คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : จุดเริ่มต้น
“จะไม่กลับหลังถ้ายังไม่ได้ดี เอ่ยถ้อยคำนี้ต่อหน้าแม่พ่อวันจาก สาบานผ่านฟ้า สัญญาต่อดินถิ่นรัก ก่อนลามาสู้งานหนัก ปักหลักสร้างตัวเมืองไกล “ เสียงครวญเพลงดังลอยมาจากปากหญิงสาวผมยาวสีดำสนิท ที่กำลังก้มๆเงยๆตากผ้าอยู่ราวระเบียงห้องเช่าหมายเลข 333 พรจีราอพาร์ทเม้นต์ แสงแดดยามเช้าของวันอาทิตย์นี่ช่างงดงามเสียนี่กระไร เสียงโทรศัพท์ในห้องดังขึ้นฉันจึงหยุดการถ่ายทำมิวสิควีดีโอไว้เพียงเท่านี้
“ฮัลโหล ใครคะ” เช้าขนาดนี้ใครยังมีกะใจโทรขึนมาที่ห้องวะ (.3.)
“เฮียง้วนขา คือแม่ยังไม่โอนตังค์มาเลยอ่าคะ รออีกสามวันได้มั้ยคะ “ ฉันอ้อนวอนสุดฤทธิ์
(ก็ล่ายๆ สามวันน้า อั้วจารอ แต่ถ้าเกินสามวันลื้อขนของหาห้องใหม่ไล้เลบนะ ฮึ) โห อะไรจะเขี้ยวขนาดนี้วะเนี่ย ขอผลัดนิดผลัดหน่อยก็ไม่ได้ ให้ย้ายเลยเหรอ จะย้ายไปไหนล่ะ หอนี้มันก็ถูกที่สุดแล้วย้ายก็โง่ดิ ว่าแล้วก็โทรหาหม่อมแม่ขอตังค์ก่อน
“แม่จ๋า ทำอะไรอยู่น้อ แตมป์คิดถึ๊ง คิดถึงเด้” ถ้าบอกไปว่า แม่ของเงินหน่อยเดี๋ยวแม่จะน้อยใจว่าโทรมาหาเฉพาะเวลาเงินหมด
(จะเอาเท่าไหร่ล่ะเดือนนี้ ) คำถามที่สุดแสนจะไม่ต้องอ้อมค้อมของแม่ฉันทำฉันสะอึกไปชั่วอึดใจ ก่อนที่จะบอกจำนวนมันนี่ที่ฉันปรารถนา (‘<’ )
“ ไม่เยอะหรอกแม่ก็เท่าเดือนก่อนแหละ ห้าพันบาท” ฉันใช้เงินเดือนละห้าพัน ไม่รู้ว่าสำหรับคนอื่นมันน้อยเกินไปหรือเปล่ากับชีวิตนักศึกษา แต่ห้าพันสำหรับครอบครัวฉันมันก็มากโขอยู่ ลำพังร้านขายของชำที่บ้านลงของแต่ละทีก็จะไม่พอแล้ว ข้าวของก็แพง เศรษฐกิจไม่ดี บางทีฉันก็สงสารพ่อกับแม่นะที่ต้องมาลำบากส่งเงินให้ฉันทุกเดือน ฉันทำได้แต่ตั้งใจเรียนเพื่อให้ท่านภูมิใจ แต่สมองอย่างฉันมันก็กลางๆไม่ดีเหมือนคนอื่นเขา เห้อ! ชีวิตรันทด สิ่งที่ทำให้ฉันมีกำลังใจในการเรียนก็คือเพื่อนฉันที่จบ ม.ปลายแล้วไม่ได้เรียนต่อ มันต้องเข้าไปทำงานที่กรุงเทพเลี้ยงตัวเอง และส่งตัวเองเรียน มันลำบากกว่าฉันตั้งเยอะยังมีใจรักในการเรียนเลย แล้วฉันล่ะ จะมายอมแพ้กับชีวิตได้ยังไง สู้ๆสู้ตาย (. .)V
“แม่ เกี่ยวข้าวแล้วบ่” ฉันถามแม่เผื่อว่าถ้ายังไม่เสร็จฉันจะเกณฑ์ไอ้เพื่อนทั้งห้าไปช่วย (เสร็จแล้ว เอารถเกี่ยว เลยเร็วหน่อย แกจะกลับบ้านไหม ) “ไม่แน่ใจอ่ะแม่ เพราะช่วงนี้มันเปิดเรียนใหม่ มีงานให้ทำเยอะ แต่ยังไงแตมป์ก็คิดถึงพ่อกับแม่น้า “ ฉันหยอดคำหวาน คิดว่าตอนนี้ปลายสายคงกำลังเขินอยู่แน่ๆ
(เออ ไม่ต้องมาพูดดี แค่นี้ก่อน แม่ขายของก่อน ดูแลตัวเองดีๆล่ะ กินข้าวเยอะๆยิ่งผอมแห้งแรงน้อยอยู่) แม่บอกฉันด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“จ้าๆ งั้นวางแล้วนะแม่ หวัดดีจ้า” ฉันกดวางสายจากแม่แล้วมองดูรูปพ่อแม่ที่แขวนไว้บนผนัง เป็นรูปที่เราสามคนถ่ายด้วยกันตอนฉันเรียนจบ ม.6
“ อีกสองปีเรามาถ่ายรูปตอนแตมป์รับปริญญาอีกนะแม่” ฉันพึมพำกับตัวเองเบาๆ กลัวน้ำตาจะไหลออกมาเมื่อคิดถึงพวกท่าน T0T
ก๊อก ๆๆๆ เสียงรัวเคาะประตูที่หน้าห้องฉัน ให้เดา ถ้าไม่อาร์มมี่ก็กุกกุ๊กแน่ แอ๊ดดดด ........ “นังแตมป์ แกยังไม่อาบน้ำอีกเร้อ “ เจ้าของใบหน้าขาวนวลรูปไข่โผล่เข้าในห้องแล้วโดดขึ้นไปนั่งบนเตียงอย่างถือวิสาสะ
“ทำไม แกจะชวนฉันไปไหน มาแต่เช้าเชียว “ ฉันถามมันเพราะรู้ว่าที่มาแต่เช้าจะต้องชวนฉันไปข้างนอกแน่ๆ
“ก็เออดิ อาทิตย์หน้าเนี่ย งานเฟรชชี่ไนท์แล้วนะเว้ย ไปหาซื้อชุดสวยๆกัน
“ เออใช่ อีกหนึ่งอาทิตย์งานเฟรชชี่ไนท์ก็จะจัดขึ้นที่หอกาญแล้วนี่นา”
มันเป็นงานที่มีแต่คณะฉันเท่านั้นที่ไปจัดเพราะค่าเช่าแพงมักมาก เป็นงานที่สุดแสนจะไฮโซที่รุ่นพี่รุ่นน้องจะได้สังสรรค์เฮฮาสปาเก็ตตี้กัน ปีที่แล้วฉันใส่ชุดบอลลูนไป คิดว่าไม่มีใครเหมือนฉันแน่ๆ อุตส่าห์ให้เพื่อนที่กรุงเทพเลือกมาให้ ราคาก็ไม่แพงหรอก 350 บาท แต่สุดแสนจะเหมือนราคา 3500เลย ฮี่ๆ ปรากฏว่าพอไปงานจริงๆ คนใส่เป็นสิบครับพี่น้อง เกลื่อนไปหมด ฉันล่ะอยากถอดชุดนั้นทิ้งเลยทีเดียว
“แต่อีกสามวันแหนะกว่าแม่จะโอนตังค์มา ตอนนี้มีติดตัวแค่ 500 เองว่ะ” ฉันบอกT^T
“500 ก็ซื้อได้ เดี๋ยวนี้ของถูกๆคุณภาพดีมีเยอะแยะ แกอย่าคิดมาก ไปอาบน้ำเร็วๆ “กุกกุ๊กเร่ง
“งั้นแกรอฉัน 10 นาที” ฉันเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวและกำลังเดินจะเข้าห้องน้ำ
“นานไป น้องพลับขอ 3 “ มันว่าพร้อมชูสามนิ้วมาทางฉัน ดูมัน เลียนแบบน้องพลับซะงั้น เห้อ ฉันไม่พูดอะไรได้แต่ส่ายหัวกับความปัญญาอ่อนของเพื่อนสาวตัวแสบ ที่จริงมันก็เป็นคนน่ารักนะ แต่ทำไมเหมือนคนไม่เต็มขนาดนี้ก็ไม่รู้ หลังจากอาบน้ำสามนาทีตามมันสั่งแล้ว ฉันก็แต่งตัว โดยเลือกเสื้อยืดสีเขียวมะนาว และใส่กางเกงยีนส์ขาสั้น ธรรมดา แต่งหน้าอ่อนๆ
“นี่นังแตมป์ ฉันบอกว่าขอ 3 แกปาไป 5 นาทีและนะ “ แน่ะ ดูมันบ่น *3*
“เออๆ เสร็จแล้วเนี่ย จะมีใครแต่งตัวแต่งหน้าภายใน 5 นาทีเหมือนฉันมั้ยเนี่ย เออ แล้วพวกสี่สหาย (หมายถึงเพื่อนชายที่เหลือ) มันไปกะเราเปล่าง่ะ” ฉันถามเมื่อไม่มีวี่แววการมาของเพื่อนชาย
“ไปดิ ฉันนัดมันไปเจอกันที่ ประตูน้ำขอนแก่นแหละ” อ้อ ที่แท้ก็นัดกันไว้เรียบร้อยโรงเรียนกุกกุ๊ก
“เออ งั้นไปเถอะ เสียเวลา “ ฉันพูดตัดบท ก่อนที่มันจะเยอะกว่านี้เสียเวลาคนอ่าน และแล้วเราสองคนก็มาเจอสี่สหายที่เหลือที่ร้านข้าวแกงเห็นพวกมันกำลังโซ้ยข้าวใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย ฉันกับกุกกุ๊กเลยเดินไปร่วมวงด้วย
“เฮ้ย เคี้ยวมั่งนะ ฉันเห็นแกตักเข้าปากแล้วกลืนเลย เป็นห่วงว่ะ ฮ่าๆ” กุกกุ๊กแซวหนุ่มที่กำลังตักคำตาเหลือก (คำโตๆ)ใส่ปากซวบๆ
“อำอัย อ่าอาอุ้ง อนอำอังอิ๋ว(ทำไม อย่ามายุ่ง คนกำลังหิว)” มันจะกินให้เสร็จก่อนก็ไม่ได้เนาะ -_-!
“แล้วคิดไว้ยังว่าจะเอาชุดแนวไหนอ่ะ” ปอร์หนุ่มหล่อประจำกลุ่มเปิดประเด็น
“ไม่รู้ว่ะ ฉันคงเสื้อเชิต กางเกงยีนส์ แค่นี้ละมั้ง ปีสองแล้วนี่ ไม่ต้องพิธีรีตองก็ได้มั้ง” กั้งบอก
“เออ ฉันก็เห็นด้วยนะ ถ้าเฟรชชี่ไนท์เราต้องซื้อชุดใหม่ทุกปี ก็ไม่ไหวว่ะ เฉพาะออกค่าเช่าหอกาญก็ปวดกบาลแล้ว” อาร์มมี่พูดขึ้นบ้าง
“=+=;” หน้าหนุ่ม
“เป็นไรวะไอ้หนุ่ม หน้าไม่ค่อยดีเลย” กั้งถาม
“คือ ฉัน แบบว่า มัน.. เอ่อ.. คือ “ หนุ่มหน้าซีด พูดติดๆขัดๆ หรือว่ามันจะไม่สบายขึ้นมา เมื่อกี้ก็เห็นกินข้าวดีๆนี่นา เป็นโรคกระเพาะหรือเปล่าวะ
“แกเป็นอะไรก็บอกเพื่อนดิ พวกข้าจะได้พาไปหาหมอ “ ปอร์พูดและทำท่าจะลุกไปดูหนุ่ม
“คือฉันปวดขี้ว่ะ ไปห้องน้ำก่อนนะ” เฉลยออกมาแทบตกโต๊ะเลย “ไอ้ทุเรศ =_=;”ห้าเสียงประสานรวมเป็นหนึ่ง พวกเราทั้งห้านั่งรอหนุ่มอยู่ครึ่งชั่วโมง สงสัยจะท้องเสียหนักจริงๆ และแล้วพระเอกของเราก็เดินออกมาจาห้องน้ำพร้อมกลิ่นที่โชยตามตูดมันมา (ล้อเล่น)
“หมดไส้แกยังวะ “ กุกกุ๊กแซว @+@
“ทำไม ถ้าไม่หมดแกจะขอใส่ห่อกลับไปกินต่อที่บ้านรึไงวะ “หนุ่มแซวกลับ แต่เอ่อ ใครเค้าจะห่อขี้ไปกินต่อที่บ้านกันเล่าไอ้นี่มันทุเรศได้ทุกสถานการณ์จริงๆ 0-0!!
“ไอ้หนุ่ม ไอ้บ้า ทุเรศที่สุดเลยอ่ะ ยี้ -0-”
“อย่าว่าแต่แกเลย ฉันก็จะอ้วกแล้วว่ะ” ฉันเสริม U-U
“อ้าว จะต่อปากต่อคำกันอีกนานมั้ย ไปเดินซื้อของได้แล้ว เดี๋ยวบ่ายสองฉันมีนัด” กั้งพูดขึ้นท่ามกลางสายตาทั้งห้าที่มองมาที่มันเป็นตาเดียว
“ไอ้กั้งมีนัด นัดกับใครวะ บอกมา” อาร์มมี่ลิงยักษ์โผเข้าไปล็อคคอกั้งเพื่อคาดคั้นเอาความจริง เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาทั้งกลุ่มเรายังไม่มีใครมีแฟนกันสักคน
“เอ่อ แฮ่ๆ สาวE-con ว่ะ เพิ่งได้เบอร์มาตอนไปนั่งเรียนเศรษฐศาสตร์อาทิตย์ที่แล้วนี่เอง” และแล้วกั้งก็ยอมสารภาพ
“ได้ไง พวกเรายังหาไม่ได้เลย แกจะมาแซงแถมเบียดพวกข้าซะตกถนนเลยด้วยนะเนี่ย ขนาดกุกกุ๊กกะแตมป์มันพยายามอ่อยพวกผู้ชายวิศวะมาสองปีแระ ยังไม่มีวี่แววเลย” สงสัยไอ้ปอร์มันไม่อยากตายดี
ฉันกับกุกกุ๊กเดินเข้าไปประกบข้างๆมันแล้วเบิร์ดกะโหลกไปคนละที ที่เหลือก็ได้แต่หัวเราะขำๆ แต่ไม่มีใครพูดอะไร
พวกเราเดินเลือกซื้อชุดที่จะใส่ไปงานตามร้านค้าในประตูน้ำขอนแก่นนับร้อยๆร้าน มีเสื้อผ้า รองเท้าราคาถูกให้เลือกซื้อมากมาย ซึ่งขายปลีก และขายส่ง แต่ละร้านหนาแน่นไปด้วยผู้คนที่มาเดินซื้อของช้อปปิ้งในวันหยุดเช่นนี้ ตลาดประตูน้ำถือว่าเป็นแหล่งรวมวัยรุ่นที่หนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่พวกฉันนานๆจะได้มาสักครั้งเพราะมันอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยมาก ส่วนมากพวกเราจะใช้ชีวิต กิน ดื่ม เที่ยว เฉพาะในมหาวิทยาลัย เพราะในนั้นเป็น one stop service อยู่แล้ว
“แกๆ เดรสตัวนั้นน่ะ สวยป่ะ ไปดูหน่อยดิ” กุกกุ๊กลากแขนฉันเดินลิ่วๆเข้าไปดูร้านเสื้อผ้าผู้หญิงร้านหนึ่ง จะว่าไปแล้วเสื้อผ้าที่นี่ก็สวยนะ ทั้งร้านเป็นโทนขาวดำ
“สวยดีว่ะ พี่คะเดรสสั้นสีขาวตัวนี้เท่าไหร่คะ” กุกกุ๊กถามพี่คนขาย พี่แกยิ้มแล้วตอบว่า
“ตัวนี้ ส่งสามตัว 180 ค่ะ ปลีก 259 นะคะ” โห ทำไมมันแตกต่างกันจัง ซื้อตัวเดียว 259 แต่ซื้อราคาส่ง สามตัว 540 แต่ก็ประหยัดดีนะ เพราะถ้าฉันกะยัยกุกกุ๊กซื้อคนละตัวและเพิ่มอีกตัวก็ได้ราคาส่ง
“แกเอาป่ะ ฉันว่าเราหุ้นกันดีมะ แกซื้อสองตัว ฉันเอาตัวนึง เคป่ะ” ฉันหันไปขอความเห็นจากยัยกุกกุ๊ก มันก็พยักหน้าเป็นอันว่าตกลง ฉันจึงเดินไปเลือกชุดเดรสเกาะอกสีดำที่มีผ้าคาดเอวสีขาวกระโปรงสั้นเสมอเข่า
และลองทาบกับตัวดู ว้าว น่ารักจัง ฉันหันไปมองหน้าเพื่อนสาวเป็นเชิงบอกว่า ฉันเอาตัวนี้แล้วแกล่ะ กุกกุ๊กก็ยิ้มตอบว่าฉันก็ได้แล้วเหมือนกัน เราจึงให้พี่คนขายใส่ถุงผ้าลดโลกร้อนให้แล้วจ่ายตังค์ให้ 520 บาท พี่แกใจดีลดให้ 20 บาท (ตั้ง 20บาท เยอะมากกกกกกกกก) เพื่อนสี่สหายก็เลือกเชิ้ตไปคนละตัวหลังจากนั้นพวกเราทั้งหกก็แยกย้ายกันกลับ
ฉันเลือกที่จะนั่งรถเมย์กลับเพราะประหยัดเงินในกระเป๋าที่เหลืออยู่ไม่กี่ร้อยบาทระหว่างทางกลับฉันก็นั่งมองชมนกชมไม้ชมผู้ชาย เอ๊ะ! น่าจะอันหลังมากกว่า อิอิ ก็หนุ่มๆหน้าห้างเซนทอลเยอะดีนี่ห้างนี้เป็นห้างใหญ่ที่สุดในขอนแก่นเลยนะจะบอกให้อลังมากๆ แต่เอ๊ะ นั่นใครมาเดินกอดกันหน้าห้างเนี่ย อู้ยย ช่างไม่อายสายตาประชาขี กล้าเนอะ นี่ถ้าเป็นลูกเป็นหลานจะจับฟาดก้นเขียวเลย หน้าคุ้นๆ เย้ย ! นั่นมันยัยแมรี่หัวหน้าแกงค์สามชะนีกะนายเนมไอ้เด็กมารยาททรามวันนั้นนี่หว่า อะไรจะไวไฟปานนั้นหนอ นี่กอดกันกลางวันแสกๆเลยนะ ดูสิดูนั่นมีหอมกันด้วย โห นี่คงคิดว่าคนรอบข้างเป็นดงดอกไม้ ภูเขา และลำธาร เป็นที่ที่สมควรในการพลอดรักกันอย่างยิ่ง เด็กๆที่บ้านอ่านแล้วอย่าเอาไปเลียนแบบนะคะ ไมดีๆ
“
“ I’m fine thank you teacher.” เสียงนักศึกษากล่าวตอบอย่างเป็นมารยาท ทั้งๆที่บางคนฉันเห็นสั่งน้ำมูกครืดๆยังกล้าบอกว่าสบายดี (+_+)!
“ OK ต่อไปเราจะมาเรียนบทที่ 2กานน๋า” โอ้ย อาจารย์ขา โคตรพยายามเลยสำเนียงก็ดี๊ดี หุหุ แอ๊ดดดดดดดดดด.... เสียงประตูหลังห้องถูกเปิดขึ้นโดยยัยแมรี่ที่วันนี้มาในชุกนักศึกษารัดติ้วกระโปรงนิ้วเดียวเดินเข้ามาในห้องอย่างไม่แคร์สายตาอาจารย์และเพื่อนร่วมคลาส “Hey! What your name?” อาจารย์ลูฟี่ถามด้วยสายตาไม่พอใจ โหยก็ยัยนี่เล่นเข้าคลาสสายตั้ง 20นาที ปกติแกเลทให้แค่ไม่เกิน 10 นาที อาจหาญมาก หักคะแนนมันโลดค่ะอาจารย์ .(.*.)
“ My name is Mary sorry am late.” ยัยแมรี่กล่าวขอโทษแล้วเดินปลิวมานั่งข้างๆฉันที่มีเก้าอี้ว่างอยู่
“มองอะไรยะ ไม่เคยเห็นคนสวยรึไง” ชิใครอยากมอง *>*
“อ้อ ถ้าหมายถึงคนสวยที่แปลว่าสายในภาษาอีสานอ่ะ ใช่ แต่ถ้าสวยที่แปลว่างดงามน่ะคงสำคัญตัวเองผิดไปนิดนะจ๊ะแมรรี่ หุหุ” ฉันพูดไปตามความจริงเพราะที่ฉันมองยัยนี่เพราะหล่อนเข้าคลาสสายจริงๆ ยัยนั่นถึงกับกัดปากตัวเองอย่างหมั่นไส้ก่อนจะเอื้อนเอ่ยวาจาว่า
“อ้อ ฉันลืมไป คนอย่างเธอคงจะรู้จักคำว่าสวยหรอก เพราะไม่เคยมีใครเค้าชมล่ะสิ” หนอยดูมันพูด อย่างฉันถึงไม่สวยอย่างนางฟ้าแต่สง่าดุจราชสีห์ย่ะ
“ชิ” หน้าฉัน (*@* )
“ชิ” หน้ายัยแมรี่ ( *0*)
ฉันน่ะไม่ค่อยถูกชะตายัยนี่ตั้งแต่เข้าปีหนึ่งแล้วล่ะ เพราะหล่อนชอบแต่งตัวเวอร์ๆแต่งหน้าจัดๆยังกับจะไปเดินแบบ อันที่จริงก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรฉันหรอกนะ ถ้าไม่เพราะหล่อนชอบทำสายตาเหยียดหยามฉันกับเพื่อนว่าเป็นพวกบ้านนอกชอบพูดภาษาอีสานทุกที่ทุกเวลา ไม่เว้นแม้กระทั้งเวลาเรียนภาษาอังกฤษ ทั้งๆที่ตัวหล่อนเองก็เป็นคนอีสานแต่ดันลืมกำพืดของตัวเองคบเพื่อนไฮโซๆ คุยกันด้วยภาษาต่างดาวที่ฉันเองก็ไม่รู้เรื่องเหมียนกัน(อุ้ยตก อิอิ) อย่างเช่นที่หล่อนกำลังคุยกับยัยแคทและยัยโบว์ลิ่ง(หุ่นเหมือนลูกโบว์ลิ่งเลย 555) ในขณะนี้
”เธอไปดูคอลเลคชั่นใหม่ของพราด้ายังอ่ะ สวยๆฉันไปดูกะเนมมาแหละ” ^_^
“จริงดิ เลิศคร่าเลิศ ได้มากี่ใบอ่ะ ไปกะลูกเจ้าของห้างทั้งที อิอิ” ยัยโบว์ลิ่งทำท่าลุกลี้ลุกลนปนอยากรู้
“ก็แหม สามสี่ใบนี่แหละ แต่ฉันไม่ได้พราด้าอย่างเดียวนะยะ นี่ๆมาดูนี่ “ ยัยแมรี่ว่าพร้อมกับล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า
“ว้าว! น้องหลุยส์ นี่แหละที่ฉันกำลังเก็บตังค์ซื้ออยู่อ่ะ ได้ไง เธอมีแล้วอ่ะ โหย อย่างงี้ฉันก็เซ็งอ่ะดิ” (?-?) “อ่ะงั้นฉันให้อีทูดี้ตลับนี้เธอจะหายเซ็งมั้ยยะ” อะไรดี้ๆนะฟังไม่ถนัด ( U.U)
“อีทูดี้ เออก็ได้ อันเก่าหมดพอดีเลย($_$)” อ้อ อีทูดี้ ว่าแต่มันคืออะไร ไม่รู้จักง่ะฉันเลยหันไปสะกิดถามกุกกุ๊ก
“เฮ้ย อีทูดี้นี่มันอะไรวะ “ ( ..)?
“ 0()
“อย่าบอกนะว่าแกไม่รู้จัก ไปอยู่ไหนมาวะ”
“อยู่ข้างๆแกเนี่ย ตกลงมันคืออะไร บอกหน่อยเด่ะ” ?_?
“ก็เครื่องสำอางอ่ะ มาจากเกาหลี เดี๋ยวนี้เครื่องสำอางจากเกาหลีกำลังฮิตน่ะ แต่มีหลายยี่ห้อนะ แต่ยี่ห้อนี้ออกแบบมาน่ารักน่าใช้อ่ะ ถามทำไม อยากใช้ว่างั้น”
“เปล่า ถามเฉยๆ ประเทืองปัญญาว่ะ “ ฉันบอกกุกกุ๊กแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือเรียนต่อ
อ้อดดดดดดดดดดดดดดด เสียงกริ่งหมดคาบเรียนดังขึ้นฉันเก็บของแล้วเดินมารอเพื่อนที่เหลือที่หน้าประตูยัยแมรี่เดินผ่านหน้าฉันไปแล้วสแยะยิ้มมุมปาก ฉันเลยส่งสายตาพิฆาตไปทีนึง ฉันได้ยินเสียงรองเท้ามาหยุดอยู่ด้านหลัง
“อ้าวเนม มาพอดีเลย เพิ่งเลิกคลาสเหรอ “ “อืม เห็นแล้วจะถามทำไมล่ะ” -_- “ไปทานข้าวกันเถอะ แมรี่หิ๊วหิว เนมอยากทานที่ไหนอ่ะ” ขึ้นเสียงสูงเชียว ตอแหลแน่ๆ
“ที่ไหนก็ได้ แล้วแต่เธอละกัน “ นายนี่เป็นแฟนกะยัยแมรี่เหรอเนี่ย ทำไมคำพูดมันเย็นชานักล่ะ แต่สำหรับคนมารยาทไม่ดีอย่างเขาก็สมแล้วล่ะ ฉันมองเขาด้วยสายตาจิกสุดฤทธิ์ *+*
และเขาก็กำลังมองมาทางฉันเช่นกัน
“อ้อ ยัยป้าวันนั้นนี่เอง มองอยู่ได้ ชอบฉันรึไง หึหึ” เขาหัวเราะในลำคอ หา! ฉันเนี่ยนะชอบนาย โอ้ยไอ้คนหลงตัวเอง หลงจนหาทางออกไม่เจอเลยมั้งนั่นน่ะ
“ฉันเนี่ยนะ ที่ฉันมองน่ะ เพราะเห็นผีเน่ากับโลงผุผุหรอก” ฉันตอบกลับ
“นี่ยัยแสตมป์ อย่ามาปากเสียแถวนี้นะ เมื่อกี้ว่าใครผีเน่าโลงผุหา” แมรี่จะปรี่เข้ามาหาเรื่อง
“ช่างเขาเถอะแมรี่ เขาคงอิจฉาเราน่ะ คนแก่ก็งี้แหละ” เขาว่าพร้อมหัวเราะในลำคอ
“ใคร ใครเค้าจะอิจฉาพวกนายกัน อย่าเข้าใจอะไรที่มันตรงข้ามกับความจริงหน่อยเลยนะ “
“ถ้าฉันเข้าใจถูก วันที่เธอเจอฉันวันแรกที่ห้องประชุม ที่พยายามยืนขวางฉันไว้เพราะเรียกร้องความสนใจไม่ใช่เหรอฮะ!” โอ้ยมันจะมากไปแล้วนะ
“ดูปากฉันนะ ฉัน-ไม่-ได้-สน-ใจ-นาย เข้าใจม้ายยยยย” ฉันตะโกนใส่หน้าเขาเสียงดังจนเพื่อนฉันต้องดึงฉันให้เดินไปก่อนจะมีคนมุงดูมากกว่านี้
“หึ อย่ามาตกหลุมรักฉันก็แล้วกัน” ดูมัน ฉันอยากกลับไปกระโดดกัดหูมันให้ขาดนัก ไอ้คนหลงตัวเอง นี่เขายังไม่รู้ตัวใช่มะว่านอกจากมารยาททรามแล้วยังชอบพูดกวนประสาทคนอื่นอีก ฉันล่ะไม่สงสัยเลยที่สองคนนี้เป็นแฟนกันพราะผู้หญิงก็ร้ายผู้ชายก็เลว
ไอ้พวกสี่สหายพาฉันมานั่งกินข้าวที่โรงอาหารคณะวิทยาศาสตร์ เพราะใกล้กับตึกเรียนและวันนี้หนุ่มมันอยากกินข้าวมันไก่ ใครๆก็รู้ว่าข้าวมันไก่คณะวิทย์ฯอร่อยเหาะแค่ไหน
“ฉันเอาข้าวมันไก่ ไม่เอาหนังนะ ปอร์จ๋า แตมป์ฝากด้วยน้า หุหุ” ฉันใช้ลูกอ้อนไหว้วานให้ปอร์ยกข้าวมาให้ ปอร์ทำหน้าเซ็งๆแต่ก็เดินไปซื้อให้แต่โดยดี
“กุกกุ๊กแกเอาไร ฉันจะไปซื้อมาให้ “ หนุ่มถาม
“ แกเนี่ยนะ” (+O+)
“เออ ทำไม งั้นไปซื้อเองเลย แมร่ง อุตส่าห์มีน้ำใจ” หนุ่มพูดงอนๆ ก่อนจะสะบัดตูดไปซื้อข้าวมันไก่
“ไรว้า ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรมันเลยนะ งอนเป็นตุ๊ดไปได้ ไอ้บ้าหนิ “
“ฝากมั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันไปซื้อให้ “ กั้งถาม ^o^
“เออ ฝากๆ เอาข้าวราดแกงน่ะ เขียวหวานกับไข่ดาวนะราดซอสพริกเยอะๆ” กุกกุ๊กสั่ง
เมื่อมาพร้อมองค์ประชุมแล้วพวกเราทั้งหกก็ลงมือทานข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย แล้วปอร์ก็ยิงคำถามมาที่ฉันโดยไม่ทันตั้งตัว
“แตมป์ ถามไรหน่อยดิ แกกับไอ้เด็กนั่นมีปัญหาอะไรกันวะ เจอหน้ากันก็กัดกันเหมือนหมาชิวาว่าเลย”
“ชิวาว่าบ้านแกดิ ก็แกเห็นป่ะล่ะ ตั้งแต่วันจับสลากเลือกน้องรหัสแหละ ฉันยืนขวางประตูอยู่ แล้วอีตานั่นจะออก แต่เค้าไม่พูดดีๆ ฉันเลยสั่งสอน แล้วยัยแมรี่ก็หวงก้าง กลัวฉันจะคิดมีแผนแย่งนายนั่นเลยชอบหาเรื่องฉันไง” ฉันเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ปอร์ฟัง เพราะเดาว่าวันนั้นยัยกุกกุ๊กคงไม่ได้บอกละเอียดนัก
“นี่ เนมเค้าก็หล่อดีอ่ะ ไม่น่าคบกะยัยแมรี่เลย ได้ยินมาว่าเป็นลูกเจ้าของเซนทอลด้วยนี่ใช่มะ” 0-0
“อ้อเป็นลูกเจ้าของห้าง เลยมายืนพลอดรักกันหน้าห้างไม่อายสายตาชาวบ้านน่ะนะ “
“ฮะ แกว่าไรนะแตมป์” กุกกุ๊กจับข้อมือฉันที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากเกือบทำหกใส่กระโปรง
“ก็ฉันเห็นสองคนนั่นยืนพลอดรัก กอด จูบ ลูบ ไล้ กันอยู่หน้าห้างน่ะสิ วันที่เราไปประตูน้ำกันน่ะ” ฉันบอกพลางตักข้าวคำเมื่อกี้เข้าปากแล้วเคี้ยวงับๆ
“อย่างว่าอ่ะเนอะ ยัยแมรี่แรงขนาดนั้น เฮ้อ สงสารเนมจริงๆไม่น่าเล้ย” (.3.)
“แกอย่ามาพูดจายกย่องนายนั่นให้มันมากนักนะยัยกุกกุ๊ก ฉันสะเอียน” (=_=)
“โอ้ย แกนี่ก็ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องแค่นี้เอง” ยัยเพื่อนตัวดีว่าพลางเตะที่เท้าฉัน เฮ้ย มันเจ็บนะว้อยย
“เฮ้ย ไม่ตายง่ายว่ะ ดูนั่นดิ เดินมาและคู่ขาแกอ่ะแตมป์” หนุ่มพูดพร้อมเพยิดหน้าไปทางสองคนนั้นที่กำลังเดินไปที่รถเฟอรารี่สีบรอนด์ คันงาม
“คู่ขาเหรอ ไอ้บร้า พูดอะไรน่าขนลุก” ฉันเห็นยัยแมรี่หันมามองพวกเราแล้วยิ้มมุมปากก่อนจะขึ้นรถไป เห็นแล้วมันคันมือนัก อยาก
.
“โอ้ย อยากตบปากคน “ ไม่ต้องรอให้ฉันคิด เพราะสิ่งที่ฉันคิดยัยกุกกุ๊กพูดแทนแล้ว ใช่ อยากตบปากคน หมั่นไส้นัก ไอ้พวกอวดร่ำอวดรวย พวกทำตัวเวอร์ๆ
ความคิดเห็น