ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แค่อยากเกิดใหม่

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 8

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 63


    ตอนที่ 8

     

                    ลักซ์ถูกพามายังนรกหลังจากเล่าเรื่องเสียงในหัวให้เคียร์ฟัง เข้าพบเอลตันหัวหน้ายมทูตเพื่อพูดคุยถึงความเป็นมาเป็นไป เพราะคำว่า ‘ลูก’ ที่ลักซ์ได้ยินนั้นอาจจะเป็นเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับวิญญาณร้ายที่กำลังลอยนวลอยู่ตอนนี้

                    “ลักซ์ ภวินท์ เป็นลูกชายคนเดียวของนายโฬมกับนางโบนิตา เกิดวันที่ 30 กรกฎาคม อาศัยอยู่กับครอบครัวจนอายุสิบเอ็ดปีพ่อกับแม่ได้หย่าร้างกัน นายโฬมตกลงเป็นฝ่ายรับเลี้ยงลูก จากนั้นสามปีนายโฬมก็ได้แต่งงานใหม่กับนางเอริกา มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อคริสตัล และนางเอริกากำลังตั้งครรภ์บุตรอีกคนอยู่ตอนนี้ ประวัติครบถ้วนถูกต้องมั้ย” เอลตันอ่านประวัติของลักซ์ที่มีในระบบและทวนถามอีกครั้ง ข้อมูลทุกอย่างจะเชื่อมโยงกับข้อมูลของโลกมนุษย์ซึ่งไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดได้

                    “ถูกครับ”

                    “แล้วทำไมจินถึงเรียกนายว่าลูก”

                    “ผมไม่แน่ใจ เขาพูดทีละคำนั่นอาจไม่ได้หมายความว่าผมเป็นลูกเขาก็ได้” ลักซ์บอกไปตามที่คิด

                    “ให้สืบข้อมูลใหม่ไปเลยน่าจะดีกว่า อาจจะมีส่วนที่ทางทะเบียนตกหล่นไปก็ได้” เคียร์เสนอเพราะกรณีแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทะเบียนรายชื่อของทั้งสองโลกเชื่อมต่อกัน แต่บางครั้งความซับซ้อนทางความคิดและการกระทำของมนุษย์ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้

                    “งั้นสั่งนายทะเบียนเช็กประวัติ นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะลักษ์ ใช้เวลาไม่นานหรอก” เอลตันออกคำสั่งกับเคียร์ก่อนหันมาบอกให้ลักซ์สบายใจ

                    “ครับ”

                    “เช็กประวัติอย่างเร็วต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งวัน นายทะเบียน...”

                    “ได้ใช่มั้ยเคียร์”

                    สุนัขล่าวิญญาณที่หมายจะค้านคำสั่งถึงกับกลอกตาใส่หัวหน้ายมทูตอย่างไม่เกรงกลัว เขาละเบื่อจริงๆ พวกคนใหญ่คนโตที่ออกคำสั่งไม่เห็นใจคนทำงาน ขืนโร่ไปบอกให้นายทะเบียนรีบเช็กประวัติทั้งที่งานก็ล้นมืออยู่แล้วเขานี่แหละจะโดนด่า ต้องคอยเป็นฝ่ายรับหน้าให้ตลอด

                    “เคียร์”

                    “ทราบแล้วครับ” แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องรับคำสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้

     

                    เดินเข้าห้องทะเบียนด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์แต่คนที่ดูไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่ากลับเป็นนายทะเบียนที่พอเห็นหน้าเคียร์แล้วถึงกับถอนหายใจ เธอรีบเบียนหน้าหนีทำทีเป็นว่ากำลังยุ่งสุดชีวิต ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาหาแม้เคียร์จะยืนเท้าเคาน์เตอร์อยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม

                    “จัสมิน”

                    “ไม่ว่าง”

                    “ลักซ์ ภวินท์ ด่วนๆ ฉันก็ไม่ได้อยากเร่งนักหรอกนะ แต่นี่มันเกี่ยวกับวิญญาณร้ายที่ยังลอยนวลอยู่บนโลกมนุษย์ ถ้าเธอไม่รีบเช็กให้ละก็จบเห่แน่”

                    “ขู่เก่งจริงๆ”

                    “เช็กของจิน เสนา ด้วย”

                    “เออ ไปนั่งรอไป”

                    “กี่นาที”

                    “ไปนั่งรอ”

                    “โอเค”

                    เคียร์ไม่ซักไซ้ถามต่อเดี๋ยวจะโดนหงุดหงิดใส่เสียเปล่าๆ ในบรรดานายทะเบียนทั้งหมดจัสมินเป็นคนที่ทำงานเร็วและละเอียดที่สุด ทุกครั้งที่ถูกเอลตันสั่งมาก็มักมาไหว้วานให้เธอช่วยอีกที แล้วก็จะโดนมองตาขวางใส่ประจำ เป็นผู้หญิงที่ไม่มีความอ่อนหวานเอาเสียเลย

                    แม้สุนัขล่าวิญญาณจะเรียกได้ว่าเป็นเบ๊ของยมทูตแต่ก็นับว่าเป็นกลุ่มที่สง่างามเป็นอันดับต้นๆ ของนรก เคียร์นั่งไขว่ห้างกวาดตามองนายทะเบียนทำงานอย่างวางท่า แลดูวุ่นวายเพราะเป็นศูนย์รวมข้อมูลต้องส่งแฟ้มประวัติวิญญาณให้แผนกต่างๆ เจ้าหน้าที่เดินเข้าออกเป็นว่าเล่น โชคดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ถูกจับโยนมาอยู่แผนกที่น่าปวดหัวที่สุดของนรก

                    “เคียร์” รออยู่ไม่นานนักจัสมินก็ส่งเสียงเรียก เคียร์รีบลุกไปหาเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของนายทะเบียน

                    “เป็นไง”

                    “เหมือนข้อมูลของลักซ์จะมีสองแฟ้มนะ เป็นคนที่ประวัติซับซ้อนน่าดู แถมแฟ้มเก่าโดนลบทิ้งไปแล้วด้วย”

                    “ใครลบ”

                    “ก็นายทะเบียนนี่แหละ ประวัติบนโลกมนุษย์เปลี่ยนแฟ้มเก่าเลยไม่จำเป็นไง”

                    “มันกู้ได้มั้ย”

                    “ได้ จริงๆ มันก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก อยู่ในถังขยะที่แหละ”

                    คลิกเมาส์แค่สองทีแฟ้มประวัติอีกแฟ้มของลักซ์ที่เคยถูกลบไปก็กลับมา จัสมินเปิดดูคร่าวๆ ก่อนค้นแฟ้มและเช็กประวัติของจินต่อ ข้อมูลสำคัญที่พวกเขาละเลยไป

                    “เหมือนสองคนนี้มีความเกี่ยวข้องกันนะ”

                    จัสมินเลื่อนเคอร์เซอร์เมาส์ไปตรงคำว่า ‘ความสัมพันธ์’ แล้วทุกอย่างที่เขาสงสัยก็กระจ่างในทันที

                    “ส่งไปให้เอลตันเลยนะ”

                    “ค่า”

                    “ขอบคุณมาก” ยิ้มกว้างให้ก่อนเคียร์จะรีบกลับไปยังห้องที่หัวหน้ายมทูตรออยู่

    ประวัติที่ถูกลบเลือนไป เห็นท่าว่าพวกเขาต้องทำการรื้อและเรียบเรียงเรื่องราวใหม่เพื่อหาวิธีจัดการกับวิญญาณร้ายที่ลอยนวลอยู่

                    

                    “เป็นลูกชายจริงๆ สินะ ข้อมูลสำคัญขนาดนี้ทำไมถึงพลาดกันได้”

                    เคียร์ไหวไหล่ ขณะที่ลักซ์ดูสับสนและเครียดอยู่ไม่น้อย ประวัติใหม่ที่สืบค้นมามีความซับซ้อน เป็นความลับที่แม้กระทั่งตัวลักซ์เองยังไม่เคยรู้มาก่อน เรื่องสายเลือดของฆาตกรที่เคยไหลเวียนอยู่ในตัวของเขา

                    ช็อกยิ่งกว่าช็อกเมื่อมารับรู้ทีหลังว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด ลักซ์เป็นเด็กที่ถูกรับมาเลี้ยงด้วยสถานการณ์แบบไหนไม่อาจรับรู้ได้ พ่อที่เป็นฆาตกรฆ่าแม่แท้ๆ ของเขา ไม่มีใครรู้ว่าเด็กเกิดมา ไม่มีใครรู้ว่าพ่อของเด็กทำยังไงลูกชายถึงได้ไปอยู่ในการดูแลของคนอื่นได้

                    “ข้อมูลผิดพลาดตั้งแต่แผนกส่งไปเกิดเลยเหรอ” เอลตันถามเสียงเครียด

                    “ส่งวิญญาณไปเกิดได้ก็หมดหน้าที่แผนกนั้นแล้ว ในแฟ้มประวัติก็ระบุอยู่ว่าลักซ์เป็นลูกของจิน แต่เพราะประวัติในโลกมนุษย์ระบุว่าเป็นลูกของโฬมประวัติเก่าเลยถูกลบออกและอัปเดตให้เหมือนกัน” เคียร์ช่วยอธิบายเพิ่มเติม

                    “งั้นเราควรทำยังไงต่อ”

                    “ท่านเดาไม่ออกเหรอ เหมือนว่าพ่ออยากจะเจอลูกนะ” จากการที่จินเริ่มเปิดเผยตัวตนในช่วงนี้ ลักซ์อาจเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่วิญญาณร้ายต้องการ

                    “แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าผมเป็นลูก เขาตายไปตั้งนานแล้วแถมไม่ได้สนใจไยดีผมเลยด้วยซ้ำ”

                    “เราเองก็ไม่รู้ บางทีมันอาจจะจับตาดูเธออยู่ตลอดเวลาก็ได้”

                    ตั้งแต่เกิดมาลักซ์ไม่เคยรู้สึกกลัวขนาดนี้มาก่อน หากเขายังมีเลือดเนื้อคงตกใจช็อกหมดสติที่ได้รู้ความจริงว่าพ่อแท้ๆ ของตัวเองเป็นฆาตกร แต่ถึงแม้จะตายไปแล้วก็ยังเป็นเรื่องน่าตกใจอยู่ดีที่พ่อของเขาคือวิญญาณร้ายที่กำลังถูกตามล่า

    วิญญาณร้ายที่เป็นอันตรายต่อทั้งมนุษย์และวิญญาณด้วยกันเอง

                    “ฉันมีแผน”

                    ทุกสายตาจับจ้องไปยังเอลตัน ท่าทางของหัวหน้ายมทูตดูเอาจริงเอาจังกับปัญหาที่ต้องรีบจัดการก่อนมันบานปลายมากไปกว่านี้

                    “ถ้าจินอยากเจอลูกชายจริงๆ เราก็ต้องใช้ลูกชายของเขาเป็นเหยื่อล่อ”

                    “อันตรายเกินไป” เคียร์ค้านขึ้นทันที พ่อที่ทิ้งลูกและฆ่าภรรยาไม่มีทางกลับใจปฏิบัติดีต่อลูก พวกเขายังไม่รู้จุดประสงค์ที่แน่ชัดของจิน อีกทั้งลักซ์เป็นเพียงวิญญาณธรรมดา การปล่อยให้เผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายอาจทำให้ดวงวิญญาณของลักซ์ดับสูญไปตลอดกาล

                    ทว่า...

                    “ผมโอเค”

                    “อยากตายนักหรือไง”

                    “ผมก็ตายมาแล้วนี่”

                    “แล้วไม่อยากเกิดใหม่เหรอ”

                    เป็นคำถามที่ลักซ์เองก็ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ สิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ไม่มีเรื่องของอนาคตเลยสักนิด หากต้องปล่อยให้พ่อแท้ๆ ที่เป็นวิญญาณร้ายลอยนวลทำร้ายผู้อื่นโดยที่เขาไปเกิดโดยไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลยเขาก็ไม่สบายใจที่จะไปเกิดอยู่ดี

                    “ผมจะช่วยครับ” ลักซ์ยืนยันอีกครั้ง

                    “ดี”

                    “เฮ้อ”

                    เคียร์กลอกตาทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างยอมแพ้ เป็นแบบนี้ภาระหนักต้องตกมาอยู่ที่เขาอีกตามเคย

                                    

                    แผนการเหยื่อล่อถูกเก็บเป็นความลับ หลังจากการประชุมเสร็จสิ้นมีคำสั่งให้เคียร์พาลักซ์กลับมายังโลกมนุษย์ แวะมารายงานสถานการณ์กับโฟทิสที่ยังฝึกควบคุมการเปิดปิดประตูนรกอยู่ที่ห้องโดยมีท่านเจ้าที่ของหอคอยจับตาดู เมื่อคนหน้าเบื่อโลกได้รู้ว่าลักซ์ต้องกลับไปอยู่ที่โรงแรมหรือที่ไหนก็ตามที่ต้องห่างกันโฟทิสก็ตั้งท่าจะโวยวายทันที

                    “ทำไม”

                    “ก็เพื่อความปลอดภัยไง” เคียร์ตอบได้เพียงเท่านี้ เขาต้องคอยตามดูแลลักซ์ตามแผนการ ปล่อยให้ร่อนเร่เพื่อหลอกล่อจินออกมา หน้าที่ดูแลโฟทิสถูกโอนไปให้ ‘น็อค’ สุนัขล่าวิญญาณอีกคนรับผิดชอบแทน

                    “แล้วเรื่องวิญญาณร้ายสรุปว่ายังไง” โฟทิสรู้เพียงว่าลักซ์พูดถึงจิน เมื่อได้ยินดังนั้นเคียร์ก็สั่งให้เขากลับบ้านโดยด่วนและพาลักซ์ไปยังนรกโดยที่เขาไม่รู้รายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

                    “ก่อนหน้านี้มันเคยเจอลักซ์แล้วก็ดูเหมือนว่ามันกำลังต้องการสื่อสารอะไรบางอย่าง ตอนนี้ก็อยู่ในอันตรายกันทั้งคู่ แต่อีกไม่นานทางนรกจะจัดการได้เอง”

                    โฟทิสไม่อยากเชื่อคำของเคียร์นัก ลักซ์ก็เอาแต่นั่งเงียบตั้งแต่มาถึงจนน่าสงสัย คล้ายกับถูกวางบทบาทให้เคียร์เป็นคนจัดการ หรือถูกยมทูตสั่งให้ทำอะไรแปลกๆ มาหรือเปล่าก็ไม่รู้

                    “แต่ผมมีพลังนะ เปิดปิดประตูนรกได้จับมันโยนกลับนรกได้สบายๆ”

                    “อย่าคิดว่ามันง่ายขนาดนั้น”

                    “เพราะถ้าง่ายหมานรกอย่างนายคงจับมันได้นานแล้ว”

                    “โฟทิส”

                    “แทงใจดำอย่างจัง”

                    เคียร์ถอนหายใจอย่างแรงขณะที่โฟทิสยังทำลอยหน้าลอยตา เป็นท่าทางกวนประสาทที่นานๆ ทีจะเห็นสักครั้ง ลักซ์ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ หลุดขำ แม้โลกความเป็นจริงมันช่างโหดร้ายจนหัวเราะไม่ออกเลยก็ตาม

                    “ที่จะมาบอกก็มีแค่นี้ ถ้าเก่งเมื่อไรอยากช่วยงานค่อยว่ากันอีกที โฟต้องระวังตัวให้มากๆ ด้วย อย่าทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายเข้าใจมั้ย เราก็ไปได้แล้ว” เคียร์รีบตัดบทก่อนโฟทิสจะทำตัวยั่วโมโหเขาอีก พูดทุกอย่างที่อยากบอกจนหมดสิ้นก็รีบลุกขึ้นเรียกลักซ์ให้เดินตามออกมาด้วยกัน

                    โฟทิสมองตามทั้งคู่ไปด้วยสายตาเบื่อหน่าย สบตากับลักซ์ที่หันกลับมามอง แววตาคู่นั้นดูมีอะไรอยู่ในใจแต่ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ในตอนนี้ อันตรายที่เคียร์พูดถึง ทั้งสองคงกำลังทำอะไรสักอย่างกับมันอยู่ตามลำพังเป็นแน่

     

                    ชีวิตของโฟทิสดูเหมือนกลับมาเป็นปกติแต่แท้จริงแล้วทุกอย่างผิดแปลกไปตั้งแต่ลักซ์กลับมาจากนรก สองวันแล้วที่ไม่ได้เจอ แม้แต่สุนัขล่าวิญญาณที่ได้รับหน้าที่ให้มาคอยคุ้มครองแทนเคียร์ก็ยังไม่เห็นหน้า แต่นั่นยังไม่แปลกเท่ากับตลอดสองวันที่ผ่านมานี้โฟทิสไม่เห็นดวงวิญญาณเลยสักดวง กระทั่งเอมี่ก็หายตัวไป

                    โฟทิสกำลังหงุดหงิดเพราะรู้ตัวว่าถูกเคียร์กับลักซ์ปิดบังบางอย่างอยู่ หงุดหงิดที่ไม่มีใครให้ถาม หงุดหงิดจนอยากทำตัวเป็นปัญหาโดยการเปิดประตูนรกเล่นมันกลางมหาวิทยาลัย ถ้าทำแบบนั้นคนที่กำลังทำให้เกิดเรื่องผิดปกติกับตัวเขาอยู่เงียบๆ ต้องยอมเผยตัวเองออกมาแน่

                    หมานรกที่ชื่อน็อคคนนั้น มันน่าหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่ยอมปรากฏตัวให้เห็นแม้แต่เงา

                    สุนัขล่าวิญญาณที่ถูกมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลมนุษย์คนพิเศษคอยเฝ้ามองดูอยู่ไม่ห่าง เพราะใบหน้าที่ดูโหดเหี้ยมกับรูปร่างกำยำที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ทำให้วิญญาณทุกดวงที่พบเห็นต่างหลบหนี เป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ช่วยกันวิญญาณให้ออกห่างได้โดยไม่ต้องทำอะไร และเป็นความรู้สึกส่วนตัวที่ไม่ค่อยอยากสนทนาพาทีกับมนุษย์มากนัก

                    โดยเฉพาะมนุษย์ผู้มีพลังวิเศษที่ดูท่าทางรับมือยากอย่างโฟทิส

                    น็อคทำทีเป็นต่อแถวซื้อน้ำเมื่อโฟทิสหันมาจ้องตอนเขาตามเข้ามาในโรงอาหาร ในมหาวิทยาลัยมีวิญญาณเพียงดวงเดียวที่วนเวียนอยู่ซึ่งเคียร์ได้พูดคุยทำความเข้าใจไปก่อนหน้านี้แล้วทำให้เธอยอมออกห่างจากสถานที่แห่งนี้สักพัก

                    “จ้องอะไรอยู่” แจ็คกี้ที่เห็นเพื่อนตัวเองทำท่าแปลกๆ เอ่ยถาม

                    “ไม่เคยเห็นว่าคณะเรามีคนตัวใหญ่แบบนั้นด้วย”

                    “อาจจะเป็นเด็กคณะอื่นก็ได้”

                    ยิ้มให้เพื่อนสนิทแต่ยังไม่เลิกมองผู้ชายน่าสงสัยคนนั้นเสียทีเดียว เพราะเคยถูกหลอกอย่างแนบเนียนมาแล้วหนึ่งครั้ง ฉะนั้นโฟทิสจะไม่ยอมถูกหลอกซ้ำสองเป็นอันขาด

                    จับตัวได้แล้วคุณหมานรก

     

    ก่อนหน้านี้โฟทิสคิดว่าตัวเองลางานที่บาร์ยาวนานหลายวันแล้วแต่เคียร์ลายาวเหมือนลาออก หายไปจัดการเรื่องวิญญาณร้ายที่ยังลอยนวลโดยไม่มีการส่งข่าวเพิ่มเติมใดๆ วิญญาณที่เคยช่วยเหลือก็เงียบหาย บอกว่าต้องอยู่ห่างกันไว้เพื่อความปลอดภัยทั้งที่ตัวคนพูดน่าจะกำลังทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอยู่แน่ๆ

                    ชีวิตที่ปลอดภัยมีสุนัขล่าวิญญาณในร่างคนตัวเบิ้มคอยเฝ้าไม่ทำให้โฟทิสหายเบื่อซ้ำยังรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในกรงมากกว่า ไหนจะเรื่องคดีความที่ยังไม่เสร็จสิ้น มีแต่เรื่องให้คิดเต็มไปหมด

                    “บาร์เทนเดอร์คนดังกลับมาทำงานแล้วเหรอเนี่ย”

                    ยืนทำหน้าเบื่อโลกได้ไม่นานนักก็ต้องหันไปยิ้มให้ลูกค้าประจำ คนที่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายลึกซึ้งกันหลังเลิกงาน

                    “กลับมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

                    “โฟนั่นแหละหายไปนาน เป็นไงบ้าง”

                    “ดีขึ้นเยอะแล้ว”

                    “โอเคใช่มั้ย”

                    “โอเค” ยิ้มให้เป็นคำตอบในส่วนที่ถูกถาม หากเป็นเรื่องที่ถูกรุมซ้อมวันนั้นโฟทิสดีขึ้นมากแล้วทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ต่อไปจะควงใครไปนอนด้วยคงต้องเลือกให้มากขึ้น หรืออาจจะงดไปเลยก็ได้

                    “งั้นขอเหมือนเดิม จำได้ใช่มั้ย”

                    “จำได้อยู่แล้ว”

    Gin Tonic ค็อกเทลที่เน้นความสดชื่นเป็นเมนูที่ลูกค้าคนนี้สั่งประจำ พวกเขาคุยเล่นกันอย่างถูกคอเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง มีความสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อกันโดยที่ต่างฝ่ายต่างเคารพกติกา ไม่แหกกฎและเอาแต่ใจตัวเอง ความสัมพันธ์อีกรูปแบบหนึ่งที่โฟทิสอยากรักษาเอาไว้แม้รู้ว่ามันไม่ยืนยาวก็ตาม

                    “คืนนี้ว่างมั้ย”

                    “ไม่ไปนะ”

                    “ไม่ได้ชวนไปนอน” หัวเราะเบาๆ เมื่อได้รับคำปฏิเสธทั้งที่โฟทิสเข้าใจจุดประสงค์ของเขาผิดไป

                    “ไปไหนอ่ะ”

                    “กินข้าว วันนี้มาคนเดียวอย่างเหงาเลย”

                    “กินนมได้มั้ย อยากกินนมอุ่นๆ”

                    “มันมีร้านไหนเปิดอ่ะคุณ”

                    "กินข้าวต้มกุ๊ยก็ได้"

    "โอเค ผมรอที่เดิมนะ"

    "อื้ม"

    ตกลงกันได้เขาคนนั้นก็ถือแก้วเดินกลับโต๊ะตัวเอง นั่งเหงาๆ อย่างที่ว่า ทั้งที่ปกติมีเพื่อนเป็นโขยงมาด้วยตลอดไม่รู้วันนี้นึกยังไงถึงได้มาคนเดียว 

    ร้านปิดจัดการทุกอย่างเรียบร้อยโฟทิสก็มายังจุดนัดหมาย คนที่รอทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นก่อนใช้เท้าขยี้ ยิ้มกว้างเดินนำไปที่รถพาไปยังร้านข้าวต้มที่อยู่ไม่ไกลจากบาร์นัก สั่งทุกอย่างที่อยากกินแล้วนั่งรอ ก่อนโฟทิสจะเอ่ยถามในสิ่งที่อยากรู้เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูมีเรื่องในใจของอีกฝ่าย

    "ดูเครียดๆ นะ"

    "โฟก็เหมือนกัน"

    "ผมเครียดเรื่องคดีนี่แหละ ว่าแต่คุณอยากเล่ามั้ย"

    ข้อดีของการมีเพื่อนเป็นคนแปลกหน้าคือการพูดความในใจที่ไม่สามารถเล่าให้คนเพื่อนฟังได้ พวกเขาต่างมีตัวตนของกันและในเวลาที่จำกัด เป็นเหมือนคนที่บังเอิญผ่านมาพบกัน ณ ช่วงเวลาหนึ่งเพื่อจุดประสงค์หนึ่ง

    เรื่องที่ได้ฟังทำให้โฟทิสเข้าใจทันทีว่าทำไมวันนี้ลูกค้าประจำคนนี้ถึงแวะมาที่ร้านคนเดียว ปัญหาความคิดไม่ลงรอยกันของกลุ่มเพื่อนสามารถแก้ได้ด้วยการพูดคุย แต่โฟทิสไม่สามารถให้คำแนะนำที่ดีได้เพราะเขาคือคนแปลกแยกที่มีเพื่อนอยู่น้อยนิดจึงทำได้เพียงรับฟังเท่านั้น

    "ก็ลองคุยกันดู"

    "จะลองดู"

    "ผมไม่ใช่คนเพื่อนเยอะ คงช่วยอะไรไม่ได้เท่าไร"

    "แค่มากินข้าวด้วยกันก็ดีแล้ว"

                    ยิ้มรับเมื่อได้ฟัง ข้าวต้มถ้วยน้อยๆ หมดไปคนละสองถ้วยระหว่างพวกเขานั่งคุยกัน เวลาล่วงเลยมาจนใกล้เช้า จะว่าไปแล้วการมานั่งกินข้าวพูดคุยกันยังใช้เวลามากกว่าสานสัมพันธ์กันบนเตียงเสียอีก

                    "เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้าน"

                    "ไม่เป็นไร ผมนั่งแท็กซี่กลับดีกว่า"

                    คนที่รู้นิสัยกันดีไม่ตื๊อต่อ เพื่อนชั่วคราวแวะมาส่งโฟทิสที่ป้ายรถเมล์ก่อนจะขับออกไป

                    ใกล้จะตีห้าแล้วฟ้ายังมืดสนิท โฟทิสกำลังลังเลว่าเขาควรโบกแท็กซี่กลับหรือรอรถเมล์ดี แต่สุดท้ายกลับไม่เลือกอะไรสักอย่าง นั่งมองรถที่แล่นผ่านไปมาปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกกลัว แม้ที่แห่งนี้ไม่ได้ดูปลอดภัยสักเท่าไรก็ตาม

                    โฟทิสกำลังคิด เขาอยากหลอกล่อให้สุนัขล่าวิญญาณที่คอยตามดูแลอยู่ห่างๆ เปิดเผยตัว อยากรู้ว่าทำไมถึงต้องเป็นเคียร์ที่ออกตามล่าวิญญาณร้ายทั้งที่หมานรกจอมกวนประสาทตัวนั้นตามติดดูแลเขามาตั้งนาน ที่สำคัญกว่าคืออยากรู้ว่าตอนนี้ลักซ์เป็นยังไงบ้าง

                    ลุกขึ้นยืนก้าวออกไปริมถนน ทันใดนั้นโฟทิสก็รับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่าง พลังที่ทำให้เขารู้สึกขนลุกเกรียว พลังที่ไม่ใช่ของสุนัขล่าวิญญาณหรือยมทูตที่ดูน่าเกรงขาม

                    รีบหันหลังกลับไปมองเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่ด้านหลัง รอยยิ้มประหลาดของก้อนสีดำที่ไม่มีใบหน้าปรากฏขึ้น ความเวิ้งว้างตรงหน้าทำให้โฟทิสกลัวจับใจ ขาก้าวถอยหลังหนีจนเกือบตกขอบฟุตพาท

                    “โฟทิส”

                    ชื่อของเขาถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าสยดสยอง มันแสยะยิ้มน่าเกลียด กลุ่มพลังงานสีดำที่ไร้รูปร่างลอยเข้ามาหาแต่โฟทิสไม่สามารถถอยหนีได้อีกแล้ว

                    “ไปลงนรกซะ!”

                    ความพิเศษที่เพิ่งค้นพบถูกเรียกใช้ โฟทิสเปิดประตูนรกขึ้นตรงหน้าหวังให้ก้อนพลังงานดำมืดนั้นถูกดูดลงไปในที่ที่ควรไป แต่มันไมง่ายขนาดนั้น

                    “เด็กน้อย”

                    กำจัดไม่ได้ซ้ำมันยังยิ้มกว้างกว่าเดิม ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจจนขาไม่มีแรงขยับ รั้งประตูนรกให้เปิดไว้พยายามคิดหาวิธีลากมันลงไป แต่มนุษย์ตัวคนเดียวอย่างเขาไม่ได้เก่งกาจและมีความพิเศษยมทูตหรือสุนัขล่าวิญญาณ

                    ขณะที่ก้อนพลังงานขยับเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ และโฟทิสคิดว่าเขาต้องถูกกินอย่างแน่แท้สุนัขสีขาวตัวใหญ่ยักษ์ปรากฏตัวขึ้น กรงเล็บตะปบกลุ่มพลังสีดำกระจัดกระจายสลายหายไป เหลือเพียงดวงไฟดวงเล็กๆ ที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ

                    จบแล้ว...งั้นเหรอ

    จบง่ายๆ อย่างนี้น่ะเหรอ

                    “ปิดประตูซะ” โฟทิสลนลานทำตามที่บอก ขาหมดแรงแทบจะยืนไม่ไหว

                    “คุณ...”

                    “น็อค”

                    เป็นการแนะนำตัวสั้นๆ แม้โฟทิสไม่ได้ต้องการรู้เรื่องนั้น ที่อยากถามเป็นเพราะน็อคกินไฟดวงเล็กๆ นั่นเข้าไป สร้างความตื่นตระหนกให้แก่คนที่ยืนมองอยู่

                    “คุณกิน...”

                    “แค่เก็บไว้ นายควรรีบกลับบ้าน”

                    “มันตายแล้วเหรอ”

                    “วิญญาณดวงนี้เป็นเพียงผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกวิญญาณร้ายกินและใช้ประโยชน์ มันร้ายยังลอยนวลอยู่ นายควรรีบกลับบ้าน” น็อคย้ำอีกครั้ง การที่เขาเข้าช่วยเหลือโฟทิสเกือบไม่ทันเวลานับว่าเป็นความผิดร้ายแรง หากก้อนพลังนั้นเป็นจินจริงๆ ไม่ใช่วิญญาณตัวแทนพวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่กว่านี้อีกร้อยเท่า

                    “คุณบอกว่ามันยังไม่ตาย แล้วผมจะปลอดภัยใช่มั้ยถ้าต้องอยู่คนเดียว”

                    สิ้นสุดคำถามสุนัขล่าวิญญาณอีกตัวก็กระโดดลงมายืนข้างโฟทิส น็อคเปิดประตูนรกขึ้นอีกครั้งก่อนฝากฝังงานกับคนที่เข้ามารับช่วงต่อ

                    “ฝากด้วยนะไนเจล”

                    ร่างสุนัขกลับสู่ร่างมนุษย์ เด็กผู้ชายที่ดูขี้เล่นยิ้มกว้าง ดูไม่เหมือนหมาตัวยักษ์ขนรุงรังที่เห็นเมื่อครู่เลยสักนิด

                    “สวัสดีครับโฟทิส วันนี้ผมจะเป็นคนดูแลคุณเอง”

                    แล้วเขาต้องอยู่ในการดูแลของหมานรกเวียนไปจนครบทุกตัวเลยหรือไง

     

    tbc

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×