ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดันเจี้ยน ดินแดนแห่งสงคราม

    ลำดับตอนที่ #1 : ซังเตนำความซวย

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 49


          ยามเช้าในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อุดมสมบูรณ์ แวดล้อมไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ สัตว์เล็กสัตว์น้อยอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

               

                เหล่าพ่อค้าแม่ค้าตื่นกันแต่เช้าขยันทำมาหากิน ตั้งร้านรวงต่างๆนานา หน้าตายิ้มแย้มเบิกบาน เสียงคุยจ้อกแจ้ก เสียงต่อราคาดังไปทั่วตลาด ถ้ามองภาพรวมแล้วก็คงคิดว่าเหมือนตลาดทั่วไปที่มีแต่ความสุขและรอยยิ้ม แต่ทว่า...

                "หยุดนะโว้ย ไอ้เด็กบ้า แกอยากตายรึไงหา!"

                "แบร่ แน่จริงก็ตามให้ทันสิลุง ฮ่าฮ่าฮ่า"

                นี่คือสิ่งที่แตกต่างจากตลาดแห่งอื่น ในความแตกต่างนั้นกลับกลายเป็นภาพที่ชินตาของคนในหมู่บ้านแห่งนี้ไปเสียแล้ว

                "เอาแล้วไงเริ่มอีกแล้วเป็นอย่างงี้ทุกเช้าเลย" เสียงเหล่าบรรดาคนในตลาดต่างพูดกันอย่างกับว่าเป็นเรื่องที่ธรรมดา เหมือนเป็นกิจกรรมยามเช้าที่ขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว

                "ข้าว่าวันนี้ลุงหมูต้องไล่ทันแน่ ข้าพนันข้างลุงหมู 500 เบลล์"

                "แต่ข้าว่าไม่ทันว่ะ ข้าพนันข้างไอ้กาย 1000 เบลล์ เลยเอ้า"

                เสียงเล็กๆของกลุ่มพ่อค้าบางคนที่ตั้งวงพนันเล็กๆขึ้นเล่นกันอย่างสนุกสนานโดยไม่ได้จริงจังอะไรเรียกเสียงฮาได้จากคนแถวนั้นเป็นจำนวนมาก

                "กรี๊ดดดด พี่กายสู้ๆ อย่าให้ลุงหมูจับได้น้า" นี่ก็เป็นอีกเสียงหนึ่งที่มักจะได้ยินทุกเช้า เพราะความที่กายเป็นหนุ่มร่างสูงโปร่ง แต่แข็งแรง คิ้วหนา ตาคมวาว ปาสวยได้รูป  อายุราว17-18ปี

                "ขอบคุณที่เชียร์นะค้าบ สาวๆน่ารักทุกคนเลย"

                "กรี๊ดดด พี่หม้อขา เมื่อไหร่จะเลิกหม้อซะที่ละค้า"

                โดยที่ไม่ต้องหันไปดูว่าเป็นใคร เจ้าตัวรู้ได้ทันที่ว่าต้องเป็นกลุ่มเพื่อนของตัวเองแน่ๆ

                "ไอ้พวกบ้า แซวอยู่ได้ ว่างนักก็มาช่วยกันหน่อยเซ่" 

                "โถๆ อย่างคุณกาย ที่หล่อ เลิศ อย่างคุณ ยังต้องการความช่วยเหลือจากพวกกระผมผู้ต่ำต้อยด้วยหรือขอรับ"  เท่านั้นแหละคนทั้งหมู่บ้านก็ฮาครืนกันใหญ่ ไม่รู้เพราะโกรธหรืออายที่โดนแซวเจ้าตัวจึงทำได้แต่ส่งสายตาอาฆาตไปให้ประมาณว่าฝากไว้ก่อนเถอะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะวิ่งเข้าไปบีบคอเจ้าตัวแสบพวกนี้จริงๆ ถ้าไม่ติดว่าลุงอู๊ดๆยังวิ่งตามไม่เลิก

                "แฮ่กแฮ่ก หยุดซะทีเซ่ เหนื่อยแล้วนะโว้ย"

                "ถ้าเหนื่อยก็หยุดสิลุง เดี๋ยวหัวใจวายตายขึ้นมาจะไม่มีใครเผาผีให้นะ ฮ่าฮ่าฮ่า"

                "ไอ้เด็กปากเสีย ถ้าข้าตายจริงจะมาบีบคอแกคนแรกเลย"

         "จะคอยดูละกันว่าจะทำอย่างที่พูดรึเปล่า ฮี่ฮี่"

                "เด็กบ...อุ๊ก" จู่ๆลุงหมูก็ล้มลง กายเห็นก็นึกว่าลุงหมูแกล้งจึงหยุดวิ่งแล้วตะโกนถามทั้งยิ้มๆ

                "โด่ลุงถ้าจะแกล้งก็เอาให้เนียนกว่านี้หน่อยสิ แบบนี้เด็กอมมือยังรู้เลยฮ่าฮ่าฮ่า"

                แต่ลุงหมูก็ยังไม่ขยับนอนฟุบตัวอยู่กับพื้นไม่ไหวติง กายเห็นดังนั้นก็แปลกใจ เดินเข้ามาใกล้แต่ก็ยังทิ้งระยะห่างอยู่

                "เฮ้ลุง อยากได้คืนขนาดนี้ผมคืนให้ก็ได้ ลุกขึ้นมาเหอะตัวเปื้อนทรายแล้วหน่ะ"

                แต่ก็ยังไร้การตอบโต้ใด กายเห็นดังนั้นก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก จึงรีบวิ่งเข้าไปดูลุงหมูทันที

         "เฮ้ลุง จริงรึนี่ เดี๋ยวนะลุงผมจะไปตาหม...แกร็ก" แต่แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ในขณะที่กายกำลังจะลุกลุงหมูก็เอากูญแจมือใส่ที่ข้อมือของกายและตนเองทันที

                "หึหึ สำเร็จจนได้ ในที่สุดก็จับตัวแกได้แล้วไอ้เด็กแสบ"

                ในตอนนั้นกายยังงงอยู่หลายวินาที สักพักจึงเข้าใจ นี่เราหลงกลลุงหมูเข้าให้แล้วมั้ยหล่ะ

                "นี่..นี่ลุงหลอกผมงั้นเรอะ"

                "ก็เออเซ่" ลุงพูดพร้อมกับทำท่าผู้มีชัย ถือไพ่เหนือกว่า

         เวลานี้กายรู้สึกเสียหน้ามาก เค้าซึ่งไม่เคยโดนใครหลอกได้สำเร็จ มีแต่เขาเท่านั้นที่เป็นฝ่ายหลอก แต่ครั้งนี้กลับ...

               

                เป็นไปไม่ได้ เค้าพร่ำบอกกับตัวเองว่า นี่ไม่ใช่เรื่องจริง นี่เป็นความฝันคนอย่างเค้ามีหรือจะโดนหลอกง่ายๆอย่างนี้...

                "เอาหล่ะทีนี้ก็ไปคุยกับตำรวจก็แล้วกัน ชั้นจะให้ตำรวจดูแลนายอย่างดีเลย หึหึ" ลุงหมูพูดพร้อมกับลากตัวกายตามไปทันที

               

                หึ ตอนนี้คุณรู้มั้ยว่าผมอยู่ที่ไหน ลองเดาดูสิ พื้นที่มีน้ำนอง กองฟางชื้นๆ แหล่าแมลงสาบวิ่งกันว่อน ที่ๆแสงแดดส่องไม่ถึง และ....

                ลูกกรง

                ใช่ตอนนี้ผมอยู่ซังเต ใช่ซังเต ที่ๆผมไม่น่าจะต้องมาอยู่ที่นี้ถ้าไม่ใช่ว่าไปหลงกลบ้าๆนั่นของลุงหมู ชิ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น เห็นอ้วนๆอย่างงั้นก็นึกว่าหัวใจจะวายจริงๆ โว้ย!!ป่านนี้คงรู้กันทั่วหมู่บ้านแล้วมั้งเนี่ย ชื่อเสียงที่สั่งสมมานานมิย่อยยับไปแล้วรึไงนะ ฮึ่มฝากไว้ก่อนเหอะไว้ออกไปได้เมื่อไหร่หล่ะเจอคิดบัญชีทบต้นทบดอกแน่ ว่าแล้วก็หักนิ้วดังกร๊อบๆพร้อมๆกับสายตาที่บัดนี้ดูเป็นประกายวาวโรจน์

                คิดได้ดังนั้นก็เริ่มเดินสำรวจ หาช่องทางที่จะหลบออกไป แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ อารมณ์ที่ขุ่นอยู่แล้วก็ยิ่งจะพลุ่งพล่านใกล้ถึงจุดระเบิดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้

                แกร็ก เสียงเปิดประตูทำให้แสงลอดเข้ามาได้เล็กน้อยแต่ก็กระทบกับสายตาคนข้างใน กายจึงต้องหยีตาลงเพื่อปรับสายตา

                ผู้มาเยือนคนใหม่เดินมาเรื่อยๆจนมาหยุดที่หน้าลูกกรงของกาย พร้อมกับจ้องมองอย่างพินิจพิจารณา

                คนจ้องก็ยังจ้องโดยไม่พูดอะไร กายรู้สึกอึดอัดทำตัวไม่ถูกไอ้อารมณ์ที่สะสมไว้ตะกี้จึงระเบิดขึ้นทันที

                "จ้องอยู่ได้มีปัญหาอะไรนักหนา" เจ้าตัวพูดพร้อมกับจ้องตาของผู้มาเยือน ในความมืดเช่นนี้ทำให้เขาไม่รูว่าคนๆนี้เป็นใครและแสดงสีหน้าอย่างไร รู้เพียงแคว่าเป็น...

                ผู้หญิง

                "..."

                "เป็นใบ้รึไงถามไม่ตอบเนี่ย"

                "นาย...ชื่อกายใช่มั้ย"

                "คุณยังไม่ตอบผมเลยว่าจ้องทำไม" นี่เป็นครั้งแรกนะที่มีคนเมินกับคำพูดของเขา ตอนนี้เค้าชักทนไม่ไหวแล้ว  ถามก็ไม่ตอบ ตอบก็ไม่ตรงคำถาม มันน่าโมโหนัก

                "ชื่อกายใช่มั้ย"

                "ผมไม่จำเป็นต้องตอบคุณ"

         คนตรงหน้าไม่พูดอะไรต่อ แต่หยิบสมุดจดเล่นหนึ่งขึ้นมาเปิดๆสักพักก็กล่าวต่อ

                "ชื่อกายสินะ บ้านเลขที่............ ก่อคดีไว้หลายครั้งแต่ก็ไม่เคยจับได้สักครั้ง"

                "หึ มันแน่อยู่แล้ว" เจ้าตัวสวนทันควันพร้อมกับหัวเราะในลำคออย่างภาคภูมิใจ ก็แน่หล่ะสิใครจะมาจับคนอย่างข้าได้ไม่มีทาง ก็มีตำรวจไปไล่บ้างแต่ก็ไม่เคยได้ตัวต้องกลับมือเปล่าประจำ

                "แต่ก็แค่ก่อคดีเล็กๆไม่สำคัญอะไรมาก"  วินาทีนั้นเองที่กายรู้สึกได้ว่าโดนหยามศักดิ์ศรีอย่างที่สุด ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาอย่างนี้เลย แต่คนๆนี้เป็นใคร มีสิทิ์อะไร พูดจาหยามกันชัดๆ อย่างงี้มันยอมไม่ได้

                "แถมครั้งนี้ก็โดนจับโดยลุงอ้วนๆร้านขายเนื้อแถมยังอายุมากซะด้วย หึ"  เธอว่าพรางปิดหนังสือเก็บเข้ากะเป๋าและก่อนที่เธอจะเดินออกไป เธอก็ย่อตัวลงให้เท่าระดับหน้าผมที่ตอนนี้นั่งอยู่ติดกับลูกกรง พร้อมกับกระซิบเบาๆแค่ให้ได้ยินกัน2คน ซึ่งเป็นคำพูดที่ฟังแล้วแทบจะกระชากคอเสื้อเธอมาติดลูกกรงในตอนนั้นเลย

                "กระจอกชะมัด"

                ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร กี่วันแล้วที่ผมต้องมาอยู่ในที่แคบๆแบบนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นไม่หาย หลายคืนมานี่ผมแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนมัวแต่คิดถึงคำพูดของยัยนั่นที่คอยหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา

    กระจอกชะมัด......กระจอกชะมัด......กระจอกชะมัด.........กระจอกชะมัด

                ฮึ๋ย ทนไม่ไหวแล้วนะ กะจะขังไม่ไห้รู้เดือนรู้ตะวันเลยรึไง

                แกร็ก  เสียงประตูเปิดพร้อมกับมี 2-3คนเดินมาที่ห้องขังผมแล้วก็ไขกุญแจพร้อมกับพูดขึ้นว่า

                "ท่านหัวหน้าใหญ่ต้องการคุยกับนาย ตามมา"

                ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าห้องท่านนายพลด้วยหัวใจที่สั่นรัว เต้นไม่เป็นจังหวะ ใช่ตอนนี้เขากลัว กลัวที่จะโดนลงโทษอะไรบ้างก็ไม่รู้   เอาวะตายเป็นตายปั้นหน้ายิ้มไว้ ใจดีสู้เสือมันต้องไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก กายพร่ำบอกกับตัวเอง ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรร้ายแรง ท่านแค่เรียกมาคุยเฉยๆ ท่านอาจจะเลี้ยงข้าว ใช่ๆคิดในทางที่ดีเอาไว้  คิดได้ดังนั้น มือที่ชุมเปียกไปด้วยเหงื่อก็จับเข้าที่ลูกบิด เขากลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับบิดลูกบิดอย่างช้าๆ

                "ขออนุญาตครับ"

                "เชิญนั่งก่อนสิ"

                กายเดินเข้าไปนั่งอย่างช้าๆพร้อมกับมองสำรวจไปรอบห้อง ห้องนี้ใหญ่โตประดับประดาได้หรูมาก มีโคมไฟระย้าห้อยลงมา มีพรมหน้าเตาผิงไว้สำหรับนอนเล่น มีตราประจำตำรวจพื้นที่ติดอยู่เหนือโต๊ะทำงานที่ดูหรูเพราะทำจากเนื้อไม้ชั้นดี และที่โต๊ะนั่นก็มีผู้ที่ได้ชื่อว่าหัวหน้าใหญ่ที่สุดนั่งอยู่ และมีตำรวจหญิงอีกคนยืนอยู่ข้างหลัง เธอผมยาวประบ่า ผมออกจะสีน้ำตาลอ่อนๆ รูปร่างสูงโปร่งกว่าผู้หญิงทั่วไป คิ้วบาง ปากเรียว วินาทีนั้นเองที่อยู่ๆหัวใจผมก็เกิดอาการกระตุกเล็กน้อย ผมสังเกตเห็นว่าเธอจ้องมาที่ผมด้วยสายตาแปลกๆพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก

                "เอาหล่ะมาเข้าเรื่องกันดีกว่านะจ๊ะ เธอคงรู้ใช่มั้ยว่าชั้นเรียกเธอมานี่เพราะอะไร"

                "ไม่ทราบครับ" ผมตอบทั้งยิ้มๆ ยัยบ้าจะไปรู้ได้ไงเล่า เล่นให้อยู่แต่ในห้องขังไม่ให้รู้ข่าวสารบ้านเมืองเลยเนี่ยนะ นี่ผมคิดในใจอย่างเดียวนะแต่ปากยังหุบสนิท

                "อือฮึ ที่ชั้นเรียกเธอมานี่เพราะจะสะสางกับคดีของเธอ" หล่อนพูดพร้มกับเปิดดูบัญชีหนังหมา เอ้ยบัญชีบันทึกคดีดวามต่างหากหล่ะ  หล่อนอ่านอยู่อย่างนั้นอยู่นานจนทำให้ผมอดที่จะลุ้นไปด้วยไม่ได้ว่าจะจัดการกับผมยังไงบ้าง

                "อือ เท่าที่ดูก็ไม่ใช่คดีใหญ่อะไรนักหนา อืมรู้สึกว่าจะธรรมดาซะด้วยซ้ำไป"  กึก อีกแล้วนี่เป็นรายที่2แล้วที่มีคนบอกผมเช่นนี้ ตอนนี้ผมรู้แค่ว่าอารมณ์ของผมชักจะเดือดๆขึ้นมาแถมยังชวนให้ย้อนนึกถึงยัยผู้หญิงคนนั้นที่ว่าผมกระจอกอีกด้วย

                "เอาเป็นว่าชั้นจะไม่ลงโทษเธอก็แล้วกัน"  เธอว่าพรางยิ้มๆ

                เย้ นี่แหละคือคำพูดที่ผมอยากได้ยินจากปากของเธอที่สุด แต่แล้วผมก็ต้องหยุดความคิดไว้แค่นั้นเมื่อเธอพูดต่อ

                "แต่...ชั้นจะให้เธอไปอยู่กับน้ำฝนก็แล้วกัน นี่น้ำฝนนี่กายนะรู้จักกันไว้เพราะคงต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน"

                "หวัดดี ยินดีที่ได้รู้จัก ฝากตัวด้วยนะ ... นายกระจอก" เธอว่าพรางยิ้มที่มุมปากแบบเจ้าเล่ห์

                คำสุดท้ายที่ทำให้ผมถึงกับหูผึ่ง หน้าแดงด้วยความโกรธจัด ถึงแม้เธอจะพูดเบาๆแต่ผมก็ได้ยินเต็มสองหูเลย

                นายกระจอก

                คำพูดแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ ผมจำได้ทันทีเลยว่าต้องเป็นหล่อนแน่ๆ คนที่ด่าผมว่ากระจอกชะมัด ผมได้แต่กำมือแน่น ขบกรามจนขึ้นเป็นสันนูน ส่งสายตาอาฆาตไปยังเจ้าหล่อน และดูเหมือนว่าเจ้าหล่อนจะรู้ว่าผมจำเธอได้แล้วแต่เธอก็ไม่สะทกสะท้านอะไรกลับส่งยิ้มยียวนมาให้ผมอีก ฮึ่มมันหน้านัก

                "ชั้นจะให้น้ำฝนคุมความประพฤติเธอจนกว่าชั้นจะเห็นสมควรว่าเธอจะกลับบ้านได้"

                "แต่...."

                "ไม่มีแต่จ๊ะ ไปน้ำฝนพากลับได้แล้ว"

                "ค่ะ หนูจะดูแลเขาเป็นอย่างดีเลยค่ะ" เธอพูดจบก็หันมาส่งยิ้มกวนประสาทให้ผม เฮอะคิดว่าจะกลัวเรอะ เดี๋ยวได้เห็นดีกันแน่

                ระหว่างบนรถ ไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้นก็จะมีแต่น้ำฝนคนเดียวที่ขับรถไปฮัมเพลงอย่างสบายใจ ต่างกับอีกคนหนึ่งที่นั่งปั้นหน้ายักษ์อยู่ตลอดเวลา

                "เฮ้อคุณจะนั่งปั้นหน้าเครียดไปถึงไหน เดี๋ยวก็แก่เร็วหรอก"

                "ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณนี่"

                "ไอ้ชั้นก็ไม่อยากจะเกี่ยวกับคนอย่างนายซะเท่าไหร่หรอกนะ นี่ถ้าหัวหน้าไม่ขอร้อง ชั้นก็ไม่อยากพาไอ้พวกขี้คุกกระจอกๆมาที่บ้านนักหรอก"

                "...." กายไม่ตอบอะไรนั่งเงียบพยายามข่มอารมณ์ตัวเองที่บัดนี้เริ่มจะเดือดปุดๆขึ้นมาบ้างแล้ว

                "ก็อย่างว่าละนะขืนปล่อยคุณคุณไปเดี๋ยวก็ไปทำคดีกระจอกๆอีกเป็นปัญหาสังคมเปล่าๆ"

                เส้นความอดทนของกายขาดผึงอารมณ์ที่สั่งสมอยู่นานถูกดันให้ปะทุออกมาในทันที

                "นี่คุณมันจะมากไปแล้วนะ เห็นผมเงียบๆก็เลยด่าเอาด่าเอารึไงฮะ ปากอย่างนี้หน่ะสิถึงได้ไม่มีแฟนกะเค้าซะที ครองตำแหน่งเทพีคานทองอยู่นั่นแหละ"

                น้ำฝนถึงกับอึ้ง ไม่มีใครเคยว่าเธอแรงๆแบบนี้ มันเหมือนเป็นการหยามศักดิ์ศรีอย่างรุนแรง

                "แล้วอย่างนายดีนักรึไงเป็นตัวปัญหาของสังคมไปวันๆพวกขยะเอ๊ย"

                "ว่าไงนะ"

                "จะทำไม พูดจี้ใจดำรึไงฮะ" เธอพูดพรางส่งยิ้มยียวนมาให้อย่างท้าทาย

                "ดีนะที่คุณเป็นผู้หญิงไม่งั้นผมต่อยปากแตกไปแล้ว"

                "ต๊ายตาย หนูหล่ะกลัวจัง"

                หลังจากนั้นต่างก็เงียบไม่พูดอะไรกันอีกแต่ในสมองนั้นกลับคิดวิธีแก้เผ็ดเตรียมไว้สำหรับการมาอยู่ร่วมกัน

                งานนี้สนุกแน่

               

               

                เอ้า 1 2 3 4 อั๊พแอนด์ดาว  อั๊พแอนด์ดาว 1 2 3 4 5 6 7 8 9 ออกกำลังกาย.......

                กายลุกขึ้นสะบัดผ้าห่มทันที ใครมันบังอาจมาเปิดเพลงหนวกหูแต่เช้าฟะคนกำลังนอนสบายๆ อึ่ม เมื่อชะโงกออกไปทางหน้าต่างก็เจอตัวการทันที

                "นี่ยัยบ้าเปิดเพลงทำไมแต่เช้าเนี่ย"

                "เฮ้ ได้ยินมั้ย หนอยทำเป็นไม่สนใจเรอะ ได้เห็นดีกันแน่" ว่าแล้วเจ้าตัวก็รีบวิ่งลงบันไดไปทันที

                ทางด้านน้ำฝนก็พอจะได้ยินเสียงเรียกอยู่หรอกแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ หึ คิดว่าจะได้อยู่บ้านนนี้อย่างสบายๆเรอะไม่มีทาง นั่นไงว่าปุ๊บก็มาปั๊ป

                "เฮ้ เธอเปิดเพลงแต่เช้าทำไม รู้มั้ยมันหนวกหูชาวบ้าน"

                "..." น้ำฝนไม่สนใจยังคงเต้นต่อไป นั่นยิ่งทำให้กายโมโหหนักเข้าไปอีก

                "นี่ ถ้าไม่คุยกับผมอย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ"

                "........"  แต่เธอก็ทำเมิน หึ อย่างนายจะกล้าทำอะไรชั้น

                ดูเหมือนว่ากายจะอ่านสีหน้าออก เลยยิ่งโมโหหนักเข้าไปอีก กายจึงเข้ามาอุ้มเธอพาดหลังแล้ววิ่งเข้าบ้าน

                น้ำฝนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ตะโกนด่าสาปแช่ง ทุบหลังของกายไปตลอดทางจนถึงบ้าน

                เมื่อถึงบ้านกายก็โยนน้ำฝนลงบนโซฟา แต่เธอก็เร็วพอกันลุกขึ้นวิ่งมาอีกด้านของโซฟา

                "นาย ไอ้บ้าทำบ้าอะไรเนี่ย"

                "ก็คุณไม่คุยกับผมเองหนิ"

                "ไม่จำเป็นต้องคุย"  กายส่ายหน้าอย่างระอากับความดื้อของเธอ แต่ก็ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเธอต่อ

                "งั้นเรามานั่งคุยดีๆกันก่อน" ว่าแล้วกายก็นั่งลง แต่เธอก็กล่าวอย่างไร้เยื่อใยทันที

         "ไม่จำเป็น" เท่านั่นแหละที่อารมณ์ของกายถึงจุดระเบิด วิ่งเข้าไปคว้าข้อมือเธอแต่ก็เจอเธอสวนหมัดเข้าที่ท้อง น้ำฝนวิ่งเข้าห้องนอนล็อคห้องทันทีทิ้งให้กายนั่งกุมท้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับสาปแช่งเธอไปด้วย

                "หนอย ยัยบ้าออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ อูย หมัดหนักชะมัด"

               

                ตกเย็นของวันนั้น น้ำฝนก็แอบย่องออกมาจากห้อง เธอเดินเบาๆเพราะไม่อยากให้กายเห็น เธอเดินลงมาตามบันไดก็สังเกตเห็นใครนอนอยู่บนโซฟาเธอก็พอจะเดาออก จึงย่องเข้าไปใกล้ๆกะจะแกล้งให้ตกใจตื่นซะหน่อย แต่พอไปเห็นหน้ายามหลับสบายๆก็เกิดเปลี่ยนใจ

                ชิ ทำท่าหลับซะสบายเชียวนะ วันนี้ยอมให้วันนึงก็ได้

                เธอมองยิ้มๆแล้วก็เดินจากไป

                กายรู้สึกตัวอีกทีก็เกือบ 3 ทุ่มแล้ว เขารู้สึกว่าที่หน้ามีอะไรติดอยู่จึงดึงออกดู เป็นกระดาษโน๊ตที่เขียนสั้นๆของใครบางคน

                กับข้าวอยู่บนโต๊ะฝาชีครอบอยู่ จะกินก็อุ่นเอาเองถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน

                กายอ่านก็ขำยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาพับกระดาษเก็บใส่กระเป๋าตังค์แล้วจึงลุกไปกินข้าว

                 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×