คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Light and dark Past 2 ซาตานหรือเทพบุตร?
Light and dark begin to Holy knight X Holy children
Past 2 ซาตานหรือเทพบุตร?.....
--------------------
"เจ้ามิได้ถูกพระเจ้าทอดทิ้งหรอก..แต่ตัวเจ้าต่างหากทีหันหลังให้กับพระเจ้า"
............................
สิ่งแรกที่ได้สัมผัสครั้นยังจำความได้...
.....คงมีเพียงแค่กองซากศพของหมู่ชนผู้สิ้นชีพอย่างทารุณ...
....อากาศที่เหน็บหนาว
..กายที่เย็นเฉียบ..
...แววตาที่เศร้าสร้อย...
ภายในคฤหาสน์หลังงาน เต็มไปด้วยความหลังของบางคน ร่างสูงในอาภรณ์ที่รัตติกาล เรือนผมสีถ่านที่เข้ากับดวงเนตรสีนิลที่ดูเยือกเย็นยากหยั่งชั่งใจ ใบหน้าคมเข้าที่ดูอ่อนเยาว์แต่ก็ทรงอำนาจ..
..หัวหน้ากองโจรเงามายา...กองโจรที่โลกโจษจันในความโหดเหี้ยม...ใครจะรู้ว่า..คนที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นต้นแบบของนานาทรชนนั้น....จะโศกเศร้าเพียงแค่เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเท่านั้น.....
มือหยาบกร้านหยิบสายโซ่เส้นเล็กๆที่ได้มาจากพวกเด็กๆที่รับดูแลโดยไร้การตอบแทน ดวงเนตรจับจ้อง หวนคิดไปถึงอดีตที่ผ่านพ้น ภาพของศัตรูที่เค้า ‘ควร’ จะชิงชัง คนที่สังหารเพื่อนพ้องของเค้า ใครจะรู้ว่า... “ผู้ใช้โซ่” คนนั้น...จะเป็นเพียงเด็กหนุ่มใบหน้าหวานราวอิสตรี...แต่ก็เป็นไปแล้ว.....คนที่ทำให้เค้าต้องห่างเพื่อนโดยไม่ได้ติดต่อหากัน เพื่อนที่ว่าคือสมาชิกกองโจร...แต่ความผูกพันที่มีต่อกัน...มันแน่นแฟ้น...กว่าที่ใครเห็น....
“คุราปิก้า...แห่ง คูลท์...ทำไมต้องไปติดใจคนแบบนั้นด้วยนะ?”
ใบหน้าหวานไร้รอยยิ้มในความทรงจำ ยิ่งอยากลืม ยิ่งนึกถึง...หัวใจที่แสนแข็งกร้าวราวเหล็กกลับต้องมาอ่อนระทวยต่อศัตรูที่ควรจะกำจัด....ชั้นควรทำไงดีล่ะ?
ร่างนั้นล้มตัวลงนอนเพื่อต้องการลืมเรื่องที่กลัดกลุ้ม จมดิ่งกับความฝันที่มันเคยเป็นจริงมาแล้ว..........
.....เพียงแค่ได้ลืมตาขึ้น....
.....ก็พบกับความสิ้นหวัง...
....ดื่มด่ำความโศกเศร้า..
....แบกรับ...ความเจ็บปวด....
+++++++++++++++++++++++++
ดินแดนสีมืดมนแห่งความเวิ้งว่าง ตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางหลายสิ่งอันเงียบของบรรดาชีวิตอันหมองเศร้า
.....ชีวิตที่ถูกทอดทิ้ง......ไม่มีใครเหลียวแล......ดั่งเศษขยะไร้ค่า
สายลมแห่งราตรีพัดพาเอาเถ้าเศษธุลีผงของเหล่าขยะนานาชนิด สถานที่แห่งนี้ สถานที่แห่งความเศร้าโศก ของกลุ่มคนที่ถูกทอดทิ้ง
.....ทอดทิ้งจากมนุษย์ชายหญิง ผู้มีใจหยาบช้า ผู้ซึ่งมิได้ปราณีชีวิตของทารกตัวน้อย......
ปล่อยให้ทิ้งอยู่ท่ามกลางกองขยะเหม็นเน่า
เด็กน้อยที่น่าสงสารทั้งหลาย.....พวกเจ้าช่างอาภัพเสียยิ่งนัก....ทำไมมนุษย์ถึงใจทรามเช่นนี้...
ดินแดนแห่งนี้ คือ “นครดาวตก” ดินแดนของบุคคลผู้ไร้ซึ่ง “ครอบครัว”
ทำไม.....ทำไมกัน.....พระเจ้ามิได้เมตตาข้าเลยหรือไร?
ท่านจึ่งได้ทอดทิ้งข้าเยี่ยงนี้?
หรือเพียงข้ามีค่าแค่ดังเช่นมูลปฏิกูลเหล่านี้หรือ?
หรือความจริง ข้ามิใช่มนุษย์?
ท่านจึงทอดทิ้งข้า?
+++++++++++++++++++++
แคว่ก......พุ่บๆ....เพล้ง!...
เสียงกระทบกันของขยะจำนวนหนึ่งดังไปทั่งบริเวณ ทันใดนั้นเองก็ปรากฏใบหน้าของเด็กชายตัวเล็กเส้นผมสีรัตติกาลสนิทที่ดูยุ่งเหยิง ดวงตากลมโตสีนิลที่ส่องประกายสดใส แก้มสีขาวซีดที่มีเศษผงฝุ่นเกาะติด เด็กน้อยสวมอาภรณ์สีดำที่เก่าๆ มีรอยปะหลายรอย ในมือขาวซีดมีหนังสือเล่มหนาที่ละเลงไปด้วยราและฝุ่นจับเขลอะ
“เฮ้ย! ไอ้คุโระ ทำไรของแกวะ มอมแมมเป็นลูกหมาเชียวว่ะ!” เสียงของเด็กชายเส้นผมสีดำสนิท ดวงตาสีดำ จ้องมองไปยังเด็กน้อยที่ยังคงรื้อค้นหาหนังสือต่อ
“ก็อย่างที่เห็นไง หนังสือพวกนี้ดีๆทั้งนั้นเลยนะ เมื่อวานชั้นเจอหนังสือความรู้ทั่วไป อ่านเพลินดีแฮะ ชั้นว่านายหัดอ่านหนังสือซะบ้าง นายจะได้ทันโลก” เด็กน้อยว่าให้เด็กชาย ทำให้เจ้าตัวเกิดอาการหมั่นไส้ขึ้นทันใด
“ก็นายอ่านหนังสือรู้เรื่องนี่หว่า นายเล่นไปขอร้องให้คุณน้ามาเรียที่รู้เรื่องโลกภายนอกที่สุดในสลัมเล่าเรื่องโลกข้างนอกทุกวันนี่”
“โนบุนากะ นายน่ะเลิกพูดอย่างนี้ซะทีน่า นายจะไปไหนก็ไป ชั้นจะค้นหนังสือ”
เด็กน้อยไล่เพื่อนรักนามโนบุนากะไปเสียให้พ้น เพราะเขาไม่ชอบพวกที่มากวนใจเรื่องการเรียนรู้ของเขาสักเท่าไหร่
“เออ.....ไม่ยุ่งก็ได้ว่ะ เดี๋ยวไปท้าไอ้อุโบงัดข้อดีกว่า” ว่าแล้วโนบุนากะก็เผ่นหนีทันใด ทิ้งให้เด็กน้อยรื้อหนังสือต่อไป
++++++++++++++++
สลัมเล็กๆที่ตั้งโดดเดี่ยวท่ามกลางกองขยะปริมาณมหาศาล เป็นสถานที่ที่ผู้อาศัยเรียกว่า “บ้าน” เป็นสถานที่พักอาศัยของผู้คนกลุ่มเล็กๆ สมาชิกไม่น้อยทีเดียวที่เป็นเด็ก บ้างก็โตพอที่จะออกเดินทางจากนครนี้ บ้างก็ยังเป็นเด็กทารกตัวน้อย บ้านโทรมๆอันเกิดจากการใช้ขยะจำพวกพลาสติก เหล็กหรือแก้วเป็นวัตถุดิบ แม้ว่าจะคับแคบ แต่ความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่อกันและกันนั้น แน่นแฟ้นดั่งเช่น “พี่น้อง”
“กลับมาแล้วครับ” เสียงสดใสของเด็กน้อยผมสีดำดังขึ้น ขณะที่เขาถือหนังสือสี่ห้าเล่มติดตัวมาด้วย
“อ้าว....หนูคุโระ กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ” เสียงหวานๆของหญิงสาวนางหนึ่ง เธอมีเส้นผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองเด็กน้อยอย่างห่วงใยราวกับมารดาที่ต้อนรับลูกจากการออกไปเที่ยวข้างนอก
“ฮับ...วันนี้พวกโนบุหายไปไหนล่ะฮะ” คุโรโร่ตัวน้อยถามหญิงสาว พลางกวาดตามองไปรอบๆ
“อ๋อ...เห็นบอกว่าจะไปเที่ยวน่ะ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
“เหรอฮับ เอ๋! วันนี้มีสมาชิกใหม่อีกแล้วเหรอฮับ เอริซัง” เด็กน้อยถามต่อ จนหญิงสาวยิ้มตอบ
“ฮื่อ ช่างสังเกตเชียวนะ หนูคุโระ เนี่ย น้าเพิ่งไปเจอแถวๆเนินตรงโน่น เห็นเลยเก็บมา รู้สึกจะมีจดหมายแนบมาด้วย เห็นมาเรียอ่านว่าเธอชื่อ “ชิสึคุ” น่าจะใช่นะ ดูสิหลับปุ๋ยเลย”
เอริพูดแล้วใช้มือเรียวบางลูบหัวเด็กน้อยผมดำที่ชื่นชมทารกในอ้อมกอดของเธอ
“ไปกินข้าวได้แล้ว วันนี้น้ารับจ้างที่ในเมือง แล้วซื้อของมา วันนี้กินซุบกระดูกไก่นะจ๊ะ”
“ว้าว! วันนี้ได้กินข้าวแล้ว ดีใจจังฮะ”
คุโรโร่ตัวน้อยเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ ก่อนที่จะเดินไปที่ห้องเล็กๆแล้วเก็บหนังสือใส่ชั้นวางที่ทำด้วยเหล็กแผ่นซ้อนจนเป็นชั้น
++++++++++++++++++
เสียงพูดคุยกันของเหล่าเด็กๆกลางลานกว้างๆใกล้กับสลัม วันนี้ก็เป็นอีกวัน ในไม่กี่ครั้งที่พวกเขาจะมีโอกาสได้กินอาหารอย่าง “ซุปกระดูกไก่” ถ้าสำหรับคนไม่มีอันจะกินอาหารแล้ว มื้อนี้ช่างเป็นมื้อที่ดีจริงๆ
“คุโระๆ นายคิดว่าพวกโนบุจะไปอยู่ไหนน่ะ” เด็กหญิงผมสีบรอนด์ เอ่ยขึ้น เมื่อสังเกตุเห็นว่าสมาชิกจอมโวยวายได้หายตัวไป
“นั่นสิ ป่านนี้ยังไม่เห็นกลับมาเลย กินซุบนี่เสร็จแล้วเราไปหากันดีมะ ปาคู” คุโรโร่ตอบรับแล้วกินซุบอย่างรวดเร็ว จากนั้นเด็กหญิงคนนั้นก็เดินตามไป ด้วยความเป็นห่วง
++++++++++++++++++
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดกายของเด็กชายร่างกำยำดังขึ้นท่ามกลางกองขยะ ตรงหน้าเด็กชายคือเหล่าชายหนุ่มสามคนที่ค่อนข้างมีฐานะ มองเด็กชายด้วยสายตารังเกียจราวกับสายตาที่มองสิ่งปฏิกูลไม่ปาน
“เฮ่ย...ไอ้เด็กเหลือขอ! แกคิดว่าแกแน่รึไงวะ แกถึงได้กล้าเอามือสกปรกไปแตะตัวสุนัขของชั้น!”
ชายร่างสูงเอ่ยขึ้นพลางเอามือลูบสุนัขพันธุ์ชิสุสีขาวสะอาด เด็กชายใช้มือหนาลูบศีรษะอันเต็มไปด้วยของเหลวสีแดง
“ผะ....ผมแค่ช่วยมันออกจากองขยะ....เมื่อกี้มันลงมาจากรถของพวกคุณแล้ว..มันพลัดตก...ลงไปในหลุมฮะ”
เด็กชายกล่าวหวั่นๆ
“โกหก!” แล้วชายคนนั้นก็ใช้ไม้ที่อยู่ในมือฟาดหัวเด็กคนนั้น
ทว่า.....กลับมีเด็กชายอีกคนที่ดูผ่ายผอมรับท่อนไม้เนื้อแข็งนั่นได้ เขาคือโนบุนากะนั่นเอง
“เฮ้! ลุงทำอย่างนี้ได้ยังไง ผู้ใหญ่พันธุ์ไหนฟะ รังแกได้แม้กระทั่งเด็ก!”
ว่าแล้วเด็กชายก็ดึงไม้ออกจากมือชายหนุ่มแล้วฟาดจนคนรังแกสลบทันใด
“ไอ้เด็กนี่! อ๊ากกกกกกกกกกกกก”
“โป๊กกกกกกกกก”
ทันทีที่ชายหนุ่มอีกสองคนซึ่งหมายจะกระโจนใสโนบุนากะ ก็มีเด็กอีกสองคนใช้ท่อนเหล็กสนิมเขลาะฟาดหัวจากด้านหลัง ส่งผลให้ทั้งสองสลบเหมือด
“เกือบไปแล้วนะ โนบุ อุโบ” เสียงใสของเด็กหญิงผมบรอนด์ดังขึ้น พร้อมด้วยเสียงถอนหายใจของเด็กชายผมสีรัตติกาล
“เออ....ทำดีไม่มีใครเห็นแย่ชะมัดว่ะ!” เด็กชายกำยำบ่นอยู่กับตัวเองขณะที่เด็กหญิงที่ถูกเรียกว่าปาคูใช้ผ้าสีขาวเช็ดเลือดให้
“คนในเมืองคงเห็นเราเหลือขออยู่แล้วล่ะ ช่างเหอะ....ชั้นว่าเรารีบกลับบ้านได้แล้ว โนบุกับอุโบ พวกนายชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อย....” คุโรโร่ตัวน้อยพูดพลางทำหน้านิ่ว
“เออๆรู้แล้วเฟ้ย! ไม่ต้องสั่ง ทำหยั่งกะเป็นหัวหน้าตู แล้วจะทำยังไงกับไอ้พวกเปรตนี่ดีล่ะ”(คู/แต่พอแกโต
แกได้เป็นลูกน้องล่ะ เชื่อเหอะ...) โนบุนากะเอ่ย พลางใช้เท้าเขี่ยชายหนุ่มทั้งสาม
“ชั้นว่าเรามาทำอะไรสนุกๆกันดีกว่า” เด็กหญิงเสนอ และยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“เหอ.......?”
+++++++++++++++++++
“ฮ่าๆๆๆ ก๊ากกกกกกกกกกก ฮ่ะๆๆ”
เสียงหัวเราะร่วนของเด็กน้อยทั้งสี่ดังขึ้น ขณะที่ทั้งสี่กำลังแต่งแต้มสีสัน(?)ให้กับสามหนุ่ม สามร่างนอนแผ่โดยร่างกายสวมแต่กางเกงชั้นใน ใบหน้าถูกแต้มด้วยถ่านและคราบสีจากเศษเหล็ก สภาพช่างน่าหัวเราะเสียจริง
“ชั้นว่ากลับเหอะ เอาพวกเงินกับนาฬิกาไปด้วย เอาไว้แลกพวกอาหารกับยาก็ดีเหมือนกัน” เด็กชายผมดำพูด อมยิ้มด้วยความขบขัน
“ฮื่อ....ก็ดีนะ” เด็กหญิงพูดเสริม แล้วใช้มือเล็กๆลากเพื่อนอีกสองคนให้กลับบ้าน ดูเหมือนว่าทั้งสองยังไม่เลิกแกล้งคนง่ายๆ
“โฮ่งๆๆ” เสียงเห่าของสุนัขสีขาวดังขึ้น เรียกความสนใจให้เด็กชายกำยำได้ไม่น้อย แล้วเขาก็เดินไปหา
“นี่....ดูแลตัวเองให้ดีล่ะ ชั้นไปก่อนนะ” เขาพูด สุนัขตัวนั้นจึงกระโจนแล้วใช้ลิ้นเลียใบหน้าของเขาด้วยความรักใคร่
“ฮะๆๆๆ ไม่เอาน่า”
“ดูสิ....อุโบเจอเพื่อนชาติที่แล้วแน่ะ เสียดายที่เป็นหมานะ!” เสียงแซวของเด็กหญิงดังขึ้น
“ยัยปาคูโนด้า หล่อนน่ะเงียบไปเลย เดี๋ยวกลับพ่อจะสั่งสอนให้เข็ดเลยคอยดู๊!”
“เออ ทำได้ก็ทำไปสิยะ แบร่!”
ว่าแล้วสาวน้อยปาคูก็วิ่งนำหน้าสองเด็กน้อยโดยมีเด็กชายคู่กรณีวิ่งไล่
วันนี้คงเป็นวันดีๆอีกวันนึงล่ะมั้ง ที่พวกเขาได้ยิ้มแย้มเช่นนี้ล่ะมั้ง
++++++++++++++++++++++
เวลาผ่านร่วงเลยไปเนิ่นนาน นครดาวตกแห่งนี้ก็ยังคงไว้ซึ่งความหม่นหมอง กองขยะปริมาณมหาศาล พอๆกับปริมาณประชากรที่เพิ่มมากขึ้น เหล่าเด็กๆในสลัมกับต้องเผชิญวิกฤต ที่ยากที่จะหลีกเลี่ยงเช่นนี้....
“ทุกคน.....เป็นอะไรไปหมดล่ะ!” เด็กชายผมสีรัตติกาลเอ่ยถามบรรดาเพื่อนพ้องหลายคนซึ่งนอนล้มป่วยอยู่นับสิบๆคน ทุกๆคนต่างมีอาการซีดเซียวราวกับทุกคนจะสิ้นชีวิต
“พวกชั้นก็ไม่รู้ ทุกคนน่ะป่วยไปกันทีละคนๆ ชั้นไม่รู้จะทำไง ไม่มีทั้งเงินรักษา ทั้งเงินค่าอาหาร แล้วเราจะทำยังไงกันดี!!” ปาคูโนด้าตอบแล้วเฝ้ามองอาการเอริที่หายใจหอบอยู่ข้างๆ
“พี่คุโระ หนูว่าทุกคนอาจจะโดนอะไรซักอย่างนะหนูว่า” เด็กหญิงเส้นผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาลบอกแล้วใช้ผ้าสีเทาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเด็กอีกคน
“เหรอชิสึคุ แล้วหลังจากที่พวกพี่ออกไปข้างนอกทุกคนไปที่อื่นบ้างรึเปล่า” เด็กชายถามต่อ
“ก็....ไม่นี่คะ นอกจากจะไปอาบน้ำที่ริมแม่น้ำค่ะ”
“แม่น้ำที่เราใช้กันทุกวันเรอะ....อืมม์.....หรือว่ามีคนทิ้งขยะอันตราย......แต่ว่าถ้าจะทิ้ง พวกคนในเมืองเขาทำอาณาเขตที่ทิ้งขยะไว้แล้วไม่ใช่รึไง....หรือว่าพวก...คนธรรมดา มันก็ไม่ถูก เพราะคนธรรมดาไม่มีของแบบนี้นี่นา”
คุโรโร่พึมพำ เด็กหญิงผมสีม่วงซึ่งเป็นเพื่อนอีกคนมองแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“แล้วถ้าคนในเมืองเค้าเกิดยกเลิกสนธิสัญญาห้ามทิ้งขยะในเขตชุมชนล่ะ?”
“ที่สำคัญไอ้ขยะที่ว่าถ้ามันจะทำอันตรายคนก็มีแค่ไม่กี่อย่าง”ซิสึคุพูด
หรือว่า.....
“สาร...กัมมันตรังสี” เด็กชายพึมพำอีกครั้ง
“กัมมันตรังสี!!!! แย่แล้ว ถ้าเราไม่ติดต่อคนในเมือง ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ”
เด็กหญิงผมม่วงเอ่ยขึ้นด้วยวาจาที่หวาดกลัว
กัมมันตรังสี คือสิ่งที่ยากจะต่อกรกับมัน เพราะสิ่งนั้นเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต คนยากคนจนอย่างพวกเขาไม่มีวันย้ายมันไปได้หรอก...ถ้าได้..คงต้องสังเวยคนไปหลายคน...แบบนี้น่ะ..ใครจะไปอยากทำล่ะ?
ทันใดนั้นเอง เอริก็ตื่นขึ้น
“อะ....เอริซัง เป็นไงมั่งฮะ”คุโรโร่ถามหญิงสาวอย่างเป็นห่วง
“อือ...น้า.....คะ...คงจะ...ไม่ไหว..ละแล้ว...ทะ....ทุกคน...น้า...”
“เอริซังอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะฮะ! พวกผมจะหาวิธีรักษาให้...”เด็กชายผมดำกล่าว ดวงเนตรสีรัตติกาลเอ่อท้นไปด้วยน้ำตาแห่งความเศร้า
“มะ..ไม่เป็นไร...จะ...จากนี้...ไป..นะ...น้า..ฝากเด็กๆพวกนี้....ละ...แล้วอย่าลืม....ดะ..ดู..แล...ตะ...ตัวเอง...นะ...เจ้า...หนู..คะ...คุโระ...”
“เอริซัง!!!”
เสียงตะโกนดังไปทั่วห้อง เด็กน้อยร้องไห้ราวกับจะขาดใจ เมื่อผู้อุปถัมภ์มาแต่ไหนแต่ไร กลับต้องสิ้นลมหายใจต่อหน้า น้ำตาของเด็กน้อยอีกสี่ร่วงหล่นด้วยความเศร้าต่อการสูญเสียสิ่งที่ตัวเองรัก
ทั้งๆที่พวกเราถูกผู้เป็นบิดา มารดาผู้ให้กำหนด ทอดทิ้ง......
แต่พวกเราก็ได้ความรักของเพื่อนพ้อง....
ความรักของผู้อุปถัมภ์......
หญิงสาวที่นอนอยู่ตรงหน้าผู้นี้...
เธอคือมารดาที่เลี้ยงพวกเรา......
แต่ตอนนี้.......จากไปแล้วล่ะ......มารดาของพวกเรา....
จากไปชั่วนิจนิรันดร์.
“ทำไม! ทำไมเรื่องบ้าๆแบบนี้ถึงต้องเกิดขึ้นกับพวกเรา!”
กำปั้นน้อยทุบลงบนพื้นด้วยความเจ็บแค้น
“พวกเราทำอะไรผิดกันเล่า! แม้แต่แม่คนเดียว...ของพวกเรา...ยังต้องจากเราไปอีกรึไง!”
“ฮึก...ทำไม....กัน....”
ความเงียบปรากฏ ผองเพื่อนไม่อาจปลอมประโลม ไม่อาจหาคำพูดใจ ได้แค่ก้มหน้านิ่ง ปล่อยให้สายชลเนตรอาบไหลใบหน้า....
+++++++++++++++++++++++++
ปัง!!! ตูม! ตูม!
ประตูเหล็กหนาถูกคนกลุ่มหนึ่งใช้แรงเคาะราวกับจะทำให้มันพัง แล้วผู้ที่อยู่หลังบานประตูนี้จึงใช้ฝ่ามือหยาบดึงประตูเข้าหาตัวเอง
“นี่!!!! ไอ้พวกเด็กบ้า!! มีธุระอะไรฟะ!” เสียงตะคอกของชายวัยกลางคนดังขึ้น เด็กน้อยทั้งห้ายืนประจันหน้า ด้วยแววตาที่ท้าทาย
“พวกผมต้องการพบกับผู้ดูแลเรื่องการขจัดเก็บขยะอันตรายครับ” เด็กชายผมสีนิลเอ่ยขึ้น ชายคนนั้นหัวเราะขึ้น
“ฮ่าๆๆ ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม คิดจะทำอะไรห๊า ไม่ได้เรื่องเล่นๆนะโว้ย!”
“ก็ไม่ใช่เล่นหรอกครับ พวกผมอยากจะมาแจ้งเรื่องมีคนทิ้งขยะอันตรายในเขตชุมชนน่ะครับ”
“เหอะๆ แล้วใครจะช่วยพวกนายเล่า โง่เป็นบ้า พวกเด็กสลัมไม่เจียมตัว! กลับไปกินหญ้าซะไอ้เด็กเวร!”
ผู้คุมยังคงเยอะเย้ยต่อไป สร้างโทสะให้แก่เด็กน้อยทั้งสาม
ทันใดนั้นเองก็มีหญิงสาวเส้นผมสีน้ำตาลแดง ดวงตาสีดำจ้องมองร่างเล็กของเด็กน้อยทั้งห้า ริมฝีปากสีแดงสดเหยียดยิ้ม เธอสวมอาภรณ์เป็นชุดกี่เพ้าสีแดงสดเผยให้เห็นเรียวขาขาวได้ชัดเจน
“เจมส์....ไม่เป็นไรๆ ให้เด็กพวกนี้เข้าไปคุยกับชั้น แล้วปิดประตูดีๆด้วยล่ะ” เธอพูดเบาๆ แล้วเดินมาหาพวกเด็กๆ
“พวกเธอดูเหมือนว่าจะมีปัญหากันนะ มาคุยกับชั้นสิ ชั้นเป็นผู้ดูแลเองแหล่ะ” เธอกล่าว
“เหรอครับ ขอบคุณที่รับฟัง” คุโรโร่ตัวน้อยตอบรับ แล้วเดินตามหลังพร้อมด้วยเพื่อนๆ
++++++++++++++++++++
“ที่แท้ก็เรื่องสารกัมมันตรังสีสีนั่นเอง แล้วจะให้ชั้นแจ้งเรื่องให้กับพวก’ผู้ใหญ่’หยั่งนั้นใช่ไหม แล้วก็ขอร้องให้ช่วยเพื่อนๆที่สลัมด้วยเหรอ......อืม.......ก็ได้นะแต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” หญิงสาวพูดอย่างเจ้าเล่ห์พลางมองพวกเด็กๆด้วยสายตาแปลก
“ก็ได้ครับ......ได้โปรดช่วยเพื่อนๆด้วยเถอะ” พวกเด็กพากันขอร้องเป็นการยกใหญ่
“งั้นพวกเธอต้องฝึกการเป็นหน่วยพิเศษที่นี่ พวกเธอจะสบาย ไม่กลัวอดอยาก แถมมีเงินเดือนเหลือเฟือไว้ส่งไปให้เพื่อนๆด้วยนะ แถมเธอจะได้เรียนรู้วิชามากมาย ไม่ต้องกลัวว่าจะตกยุค สนใจใช่มั้ยล่ะ”
ด้วยเงื่อนไขที่แสนคุ้ม ทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะปฏิเสธ อีกทั้งไม่มีทางเลือกที่จะช่วยเหลือเพื่อนพ้อง ก็ได้แต่ทำตามแต่โดยดี
“พวกเธอสี่คนออกไปก่อน ชั้นจะคุยกับเด็กคนนี้อยู่” หญิงสาวพูดแล้วกวักนิ้วเรียกเด็กชายผมสีดำ ดวงตาสีดำมาหา เด็กๆทั้งสีคนเดินออกจากห้องสีมืด ตามคำสั่งของหญิงสาว
“ว่าแต่ คุณเสี่ยวเจิน ที่ว่าหน่วยพิเศษคล้ายๆกับทหารรักษานครรึเปล่าครับ” เด็กชายผมสีดำถาม ขณะที่ทั้งสองคุยกันในห้องตามลำพัง
“ช่าย....ว่าแต่เธอไม่สนใจทำงานที่มันดีๆกว่าที่ว่า...กับฉันเนี่ย” เธอพูดพลางเสยผมเล่น
“ไม่ฮะ.....ผมชอบผู้หญิงอายุน้อยกว่า....มากเท่าไหร่ยิ่งดี....อีกอย่าง...ผมยังเด็กอยู่...ที่สำคัญ.....ผมชอบผู้หญิงผมสีทองครับ แล้วก็เป็นชาวตะวันตกด้วย”
เด็กชายเอ่ยด้วยวาจาเชือดเฉือน หลักจิตวิทยาในหนังสือถูกงัดอออกมาใช้พลางเหยียดยิ้มเย็นชา ทิ้งให้หญิงสาวเบ้ปาก
“อ้อเรอะ....ทำไมกันน๊า” เสี่ยวเจินพูดหวานๆแล้วนั่งไขว่ห้าง
“ชาวตะวันตกชอบการผจญภัยมั้งครับ ขอตัวก่อน” ว่าแล้วคุโรโร่ก็เดินออกไปข้างนอก
“เฮอะ แสบมากนะพ่อหนุ่มน้อย....แต่ก็...น่ารักดีนี่ ถ้าโตอีกหน่อย แม่จะหว่านเสน่ห์ให้มานอนกองแทบเท้าเล้ย”
หล่อนพูดเบาๆแล้วจิบไวน์ที่วางบนโต๊ะ
++++++++++++++++++
ผันผ่านไปหลายแรมปี เด็กน้อยที่แสนจะไร้เดียงสาก็ได้เติบโตเป็นชายหนุ่ม และหญิงสาว ที่แสนจะโหดเหี้ยม รอยยิ้มและเสียงหัวเราะสดใส กลับย้อมด้วยเสียงหัวเราะแห่งความบ้าคลั่ง ที่ได้เห็นความตายของผู้อื่น
กลุ่มเด็กน้อยได้กลายเป็นกลุ่มกองโจรเงามายาที่เก่งกาจที่สุดของเหล่าโจรทั้งหลาย สร้างความหวั่นเกรงให้แก่บรรดากลุ่มคนทั่วทั้งโลกานี้
บางทีดวงตาสีนิลของคุโรโร่อาจจะมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงแค่ขยะ เหมือนกับที่เขาได้ถูกมองว่าเป็นขยะในอดีต....
สัญญาลักษณ์กางเขนกลับหัว เปรียบดั่งการที่พวกเขาถูกพระเจ้าทอดทิ้ง
...ไม่สิ...เพราะว่าพวกเขาหันหลังให้กับพระเจ้าต่างหาก.......การกระทำเช่นการเข่นฆ่าผู้คนนี้.....ช่างน่าสังเวชเสียจริง
แต่ใครจะรู้ไหมว่า...ทีมสังหารที่ว่ากันว่าไร้หัวใจ...เค้าร้องไห้...กับการสูญเสียเพื่อน.....
++++++++++++++++++
ในแถบชานเมืองแห่ง เสียงผู้คนพูดคุยกันเซ็งแซ่ ดังเช่นเหล่านกที่ขับขานท่ามกลางป่าใหญ่ ดูเผินๆแถวชานเมืองนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เว้นแต่ว่าภายในที่แห่งหนึ่ง กลับเป็นที่ๆมีเหล่ากองโจรเงามายาพำนักชั่วคราว
ก็ใครจะรู้ว่ากองโจรที่เก่งที่สุดในโลกจะเป็นเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวเพียงสิบสามคน...
แต่บัดนี้กลับไร้เสียงของสหายสองคน....
บัดนี้ไม่มีอุโบกิน...อดีตเด็กชายกำยำผู้มีกำลังอันแข็งแกร่ง และรักพวกพ้อง...
บัดนี้ไม่มีปาคูโนด้า....อดีตเด็กหญิงผมบรอนด์ที่ชอบแซวเพื่อนและติดตามเพื่อนพ้องไปทุกที่
สิ่งที่พรากพวกเขาให้จากกัน
คือ....นางฟ้า.....นางฟ้ายมทูต.....
ดวงเนตรสีไพรสดใส ส่องประกายงดงามดั่งมรกตน้ำงาม ริมฝีปากสีกุหลาบ.... เส้นเกศาสีทอง งดงามดุจเส้นไหมอันนุ่มนวล ผิวเนียนละเอียดสีขาวอมชมพูใส รูปร่างงดงามชวนให้เป็นเจ้าของ
แต่.....สำหรับพวกเราเหล่าเงามายา
....ถ้าคนผู้นั้นมิได้ปลิดชีพเพื่อนรักทั้งสอง
...พวกเขาคงอาจจะหลงรักคนผู้นั้นเข้าเสียแล้ว
....แต่ว่าคนผู้นั้น ทำให้พวกเขาได้บางสิ่งทดแทน
.....ความรักของเพื่อนพ้องที่แน่นแฟ้นมากกว่าเดิม.....
+++++++++++++++++++
“หัวหน้าครับๆ”
เสียงเรียกของเด็กหนุ่มผมสีชาดัง ขึ้นทำให้ชายหนุ่มผมสีดำหันมามองขณะกำลังดูภาพในกล้องดิจิตอล
“หือ..มีอะไรรึชาร์....” เสียงทุ้มๆเอ่ยตอบ แล้วปิดกล้อง มือหนาหยิบกล้องเก็บใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
“เมื่อกี้เห็นดูรูปผู้หญิงไม่ใช่เหรอคร้าบบบบบบบบ บอกมานะครับว่าหัวหน้ามีสาวที่แอบชอบอยู่ด้วย”
เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น โดยมิได้สนใจว่าเสียงตัวเองจะดังแค่ไหน
“จริงเหรอวะ!!หัวหน้า..ให้ผมดูหน่อยสิครับ อย่างกๆ”
เพื่อนๆในแก็งค์ก็พากันเฮ หมายที่จะแขวะหัวหน้าสุดเก๊กที่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้แต่งงาน แม้ว่าจะร่วงเลยไปยี่สิบหกฝนก็ตามแต่
“ไอ้ชาร์! เพราะนายคนเดียวเล้ย! ไม่ใช่คนที่ชอบเว้ย เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนหลังจากที่ชั้นขจัดเน็นแล้ว ชั้นไปแอบดูเจ้าคนใช้โซ่มา เลยแอบถ่ายมา”
“แล้วทำไมไม่ฆ่าให้รู้แล้วรู้รอดล่ะ เอ...รึว่ารักเธอเข้าแล้วจริงๆ” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยขึ้น พลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“จะบ้าเรอะ! ก็ชั้น....ชั้น.....ก็ชั้นไม่ใช่เกย์....เจ้าหมอนั่นมันเป็นผู้ชาย!” คุโรโร่เอ็ดตะโร แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศครื้นเครงหมดไป
“แต่ว่านะ หน้าหวานๆ รูปร่างน่าหม่ำนี่ ถามจริงเหอะ หัวหน้าไม่สนเหรอครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม แล้วหัวเราะเบาๆเมื่อผู้ที่ถูกถามหน้าแดงระเรื่อ
“ชั้นจะชอบใครมันก็เรื่องของชั้น ชั้นจะกลับแล้ว! ค่าเหล้า ค่าไวน์ จ่ายเองละกัน วันนี้ไม่เลี้ยงวันนึง”
รอยยิ้มชั่วร้ายที่นานๆจะได้เห็นปรากฏ ถ้อยคำราวสั่งเสียเรียกให้เหล่าลูกน้องอึ้งเหวอ ที่ต้องมานั่งจ่ายค่าไวน์บาน ชายหนุ่มเดินออกจากห้องไป
“ชาร์แน็คนี่ล่ะก็พูดเกินไปแล้ว หัวหน้าโกรธแล้วนั่น” ชิสึคุ ซึ่งตอนนี้เติบโตเป็นสาวสวยดุด่าเพื่อนร่วมงาน
“ฮะๆ นานทีได้แขวะหัวหน้าอ่ะนะ อีกอย่างดูเหมือนว่าหัวหน้าจะชอบคุราปิก้าซะแล้วแฮะ คู่รักคู้แค้น ชั้นนึกว่ามีแต่ละครเท่านั้น”
ชาร์แน็คพูด แล้วหัวเราะอยู่คนเดียว เมื่อนึกถึงตอนที่หัวหน้าของพวกเขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
“แต่ยังไงคุราปิก้าหรือเจ้าคนใช้โซ่ เราก็ต้องฆ่าอยู่ดี ปาคูกับอุโบตายเพราะมันนะ ยังไงหัวหน้าก็ต้องแยกว่าอันไหนควรอันไหนไม่ควรอยู่แล้วล่ะ ยังไงต่อให้เขาชอบ....เราก็ไม่เว้นอยู่ดี” เสียงจริงจังของมาจิ สาวผมม่วงดังขึ้น ส่งผลให้บรรยากาศตึงเครียด
“มันก็ใช่......”
“เฮ่อ.......”
....ในบางครั้ง เส้นทางก็ต่างกันเกินไป ไม่สมควรที่จะบรรจบกัน...
++++++++++++++++
ภายในห้องๆหนึ่ง ห้องที่ภายในตกแต่งด้วยสีดำและขาว ข้าวของเครื่องใช้ที่หรูหรา บอกรสนิยมได้เป็นอย่างดี แล้วที่สะดุดตาคือชั้นหนังสือที่มีหนังสือมากมายเรียงตัวกันอย่างสวยงาม ที่ตรงเตียงสีดำ มีร่างเล็กๆของเด็กหญิงผมสีทอง เธอดูเหมือนเด็กๆธรรมดา หากแต่ว่าใบหน้านั้นละม้ายคล้ายคลึงกับคุราปิก้า ผู้ใช่โซ่ที่แก๊งค์แมงมุมพูดถึง หากแต่จะเป็นไปได้อย่างไร และเด็กน้อยไม่มีเงา!!!!
“คุรัย....พ่อกลับมาแล้ว” เสียงทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้น เด็กน้อยก็วิ่งไปหาทันใด
“ป๊ะป๋า กลับมาแล้วเหยอ...” เด็กน้อยพูดอย่างร่าเริง พลางเข้าสวมกอดชายหนุ่ม
“อื้อ......วันนี้ขอโทษที่มาสายนะ พ่อไปหาเพื่อนน่ะ”
เด็กน้อยทำหน้างอนๆ
“ไปเที่ยวกับผู้หญิงจิ แล้วเมื่อไหร่ป๊ะป๋าจะพาหนูไปเจอหม่าม๊าล่ะ”
“คุรัย....อีกไม่นานเกินรอน่า” เขาปลอบใจเด็กน้อย แล้วอุ้มเธอลงบนเตียง
“จริงนะ” เด็กน้อยย้ำคำตอบที่บิดา(?)เอ่ยรับปาก
“อื้อ!” ชายหนุ่มย้ำ แล้วใช้มือหยาบๆขยี้ผมเด็กน้อยเบาๆ
“เดี๋ยวป๋าไปอาบน้ำนะ เดี๋ยวคุรัยนอนได้แล้ว เด็กดีต้องนอนแต่หัวค่ำนะ” เขาพูดแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
“คุราปิก้า นายคิดอะไรอยู่นะ ตอนที่นายฝังโซ่ในตัวชั้น พอ ขจัดเน็นแล้วแปรสภาพให้อยู่ในรูปของสัตว์เน็น แต่ว่ากลับเป็นเด็กคนนี้ แถมเรียกชั้นเป็นพ่ออีก พอเราเจอกัน เธออาจเรียกนายว่าแม่ก็ได้ แต่ว่านะถึงคุรัยจะเป็นแค่เน็น แต่ว่ามันทำให้ชั้นรู้สึกว่านายเป็นภรรยาของชั้นแล้วมีลูกคือคุรัยเข้าไปทุกทีๆแล้วแฮะ”
คุโรโร่พูดอยู่กับตัวเอง พลางยิ้มอย่างมีความสุข
++++++++++++++++++++
“ฮัดเช้ย!” เสียงจามของเด็กหนุ่มหน้าสวยดังขึ้น
“อ้าว คุราปิก้า นายเป็นหวัดเหรอ?” เสียงของหญิงสาวร่างเตี้ยเอ่ยถาม
“เปล่าหรอก เซ็นริทสึ รู้สึกอย่างกับใครพูดถึงแฮะ”
คุราปิก้าตอบแล้ว จัดการจิ้มผักสลัดเข้าปากด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“เหรอ?.....แต่ว่านะฉันรู้สึกเหมือนกับมีใครอยู่แถวๆป่าใกล้ห้องของนายตอนเช้ามืดน่ะ”
“พวกสัตว์มั้ง เธอฟังเสียงหัวใจใช่มั้ยล่ะ?”
“ฮื่อ แต่เป็นเสียงหัวใจของคน แถมกำลังมีความรักด้วยล่ะ” เด็กหนุ่มสำลักนมที่เพิ่งดื่มเข้าไป
“หา!”
โชคชะตาของพวกเขาจะเป็นเช่นไร....
......แม้แต่สวรรค์ก็ยังมิอาจหยั่งรู้
บางที นางฟ้ายมทูตอาจทำให้เขาอ่อนโยนมากขึ้นก็ได้กระมัง.....
-----------
ส่งท้าย...
ชายหนุ่มหยิบเพชนเม็ดหนึ่งจากหัวเตียง จ้องด้วยความเศร้า
“แก้วน่ะ ถ้าแตกแล้วก็ยังหลอมใหม่ได้...แต่เพชรน่ะ ถ้าแตกจากภายใน..หลอมไม่ได้...ซ่อมไม่ได้....คุราปิก้า...ฉันจะทำยังไงให้นายหันมามองชั้น....มองคนที่ชั้นทำลายครอบครัวของนายนะ?”
กล่าวลอยๆ แล้วมองร่างเน็นซึ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา
“ถ้านายนอนอยู่ตรงนี้..ฉันแค่อยาก..ขอโทษเท่านั้นเอง.....”
กล่าวอย่างแผ่วเบา
“ไม่ต้องห่วง ลูซิเฟอร์.....นายน่ะ...ได้ชดเชยแน่ .”
ซาตานผู้ถูกพระเจ้าทอดทิ้งเอ๋ย...
...ชีวิตอันมืดมนของเจ้า...สักวัน...จักกลายเป็นชีวิตอันเปี่ยมด้วยความหวัง....
....พระเจ้า..ยังรับเจ้าเป็นลูก...หากแต่เจ้าต่างหากที่หันหลังให้กับพระเจ้า...
...หากแต่ใครกันเล่า....ที่จะเปลี่ยนแปลงให้เจ้าหันกลับมาสู่แสงสว่าง...
+The end+
ความคิดเห็น