลงๆ งงๆ อย่างนั้นไง...”

                ตาสีเขียวเรียวคมเบิกกว้างขึ้นชั่วขณะ เขาคว้าแขนเสื้อของผมไว้

                “คุณทำแบบนั้นทำไม ... คุณคิดอะไรอยู่ ถ้าเลห์เป็นอะไรขึ้นมา...”

                ผมมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ดวงตาที่แสนล้ำลึกคล้ายมหาสมุทร แต่ทว่า บางครั้งมันก็เหมือนกับสีของยาพิษฤทธิ์แรงถึงตาย

                อย่าถามผมว่าทำไม

                เพราะผมก็จะถามคุณกลับไปบ้างเหมือนกัน

                “แอล คุณยังโกรธผมอยู่อีกเหรอ”เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าบาดลึกราวกับเศษแก้ว

                “ผมจะโกรธคุณทำไม คุณไม่ได้ทำอะไรผิด”

                ผมปัดมือเขาออกจากตัว

                “...คุณแค่หายไปจากชีวิตผมเงียบๆ ไม่พูด ไม่บอกอะไรสักคำแม้กระทั่ง แค่คำว่าลาก่อน... คุณแค่สงการ์ดแต่งงานมาหาผม บอกว่าคุณกำลังจะแต่งงานกับแฟนของน้องชายคุณ คุณไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนี่...แล้วเรื่องอะไรที่ผมจะต้องโกรธคุณ เรื่องอะไรผมจะต้องน็อคน้องชายคุณไม่ให้เขาไปงานแต่งตัวเอง...”

                “...แอล”

                ผมเดินไปจากที่ตรงนั้น ปั้นยิ้มกลับไปที่บาร์เครื่องดื่ม หยิบนั่นนี่มาผสมกันใส่แก้วเชคแล้วก็เขย่าไปมาเป็นการระบายอารมณ์ จะออกมากินได้รึเปล่าก็ไม่รู้ (จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีใครบอกว่าคอกเทลของผมห่วยแตกแต่อย่างใด)

                “ของบอสนี่ต้องแจ็คแอนด์โค้กใช่มั้ย...”

                เลห์นินเจอร์หันมามองผมคล้ายจะจับผิด บอสคนนี้ถึงจะดูไม่ได้ความไปบ้าง แต่เขาไวต่ออารมณ์ที่เปลี่ยนไปของคนรอบตัวมาก จนบางครั้งก็ทำเอาตัวเองจิตตก ท่าทางเขาจะเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของผมกับฮาซัน ...หน้าที่ของผมก็คือ เอาแอลกอฮอล์ใส่แก้วแล้วทำให้เขาหลับๆไปซะ

                “เพียวๆก็ได้ หรือจะไอ้ที่คุณเชคอยู่ก็ได้นะ...”

                ฮาซันเดินกลับมา และถูกฮาโลแย่งความสนใจไปจนหมด เขาพยายามทำหน้านิ่งใส่น้องชายที่รบเร้าจะกินเหล้า แต่ใจหนึ่งผมก็รู้ว่าเขาอยากจะตามใจน้องชายสุดที่รักขนาดไหน

                อะไรกันนะที่ทำให้เขาต้องจับบอสของผมไปแต่งงานสายฟ้าแลบกับเด็กไร้วุฒิภาวะอย่างฮาโล ผู้ซึ่งอ่อนต่อโลก อ่อนแอ แล้วก็นิสัยเอาแต่ใจเป็นที่สุด ต่างกันกับพี่ชายผู้เข้มแข็ง แสนจะรับผิดชอบอย่างฮาซัน

                “สิบแปดก่อนแล้วค่อยมาพูดเรื่องเหล้าแอล ขอแบบเดิมอีกแก้ว”

                เขาเลี่ยงสายตาของน้องชาย มองมาที่ผมอย่างวิงวอน

                ผมเขย่าแก้วเชคไปเรื่อยเปื่อย พยายามทำเป็นไม่สนใจคุณน้องชายของฮาซันที่พร้อมจะเบนเข็มมารบเร้าผมได้ทุกเมื่อ เด็กหนุ่มวันสิบเจ็ดทั้งกอด ทั้งหอมแก้มพี่ชาย ดูท่าทางฮาซันที่เริ่มจะเมาก็ยังไม่มีเค้าว่าจะยอมให้น้องกินเหล้าได้ง่ายๆ

                เขาเหมือนพ่อมากกว่าจะเป็นพี่ชาย ไม่ว่าใครเห็นพี่น้องคู่นี้ก็ต้องคิดแบบนี้กันทั้งนั้น

                ทั้งสองคนห่างกันตั้งสิบปี อาจจะสิบเอ็ดปีด้วยซ้ำ เพราะฮาซันก็อายุเกือบจะยี่สิบแปดอยู่แล้ว แถมยังทำตัวแก่กว่าวัยอีก ด้วยสภาพครอบครัวและหน้าที่การงาน เขาก็มักจะทำตัวเองให้ดูขึงขัง แล้วก็ผสมมาดมาเฟียฮ่องกงเข้าไปด้วยนิดหน่อยเพื่อความน่าเชื่อถือ ไปไหนมาไหนคนกลัวทั้งนั้น แต่ก็กลัวปนไปกับความเคารพน่ะนะ

                ผมไม่รู้สึกกลัวเขา ผมกลัวใจตัวเองมากกว่า



     

                เมื่อแก้วคอกเทลถูกวางบนเคานท์เตอร์ มือซีดของฮาโลก็คว้าไปอย่างรวดเร็ว ฮาซันไม่ทันได้ทำอะไร ไม่แน่ใจว่าเขาไม่อยากจะห้ามแล้ว หรือว่าเขาเมาจนประสาทเริ่มช้าขึ้นเรื่อยๆกันแน่ แต่ดูจากสายตา ท่าทางเขาคงคิดอะไรอยู่ในใจ ปล่อยให้น้องชายตัวเองกินเหล้าไปตามต้องการ

                ความคิดของผู้ชายคนนี้เหมือนมหาสมุทร

                ทั้งฮาซัน ฮาโล ฮาเวิร์ดก็ด้วย

                ผมไม่เคยเข้าใจคนบ้านนี้ พวกเขาแค่มองตากันก็สามารถส่งผ่านข้อมูลในใจถึงกันได้มากมาย แต่มอยู่ใกล้ชิดทั้งฮาซันและเลห์ ทำไมผมถึงทำอย่างนั้นไม่ได้

                มีกระจกใสบางๆกั้นอยู่ตรงกลางรึเปล่านะ เหมือนอย่างที่บอสเลห์เคยเปรียบเปรยอยู่บ่อยๆ

               

                ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ ฮาซันก็เริ่มออกอาการคนเมาอย่างเห็นได้ชัด มีเลห์กับเจ้าเด็กเมซคอยห้ามให้พี่ชายตัวใหญ่อยู่ห่างๆจากน้องชายที่แก้มแดงอย่างรวดเร็วด้วยแอลกอฮอล์

                “คุณฮาซัน ผมว่าคุณยังไม่เมาเท่าไหร่เลยนะผมกล่าวประชด ดึงคอเสื้อฮาซันให้เดินโซเซกลับไปที่บ้านใหญ่ บ้านประจำตระกูลหลินตั้งตระหง่านไม่ไกลจากทะเลมากนัก

                “พี่แอล ให้ผมช่วยมั้ย”

                เมซรีบปรี่เข้ามาช่วยผมหิ้วปีกฮาซัน เจ้านี่กินเหล้าเท่าไหร่ก็ไม่เมา เผลอๆจะทำให้ร่าเริงกว่าปกติด้วยซ้ำ หมอนี่ชอบทำท่าทางจีบผมอยู่บ่อยๆ แต่เขาอายุน้อยเกินไปหน่อย ยังไงผมก็มองเจ้าเด็กนี่ได้ไม่มากกว่าคนที่เป็นเพื่อนของบอส

                “แค่นี้ฉันเอาอยู่ นายช่วยไปเรียกคนมาเก็บของเข้าบ้านเถอะ ท่าทางคืนนี้ลมแรง ฝากด้วยนะเมซ”

                เขาทำหน้าเจื่อน แต่แล้วก็ยิ้มกว้างให้ผมแบบซื่อๆ

                บ้านประจำตระกูลใหญ่ค่อนข้างซับซ้อน แบ่งออกเป็นหลายตึก หลายปีก จำได้ว่าครั้งแรกที่ผมเหยีบเข้าบ้านนี้ ผมถึงกับอ้าปากค้างให้กับความใหญ่โตและความสร้างสรรค์ของบรรพบุรุษที่ใช้พื้นที่จำกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังให้ความรู้สึกโอ่อ่า คลาสสิกสมกับบุคลิกเจ้าบ้านทุกๆรุ่น

                ห้องของฮาซันอยู่ชั้นบนสุด กว่าจะลากคนเมาขึ้นไปได้ ก็กินแรงผมมากอยู่

                “แอล คุณจะกลับแล้วเหรอ”ฮาซันปรือตามอง ขณะที่ผมกำลังห่มผ้านวมให้เขา

                “คุณอยากให้ผมอยู่รึเปล่าล่ะ”

                ไม่มีคำตอบ มีเพียงแต่ความเงียบ

                ตาสีเขียวของเขาสะท้อนแสงท่ามกลางความมืดเป็นเงาแปลกๆ ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังมองผมด้วยสายตาแบบไหนกัน

                “เหนื่อยแล้ว ผมกลับล่ะ อาจจะให้นาห์มไปส่ง”

                มือใหญ่รั้งแขนผมเอาไว้

                “แอล อยู่ก่อนได้มั้ย”

                น้ำเสียงที่เขาใช้ทุ้ม นุ่มนวลชวนฝัน มือของเขาช่างอบอุ่น

                แต่ผมจะไม่ให้มันมีอิทธิพลต่อหัวใจของผมอีกแล้ว

                ผมระบายยิ้ม ลูบหน้าผากชื้นเหงื่ออย่างอ่อนโยน คล้ายกำลังกล่อมเด็กผู้ชายขี้อ้อนคนหนึ่ง“อาซัน คุณจะให้ผมอยู่ในฐานะไหนกัน”

                “ลี่เสวียนคนที่ผมเคยรู้จัก คนที่ไม่เย็นชา แบบอย่าง ตอนนี้”

                เขาตอบเสียงเบา พยายามจะยิ้มให้

                “อาซันฟังผมดีๆนะ”

                ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จ้องมองใบหน้าผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เอาหัวใจของผมไป

                “การตกหลุมรักใครสักคน มันยากมากนะครับ ที่จะปีนออกมาจากหลุมนั้น มันเป็นหลุมที่ทำให้เราตกอยู่ในห้วงความสุขอันแสนทรมาน แต่ผมสามารถปีนออกมาจากหลุมรักของคุณได้ในที่สุด”

                เขาหลับตา ส่งเสียงครางเบาๆ

                “ตอนนี้คุณส่งผมไปอยู่หลุมนรกกับน้องชายคุณแทน คุณนี่มันบ้ามากเลยนะ ทำกับผมอย่างนี้ได้ยังไงกันฮาซัน คุณรู้มั้ย ผมต้องทำงานหนักขนาดไหน แทบจะไม่เคยได้หยุดเลย

                พูดไปผมก็หยิกแก้มเขาไปด้วย ราวกับว่าเขาเป็นเด็กยังไงยังงั้นแหละ ฮาซันหัวเราะในลำคอ ยกมือขึ้นมากุมมือผมไว้หลวมๆ

                “แต่ผ่านไปสักพัก ผมรู้ว่า แผลเป็นที่เกิดจากการตกหลุมรักคุณ มันฝังรากลึกเกินไป ยาที่ไหนก็รักษาไม่ได้ ผมคิดว่าผมน่ะ

                ผมเงียบ เขาเงียบ

                ประโยคนี้มันก้องอยู่ในใจของเรา อยู่ในส่วนลึกที่เราพยายามซ่อนมันไว้หลายต่อหลายปี เราต่างก็กลัวว่า หากใครพูดประโยคนี้ขึ้นมา ความทรงจำต่างๆในอดีตจะทะลักล้นออกมาคล้ายน้ำจากเขื่อนสูง มีแต่จะพัดพาเราไปจากกัน มีแต่จะกัดเซาะป้อมปราการเปราะบางที่พยายามกั้นกันและกันเอาไว้

                รักเท่าไหร่ก็ไม่พอ

                ไม่ว่าเท่าไหร่มันก็เหมือนจะไม่พอ คุณเป็นความหมายที่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไป

                ไม่ว่าผมจะเจ็บสักเพียงไร

                ผมก็เลิกรักคุณไม่ได้ซักที สำหรับผมแล้ว คุณเป็นเหมือนเชื้อโรคร้าย กัดกินจากภายใน ให้ผมทุกข์ทรมานกับความจริง

                ความรักของเรามันเป็นไม่ได้

                เรื่องของเรา มันอาจจะไม่เคยมีอยู่จริง




    แรกเริ่มเดิมที มันจะเป็นตอนพิเศษข้ามปี

    แต่เขียนไม่ทันอย่างแรง





    อาเมนด้วยประการฉะนี้ฉะนั้น


    ขอบคุณมีมสำหรับนักเขียนจากเพจ@นักเขียนวิตกจริต
     

               

     

























    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×