ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Holy knight X Holy children

    ลำดับตอนที่ #7 : Holy knight X Holy children ภารกิจที่1

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.พ. 51


    คำเตือน!!!!

    แฟนฟิคชั่นยำรวมมิตรการ์ตูนสามเรื่องนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอ.โยชิฮิโระ โทงาชิ และอ.ฮิโรยุกิ ทาเคะอิ ทว่าฟิคชั่นนี้คือจินตนาการของคนแต่ง ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องจริงแต่อย่างใด

    SM เลือดสาด ไส้กระจาย ไม่เหมาะกับคนไร้ความหัวรุนแรง กรุณารับความวิปลาศของคนแต่ง

    ใครอยากอ่านแนวบู๊ มีให้อ่านแน่ๆ(เหรอ)

    ใครไม่ชอบความแปลกใหม่ กลับหลังหัน!

    คนแต่งไม่เต็มเต็ง กรุณาอย่าลอกเลียนแบบ

    ถ้าหมั่นไส้ในความปากมาก+ปากหมาของคนแต่ง ได้โปรดอย่าทำไสยศาสตร์เข้าเลย กลัวเป็นนะขอรับ  

    ถ้าท่านผู้อ่านมีคุณสมบัติครบถ้วน ก็เชิญทัศนาได้ตามอัธยาศัยเลยฮะ

    สุดท้ายอยากบอกว่า “รักดอกจึงหยอกเล่น” 5555+

    ไม่มีอะไรแล้ว เชิญอ่านได้เลยขอร้าบบบ


    Holy knight X Holy children ภารกิจที่1….พบเจอxภาระxซาตาน
    +-+-+-+

    ความมืดคือสิ่งที่หลายสรรพสิ่งหวาดกลัว

    แสงสว่างคือสิ่งที่หลายสรรพสิ่งต้องการ

    หากแต่ในบางครา หลายสรรพสิ่ง กลับต้องการความมืดเพื่อให้ตนได้หยุดคิดและหลับใหลในอ้อมกอดแห่งรัตติกาล

    หากแต่ในบางครา หลายสรรพสิ่งกลับไม่ต้องการแสงสว่าง เพื่อให้ตนได้จมปรักกับตนเองและหลับใหลโดยไม่ข้องแวะกับแสงเจิดจ้า

    หากเบื้องหน้ามืดมนเกินไปก็แสนจะผวา

    หากส่องสว่างเกินไปก็แสนจะแสบตา

    แล้วอะไรล่ะ ที่จะมาแบ่งเขตขวางกั้นสองสิ่งเหล่านั้น

    ให้เกิดความเที่ยงตรง ตรงกับสิ่งที่หลายสรรพสิ่งปรารถนา…..


    เคหสถานอันเป็นที่พำนักของหัวหน้า กองโจรผู้ลือเลื่องในความโหดเหี้ยมและเก่งกาจ ม่านรัตติกาลปกปิดซ่อนเร้นกายผู้พำนัก ภายในที่แสนหรูหราโอ่โถง สีนิลตัดกับสีแห่งแสงสว่าง บุรุษผู้ห่มกายด้วยอาภรณ์ราวกับม่านฟ้าในยามนี้ ดวงตาและเรือนผมสีนิลเดียวกันที่ราวกับจะกลมกลืนกับเพลาอันพร่างพรางแสงดาวไว้บนนภาลัย
     คืนนี้แม้เพียงจะดูเหมือนราตรีทั่วไปที่แสนน่าเบื่อ หากแต่ร่างนี้กลับไม่รู้ว่าบางสิ่งได้นำพาภาระอันยิ่งใหญ่มาสู่ตัว

    จู่ๆ ชายหนุ่มผู้นั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ได้ลุกขึ้น มือขาวซีดข้างซ้ายจับหนังสือแล้ววางลงบนโต๊ะกลมสีดำมันวาว เท้าทั้งสองข้างนำพาเจ้าของก้าวไปสู่ระเบียงที่ยื่นออกมาจากห้อง ดวงแก้วนิลทั้งคู่ชายตามองหลังคาของห้องสมุดอย่างฉงน

    “คิดไปเองรึเปล่า รู้สึกเหมือนมีใครแอบลอบเข้ามาที่นี่”

    เสียงทุ้มดังขึ้นบนระเบียง แล้วกำลังจะก้าวขาเพื่อกลับเข้าสู่ห้อง

    !!!!!

    กระแสออร่ารุนแรงคุกคามราวกับปีศาจ ร่างสูงชะงัก ก่อนที่ในมือข้างขวาปรากฏหนังสืออันมีรอยมือประทับบนหน้าปก ดวงเนตรมองรอบกายอย่างเชี่ยวชาญ เสื้อคลุมสีดำทับชุดนอนสีเทาเข้มปลิวสะบัดตามแรงสายลม

    เฟี้ยว!!!

    มีดเล่มเล็กพุ่งตัดอากาศ ตรงไปยังใบหน้าคมของชายหนุ่ม หากแต่ร่างสูงนั้นเอี้ยวตัวหลบอย่างมืออาชีพ พลางมองผู้ขว้างมีดเล่มนั้น

    “ใคร!”

    ไร้คำตอบ แต่แทนที่ด้วยของมีคมนานาชนิดพุ่งตรงใส่ร่างสูงเหมือนห่าฝนยามพายุ  ร่างสูงกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว

    ตุบ!!!!

    บางสิ่งกระทบกับพื้นส่งผลให้เกิดเสียงดังเล็กน้อย แต่เพียงพอที่ชายหนุ่มจะรับรู้เสียงนั้น

    “เธอเป็นใคร”

    จิตสังหารกระจายไปทั่วบริเวณ แต่กระนั้นกลับมิได้สร้างความหวั่นเกรงให้กับร่างนั้น
    สิ่งที่เขาได้เห็นคือร่างของบุคคลปริศนารูปร่างผอม เสื้อสูทและกระโปรงและรองเท้าหุ้มข้อเท้า บ่งบอกว่าเป็นการแต่งกายของเพศหญิง หากแต่....บางคราการแต่งกายอาจไม่ได้ช่วยให้รู้เพศเสมอไป....

    เมื่อแสงจันทราสาดส่องเข้ามายังบานหน้าต่าง จึงได้พินิจใบหน้านั้นได้ชัดขึ้น เนตรวาวโรจน์ราวกับสัตว์หาเหยื่อยามราตรี ใบหน้าไม่อาจระบุเพศได้แน่ชัด ดูทั้งงดงามและคมคายน่าฉงน ผิวสีขาวตัดกับเส้นเกศาสีนิล ในมือนั้นถือดาบเงาวับอันสะท้อนแสงออกมาชัดเจน

    “สวัสดี คุโรโร่ ลูซิเฟอร์ ในที่สุดก็ได้คุยกันแล้ว.....” รอยยิ้มวิปลาสฉาบบนเครื่องหน้า น้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ หากแต่ตรงกันข้ามกับการกระทำสิ้นดี

    “พูดเรื่องอะไร? คิดว่าตัวเองอยู่ในสภาพไหนกัน?”

    ชายหนุ่มผู้ไร้พ่าย หัวหน้าแห่งกองโจรเงามายา กลับถูกคนแปลกหน้าท้าทายถึงขนาดบุกเข้ามาเองตามลำพัง

    .....ราวกับว่าเขาคนนี้ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของคนที่อยู่เหนือคนอื่น.....

    “เอาคำถามของฉันคืนมา” เนตรอำพันมองด้วยสายตายากจะเข้าใจนัยแฝง “ในเวลาแบบนี้นายไม่มีสิทธิ์พูด....”

    “ไม่มีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ?” หัวเราะเบาๆในลำคอ “นายคิดว่าฉันจะก้มหัวให้นายที่ไม่รู้กาลเทศะบุกเข้าห้องคนอื่นหน้าตาเฉย แต่ถ้าจะคุยกันต่อ ฉันแนะนำว่ามาคุยกันด้วยอย่างอื่นดีไหม?”

    สกิลฮันเตอร์เปิดกางออก เล็บสั้นกรีดลงไปราวขู่ขวัญ เนตรนิลกาฬส่องประกายท้าทาย ผยองในความเก่งกาจ และประมาทจากภายนอกไม่น้อย


    “ฉันไม่ได้อยากเล่นกับนายนักหรอกนะ แต่ว่า....ช่วยไม่ได้”
    วาจาเย็นชาเชือดเฉือน  รอยยิ้มวิปลาสปรากฏ ก่อนที่ความเร็วที่เร็วยิ่งกว่าการกระพริบตา ได้หลอกสายตาของเพชฌฆาตแห่งแดนปฏิกูล!

    ผัวะ!!!

    หมัดถูกเหวี่ยงเข้าที่ซี่โครงของร่างสูง แม้จะฉากๆแต่กลับเจ็บแปลบ อาจเป็นเพราะมันได้รับการเสริมพลังจากออร่าที่ช่วยให้การโจมตีหนักหน่วงมากขึ้น ไม่ทันได้ตั้งตัว กระบวนท่าถูกงัดมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว รุนแรง และทรงพลังยิ่ง หลบหาทางตั้งตัว เพราะภายในห้องที่ไม่เหมาะกับเป็นลานประลองทำให้เกิดปัญหา

    ใครจะรู้ว่าการที่ตัวสูงจะมีอุปสรรค์ไม่น้อย...

    คงเพราะร่างเล็กตัวไม่ใหญ่มาก ทำให้การเคลื่อนไหวนและการหลบซ่อนเป็นไปได้ง่าย แต่อย่าหวังว่าคุโรโร่ ลูซิเฟอร์ผู้นี้จะพ่ายแพ้ต่อคนปริศนาผู้นี้

    ......อย่าคิดว่าคนอย่างฉันจะโง่ หลงกลคนอย่างแก....

    เสี้ยววินาทีที่เท้าเตะใส่กองหนังสือจนร่างเซเล็กน้อย หมัดขวาเสยเข้าที่ลำตัวร่างผอม หมายจะต่อยให้จุก แต่น่าเสียดายที่มันถูกป้องด้วยแขนเล็กที่ตั้งการ์ดป้องกัน

    “อย่าคิดว่านายจะเก่งคนเดียว!”

    เสี้ยววินาที กำปั้นเล็กพุ่งตรงใส่ศีรษะของชายหนุ่ม การ์ดป้องกัน แล้วสวนหมัดซ้ายเข้าใส่เธออีกครั้ง


    ทว่า!!!!

    หากว่าเสี้ยววินาทีสั้นแล้ว แต่สิ่งที่เผชิญนี้ ยิ่งกว่าเสี้ยววินาทีเสียอีก! ร่างสูงกลับถูกพันธนาการด้วยโลหะออร่าติดตรึงกับพนัง กุญแจมือโบราณห้องโยงกับสายโซ่เหมือนโซ่ตรวนจับกุมนักโทษ ข้อเท้าถูกตรึงด้วยโซ่สีเงินยาว สภาพของเขาไม่ต่างจากนักโทษ

    ...สัมผัสเย็นเฉียบของโลหะ....

    “ขอชื่นชมในความเก่งกาจ” ยิ้มสู้ด้วยความไม่กลัวตาย “และที่ทำหมายความว่าอะไร? คุณผู้บุกรุก?”

    ว่าพลางใช้เน็น แต่ก็ไร้ผล เมื่อเห็นเครื่องหมายคำถามบนอากาศ ร่างเล็กจึงฉีกยิ้มแล้วเฉลยให้ทราบ
    “เปล่งออร่าไม่ไหวหรอก นายถูกจองจำในสภาพเซ็สสึอยู่ เอาล่ะ ตอนนี้ก็สะดวกที่จะคุยกันแล้ว”

    “มีอะไรก็ว่ามา” ชายหนุ่มเอ่ยบอกเหมือนกำลังยืนคุยกับเพื่อนสนิทไม่ปาน

    “มีเรื่องจะขอร้อง”

    “เรื่องอะไร?”

    “ก่อนอื่นฟังหน่อยนะ จริงสิ เริ่มง่วงแล้ว กาแฟอยู่ไหนล่ะ คุโระจัง”

    พูดเนิบนาบอย่างสบายอารมณ์ตรงข้ามกับชายหนุ่มผู้ซึ่งเริ่มจะมีอารมณ์คุกรุ่นอย่างไม่ต้องสงสัย

    “นั่นคือชื่อที่เรียกเหรอ? กาแฟไปหาเองสิ มีมือมีเท้าไม่ใช่รึไง

    “เป็นเจ้าบ้านที่บัดซบดีเนอะ” ยิ้มอ่อนโยนกลบรังสีอำมหิต “แต่ไม่เป็นไร หาเจอแล้วล่ะ”

    ทำเป็นไม่สนใจคำพูดของเขา มือเรียวหยิบซองกาแฟดำแล้วเทลงในถ้วยเปล่าที่วางอยู่บนสำรับสำหรับชงกาแฟตั้งอยู่ใกล้โต๊ะรับแขก

    “ฉันชื่อคูกะ โคล เป็นชนเผ่าโคล ชนเผ่าแห่งนักปราชญ์ ตอนนี้เป็นเด็กสาวอายุ16ปี ภายนอกน่ะ แต่วันอื่นอาจจะไม่ใช่ คึๆๆๆ”

    พูดไปมือเทผงครีมเทียมลงในถ้วยสีดำ

    “แล้วไง”

    “ช่างหัวมันเรื่องในอดีต บอกแค่ว่าฉันไม่ใช่คนมันละกัน ให้ทายสิ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ซะด้วย”

    ช้อนโลหะคนส่วนผสมลงในกาแฟ น้ำร้อนที่เพิ่งต้มใหม่ละลายผงกาแฟอย่างง่ายดาย

    “ฉันไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆที่จะฟังคำโม้โอ้อวดของเธอ ถ้าไม่ใช่ทั้งสองอย่างก็ปิศาจล่ะนะ”

    คุโรโร่หัวเราะเย้ย พยายามดึงโซ่ให้ขาดแต่ก็ไร้ผล

    “ไม่ได้โม้หรอก...จะบอกเอาบุญในวันพระ เทพไง เคยเจอตัวเป็นๆมั้ย? ฉันน่ะเป็นเทพแห่งสมดุล ถ้าเรื่องต่อสู้ฉันไม่เป็นรองใครก็แล้วกัน อีกอย่างไร้ประโยชน์น่าถ้านายจะดึงมันออกนะ ต่อให้เป็นอุโบกินเพื่อนแก๊งแมงมุมเบอร์สิบเอ็ดก็ดึงไม่ออกหรอก”

    “รู้ได้ยังไง” ทันทีที่ชื่อของเพื่อนที่มีไม่กี่คนรู้จัก ถ้าในกรณีของคนภายนอก ร่างสูงสวนถามขึ้นด้วยความสงสัย

    “อ้าว...ก็บอกแล้วไงว่าเป็นเทพ ยังไงก็รู้จักนายดีคนนึงละ รู้ด้วยว่านายแอบชอบเจ้าคนใช้โซ่ที่ฆ่าอุโบใช่มะ”

    คูกะบอกอย่างเบื่อ แล้วดื่มกาแฟเข้าไป รอดูปฏิกิริยาของร่างสูงเนื่องด้วยความที่ต้องการกลั่นแกล้ง


    นี่เขากำลังจะเป็นบ้าเพราะคนแปลกหน้าคนเดียวเรอะ!

    เจ้าคนที่เหมือนผู้ชายมากกว่าผู้หญิงคุยกันอยู่ตอนนี้ กำลังแบล็กเมล์เขา?

    มันจะมากไปหน่อยแล้ว!

    “เอาอะไรมายืนยันล่ะ?”

    “อืม.....กาแฟรสเยี่ยมนี่ ไม่ใส่น้ำตาลก็อร่อยแฮะ”

    ไม่สนใจจะตอบคำถาม ร่างผอมเดินไปยังระเบียง เหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้า

    “ชั้นจะเล่าสาเหตุที่ชั้นต้องขอให้นายช่วย...”

    “นั่นล่ะคือสิ่งที่ฉันต้องการ....”

    ชายหนุ่มมองร่างผอมอย่างโมโหกรุ่น แต่ไม่อาจแสดงออกมาได้ เพราะเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเขากำลังกลายเป็นเบี้ยล่างให้ขย้ำ

    ....มีความตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...

    ....แต่ก็มีศักดิ์ศรีค้ำจูนเสมอ...

    ....จะมาตายในสภาพแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด

    “หลังจากที่ฉันได้เป็นเทพนารี ที่สวรรค์เราจะมีการสอบเลือกเทพชั้นสูงที่คอยดูแลโลกด้วยนะ คล้ายๆกับโลกของพวกนาย เหมือนการสอบฮันเตอร์นั่นแหละ...มีเจ้านายอยู่สี่คน คือท่านฮิคารุ เป็นเทพแห่งสมดุล ท่านคูลเทีย เทพนารีแห่งการทำลาย ท่านเป็นหญิงสาวที่เก่งกาจเรื่องการต่อสู้ แล้วก็รักต้นไม้มาก อีกคนคือท่านคูลลิเทีย ท่านเป็นเทพแห่งการรักษา ไม่ว่าจะบาดเจ็บยังไง ท่านก็รักษาได้ ท่านเป็นนารีที่สวยที่สุดเลยก็ว่าได้ คนสุดท้ายคือลีเซีย อายุน้อยกว่าชั้นนะ เธอเป็นเทพแห่งการสรรสร้าง มีพลังอำนาจในการสร้าง แม้จะเป็นเด็กที่ค่อนข้างตัวเล็ก และอ่อนแอ แต่ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ทั้งสี่ท่านเป็นเหมือนครอบครัวเมื่อฉันอยู่ที่นั่น”

    เธอจิบกาแฟซักครู่

    “จนกระทั่งวันหนึ่ง ซาตานคนหนึ่งหลงมายังสวรรค์ แล้วท่านคูลลิเทียได้พบเจอ จากนั้นไม่นานซาตานคนนั้นก็ได้กลายเป็นที่รักของพวกเรา เราเป็นเพื่อนรักกัน แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน พวกดาร์คอีวิล วิญญาณชั่วร้ายที่หมายจะครอบครองท่านหญิงคูลลิเทีย”

    “หือ...ทำไม?”

    “ฝ่ายดาร์คอีวิลต้องการเทพนารีแห่งการรักษามาก ยิ่งเป็นผู้มีพลังแกร่งยิ่งอันตราย จริงๆที่สวรรค์มีข่าวลือว่า ใครที่ได้นารีผู้มีเส้นผมดุจแสงตะวัน ดวงเนตรสีมรกตน้ำงาม และมีพลังรักษาอันเป็นเลิศแล้ว ชายผู้นั้นจะเป็นอมตะ เพราะเขามีสิทธิดูดซับพลังชีวิตของเธอได้ เผอิญรึเปล่าไม่รู้ ที่แน่ท่านคูลลิเทียก็เป็นแบบที่ว่านั่นแหละ”

    หลังจากดื่มกาแฟเสร็จ นั่งลงกับเก้าอี้ไม้สีดำ แล้วเล่าต่อด้วยท่าทีสงบ

    “วกไปที่เรื่องเดิม พวกดาร์คอีวิลได้เข้ามาป่วนสวรรค์ ท่านเทพทั้งสี่ถูกจัดการ ฉันกับซาตานคนนั้นเลยต้องถูกสวรรค์ลงโทษ ชาตานถูกไล่ให้ไปเกิดใหม่ เพราะแอบอยู่บนสวรรค์ ส่วนชั้นถูกเนรเทศให้มาอยู่ที่นี่”

    “มันไม่เห็นเกี่ยวกับฉันไม่ใช่รึไง” เย้ยหยันด้วยน้ำเสียง มองปฏิกิริยาของคนเบื้องหน้า

    “เงียบน่า... วกไปอีกรอบ ตอนที่ท่านหญิงทั้งสามกำลังจะสลายไป เทพบนสวรรค์จะตายเมื่อถูกโจมตีแล้ววิญญาณถูกทำให้เป็นเศษ ก่อนที่ทั้งสามจะหายไป ฉันได้ใช้วิชา “ดัดแปลงวิญญาณ” เก็บเศษวิญญาณแล้วผนึกลงในคริสตัลเวทมนตร์ แล้วแปรสภาพมันในรูปของจี้ไม้กางเขนอันนี้”

    คูกะชูไม้กางเขนสีเงินในมือ ก่อนจะเล่าต่อ

    “พอชั้นถูกเนรเทศไปยังโลกมนุษย์ ฉันได้เริ่มต้นดัดแปลงวิญญาณเพื่อที่จะใส่ลงไปในตัวอ่อนทารกของมนุษย์เพื่อที่จะให้ท่านเทพทั้งสามมีชีวิตใหม่ และเพื่อเป็นไม้ตายจัดการกับดาร์คอีวิล...ฉันเรียกพวกเขาว่าโฮลี่ ชิวเดร้น ชั้นเลือกครอบครัวจากโลกนี้ก่อน โดยเลือกครอบครัวที่มีพ่อแม่ครอบครัวที่ดี”

     “แต่ว่าพอเด็กคนนั้นมีอายุไม่ถึงเดือน แม่ของเขาไปเที่ยวข้างนอก แล้วถูกหมอดูชื่อดังทักเข้า บอกว่าเด็กคนนั้นจะกลายเป็นจอมทำลายล้าง คำทำนายนี้ทำให้เธอหวาดกลัว แล้วจึงเล่าให้สามีฟัง จนในที่สุดเด็กคนนั้นก็ถูกทิ้งไว้ที่นครดาวตก”


    “นั่นก็คือนายยังไงล่ะ”


    ชายหนุ่มช็อกมากกับเรื่องที่เธอเล่า แม้ว่าในใจจะเคลือบแคลง แต่เมื่อสบลึกในแววตามุ่งมั่นแล้ว จากประสบการณ์มันฟ้องว่าเธอเป็นคนซื่อสัตย์ ซื่อตรง และไม่ได้พูดโกหกแต่อย่างใด

    “เด็กคนนั้นเติบโตมาอย่างยากลำบาก ฉันเองที่เฝ้ามองอยู่ห่างๆไม่สามารถช่วยอะไรได้ จนกระทั้งเด็กคนนั้นเริ่มฆ่าคน ฉันทนให้ท่านคูลเทียที่มีวิญญาณอยู่ครึ่งหนึ่งของเด็กคนนั้น ต้องแปดเปื้อนไปมากกว่านั้นไม่ได้ ฉันจึงถอดวิญญาณนั้นออก แต่ว่าเด็กคนนั้นก็ยังคงมีวิญญาณของโฮลี่ชิวเดร้นเหลืออยู่ พอเติบโตขึ้นจึงมีคุณสมบัติของโฮลี่ชิวเดร้น”

    “แล้วโฮลี่ชิวเดร้นมันคืออะไรล่ะ?” เรื่องต่างๆที่ได้ฟังแม้เหลือเชื่อ แต่หากนำมาปะติดปะต่อแล้ว พอจะมีเค้าความจริงหลงเหลืออยู่

    “โฮลี่ชิวเดร้นคือ เหล่าผู้มีความสามารถชำระวิญญาณชั่วร้ายได้ บริสุทธิ์ดุจน้ำค้างแรกอรุณ ไม่สามารถระบุเพศได้ชัดเจน งดงามเยี่ยงอิสตรี หากแต่เป็นบุรุษเพศที่เข้มแข็ง และอ่อนโอน เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม เลิศล้ำด้วยสติปัญญา หาญกล้าไม่เกรงกริ่งต่อความตาย ไม่มั่วอบายตัณหาราคะ ถึงแม้ที่ฉันว่าคือพวกออริจินอลก็เถอะ แต่ว่านายก็ยังมีคุณสมบัติเหลือ ก็คือนายไม่กลัวตาย ไม่เจ้าชู้ ไม่หลีสาว ฉลาด แล้วก็หน้าตาดี”

    คูกะทำหน้าเหยเก แล้วมองใบหน้าคมของร่างสูงที่ยืนฟังโดยถูกตรึงกับกำแพง

    “จะบอกให้รู้ว่าโลกมนุษย์มีหลายโลก แล้วโลกฮันเตอร์นั้นพิลึกที่สุดด้วย ฉันดัดแปลงวิญญาณเด็กไปสามคนในตอนนี้ ชั้นเปลี่ยนแผนใหม่ทันทีที่ถอดวิญญาณเด็กผู้ชายคนนั้น แล้วจึงมองหาปีศาจที่โลกวิญญาณแทน ได้ลองมองหาอุโมงค์ที่เชื่องต่อกับโลกคู่ขนานกับโลกวิญญาณ แล้วด้วยความบังเอิญเจอวิญญาณจิ้งจอกเก้าหางที่อ่อนแอ ชั้นคิดว่าวิญญาณต้องเข้าสิงร่างตัวอ่อนทารกแน่ ฉันไม่รอช้ารีบดัดแปลงวิญญาณเพียงเสี้ยววินาที ที่วิญญาณทั้งสองบรรจบกัน งานนี้เหนื่อยหน่อย ยังดีที่ไก่ไม่ตื่น เหอะๆๆ ต่อมาชั้นเลยเอาวิญญาณท่านคูลลิเทียมาดัดแปลง ลงที่ชนกลุ่มน้อย เผ่าคูลท์ยังไงล่ะ”

    “งั้นหมายความว่า....” เนตรดุจถ่านเบิกอย่างแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

    “ช่าย....คนนั้นก็คือคุราปิก้านั่นเอง จริงๆนายก็กะจะฆ่าเขาใช่มั้ย แต่เด็กที่เป็นโฮลี่ชิวเดร้นจะมีระบบเน็นป้องกันความปลอดภัย พวกเดียวกันจะฆ่ากันไม่ได้เด็ดขาด ฉันเลยดลใจนายไม่ใช่ฆ่าเค้า ก็เลยรอดไป แล้วก็ย้อนไปหลายปี ฉันใส่วิญญาณดัดแปลงลงที่ครอบครัวที่พ่อเป็นนักสืบ แล้วก็เป็นชาแมนด้วย คิดว่าเขาจะเติบโตมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด แต่ไม่วาย พ่อแม่ของเขาถูกฆ่า มีชาตะกรรมคล้ายกับคุราปิก้า”

    “ ตอนนั้นฉันท้อมาก ฉันรู้สึกผิดที่ลากพวกเขามาพบเจอกับอันตราย เห็น...พวกเขาร้องไห้....ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่สามารถปลอบใจเขาได้ นี่ก็ผ่านไปนานแล้ว พวกเขาเติบโตเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น แถมยังมีหน้าตาไม่ได้ต่างจากเทพนารีทั้งสามที่ชั้นรู้จัก หน้าตาสวยทั้งๆที่เป็นผู้ชาย ก็เพราะว่าชั้นทำพันธุกรรมให้พวกเค้าแตกต่างจากมนุษย์คนอื่น ถ้าเรื่องวิทยาศาสตร์ชาวโคลก็ไม่ได้ห่วยแตก  ฉันเลือกใช้หลักแห่งสมดุลเป็นจุดยืน ใช้เน็นสร้างเงื่อนไขให้ทั้งโครโมโซมxx(ผู้หญิง) กับโครโมโซมxy(ผู้ชาย)ให้เท่ากันอย่างละห้าสิบเปอร์เซ็นต์”

    คูกะยิ้ม เครื่องพันธนาการมลายหายไป ร่างสูงล้มกระแทกกับพื้นจนต้องสบถเบาๆ

     “จะปล่อยก็บอกกันก็ได้ แต่ว่าเรื่องที่เล่าน่าเชื่ออยู่หรอก แต่ทำไมฉันต้องช่วย”

    คุโรโร่คัดค้าน เดินอย่างสุดเซ็งแล้วนั่งลงข้างๆ ใจจริงอยากฆ่าให้ตายคาที่ด้วยซ้ำ

    “แต่การทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ต่างจากโคลนนิ่งมนุษย์เลยนะ ทั้งๆที่รู้ว่าผิดหลัก แถมเป็นวิทยาศาสตร์การตัดต่อพันธุกรรมจีเอ็มโออีกต่างหาก ไม่กลัวคนที่สวรรค์จะรู้รึไง”

    ชายหนุ่มบอกอย่างแปลกใจ ระคนสงสัยที่ว่าทำไมเด็กชนกลุ่มน้อยจะมีความรู้เพียงนี้

    “ใครจะสนล่ะ อีกอย่างถ้าเพื่อจัดการกับพวกที่ทำลายคนบริสุทธิ์ล่ะก็ มันก็คุ้มแล้วสำหรับโลกนี้”

    น้ำเสียงมุ่งมั่นพร้อมออร่าสีทองเปล่งประกายแห่งความรุ่งโรจน์ อันแสดงถึงความตั้งใจของเธอ

    “เหรอ? ถ้านอกจากโครโมโซมสิ่งสำคัญในการสร้างความเป็นเพศ ฮอร์โมนเพศก็ใช่ ใช่มั้ย?”

    จากที่เคยคัดค้านกลับกลายเป็นคล้ายตามเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องฟังคำพูดของคูกะ

    “นายเนี่ย...ฉลาดอย่างที่คิดเอาไว้แฮะ! ทั้งฮอร์โมนเอสโตรเจน(หญิง)จะเท่ากับฮอร์โมนเทสโทสเทอร์โลน(ชาย) เพราะว่าการทำอย่างนั้นจะทำให้พวกเค้าเป็นบุคคลแห่งสมดุลไปโดยปริยาย แต่ข้อเสียคือไม่สามารถควบคุมฟีโรโมนส์ได้ ร่างกายจึงปล่อยฟีโรโมนส์มามากกว่าปกติ แถมยังเป็นฟีโรโมนส์ดึงดูดทุกเพศไปเลย แต่ว่านะ มันก็ทำให้พวกเค้าอารมณ์แปรปรวน โดยเฉพาะคุราจัง....ส่วนอีกสองคน จะมีหนึ่งในนั้นที่จิตสมดุลที่สุด แถมสวยน่ารักพอๆกับคุราจัง นายอย่าสับสนเอาละกัน”

    ดวงตาของผู้พูดมองผู้ฟังอย่างข่มอำนาจ เครื่องหมายคำถามลอยฟุ้งอยู่ทั่วหัว

    “ฉันไม่สนหรอก...แต่เธอสิ น่าเป็นห่วง”

    คูกะไม่สนใจคำด่า แต่เล่าต่อไปเรื่อยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “ฉันคิดว่าพวกเขาจะเป็นเด็กมีปัญหา แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นเด็กดีที่ใครๆก็นับถือ แถมเก่งสุดๆไปเลย พวกเขามีเพื่อน...เพื่อนที่แสนดี จนอดอิจฉาไม่ได้ ตอนนี้มันถึงเวลาที่ฉันจะเรียกใช้พวกเขาแล้ว เลยอยากให้นายช่วย เพราะฉันละทิ้งเพื่อนพ้องไม่ได้”

    “เรอะ....”

    “ก็อย่างที่บอกแล้วไง อีกอย่างถ้านายไม่ทำตามล่ะก็.....”

    หยิบลูกแก้วใส ภายในบรรจุแหวนสีทองอร่าม ผูกปลายด้วยเชือกสีแดงสด

    “อะไร”

    “ไปกันเหอะ”

    “ไปไหน?”

    “เออน่า อยู่ข้างๆฉัน”

    ชายหนุ่มทำตามด้วยความหงุดหงิด แล้วเด็กสาวจึงขานขึ้น

    “โกดังรังแมงมุม นครดาวตก โลกฮันเตอร์ สู่จุดหมาย”

    !!!!!!!!!!!

    แม้เศษเสี้ยววินาทีไม่อาจเทียมเทียบ ร่างราวถูกกระตุกด้วยบางสิ่ง จนกระทั่ง....

    ทั้งสองร่างยืนอยู่บนจุดหนึ่ง เท้าสี่เท้าเหยียบอยู่บนกองขยะ ดวงเนตรสีนิลฉายแววฉงนเล็กน้อย เขาก้าวไปยังโกดังแห่งหนึ่งจากที่ได้ยินคร่าวๆ

    “จิตของเพื่อนๆฉัน? เธอจะทำอะไร?”

    คูกะยิ้มเหยาะ แล้วก้าวนำหน้า

    “เดี๋ยวก็รู้”

    เบื้องหน้าคือร่างไร้สติของผองเพื่อน เหล่าเงามายาผู้เก่งกาจถูกกำราบโดยฝีมือผู้เรียกตัวเองว่าเทพ มือเท้าทั้งสี่พันธนาการด้วยสายโซ่ หากแต่ผิวกายนั้นไร้ซึ่งบาดแผล ชายหนุ่มนับแปดคนและหญิงสาอีกสอง พวกเขาถูกตรึงโดยยังคงมีสติอยู่


    เป็นไปไม่ได้......เจ้าพวกนั้น....แพ้...เจ้าคนพรรค์นั้น.....ง่ายๆแบบนี้เลยรึไง!....


    “พวก...นาย....”

    “อยากให้นายร่วมมือกับชั้น ถ้าปฏิเสธล่ะก็”

    เด็กสาวยิ้มอย่างน่ากลัว

    “ฉันจะฆ่าพวกนี้ซะ”

    “หมายความว่า...ยัง.....ไง”


    สัมผัสได้ถึงจิตอาฆาครุนแรง ความสงบนิ่งที่ได้สัมผัส บัดนี้มันกำลังเยือกเย็น หากแต่มืดมน น่าเกรงขาม

    แม้นสายตายังราวกับเพชฌฆาตที่พร้อมกระชากเหยื่อให้ไร้ซึ่งอนูวิญญา

    นี่แหละ....หัวหน้า..กองโจรเงามายา.....


    “หะ...หัวหน้า...ยัยบ้าเนี่ยมันต้องไม่ใช่คน ไม่ใช่ผู้ใช้เน็นระดับธรรมดา ความเร็ววัยเหนือแสงซะด้วยซ้ำ!”

    เสียงตะโกนแห่งความเกรี้ยวของหนึ่งในพวกนั้น เขาคือฟิงค์ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นอันดับสองของแก๊งแมงมุม

    “ยังไม่ทันที่พวกเราจะทำอะไร ยัยนั่นก็จัดการตรึงพวกเราเอาไว้เฉยเล้ย!! ฮึ้ย!!! ยัยบ้านี่มันต้องเป็นปีศาจแหงๆ!!”

    ร่างสูงผอม เส้นผมยาวสีดำมัดทรงซามุไรสมัยเก่าแก่เอ่ยสมทบด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกันมาก

    “อย่างที่โนบุนางะพูดแหละค่ะ....แถมจะเรียกว่าเน็นก็ไม่ใช่ซะด้วย เป็นความสามารถพิเศษที่ไม่เคยมีใครใช้ล่ะมั้งคะ”

    หญิงสาวสวมแว่นตากลม ผมสีดำขลับสีเดียวกับผู้เป็นหัวหน้าบอกอย่างจำนน ดูเหมือนว่าคนอื่นๆจะไม่กล้าแม้แต่สบตาผู้ซึ่งเป็นผู้บัญชาของกองโจร

    เหล่าอสูรผู้เก่งกาจ กลับถูกสยบด้วยพยัฆฆ์ไร้สังกัด.....

    .....หรือนี่คือจุดจบของสิ่งที่เรียกว่าแข็งแกร่ง.....

     คูกะยิ้มอย่างเยือกเย็นเมื่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งความตาย ณ ดินแดนโลกมนุษย์อันพิสดารแล้ว กลับต้องถูกกำราบอย่างง่ายดายด้วยฝีมือคนไม่มีชื่อในโลก

    “เห็นป่ะๆ ทีนี้รู้แล้วใช่มั้ย ว่าฉันเป็นเทพตัวจริงเสียงจริงน่ะ”

    !!!!

    เหล่าแก๊งแมงมุมหรือจอมโจรเงามายาต้องตกใจเมื่อได้ยินเธอพูด

    “ธะ...เธอ...เป็นเทพงั้นเรอะ!!!”

    โนบุนางะตะโกนถามอย่างสุดจะงง

    ของพรรค์นี้....มีแค่ในนิยายน้ำเน่า!...ไม่ใช่รึไง!

    “ก็เอาเดะ...แต่ขออภัย ฉันเป็นเทพแห่งสมดุล คอยสร้างความสมดุลให้แก่ทุกๆโลก บังเอิญ...เอ่อ...ไม่บังเอิญก็ได้ฟ่ะ! คือแบบว่ามีงานช้างก็ไม่เท่าให้ทำ เลยอยากให้หัวหน้าหัวกลมของพวกนายมาร่วมมือด้วย และก็อยากให้เงามายาที่น่ารักน่าถีบมาช่วยสนับสนุนหน่อยอ่ะนะ”

    “ใครจะไปร่วมมือกับเธอฟะ! แล้วเลิกว่าฉันหัวกลมซะที่ได้ไหม”

    รอยยิ้มละไมเจือติดความเหี้ยมโหด ร่างเล็กเคยคิดอยากเห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มอดีตเพื่อน หากแต่คงไม่ใช่สถานการนี้เป็นแน่

    มันยิ้มได้น่ารักซะไม่มีดีจริงๆ!

    “ส่องแว่นดูตัวเองมั่งสิเฟ้ย หัวกลมอยู่แล้วจะไว้ทรงเสยทำม้าย!! ขนาดชาร์แน็คยังคิดเลย!”

    คูกะตวาดด้วยความเหลืออด แต่ที่จริงเธอก็ขำกลิ้งอยู่ในใจ

    เอาเลย ตีกันให้ตายไปข้าง วะฮ่ะๆๆๆๆ

    “ว่าไง? นายคิดแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า”

    แว่วเสียงหักกระดูกมาแต่ไกล คุณหัวหน้าที่ได้ชื่อว่าจุดเดือดต่ำ แต่ใครหนอใครที่ไปเลื่อนจุดเดือดให้สูงขึ้น แม้แต่ลูกน้องยังไม่เว้นเลยรึนั่น

    “ว๊ากกกก หัวหน้าคร้าบบบ ผมเปล่าน๊า!!”

    เด็กหนุ่มผมสีชาว๊ากอย่างกลัวสุดขีด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองก็แอบคิด แต่ไม่ได้บอกเจ้าตัว ไม่งั้นจะถูกลงโทษ

    “ยัยคูเน่า แล้วเธอรู้ได้ไงว่าชาร์มันคิด”

    “ คูเน่าบ้านบรรพบุรุษแกสิ ก็ชาร์คุงเขาแอบหัวเราะตอนฉันว่าให้นายไง”

    คูกะกรอกตาอย่างสบายๆ แต่ทิ้งความกดดันอยู่รอบๆกาย

    “คราวหลัง” รอยยิ้มน่ารักสำหรับคนชอบความซาดิสม์ปรากฏ เล่นเอาเสียวสันหลังไปหลายรอบ “ไว้คิดบัญชีก็แล้วกัน....”

    เด็กหนุ่มหุบปากด้วยความกลัว ตั้งแต่เข้ากองโจรมา เพิ่งเห็นวันที่หัวหน้ายิ้มได้น่ากลัวแบบนี้ก็วันนี้แหละ!

    “ ตวาดพอแล้วช่วยคิดหน่อย....ว่าไง คุโระจัง เอาไงดี!! จะให้เพื่อนรักตาย หรือจะยอมช่วย โปรโมชั่นนี้มีให้คุณแค่สิบวินาทีเท่านั้น ถ้าช้าจะเสียใจภายหลังนะครับ!!”

    หัวหน้าแก๊งแมงมุมกลับต้องพบเจอกับวิกฤติหนัก เมื่อเพื่อนรักต้องถูกจับเป็นตัวประกัน สองมือกำหมัดแน่น จะต่อสู้ก็ไม่ได้ แต่ทางเลือกมีทางเดียวเท่านั้น!!!!

    .....สิ่งสำคัญ ทั้งที่จริงมันหาได้ไม่ยาก

    แต่ก็หาได้ไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

    บางครั้งก็หาง่าย บางครั้งก็หายาก

    เขาเหล่านั้น อยู่ใกล้ๆเขาเสมอ

    เป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง เป็นคนสำคัญ..

    เขาได้สาบานกับตัวเองแล้วว่า...

    จะปกป้อง...จะไม่ยอมเสียใครคนใดคนหนึ่งไป....

    “เอางั้นก็ได้...... แล้วต้องทำไงล่ะ”

    ชายหนุ่มตอบรับ มองคูกะอย่างอาฆาต ถ้าหากฆ่าเธอได้ เขาคงฆ่าไปนานแล้ว แต่ว่าชีวิตเพื่อนพ้องอย่างไรก็สำคัญกว่า

    “สวมแหวนวงนี้ไว้ที่นิ้วนางข้างซ้าย เป็นสัญลักษณ์แห่งการเป็นโสด ว่าจะไม่สวมแหวนแต่งงานแบบนี้ไง”

    มือขวายื่นแหวนสีเงินให้อีกคน มือซ้ายชูให้ดู

    “เหรอ....แต่ว่าสวมแล้วจะเป็นยังไง”

    “ออร่าของนายจะสูงพรวดพราด และนายจะได้พลังเทพที่สุดยอดเหมือนพลังที่ชั้นใช้จัดการนายกับพวกไง”

    เธอตบบ่าเขาเบาๆ เนตรพยัฆฆ์หลิ่วอย่างมีเลศนัย

    “แต่ใช่ว่าจะปล่อยนายนะ ฉันจะให้นายช่วยเกลี้ยกล่อมพวกโฮลี่ชิวเดร้นให้ที ที่นี้จะได้ใช้ไอ้วาทศิลป์ที่นายภาคภูมิให้เป็นประโยชน์ซะที หึๆ”

    “เหลี่ยมจัดนัก.... เรื่องวาทศิลป์เธอก็พอๆกับฉัน แต่ยังไงฉันก็เหนือว่าเธออยู่แล้ว”

    ร่างสูงยิ้มพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เท้าเตะขยะแก่เซ็ง

    “ช่าย....ก่อนอื่นเราไปหาคุราจังดีกว่า”

    “คุราจัง...หมายถึงคุราปิก้าเหรอ”

    “ถูกต้อง! แล้วพวกเราจะต้องพาเขามาอยู่ด้วย แล้วก็อีกสองคน อีกอย่างต้องให้กองโจรผู้น่ารักร่วมมือด้วย ทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ ฉันจะรวมพลตั้งกองทัพรบกับพวกดาร์คอีวิล ฮะๆๆๆ แล้วพวกบ้านั้นจะได้ไม่ก่อกวนโลกอีก”

    ดวงตาสีน้ำตาลไหม้ส่องแววแห่งความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม มองร่างสูงข้างๆ เธอสาบานได้เลยว่าเห็นชายหนุ่มหน้าแดงระเรื่อ คงจะเขินสิท่าที่คนที่แอบชอบต้องมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน

    “แล้วเอานี่ติดตัวไปด้วยเผื่อหลง”
    คูกะหยิบลูกแก้วแบบเดียวกับที่เธอใช้ เพียงแต่มีแผ่นโลหะเล็กๆติดอยู่ที่สายเชือกสีแดง สลักไว้ว่า K.L.

    “ฉันต้องบอกสถานที่ ประเทศ แล้วก็โลกใช่รึเปล่า”

    “ถูกต้อง นายเนี่ยฉลาดจริงๆเลยแฮะ เอาล่ะ งั้นเราไปเลยดีกว่า”

    ร่างผอมชี้ไปยังกองขยะรีไซเคิลที่ไกลออกไปหลายกิโลฯ

    “ไม่คิดจะเปลี่ยนชุดเลยรึไง....หืม?.....”

    คุโระแย้งขึ้น อย่างที่เขาบอก ชายหนุ่มสวมชุดนอนสีเข้มที่ไม่เหมาะกับการเดินทาง

    “แฮะๆๆ ลืมไป เอานี่ไป”

    เธอหยิบจี้ไม้กางเขนสีเงินอันเล็กขึ้น

    “ให้พกติดตัวเอาไว้ ถ้าเอ่ยรหัสแล้ว ออร่าในสร้อยจะห่อหุ้มร่างของนายให้เป็นชุดอ่ะนะ เอาไว้ใช้ยามปฏิบัติการฉุกเฉิน แถมชุดนี้เหมือนเกราะอาคมช่วยทำให้พวกเราไม่บาดเจ็บสาหัสเวลาที่ถูกฝ่ายนั้นเล่นงานเอา”

    เสียงเย็นอธิบายยาวเหยียด

    แสงออร่าสีทองห่อหุ้มร่างกาย ชั่วพริบตา ร่างนั้นสวมชุดหนังสีดำสนิท หมวกฮู้ดยื่นออกมาจากเสื้อนอก ทับเสื้อคอเต่าสีดำซึ่งยาวจนปกปิดจมูกและปากของเธอ กางเกงสีดำยาวเลยข้อเท้า รองเท้าหนังสีดำวาว ไม่ว่าจะดูอย่างไรชุดเครื่องแบบนี้ก็ดูเหมาะกับกลุ่มคนเหล่านี้ โดยเฉพาะสีดำที่ดูลึกลับ สามารถพรางกายไม่ให้ศัตรูเห็นได้

    “รหัสของนายคือ ปกป้อง พิพากษา สู่สันติ ท่องไว้ในใจพอ ไม่ต้องท่องดัง”

    เสียงนั้นอู้อี้อยู่ในลำคอ มือดึงฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะ

    แล้วออร่าสีครามก็ได้ปกคลุมทั่วร่างสูง แล้วชุดนอนก็แปรเปลี่ยนเป็นชุดแบบเดียวกับคูกะ หากแต่มีขนาดใหญ่กว่าซึ่งเหมาะกับตัวของผู้สวมใส่มากทีเดียว และยังถูกใจผู้สวมทีเดียว

    “หึๆสีดำทั้งตัวเลยนะนาย”

    “อย่ามายุ่ง!”

    คุโรโร่ฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะหันหน้าถามคูกะ

     “ว่าแต่เธอใช้ความสามารถอะไรจัดการพวกเพื่อนฉันได้ล่ะ?”

    “ฟามลับสุดยอดขอบฟ้า ใครจะบอกกันล่ะ”

    “งก….”

    “เออ...งกก็งก”

    ทั้งสองร่างมุ่งหน้าไปยังที่แห่งนั้น ฝีเท้าที่เร็วกว่าคนทั่วไปจ้ำอ้าวข้ามผ่านขยะ แม้ปากจะเถียงกันไม่หยุดก็ตาม

    “ทำไมต้องเป็นที่นั่นด้วย?”

    “สื่อการใช้ “ประตูมิติ” ก็คือออร่า ประตูมิติจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อมีออร่าหนาแน่นในบริเวณนั้น ชั้นรู้สึกถึงออร่าที่แข็งแกร่ง ออร่าของคนตายไง”

    “ใช่....ก็ที่นั่นคือ....”

    น้ำเสียงทุ้มที่ดูแกร่งบัดนี้กลับดูเหงาเศร้า ไม่อาจหยั่งถึง สองร่างยืนอยู่บนผืนดินแห่งความหลัง ดินแดนแห่งความสงบกับชีวิตของผู้สิ้นชีพครั้งอดีตกาล หินขัดสีขาวเงาวับรูปไม้กางเขนกลับหัว หลุมศพมากมายเรียงรายทั่วบริเวณ ดอกไม้สดบนแจกันสีขาว แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยของผู้ที่ยังเหลืออยู่

    ยังไม่ทันที่ร่างสูงจะเอ่ยปาก ร่างเล็กเข้าแทรกขึ้น

     “นายเยี่ยมพวกเค้าทุกวันเลยสินะ”

     “ฮื่อ”

    เขาตอบสั้นๆ ก่อนที่จะนั่งยองๆ

    “นี่คือหลุมศพเอริซัง แม่บุญธรรมของชั้นแล้วก็ของพวกเพื่อนๆด้วย ข้างๆนี้คือมิซุโนะซัง มิซุโนะซังมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็เสียแล้ว เพราะว่าเธอถูกโจรในเมืองยิงตายตอนที่เธอช่วยปาคูที่ถูกจับเป็นตัวประกัน....”

    “เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเนอะ”

    “........”

    คุโรโร่ไม่ได้ตอบอะไร แต่มองป้ายหลุมศพซึ่งสลักชื่อ “เอริ” กับ “มิซุโนะ”

    “ “พวกเราไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับใคร ดังนั้นอย่าอะไรไปจากพวกเรา” เป็นคำสอนที่ฉันชอบมากทีเดียว..... สาเหตุที่ฉันไม่อยากจะทิ้งผู้มีเชื้อสายโฮลี่ชิวเดร้น แล้วก็เป็นเพื่อนใน “ชาติที่แล้ว” หรอกนะ อีกอย่างหนึ่งฉันชอบกองโจรเงามายา...เพราะว่าพวกนายไม่ฆ่าคนที่อ่อนแอกว่า อย่างน้อยก็กำจัดพวกคนชั่ว...แต่ว่า...ชาวคูลท์บริสุทธิ์นะ นายต้องตัดสินใจผิดมากแน่ๆ ฉันก็เลยออกจะโกรธแค้นนายทีเดียว”

    เสียงเย็นชากล่าวบอกด้วยความจริงใจ ก่อนจะหันมามอง

    “เพื่อเป็นเกียรติ ชั้นจะเรียกตัว “พวกเราว่า”  “โฮลี่ไนท์” เพราะว่าเราเลยวัยเด็กแล้วนี่นา”

    “หือ?”

    “เห็นอย่างงี้ก็เหอะ ถ้านับอายุตอนเป็นคนก็สิบห้า อยู่บนสวรรค์ก็สิบห้า รวมเวลาที่ถูกเนรเทศราวๆสามสิบปีเห็นจะได้ แหะๆ”

    “หกสิบแล้วงั้นสิ มิน่าถึงทำตัวเป็นผู้ใหญ่นัก”

    คุโรโร่แซวเธอเล่น หมายให้ยัยขี้เต๊ะ เลิกวางกล้ามเป็นผู้นำซะที

    “เออ...เรื่องของฉัน....”

    ความเงียบปกคลุมอีกครั้ง ทั้งสองเงียบงันฟังเสียงของสายลม...

    “ว่าแต่ทำไมเธอถึงไว้ใจฉัน เธอไม่กลัวฉันจะหักหลังรึยังไง”

    ร่างที่สูงกว่าเอ่ยถามอีกร่าง คูกะยิ้ม แล้วจริงกล่าวว่า


    “เพราะว่ารู้จักนายดีทีเดียว ถึงแม้เราจะไม่เคยได้พูดคุยกัน แต่ฉันก็เชื่อนะ ตอนนี้ก็ยังเชื่อว่า “ไม่ว่าจะดีหรือเลว ทุกคนก็มีหัวใจกันทั้งนั้น” นายมีเหตุผลที่ต้องฆ่าคน ฉันรู้...แต่ว่า....”

    ตาสีน้ำตาลหลุบต่ำลง มองขยะใต้ฝ่าเท้า

    “ถ้านายเจอกับคุราปิก้า แล้วก็เด็กอีกสองคน นายจะรู้ว่า...การฆ่าคนมันเป็นเรื่องที่เลวร้าย ถึงแม้ฉันจะไม่เคยสูญเสียครอบครัวเพราะถูกฆ่า...แต่ว่าการที่คนที่เรารักต้องตายไป...เท่ากับว่าพวกเค้าจะไม่มีโอกาสได้เจอกับพวกเขาอีกแล้ว จะเหลือก็แค่ความทรงจำดีเท่านั้นแหละ พวกเขา...ต้องเดียวดาย กอดตัวเองเพียงลำพัง ฝ่าฟันมรสุมด้วยกายที่อ่อนล้า ร้องไห้อยู่ทุกวี่วัน ความสุขที่ไม่อาจจะหวนคืน ฉัน...ทนเห็นพวกเขาร้องไห้ไม่ไหวหรอก”

    คุโรโร่ไม่ได้พูดอะไร มือหยาบกร้านสัมผัสป้ายหลุมศพของมิซุโนะอย่างแผ่วเบา

    “มิซุโนะซังก็พูดแบบนี้แหละ คิดแล้วแค้นตัวเอง...ฉันเองที่ผิด....ที่ทำให้เพื่อนพ้องต้องเดือดร้อนเพราะชั้น...”

    “แมงมุมก่อตั้งเพื่อเพื่อนพ้องที่อ่อนแอ ปล้นคนชั่วแต่ร่ำรวย เพื่อคนจน.....เงินที่นายได้ 80 เปอร์เซ็นหมดไปกับการเลี้ยงเด็กกำพร้า....นายเป็นคนดีนะ


    “แต่ฉัน...ก็ไม่อยากให้นายฆ่าคนอยู่ดี....นายและเพื่อนต้องแปดเปื้อนเพียงเพื่อจัดการคนชั่ว เอาเถอะ...อย่างน้อยนี่ก็เป็นการที่จะทำให้นายมีความสุข....ไม่ต้องฆ่าคนชั่วอีกแล้ว...ฉันมีทางออกให้นายนะ...อีกอย่าง.....”

    คูกะยิ้มอย่างอ่อนโยน

    “นายเป็นเพื่อนของฉัน ฉันไม่ปล่อยให้เพื่อนต้องเดือดร้อนหรอกนะ”

    ประโยคที่ไม่น่าจะเปล่งมาจากปากสีซีด หากแต่บัดนี้กลับทำให้ชายหนุ่มผู้เย็นชาอดยิ้มไม่ได้

    “เธอต้องเป็นคนที่รักเพื่อนมากแน่ๆ เอาล่ะ...เข้าใจในอุดมการณ์เธอแล้ว.....จริงๆแล้วพูดจาอ่อนโยนก็เป็นกับคนอื่นเค้าด้วย”

    “เออ...ถึงฉันจะพูดเสียดแทงใจคน แต่ว่านะ...ฉันไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้นนี่....”

    คูกะเลิกคิ้ว แล้วส่งมือยื่นให้คุโระ

     “ยินดีที่เป็นเพื่อนของนาย”

    “เอ่อ....ยินดีที่ได้เป็นเพื่อนกับเธอ

    มือทั้งสองจับทักทายแบบสากล แม้ร่างสูงจะกังวลไม่น้อย

    “สัญญาแบบเถื่อนๆได้รึเปล่าล่ะ”

    ฟันขาวขบกัดนิ้วโป้งของตัวเอง หยดโลหะสีชาดไหลจากปากแผลเล็กน้อย

    “คิดว่าฉันเป็นเด็กอนุบาลรึไง?”

    เขาทำตามเธอ และแล้วนิ้วโป้งทั้งสองบรรจบกันอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการสัญญาในแบบคนแห่งความมืด

    “จะไม่ทรยศเพื่อนพ้อง...”

    คูกะกล่าวนำ

    “ใช่ จะไม่ทรยศเพื่อนพ้อง”

    คุโระกล่าวต่อ

    “ตลอดไป...............”

    +ติดตามตอนต่อไป+
    ต่างกันทีเดียวกับบทพูด คึๆๆ ผมโดนไซโคมาครับ เลยมีแรงรีไรท์ ปวดกบาลมิใช่น้อย คึๆๆ

    เอาล่ะสิ งานนี้ต้องติดตามต่อไป555+

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×