ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อยากจีบให้ติด...คุณรักครั้งแรก

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 7 ชอบปลาทองบ้างหรือยัง

    • อัปเดตล่าสุด 25 ธ.ค. 63


    ตอนที่ 7

    ชอบปลาทองบ้างหรือยัง

     

                   จบคอร์สเรียนขับรถผมก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเหมือนเดิม ไม่ได้ขับรถออกไปไหน ของก็ไม่ต้องไปส่งเพราะได้คนส่งของคนใหม่แล้ว วันๆ ใช้ชีวิตอยู่กับปลาทอง มองหน้าปลาตัวกลมที่เอาแต่ขออาหารกิน ว่ายวนไปมาอยู่ในน้ำไม่ต้องใช้ความคิดอะไร สบายจนอยากจะลองเป็นปลาดูสักวัน แต่ผมขออยู่ในตู้ใหญ่ๆ นะไม่เอาในบ่อดินที่ต้องถูกโกยขึ้นมาคัดตัวไปขาย

                    เมื่อช่วงเช้าก็เพิ่งไปช่วยเอาปลาทองออลันดาห้าสีขึ้นมาจากบ่อเหมือนกัน แต่ไม่ได้ช่วยอยู่คัดเพราะมีธุระต้องไปจัดการ

                    ธุระครั้งสุดท้ายกับโรงเรียนสอนขับรถ

                    ขึ้นจากบ่อดินมาอาบน้ำอาบท่า เลือกชุดโปรดที่คิดว่าใส่แล้วดูดีที่สุด ฉีดน้ำหอมกลิ่นโปรดเพิ่มความสดใสก่อนลงไปหาพี่คนงานที่ขอให้ขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งที่โรงเรียนเพราะวันนี้พี่เพนนีไม่ว่าง แต่พอเดินมาถึงหน้าบ้านกลับพบว่าฝนกำลังตกเสียอย่างนั้น

                    นัดคุณรักแรกไว้แล้ว แผนจะมาล่มเพราะฝนตกแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด

                    “พี่แมวๆ รีบไปเลย”

                    กวักมือเรียกให้พี่คนงานให้วนรถมาหา รวบรวมความกล้ากระโดดขึ้นซ้อนท้ายแม้จะมีความหลังฝังใจไม่ค่อยดีนักกับการซ้อนมอเตอร์ไซค์ตอนฝนตก แต่เหมือนคนบนฟ้าอยากเตือนให้ผมรู้ว่าไม่ควรเสี่ยง ฝนที่ตกเปาะแปะในทีแรกเทลงมาโครมใหญ่จนพี่แมวต้องถามอีกทีเพื่อความแน่ใจ

                    “จะไปจริงเหรอน้องปอนด์ เปียกนะ”

                    “ไม่ไปแล้วก็ได้ครับ”

                    ต้องก้าวลงรถอย่างช่วยไม่ได้ ทำไมอุปสรรคความรักของผมมันถึงได้เยอะนักก็ไม่รู้ ชวนเขามากินเห็ดทอดกว่าจะได้กินก็แสนลำบาก จะหาเรื่องไปหาฝนก็ดันตกหนักอีก

                    “พี่แมวไปพักก่อนก็ได้ ถ้าจะกลับก็ขับรถดีๆ นะ”

                    เงยหน้ามองฟ้าแล้วดูท่าว่าน่าจะตกอีกนาน ผมจำต้องตัดใจบอกลารถคันเดียวที่พร้อมออกไปส่งเพราะเป็นช่วงเลิกงานของพี่แมวพอดีและโรงเรียนสอนขับรถก็เป็นทางผ่านบ้านแก เดินคอตกกลับเข้าบ้านล้มตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรงใจ

                    ขณะที่กำลังดีดดิ้นอย่างหงุดหงิดอยู่นั้นแจ้งเตือนก็ดัง ผมรีบเปิดกระเป๋าหยิบมือถือมาเปิดดู ต้องแจ้งข่าวคุณรักแรกด้วยว่าไปหาไม่ได้ เอ๊ย! ไปเอาใบรับรองไม่ได้แล้ว แต่เขากลับทักมาไวกว่าผม

     

                    ‘ฝนตกหนักเลยมาไม่ได้แล้วดิ’

                    ‘เซ็งอยู่เนี่ย’

                    ‘ไว้ค่อยมาเอาวันหลังก็ได้’

                    ‘ใบรับรองน่ะไม่เท่าไร อยากเจอคุณครูมากกว่า’

     

                    เมื่อกี้เพิ่งหงุดหงิดแต่ตอนนี้ผมยิ้มออกแล้ว เขินนะที่พิมพ์ไปแต่ต้องรีบรุกประกาศศักดาให้เร็วที่สุด

     

                    ‘ทำไมอ่ะ ถอยรถเข้าบ้านไม่ได้เหรอ’

     

                    แต่คุณครูก็คือคุณครู รับมุกแบบคุณครูจริงๆ

     

                    ‘วันนี้ยังไม่ได้แตะรถเลย’

                    ‘ต้องฝึกบ่อยๆ ครับจะได้ชินมือ’

                    ‘ทราบแล้วครับคุณครู ว่าแต่วันนี้จะไม่ได้เจอใหม่จริงดิ’

     

                    ต้องรีบดึงออกจากเรื่องการเรียนการสอน หลักสูตรขับรถมันจบไปแล้ว จากนี้จะเริ่มหลักสูตรจีบเธอที่ผมเป็นคนคิดค้นขึ้นเองและไม่รับประกันว่าจบไปแล้วจะจีบใครสักคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     

                    ‘สัปดาห์นี้เจอแทบทุกวันเลยไม่เบื่อเหรอ’

                    ‘อย่าลืมดิว่าเราชอบใหม่’

     

                    พิมพ์เองก็เขินเอง ต้องเม้มปากกลั้นยิ้มระหว่างรอคำตอบ คุณรักแรกคงไม่วิ่งเข้าห้องน้ำไปโก่งคออ้วกหรอกนะ

     

                    ‘งั้นเดี๋ยวผมแวะเอาใบรับรองไปให้ที่บ้าน’

     

                    ผมเด้งตัวลุกขึ้นนั่งเมื่ออ่านจบ อ้อนอยากเจอก็มาหา แบบนี้เขาเรียกว่ามีใจชัดๆ

     

                    ‘มาจริงมั้ย’

                    ‘จริง เดี๋ยวไปคุยกับพี่ธุรการก่อน’

                    ‘เปิดบ้านรอแล้วนะ’

     

                    คุณรักแรกรัวเลขห้ากลับมา แล้วก็หักเลี้ยวไม่ยอมเล่นกับผมต่อ

     

                    ‘เจอกัน’

     

                    เจอกันก็เจอกัน ไม่เสียแรงที่แต่งตัวฉีดน้ำหอมรอ

                    ต้องขอบคุณฝนที่ตกมาอย่างกะทันหันแล้วรอบนี้

                    

                    ผมนั่งรออยู่ที่ห้องนั่งเล่นด้วยใจจดจ่อ ได้ยินเสียงรถก็เดินไปชะเง้อดูแต่เป็นพี่เพนนีที่กลับมา ถัดมาอีกไม่กี่นาทีได้ยินเสียงรถก็ลุกไปดูอีก รอบนี้เป็นพ่อกับแม่ที่เพิ่งกลับมาจากฟาร์ม ส่วนคุณรักแรกของผมนั้นหายเงียบไปเลย

                    “ชะเง้อหาใคร”

                    หันกลับไปมองพี่เพนนีที่กำลังยืนแทะข้าวโพดต้มมองมาที่ผม ชุดสวยๆ เมื่อกี้ถูกเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น รวบผมมัดเป็นจุก หน้าม้าก็ติดกิ๊บขึ้น เหลือแค่เครื่องสำอางที่ยังไม่ล้างออก

                    “เพื่อนจะมาหา”

                    “ฝนตกแบบนี้อ่ะนะ”

                    “อืม ใหม่คนที่เป็นครูสอนขับรถอ่ะ เขาจะเอาใบรับรองมาให้”

                    “โรงเรียนนี้บริการดีขนาดนี้เลยเหรอ”

                    เรียกว่าบริการพิเศษสำหรับผมคนเดียวน่าจะเหมาะกว่า

                    “ก็เพื่อนไง แวะมาหา”

                    “พยายามเนอะ ฝนก็ตก” พี่เพนนียังไม่ยอมหยุดจากประเด็นฝนตก เดินมายืนชะเง้อข้างโซฟาช่วยผมมองว่าเมื่อไรคุณรักแรกจะมาสักที

                    “จริงๆ ปอนด์ขอให้เขามาเองอ่ะ”

                    “ขออะไรไม่เข้าเรื่อง แค่ใบรับรองไปเอาวันหลังก็ได้” แล้วก็หันมาขมวดคิ้วใส่กันเฉย

                    “ไม่ได้เกี่ยวกับใบรับรองเลย”

                    ฟังจบพี่เพนนีก็ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ผมยิ้มแหยให้โดยไม่พูดอะไรต่อ ถ้าพี่จำเพื่อนที่ชื่อใหม่ได้น่าจะรู้ว่าตอนเด็กๆ ผมเคยพูดถึงเพื่อนคนนี้อยู่หลายรอบ ออกแนวเพ้อๆ ที่พี่สาวไม่ได้สนใจอยากฟังนัก บางทีก็ถูกแซวว่า ‘ชอบเขาเหรอ’ แต่ผมไม่กล้ายอมรับ ได้แต่บอกออกไปว่า ‘บ้าเหรอ’ แล้วแอบยิ้มอยู่คนเดียว แต่ถ้าถามตอนนี้จะตอบว่า ‘ใช่’ โดยไม่ลังเล

                    “เกี่ยวกับคนเอามาให้เหรอ” ถามพลางเดินอ้อมมานั่งข้างๆ พี่เพนนีรู้มานานแล้วว่าผมเป็นยังไง พ่อกับแม่ก็เหมือนจะรู้แค่เขาไม่พูด นึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าเปิดใจพูดกันตรงๆ จะเป็นยังไง

                    “ก็ใช่”

                    “หืม”

                    “ทำไม จะขัดขวางเหรอ”

                    “พี่เคยทำอย่างนั้นเหรอ”

                    ไม่เคยเลยสักครั้ง ปกติพี่เพนนีไม่ได้สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของผมนักหรอก รู้แค่ว่าช่วงไหนน้องชายคบใคร ปล่อยให้ผมเป็นคนจัดการเรื่องของตัวเอง

                    “ถึงขั้นชวนมาบ้านนี่จริงจังขนาดไหน” ไม่ได้คำตอบจากผมพี่เพนนีก็ถามต่อ

                    “อยากมีแฟนแล้ว”

                    พี่เพนนียิ้มก่อนโยนฝักข้าวโพดทิ้งถังขยะข้างโซฟาพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์รถที่ดังฝ่าสายฝนมา ผมรีบลุกขึ้นไปดู เห็นเป็นซีวิคสีดำก็ยิ้มกว้าง นึกว่าหลงทางหรือไม่ก็เทนัดกันซะแล้ว

                    หยิบร่มเดินออกไปรับแม้ฝนไม่ได้ตกหนักเหมือนชั่วโมงก่อน อยากลองใช้ช่วงเวลาใต้ร่มเดียวกันดูสักครั้งถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม จะว่าไปสมัยเรียนก็เหมือนจะมีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน

                    ร่มสีฟ้าคันนั้นกับระยะทางแสนสั้นที่ทำให้หัวใจพองโต

                    ยิ้มรับเมื่อประตูรถเปิดออก เจ้าชายของผมก้าวลงจากรถมายืนข้างกันใต้ร่มคันใหญ่ ดึงความทรงจำครั้งเก่าออกมาให้ต้องยิ้มกว้างกว่าเดิม

                    วันฝนพรำที่เจ้าหญิงติดอยู่ในอาคาร ตอนนั้นเองได้มีเจ้าชายถือร่มเดินเข้ามาหา สอบถามความประสงค์ว่าเจ้าหญิงต้องการสิ่งใด ทว่าเจ้าหญิงกำลังรอราชรถมารับเพียงเท่านั้นจึงได้ปฏิเสธน้ำใจไป ถึงอย่างนั้นเจ้าชายก็ยังไม่ไปไหน หุบร่มคันนั้นนั่งคุยเป็นเพื่อนคลายเหงากระทั่งราชรถมาถึงร่มสีฟ้าคันนั้นก็ถูกกางออกอีกครั้ง

                    ‘เดี๋ยวเดินไปส่ง’ เจ้าชายเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม เดินเคียงข้างกับเจ้าหญิงกระทั่งถึงราชรถที่จอดรออยู่ด้านหน้า ระยะทางสั้นๆ ทว่าความรู้สึกดีอันเปี่ยมล้มได้อัดแน่นอยู่ใต้ร่มคันเล็กนั้นอย่างไม่อาจลืมเลือน

                    อย่างน้อยครั้งหนึ่งผมก็เคยได้เป็นเจ้าหญิงของเขา

                    แม้จะเป็นเจ้าหญิงที่ผมจินตนาการเอาเองก็ตาม

                    “รีบเข้าบ้านกัน”

                    เพียงเจ็ดก้าวจากรถ ผมวางร่มที่ปกป้องเราจากหยดน้ำบนฟ้าลง เชิญชวนแขกคนพิเศษเข้าบ้าน เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผมลุกออกไปทั้งครอบครัวก็กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าอย่างกับมาเพื่อต้อนรับ

                    “นี่ใหม่เพื่อนปอนด์เอง เขาเป็นครูสอนขับรถ”

                    “สวัสดีครับ” คุณรักแรกรีบยกมือไหว้ทักทาย สายตาพ่อกับแม่ล็อกเป้าหมายเมื่อผมแนะนำออกไปแบบนั้น ขอถอนคำพูดทันมั้ย น่าจะบอกว่าเป็นเพื่อนพอ

                    “เป็นคนสอนปอนด์เหรอ” พ่อถาม

                    “ครับ”

                    “อย่างนี้ถ้ายังขับไม่คล่องก็เรียกคุณครูมาสอนเพิ่มได้ใช่มั้ย”

                    “จบหลักสูตรแล้วพ่อ ไม่เกี่ยวแล้ว” ผมขัดขึ้นก่อนคุณรักแรกจะได้ตอบ พ่อผมเป็นคนจู้จี้ปล่อยให้พูดมากไม่ได้

                    “ก็สอนแล้วนักเรียนยังขับไม่เก่งทำไง”

                    “ใครมันจะไปเก่งได้เรียนแค่ไม่กี่ชั่วโมง ปอนด์ขึ้นห้องแล้วนะ” ขัดขึ้นอีกรอบเพราะกลัวว่าพ่อจะพูดอะไรแปลกๆ ออกมาอีก

                    ผมรีบคว้าแขนคุณรักแรกให้เดินขึ้นชั้นบนเพราะไม่อยากให้ความประทับใจแรกของครอบครัวเสียไปมากกว่านี้ แต่ก็ยังได้ยินเสียงแม่กับพี่เพนนีพูดถึงเขาอยู่

                    “เพื่อนที่ไหน”

                    “เห็นบอกว่ามัธยม”

                    “แม่รู้จักแค่เพลิน”

                    “เพลินมันไปอยู่กรุงเทพฯ แล้ว”

                    ก็ถือว่ายังดีที่ไม่ได้พูดอะไรแปลกๆ ออกมา

                    “ขอโทษเรื่องพ่อด้วยนะ” ผมบอกเมื่อขึ้นมาถึงชั้นบน สังเกตสีหน้าเขาแล้วยังดูปกติดี

                    “เฮ้ย ไม่ต้องขอโทษ เข้าใจ”

                    “กลัวคิดมาก”

                    “อาจจะแซวมั้ง จริงๆ ก็ตกลงจะมาสอนนอกรอบให้อยู่แล้วด้วยไง”

                    “อย่าเพิ่งไม่ชอบพ่อแม่เรานะ” พูดดักไว้ก่อน หลายคู่ที่ไปกันไม่ได้เพราะครอบครัว แม้จะยังไม่ได้คบเป็นเรื่องเป็นราวแต่ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น อยากให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปด้วยความสบายใจของทั้งสองฝ่าย ถ้าคุณรักแรกเกิดไม่ชอบครอบครัวผมขึ้นมาคงแย่

                    “คุยแค่นั้นไม่ทำให้เกลียดได้ง่ายๆ หรอก ห้องคุณอยู่ไหน” เขาแค่ยิ้มบางๆ ก่อนพยักพเยิดให้นำทางไป

                    ห้องของผมอยู่ริมสุดด้านในติดฝั่งหน้าบ้าน ห้องเล็กๆ ที่ตกแต่งแบบเน้นพื้นที่ใช้สอย เตียงวางชิดหน้าต่างมีพรมกับโซฟาตัวเล็กตั้งอยู่ข้างๆ ปลายเตียงเป็นโต๊ะทีวี อีกฝั่งมีตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะเครื่องแป้ง และจุดล่อลวงแขกของห้องที่ไม่ว่าใครมาก็ต้องพุ่งไปหาทันที

                    “เลี้ยงไว้ในห้องด้วยเหรอ”

                    ตู้ปลาขนาดยี่สิบสี่นิ้ว

                    “ชอบมองเวลามันว่ายไปมา เพลินดี”

                    “คุณปลาทองเลี้ยงปลาทอง”

                    “โตมาด้วยกันก็เลยชอบมันไปแล้ว”

                     ผมก้าวไปยืนข้างเขา มองปลาทองสามตัวที่อยู่ในตู้ มีสีทองหนึ่งตัว สีเงินหนึ่งตัว แล้วก็ออลันดาห้าสีอีกหนึ่งตัว พวกมันว่ายมารวมตัวขออาหารกิน แม้จะอยู่กับปลาสวยงามพวกนี้มาทั้งชีวิตแต่ความรู้สึกที่ได้เห็นพวกมันแหวกว่ายอยู่ในตู้ใสแตกต่างกับตอนที่อยู่ในบ่อดินหรือบ่อเพาะอย่างสิ้นเชิง ความสวยงามและความบันเทิงที่ได้รับมันต่างแบบเทียบกันไม่ได้

                    “มันหิวหรือเปล่า” คุณรักแรกถามเมื่อเห็นพวกมันดูดน้ำกันดังจ๊อบแจ๊บเหมือนปลาที่หิวโหย ทั้งที่ผมเพิ่งให้อาหารไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว

                    “มันเป็นปลาที่หิวตลอดเวลา กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม เลยต้องให้ทีละน้อยแล้วให้บ่อยๆ แทน” ผมตักอาหารปลาโรยให้พวกมันก็รีบมารุมกินแป๊บเดียวหมด

                    คุณรักแรกมองปลาในตู้แล้วทำหน้าตื่นเต้นเหมือนไม่เคยเห็น ดูเขาจะชอบพวกมันไม่น้อยจนสงสัยว่าแล้วคุณปลาทองคนนี้ล่ะเริ่มรู้สึกชอบขึ้นมาบ้างหรือยัง

                    “ชอบเหรอ”

                    “อืม ก็เพลินดี”

                    “แล้วคุณปลาทองล่ะ”

                    เขาหันมามองด้วยสายตาที่เดาความหมายไม่ออก ผมก็ทำใจกล้าจ้องกลับ ตั้งใจจะจีบแล้วต้องเดินหน้าให้เต็มที่ห้ามเขินเด็ดขาด แต่พอต้องสบตานานๆ แล้วมันก็เขินอยู่ดี

                    “คุณปลาทองทำไมครับ”

                    “ชอบบ้างยัง” ถามออกไปแล้วก็รู้สึกร้อนวูบวาบ เลือดสูบฉีดดีที่หน้าดีเป็นพิเศษ

                    คุณรักแรกก็เอาแต่ยิ้มเหมือนอยากทดสอบความอดทนของผม ชอบหรือไม่ชอบก็ตอบออกมาเลยจะได้เอาข้อมูลมาปรับแผนการที่แม้ตอนนี้จะยังไม่มีก็ตามที

                    “ตอบดิ”

                    “ก็ต้องชอบบ้างอยู่แล้ว เอานี่ไป” ตอบแล้วก็ตัดจบแบบดื้อๆ เขายื่นใบรับรองที่ถือมาตั้งแต่ลงจากรถให้ผมเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามาที่นี่เพราะอะไร

                    ผมรับเอกสารในซองมาเปิดดูคร่าวๆ ก่อนใส่ไว้ในลิ้นชักตรงโต๊ะทีวี อุตส่าห์ล่อลวงคุณครูมาหาตอนฝนตกได้ทั้งทีจะเอาแต่คุยเรื่องการเรียนการสอนไม่ได้เด็ดขาด แต่ครูใหม่กลับไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไร

                    “จองวันไปทำใบขับขี่หรือยัง”

                    “จองแล้ว”

                    “ได้วันไหน”

                    “วันศุกร์ ไปด้วยกันมั้ย”

                    “มีสอน”

                    รู้อยู่แล้วแต่ก็ถามไปอย่างนั้นเอง ผมจองคิวพี่เพนนีไว้เรียบร้อยไม่รบกวนคุณเขาหรอก

                    ผมเดินไปนั่งบนเตียงยกโซฟาตัวเล็กให้คุณรักแรก เขาบอกว่ารอให้ฝนซาอีกหน่อยค่อยกลับผมเลยชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยเท่าที่พอนึกออก เขาเล่าเรื่องงานเรื่องลูกศิษย์ ผมก็เล่าเรื่องปลาทองที่วันนี้เพิ่งลงบ่อดินจับพวกมันขึ้นมาคัดเพื่อส่งขาย คู่สนทนานั่งฟังอย่างตั้งใจแม้ผมจะเคยเล่าเรื่องนี้ไปเมื่อแปดปีก่อนแล้วก็ตาม เด็กผู้ชายตัวเล็กกว่าที่ดูสนุกกับเรื่องปลาทองของผม

                    เสียงฝนด้านนอกเบาลงเป็นสัญญาณเตือนว่าใกล้ถึงเวลาที่ต้องกลับ ท้องฟ้าเปลี่ยนสีจนมืดสนิทโดยไม่ทันรู้ตัว

                    “วันนี้กลับก่อนดีกว่า”

                    “ขอบคุณที่แวะมานะ”

                    คุณรักแรกส่งยิ้มกลับมาให้ก่อนลุกเดินนำหน้า แล้วเขาก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูก้มมองอะไรสักอย่างที่ชวนให้สงสัย ผมรีบก้าวตามไปดู เขาหันมาขมวดคิ้วใส่ทำหน้าตื่นตกใจจนผมตกใจตามไปด้วย

                    “อะไร มีอะไร”

                    “มีแผลตรงไหนหรือเปล่า”

                    “แผลอะไร”

                    ยิ่งพูดก็ยิ่งงง ผมต้องเป็นฝ่ายถามมากกว่าว่าเขาเป็นอะไรถึงมาบอกว่าผมเป็นแผล

                    “มีเลือดอยู่ตรงนี้”

                    “ตรงไหน เลือดใคร” ก้มมองตามนิ้วที่ชี้ไป ผมร้องอ๋อในใจแต่คุณรักแรกยังตกใจไม่เลิก

                    “เลือดคุณหรือเปล่า” ถามแล้วก็มองสำรวจตัวผมเพื่อหารอยแผลหรือที่มาของรอยเลือดนั้น

                    เห็นแล้วผมแทบกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ ก็ไอ้รอยเลือดที่เปื้อนบนพื้นนั่นน่ะอาจจะเป็นเลือดของผมหรือของเขาก็ได้ แต่ไม่มีใครเป็นแผลที่น่าห่วงแน่นอน

                    “เลือดของใหม่หรือเปล่า”

                    “ไม่ใช่เลือดผม”

                    “งั้นคงเป็นเลือดเราที่ยุงมาขโมยไป”

                    “ยุง?”

                    “ยุงไง ช่วงนี้ยุงเยอะยิ่งช่วงฝนตก บางทีพี่เพนชอบลืมปิดประตูมันก็บินเข้ามา เก่งนะเนี่ยบินขึ้นมาถึงชั้นสองเลย ใหม่ลองดูใต้ตีนดิเหยียบมันตายหรือเปล่า”

                    คนที่กำลังงงยกเท้าขึ้นดูตามที่บอก ช่วงนี้บ้านผมเจอรอยเลือดบ่อยแต่จะเยอะที่ชั้นล่าง เลยมีทั้งไม้ช็อตยุงทั้งยาจุดกันยุงวางอยู่ ส่วนไอ้ตัวที่ตายน่าจะดูดเลือดใครสักคนจนอิ่มแล้วหล่นตุบอยู่บนพื้นก่อนจะถูกผมที่เดินไปเดินมาเหยียบตายโดยไม่รู้ตัว

                    “เราเหยียบเอง” ลองยกเท้าดูบ้างก็เจอหลักฐานเป็นรอยเปื้อนดำๆ กับรอยเลือดที่มองไม่ค่อยออกว่ามันคือซากยุง

                    “ตกใจหมด”

                    “เป็นห่วงอ่ะดิ”

                    หน้าคุณรักแรกตอนหันมาถามว่า ‘มีแผลตรงไหนหรือเปล่า’ ดูเป็นห่วงเป็นใยจนอดดีใจไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยฐานะเพื่อนหรือมากกว่าเพื่อนขึ้นมานิดหน่อย

                    “ก็ห่วง เห็นเลือดผมก็ตกใจดิ” แล้วก็พูดอ้อมแอ้มไม่เต็มปากเต็มคำ

                    “เขินเหรอ”

                    “ใครเขิน”

                    “ใหม่อ่ะเขิน”

                    “เขินเพราะไม่คิดว่าจะเป็นเลือดยุงไง หน้าแตก”

                    ไม่คิดเลยว่าจะใช้ข้ออ้างนี้

                    “นึกว่าเขินที่โดนจับได้ว่าเป็นห่วง”

                    “เป็นห่วงไม่เห็นต้องเขินเลย ผมก็เป็นห่วงคุณนั่นแหละ กลับได้ยัง”

                    พูดเหมือนผมรั้งตัวไว้เลย อยากกลับก็กลับ พอใจแล้วที่มีคนเป็นห่วงเพราะถูกยุงกัด

                    “ได้ เชิญครับคุณครู”

                    เอาไว้วันหลังจะหาเรื่องชวนมาอยู่ด้วยกันใหม่นะครับคุณรักแรก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×