คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Light and dark Past1นางฟ้าแห่งความตาย
Light and dark begin to Holy knight X Holy children
Past 1 นางฟ้าแห่งความตาย
+ + + + + + + + + + + + + + + +
“ราตรีกาลไม่มืดมิดเท่าจิตทรชน”
+ + + + + + + + + + + + + + + +
ภายในห้องสีมืด เครื่องใช้ที่แม้เรียบง่ายแต่ก็ราคาแพง บนเตียงสี่เสารายล้อมด้วยม่านบางๆสีขาวสะอาด เรือนร่างของผู้ที่ไม่อาจระบุเพศได้ นิทราด้วยกายและใจที่เหนื่อยล้า เรือนผมสีทองสลวยแผ่สยายบนหมอนนุ่ม
ใบหน้าแสนงามงดดั่งเทพนารีจากสรวงสวรรค์ หากแต่คนๆนั้นเป็นบุรุษเพศ หาใช่รูปลักษณ์ภายนอก ร่างบอบบางห่อหุ้มด้วยชุดนอนผ้าฝ้ายสีขาวบาง ผิวนวลเนียนที่มิได้ผ่านการประทินจากเครื่องสำอางชนิดใดนั้น เปล่งปลั่ง ผิวกายที่ขาวอมชมพูก็ยิ่งทำให้เจ้าของเรือนร่างนี้ดูงดงามยิ่งไปใหญ่........
ตึก...ตึก.....ตึก.....
“ข้าขอวิงวอนต่อท่านเทพผู้โอบอุ้มข้า พสุธา ผืนนภากว้างใหญ่ ขอได้โปรดเสริมพลังให้ข้า....ได้ปกป้องสิ่งพิสุทธิ์ ณ ดินแดนแห่งความสิ้นหวัง...แห่งโลกาด้วยเถิด...”
เสียงหวานดั่งระฆังเงินวิงวอน เรือนร่างผอมบางราวกับว่า เมื่อได้แตะต้องอาจแตกร้าวราวกระเบื้องเคลือบ ที่ข้อมือและข้อเท้าเล็กถูกคล้องด้วยตรวนเหล็กดูไม่เข้ากันนัก ชุดกระโปรงยาวเพียงเข่าสีขาวผืนบาง....ด้วยท่วงท่าการเคลื่อนไหวราวกับหงส์โผบิน เรือนผมสีทองยาวถึงกลางหลัง
เพียงแค่เห็นเพียงด้านหลัง ผู้ที่เฝ้ามองจากนิมิต เช่นเด็กหนุ่มผมทองคนนี้...ดวงเนตรสีมรกตจับจ้องที่ร่างตรงนั้น
....แล้วหญิงสาวก็หันมาสบตา........
“คุราปิก้า แห่งคูลท์...เจ้าพร้อมหรือยังที่จะเสียสละเพื่อโลก.....”
สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มช็อกคือ...ใบหน้าที่หันมาสบตา เหมือน...เหมือนกับเขาราวกับแกะพิมพ์เดียวกัน!!!
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก
สิ่งที่เขาเห็นเกินกว่าที่จะยอมรับไหว....ร่างบอบบางลุกพรวดขึ้นมาด้วยความตกใจ....พอเถอะ....ความฝันบ้าอะไรกัน!!!!! ชั้นไม่อยากรับรู้!!!
เด็กหนุ่มใบหน้าสวยหวานกระวนกระวายอยู่ชั่วครู่ มือเรียวกุมศีรษะ ครุ่นคิดเรืองราวในความฝัน....
“เป็นไปไม่ได้น่า! เราจะเป็นผู้หญิงได้ไงกัน....เธอคนนั้น...ไม่ใช่...ไม่ใช่ชั้น...ไม่ใช่....ไม่....”
ปฏิเสธกับตัวเองราวคนเสียสติ เหงื่อกายผุดขึ้นตามรูขุมขน ดวงเนตรสีมรกตมองสบกับบานกระจกที่เยื้องมุมห้อง
.....ใบหน้าของคนที่กำลังสับสน....สับสน?...บ้าไปแล้ว...ชั้นต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ .
“ไม่ๆๆ ลืมมันซะ คุราปิก้า! นายต้องลืมมัน!”
ร่างบางย้ำให้ลืมกับตนเอง แม้รู้ทั้งรู้ว่ามันอาจจะไม่ลืมก็ได้...แต่กระนั้น คนฉลาดอย่างเขาไม่เสียเวลาครุ่นคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพื่อรบกวนการนอนหลับ....ผ่านไปไม่กี่นาที ล้มตัวลงนอนกับเตียงอย่างเดิม....โดยหารู้ไม่ว่า...สิ่งที่เขาได้เห็น...อีกไม่กี่เดือน....เขาก็จะได้เห็นมัน....อย่างแน่นอน.....
+ + + + + + + + + + + + + + + +
เมื่อห้าปีก่อน......วันนั้น...คือวันที่ชั้นต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง...และเป็นวัน..ที่ทำให้ชั้นพบกับคนๆนั้น...
สายฝนที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้าสีหม่น กลุ่มเมฆสีเทาจำนวนไม่น้อยที่ปกคลุมทั่วฟ้าสีดำสนิท ฟ้าคำรามก้องราวกับส่งสวดความโศกเศร้าของเหล่าบุคคลกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหวีดร้องด้วยความสิ้นหวัง เปลวเพลิงสีแดงโชติช่วงส่องประกายจากซากบ้านเรือนอันมอดไหม้ เถ้าถ่านยังคงคุกรุ่นมิจางหาย สถานที่นี่ซึ่งอดีตเคยเป็นแดนสวรรค์ของชนกลุ่มน้อย นามว่า “เผ่าคูลท์” ผู้มีเนตรสีเปลวเพลิงส่องประกายยามที่จิตใจคุกรุ่นไปด้วยความแค้น
บัดนี้หมู่บ้านอันสงบกลับต้องตื่นผวาด้วยบางสิ่งที่คุกคามพวกเขาเหล่านั้น ซากศพของชนเผ่ามากมายกองก่ายอย่างน่าสังเวช ทุกศพล้วนแต่ถูกควักดวงเนตรจนกลวงโบ๋ โชคชะตามิอาจจะเข้าข้างชนเผ่าอันพิสุทธิ์เลยหรือ หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พวกเขามิอาจต่อต้านเทพแห่งความตายอันมีนามว่า “กองโจรเงามายา”ได้เลย ชาวคูลท์ผู้หาญกล้าอันเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแผ่นดินแถบลูคูโซอันร่มเย็น และสงบสุข
แต่บัดนี้ ไม่เหลือ.....ไม่เหลือ..อีกแล้วล่ะ
จะเหลือก็แต่..................................
เสียงร่ำไห้ของเด็กชายผู้หนึ่ง ผู้มีเรือนผมสีทอง ใบหน้าอันไม่แสดงความเป็นบุรุษเพศ อีกทั้งร่างกายที่บอบบางราวเด็กหญิงตัวน้อยๆ ฝืนวิ่งท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ สั่นเทาเปียกปอนไปทั่วร่างซึ่งเปื้อนเศษโคลน อีกทั้งปลอมปนเลือดสีแดงฉาน เด็กชายสั่นเทาด้วยความหนาว เมื่อพบเจอกับถ้ำ จึงวิ่งเข้าไปเพื่อหลบสายฝนและสิ่งที่คุกคามเด็กชาย สิ่งนั้นทำลายหมู่บ้านและบุคคลผู้เป็นที่รักของเขา.....
“ฮึก.....ทะ....ทุกคน...ฮึก.....ทิ้งผม....ไว้...ไว้...คนเดียว...ฮึก....แล้วผม...จะ...ทำไง...ฮึก...”
เด็กชายสะอื้นไห้อย่างน่าเวทนา ภายในเวลาไม่นาน เขาต้องสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปต่อหน้าต่อตา
มัน.....หน้าเจ็บปวดเกินไปแล้ว......เกินกว่า.....ที่เด็กชาย...จะรับมันไหว....
.......แต่แล้ว.......มัจจุราชผู้พรากดวงวิญญาณของผู้เป็นที่รักของเด็กชาย...ก็ได้เข้าไกล้เด็กชายช้าๆ
“ร้องไห้ก็ไร้ประโยชน์น่า...พ่อแม่เพื่อนพ้องก็ตายหมดแล้ว เธอจะร้องไห้ให้ตายก็ไร้ประโยชน์”
เสียงของบุรุษผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งมีเส้นผมและดวงเนตรสีรัตติกาล รวมไปถึงอาภรณ์สีดำสนิท เขาผู้นั้นยืนมองเด็กชายที่ปากถ้ำ น่าแปลกที่ชายหนุ่มมิได้เปียกปอนไปด้วยฝนเลยแม้แต่น้อย ในมือคือตะเกียงแอลกอฮอลส่องแสงให้แก่หนทางข้างหน้า
“คุณ...เป็นใคร...” เด็กชายถามตื่นๆ เพราะกลัวชายหนุ่มผู้ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายได้ แต่แล้วเขาก็มานั่งอยู่ข้างๆเด็กชาย แล้ววางตะเกียงไว้บนพ้นแฉะๆของถ้ำ
“ไม่ต้องกลัว...ชั้นไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอหรอก ว่าแต่ทำไมเธอถึงได้เปียกปอนขนาดนั้นล่ะ” ชายหนุ่มถามเรียบๆ
“คือ...ว่าผม.....หนีมา....” เด็กชายตอบเสียงสั่น
“อ้าว? แล้วพ่อแม่ของเธอล่ะ” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย
“ตาย....ทุกคนตายหมดแล้ว...ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว” เขากล่าวเบาๆ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลรินมาจากดวงเนตรสีมรกตที่หม่นหมอง
“อ้อ....ขอโทษที่ถามนะ แล้วตกลงว่าเธอเป็นหญิงหรือชายล่ะ” ชายหนุ่มยังคงซักไซ้ถามต่อไป
“เอ๋? ผมเป็นผู้ชายนะฮะ ไม่ใช่ผู้หญิงฮะ คุณดูผิดรึเปล่า?” เด็กชายถามงง ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะเบาๆ
“ฮะๆ ขอโทษๆชั้นเข้าใจผิดไปเองแหละ จริงสิ นายชื่ออะไรเหรอ?” ร่างสูงถามต่อ จนร่างบางมีน้ำโหขึ้นมาบ้าง
“ผมชื่อคุราปิก้าฮะ แล้วก็อย่าหัวเราะได้มั้ย ฮึ! คนเค้าไม่มีเวลามาเฮฮาอย่างคุณนะ แล้วคุณชื่ออะไร มัวแต่เซ่ออยู่ได้ น่ารำคาญจัง!” เด็กชายด่าชายหนุ่มอย่างไม่เกรงใจ แทนที่อีกฝ่ายจะโกรธ เขากลับยิ้มอย่างขำๆ
“ยิ้มอะไรเล่า!” ร่างบางหน้าแดงอย่างห้ามไม่ได้
“เอ่อ....ขอโทษ ชั้นชื่ออะไร....นายไม่จำเป็นต้องรู้..” ชายหนุ่มตอบอย่างกวนๆ ยิ่งเพิ่มความโมโหให้แก่คุราปิก้าเป็นอันมาก
“ได้ไง !คนโรคจิต!!ไม่อยากยุ่งกับคนแก่แล้ว!” ว่าแล้วเขาก็เดินหนี ทำให้ร่างสูงชะงัก
“ชั้นเพิ่งอายุยี่สิบสองนะ หาว่าชั้นแก่เหรอเด็กบ้า!” ร่างสูงตะโกนด้วยความโมโห
“ชั้นก็เพิ่งสิบสอง อายุห่างกันตั้งสิบปีนะ ไม่อยากยุ่งกับผู้ใหญ่จริงๆ ผู้ใหญ่เอาแต่ใจ!” ร่างบางยังคงด่าสารพัด ทำให้ร่างสูงยิ่งโมโหขึ้นมา
“คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง ไอ้เด็กเวร จะไปไหนก็ไปเล้ย!”
“เออ...ชั้นไม่อยู่ให้นายแกล้งหรอกนะ ตาเฒ่าโรคจิต!”
คุราปิก้าพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินเข้าไปในถ้ำด้านใน ทิ้งร่างสูงให้โมโหอยู่เดียวดาย
“คนอะไรก็ไม่รู้ หาว่าจะช่วย ตัวเองลำบากล่ะสิไม่ว่า แล้วเมื่อไหร่ฝนจะหยุดซะที...บางที......เพื่อนๆอาจจังเหลืออยู่ก็ได้นะ.....” เด็กชายคิดในใจก่อนที่จะเดินต่อไป แต่แล้ว.......
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” เสียงหวานใสดังมาจากถ้ำด้านใน ร่างสูงได้ยินจึงรีบวิ่งเข้าไปในถ้ำ
“นี่ คุราปิก้า นายเป็นไรไปน่ะ?”
เสียงเย็นๆของชายหนุ่มดังก้องในถ้ำอันชื้นแฉะ
“ชั้น....อยู่ตรงนี้”เสียงหวานดังมาจากข้างล่างที่น่าจะเป็นร่องถ้ำที่เป็นโพรง
“เดี๋ยวจะไปช่วย”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็ยื่นมือเข้าไปในโพรง มืออีกข้างถือตะเกียงเอาไว้ส่องสว่าง ไม่นานก็ปรากฏมือเรียวบางจากโพรง มือนั้นค่อยๆจับมืออันหยาบกร้านของชายหนุ่มเอาไว้
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ เจ้าเด็กอวดดี” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น พลางเขี่ยกองไฟที่เขาก่อเอาไว้ไล่ความหนาว ข้างๆเด็กชายหน้าหวานที่นั่งผิงไฟ
“นายไม่ไปอาบน้ำเหรอ ด้านในถ้ำชั้นเห็นแอ่งน้ำใสๆอยู่ด้วยนะ” ร่างสูงพูดทำลายความเงียบ
“ไปส่งดิ” ร่างบางพูดเบาๆ
“ก็ได้”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็อุ้มเด็กน้อยในท่าอุ้มเจ้าสาว
“ง่า...จะทำอะไรน่ะ จะแกล้งเด็กรึไง!” คุราปิก้าด่าว่า
“เดี๋ยวนายก็ตกหลุมอีกหรอก ชั้นขี้เกียจช่วยนายนี่นา...” ร่างสูงตอบง่ายๆแล้วเดินช้าๆ
“ไม่อยากช่วยก็ไม่ต้องช่วยซี่ ปล่อยน๊า! เจ้าคนโรคจิต!!!”
“เฮ้ย! อย่าดิ้นสิโว้ย! เด็กอะไรหัดพูดจามีมารยาทบ้างสิ!” ร่างสูงด่าตอบ
“ฮึ!” ร่างบางไม่ยอมพูดเลย ได้แต่อยู่นิ่งเท่านั้น คงเพราะไม่อยากเถียงกับคนที่อายุมากกว่า อีกทั้งก็ยังเสียใจไม่หายเรื่องของเผ่า เขาก็ได้แต่เก็บความรู้สึกไว้เดียวดาย.....แต่เพียงผู้เดียว....เท่านั้น
“เอ้า ถึงแล้ว”
ในที่สุดคุราปิก้าก็ถูกปล่อยลงมาจากอ้อมแขนของชายหนุ่มสักที เขามองไปยังแอ่งน้ำนั่น เป็นแอ่งที่ใสสะอาดน่าอาบเสียจริงๆ
“หันหลังกลับไป ห้ามมองนะ!” ร่างบางออกคำสั่งราวกับเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ไม่ปาน ร่างสูงขมวดคิ้ว
“ได้ไง! ผู้ชายด้วยกันจะอายทำไมล่ะ ชั้นว่าจะอาบด้วยพอดี” เขาพูดพลางทำท่าถอดเสื้อ จนร่างบางหน้าร้อนผ่าว
“จะบ้ารึไง! ใครจะไปอาบด้วย! ไปให้พ้นน๊า!!!” สิ้นเสียงหวาน ก้อนหินจำนวนหนึ่งก็กระแทกชายหนุ่มอย่างไม่
หยุดเพื่อการขับไล่
“เออๆ ไปก็ได้วะ.... ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง ทำแสบมากนะนาย” ว่าแล้วเขาก็เดินจากไปอย่างอารมณ์เสีย
“ฮึย! ไอ้โรคจิต”
ร่างบางพึมพำเบาๆก่อนที่จะถอดอาภรณ์ออก เผยให้เห็นผิวกายสีขาวอมชมพูน่าสัมผัส (คูกะจัง/ซึ่งแน่นอนว่าถ้านายคนนั้นเห็นคงอดใจไม่ไหวเป็นแน่)ค่อยๆหย่อนกายลงในน้ำอันเย็นเฉียบ สองมือน้อยๆลูบไล้ร่างกายที่บอบบาง ชำระคราบโคลนและสิ่งสกปรก
ในขณะเดียวกัน ร่างสูงก็ได้เฝ้ามองไกลๆ เพื่อมิให้ร่างบางรู้(คูกะจัง/เฮ่ย ไหนว่าไม่ใช่โรคจิตไง)เรือนร่างขาวสวยที่หันหลังให้ช่างน่ามองเสียจริง ทั้งผิวกายอันเนียนละเอียด เอวบางคอดที่น่าคว้ามาโอบกอด เรือนผมสีทองที่ลู่ลงเพราะหยดน้ำ ใบหน้าอันงดงามราวกับนางฟ้า ไม่ว่าจะมองมุมไหน คุราปิก้าก็เหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ที่เขาอยากจะปกป้อง.......หรือว่า....อยากครอบครองกันแน่นะ.......
“เสร็จแล้ว” ร่างบางตอบห้วนๆ เขาสวมชุดเสื้อแขนกุดกับกางเกงขาสั้นสีขาว เผยให้เห็นขาขาวๆเนียนสวย
เขาไปนั่งอยู่ข้างๆคนโรคจิต(ในสายตาเขา)
“เสร็จแล้วเรอะ แล้วเสื้อผ้าผืนอื่นเอาไปไว้ไหนล่ะ” ร่างสูงถาม
“เอาไปผึ่งลมแล้ว” ร่างบางตอบแล้วนั่งกอดอก
“เหรอ....หนาวมั้ยล่ะ” ร่างสูงถาม แล้วเขี่ยฟืนเบาๆ
“ช่างผม ว่าแต่คุณไปเอาฟืนมาจากไหนเหรอ?” คุราปิก้าถามห้วนๆ
“ในถ้ำมีเถาไม้เลื้อยอยู่เยอะแยะ ชั้นก็เลยตัดมา” เขาพูดอธิบาย แล้วนั่งเขี่ยกองไฟเล่น
“แล้วคุณมาจากไหน แล้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” คุราตัวน้อยถามชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ
“ชั้นก็แค่นักเดินทางคนนึงล่ะนะ เผอิญฝนตกเลยวิ่งหลบมาที่ถ้ำน่ะ”
“แล้วทำไมคุณถึง......ดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องของผมนี่นา” ร่างบางถามชายหนุ่มอีกครั้ง
“ก็เห็นหมู่บ้านเล็กๆบนภูเขา ชั้นถามคนแถวๆนั้นดู เขาว่าเป็นที่อยู่ของชาวคูลท์ วันนี้ชั้นเห็นนะ
เปลวเพลิงสีแดงคุกรุ่น เสียงหวีดร้องขอความช่วยเหลือ ชั้นคงทำอะไรมันไม่ได้เลย ได้ก็แต่มองเท่านั้นแหละ มันเป็นชะตากรรมอยู่แล้ว....”
ชายหนุ่มถอนหายใจเหมือนจะปิดบังเรื่องบางอย่างเอาไว้
“นี่...ทำไมคุณไม่บอกชื่อล่ะ ขี้โกงชะมัด ให้ผมบอกคนเดียวง่า...” ร่างบางประท้วง
“ฮะๆไม่บอกหรอกน่า”
“คุณมัน.....ฮึ้ย!!” ร่างบางพูดไม่ออกได้แต่ทำนั่งนิ่ว เขาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงชายหนุ่มมากมายนัก มือเรียวบางกอดอกของตัวเองไว้เพราะความหนาวของสายฝนข้างนอก และความเย็นเฉียบของผนังถ้ำ
“เอ้า เอาไปใส่ซะ เดี๋ยวก็แข็งตายหรอก” ร่างสูงยื่นเสื้อแขนยาวสีดำให้ร่างบาง สร้างความแปลกใจให้เด็กชายไม่น้อย
“เอ๋? แล้วคุณล่ะ”
“ไม่เอาน่า ชั้นโตแล้วนะ นายยังเด็กอยู่นี่นา” ชายหนุ่มมองคุราด้วยสายตาแปลกๆ ขณะที่ร่างบางสวมเสื้อผืนนั้น
“ขอบคุณฮะ” ถึงเด็กชายจะพูดด้วยวาจาเย็นชา แต่เขาก็คลี่ยิ้มหวานๆ จนร่างสูงหน้าแดงระเรื่อ
“อะ...ฮื่อ....เออ....แล้วเมื่อไหร่ฝนจะหยุดนะ” เสียงทุ้มดังขึ้นเหมือนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“นั่นสิ.....” ร่างบางพูดเห็นด้วย ขาเรียวของเขาเย็นเฉียบเหลือเกิน จนร่างบางรู้สึกไม่สบาย
“หนาวมากงั้นรึ” ชายหนุ่มถามร่างบาง คุราก็ได้แต่พยักหน้ารับ แต่ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นจากร่างกายของผู้ที่อยู่เคียงข้าง อ้อมกอดนี้ช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน
“คะ...คุณ....”
“ก็หนาวไม่ใช่รึไง...ไม่ต้องกลัวน่า ชั้นไม่กินนายหรอก เด็กตัวกะเปี๊ยกแบบนี้ชั้นคงไม่อยากทารุนหรอก”
ร่างสูงยิ้มแล้วกอดเด็กชายให้แน่นขึ้นด้วยความหมั่นเขี้ยว
“อ๊ะ! ไม่เอาน่า....ผม.....” คุราตัวน้อยเขินอายเป็นอันมาก แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด
เพราะรู้สึกปลอดภัยเหรอ....
รึว่า...เขาเคยช่วยเราเอาไว้นะ
จะบ้ารึไง...คนแปลกหน้าไว้ใจได้ซะที่ไหน
.
ร่างบางครุ่นคิดอย่างงงงวยกับพฤติกรรมของตัวเอง แต่เขาก็ค่อยผล็อยหลับไปด้วยความง่วงและเหนื่อยล้าเต็มที
ทำไมนะ? ความรู้สึกที่แค้นเคือง...ความเศร้า..ที่เรามีอยู่เมื่อก่อนหน้านี้...ทำไมเมื่ออยู่กับชายแปลกหน้าผู้นี่ เขากลับรู้สึกอบอุ่น....เหมือนกับเคยได้รับความรู้สึกนี้มาก่อน
เพราะอะไรกัน.............................................
ยามอรุณรุ่งมาเยือนหุบเขาแห่งความสิ้นหวัง แสงอาทิตย์สาดส่องป่าไม้ขจีที่ดูเศร้าโศก หมู่บ้านชาวคูลท์กลายเป็นกองเถ้าถ่าน ซากศพของผู้กล้าบัดนี้ได้ซบลงบนผืนแผ่นดินเกิด ความโศกเศร้า....ความแค้นที่ไร้ขอบเขต.....สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นภาระของเด็กชายเรือนผมสีทอง.....ทายาทคนสุดท้ายแห่งเผ่าคูลท์
“อือ.................” เสียงหวานใสของคุราปิก้าดังขึ้นเบาๆ ร่างบางของเขานอนซบลงกับพื้นถ้ำ ในขณะที่เพื่อนที่นั่งข้างๆหายไป
“คุณ! ไปไหนของเค้านะ?” เขากล่าวเบาๆ ไม่มีร่องรอยของชายหนุ่มเลย เหมือนกับเขาไม่มีตัวตน ทั้งๆที่เขานอนกอดชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นไว้ทั้งคืน(ล่ะมั้ง) ขาวเรียวยาวย่ำไปตามพื้นเฉอะแฉะ ดวงเนตรสีมรกตกวาดมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีแววของคนผู้นั้น แต่แล้วเขาก็รู้สึกมีอะไรหนักๆที่อก
“นี่มัน?” จี้เงินรูปกางเขนกลับหัวเล็กๆห้อยอยู่กับสร้อยคอสีเงินคล้องคอระหงของเด็กชายเอาไว้ สร้างความแปลกใจให้ร่างบางเป็นอันมาก
“ขอบคุณมากนะ คุณ.....” ร่างบางพูดกับตัวเอง แต่แล้วก็คิดว่าจะเรียกชายผู้นั้นว่าอย่างไร
“คนอะไรขี้โกงชะมัดยากเลย ชื่อก็ไม่ยอมบอก เชอะๆ!” เด็กชายพูดด่าใส่จี้ที่สวมเอาไว้
“งั้นตั้งชื่อให้ก็ได้ อืมมมมมมมมม ชื่อ......เอาเป็นว่าชื่อคุโระดีกว่า....คนอะไรผมก็ดำ ตาก็ดำ แถมใส่ชุดดำอีก แต่ใจไม่ดำอย่างที่คิดแฮะ”(คูกะจัง/แน่ใจเร้อ)
ว่าแล้วเขาก็เดินออกจากถ้ำ รับแสงสว่างที่สาดส่อง
“คุณพ่อกับคุณแม่ครับ ขอให้คุณพ่อคุณแม่ไม่เป็นอะไรนะครับ แล้วก็เพื่อนๆด้วย ขอให้ทุกคนปลอดภัยด้วยนะครับ”
เด็กชายสวดมนต์อ้อนวอนอย่างเดียวดาย เขาไม่รู้หรอกว่าในเวลาต่อมาเขาต้องเสียน้ำตามากมายแค่ไหน....
ต้องล้างแค้นเหล่ากองโจรเงามายาทั้งที่ในหัวใจดวงน้อยๆมิได้พึงพอใจ............
หากแต่เป็นเพราะหัวใจสั่งให้ทำ.......................หัวใจของนักรบ
แต่ว่าสุดท้าย หัวใจดวงน้อยแต่กล้าแกร่งก็ยังพบพานกับเรื่องปวดใจนับแสน......
เขาจะรู้บ้างไหมว่าชายที่ช่วยเขานั้น
เป็นผู้ทำลายทุกสิ่ง....ยื้อแย่งชีวิตอันเป็นรักของเขา
.......แต่ทำไม? ซาตานกระหายเลือด.....กลับอ่อนโยนแก่เด็กที่เพิ่งเคยเจอเพียงครั้งแรก
......เพราะอะไรกัน?
.....และเหตุการณ์วันนี้ก็คือเหตุการณ์ที่จะเชื่อมโยงหัวใจของคนต่างขั้วให้เข้าใจกัน
........นำไปสู่มิตรภาพ
.....รอยยิ้ม
.....และ.....เสียงหัวเราะตลอดกาล.............................
ดวงเนตรสีมรกตมองออกไปยังหน้าต่างบานใหญ่ ครุ่นคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นมากมายกับชีวิตของเค้า.....ตลอดเวลาที่ผ่านมา
“ชั้นชื่อกอร์นฟรีคส์” มือหยาบกร้านสีเข้มยื่นมาทักทายเขา ด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา ดวงเนตรสีน้ำตาไหม้กลมโตฉายแววกระตือรือร้น ผมสีดำตั้งเป็นเอกลักษณ์ เด็กชายนามกอร์น ฟรีคส์ คนที่เปิดโลกที่เต็มไปด้วยความเศร้าให้สดใสขึ้น
ใบหน้าของชายหนุ่มร่างสูงหันมาสบตา ดวงตาสีน้ำตาลอบอุ่น เรือนผมสีน้ำตาลเข้ม เมื่อมองจากภายนอกแล้วแม้เขาจะดูไม่น่าคบแต่แท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่คอยปลอบใจและร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา...เลโอลีโอคนนี้ คือเพื่อนคู่หูที่ยอมเสี่ยงตายกับเขา....
ดวงเนตรสีเทาแสนเย็นชา ผมสีเงินที่นุ่มราวขนแมว ผิวขาวราวหิมะ คิลัว โซลดิ้ก...หัวกะทิมือสังหาร คู่หูของกอร์นผู้ที่คอยห้ามปรามเด็กชายด้วยความห่วงใย...แม้จะห่างไกล...แต่ความรู้สึกที่ดีก็ยังมี...คิลัวเป็นนักฆ่า...แต่เขาไม่ทำร้ายเพื่อน...เขาก็เป็นคนหนึ่งล่ะ...ที่คิลัวไม่ทำร้าย และไม่คิดที่จะทำร้าย.....
เด็กหนุ่มคิดเสมอว่าอยู่ตัวคนเดียว...แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ..เค้ามีพวกกอร์นอยู่นี่นา....แต่ตอนนี้...เค้าตัดสินใจแล้ว...ว่าจะมิให้เพื่อนต้องเดือดร้อน....มือเรียวปรากฏโซ่....กองโจรเงามายา...ชั้นจะต้องจัดการแกให้จงได้!!!!
“หึๆๆ อย่างนั้นเหรอ? คุราปิก้า.....แต่นายคิดผิดนะ..การแก้แค้นไม่ได้ทำให้แมงมุมล่มสลายหรอกนะ...มีวิธีที่เจ๋งและง่ายกว่านี้อีกนะ....คูลลิเทีย...”
เสียงเย็นชาดังขึ้นมาจากที่แห่งหนึ่ง ดวงเนตรของบุคคลปริศนาจับจ้องร่างบาง
“นางฟ้าน่ะ..เค้าไม่ปลิดชีพทรชนหรอกนะ....แบบนายน่ะ นางฟ้ายมทูต.....ไม่ใช่ทั้งยมทูตและนางฟ้าเพียงอย่างเดียว...นายคิดว่าดีแล้วเหรอ? ที่ทำแบบนั้นน่ะ...ช่างเหอะ....ชั้นคนนี้แหละ! ที่จะลากนายมาร่วมงานให้ได้!!”
ถ้อยคำประกาสกร้าวแผ่วเบาราวสายลม แต่ให้ความรู้สึกถึงพลัง..และแล้ว...กงล้อแห่งโชคชะตาก็กำลังหมุนอย่างช้าๆ.......
.....นางฟ้าเทพธิดาผู้พิสุทธิ์
งามประดุจบุพผาแห่งสวรรค์
ทั้งงดงามแสนเศร้าคละเคล้ากัน
สรวงสรรค์บันดาลโชคให้พบพาน
......โชคชาตะกลับให้เธอสังหาร
เหล่าคนพาลผู้เข่นฆ่าคนดีนี้
แม้ทำดีแต่ฆ่าคนนี่แย่สิ
ก็คงมีแต่อาฆาตกันร่ำไป...
...แม้ภายนอกอาจเหมือนจะสดใส
ฆ่าคนไปได้ทำลายคนชั่วช้า
แต่ภายในแสนเศร้าจิตเหนื่อยล้า
มิอาจกล้าปลิดชีพทรชน
....แม้นักฆ่าฆ่าคนมิเคยสน
จะเป็นคนหน้าไหนไม่ใส่ใจ
แต่นางฟ้าคนนี้นั้นหาไม่
แม้มิใช่เครือญาติมิอาจชัง
....
+The end+
ความคิดเห็น